International business expansion 101: A primer for businesses

Connect
Connect

แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก รวมทั้ง Shopify และ DoorDash ต่างก็ใช้ Stripe Connect ในการผสานรวมการชำระเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ประโยชน์ของการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ
  3. วิธีขยายเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ
    1. พลวัตของตลาด
    2. พันธมิตรในท้องถิ่น
    3. ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
    4. การจ้างทีม
    5. ภาษาท้องถิ่น
    6. เขตเวลา
    7. คุณค่าของผลิตภัณฑ์
    8. วัฒนธรรมการชําระเงิน
    9. การปฏิบัติตามกฎหมายและการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ

การขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดต่างประเทศสร้างโอกาสเติบโตที่น่าตื่นเต้นและนำมาซึ่งความซับซ้อนอีกระดับในขณะเดียวกัน จากการสํารวจประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้า (CCOs) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด (CMOs) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEOs) ประจําปี 2023 ของ Outleap ผู้ตอบแบบสำรวจ 44% กล่าวว่าธุรกิจกำลังมองหาช่องทางการขยายในปี 2024

ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายถึงประโยชน์ของการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศและสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับการขยายเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงการจัดการกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ประโยชน์ของการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ
  • วิธีขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ

ประโยชน์ของการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

การขยายธุรกิจไปทั่วโลกเป็นการดําเนินงานที่ใหญ่ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่สําคัญได้ ต่อไปนี้คือประโยชน์หลักๆ ที่มาพร้อมกับการขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ

  • เพิ่มช่องทางรายรับ: สําหรับธุรกิจ การดําเนินงานในหลายตลาดช่วยลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอยหรือความอิ่มตัวของตลาดในประเทศบ้านเกิดของตน การกระจายความเสี่ยงนี้ช่วยให้กระแสเงินสดมีเสถียรภาพมากขึ้น และช่วยลดความเปราะบางต่อวงจรเศรษฐกิจในประเทศได้ ตัวอย่างเช่น ภาวะถดถอยในตลาดหนึ่งอาจชดเชยได้ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในตลาดอีกแห่ง

  • ฐานลูกค้าใหม่: การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเปิดโอกาสให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและลูกค้าใหม่ๆ ได้มากขึ้น ทำให้มีโอกาสเพิ่มขนาดตลาดของคุณ การใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าใหม่เหล่านี้ต้องอาศัยการศึกษาตลาดแบบเจาะลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าในท้องถิ่น ความชอบ และกําลังซื้อ กลยุทธ์ที่เป็นไปได้ได้แก่แคมเปญการตลาด แบบท้องถิ่น โดยปรับผลิตภัณฑ์และบริการให้เข้ากับรสนิยมในท้องถิ่น และใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงลูกค้าจากระยะไกล

  • ประโยชน์จากขนาด: การดำเนินธุรกิจในหลายตลาดช่วยให้ธุรกิจได้ประโยชน์จากขนาดในด้านการจัดซื้อ การจัดจําหน่าย และการตลาด โดยอาจใช้กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชนเพื่อจัดหาวัตถุดิบในราคาที่ถูกกว่าหรือเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อขอราคาที่ดีขึ้นจากปริมาณซื้อที่สูงขึ้น

  • ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ดีขึ้น: ธุรกิจที่มีการดําเนินงานในต่างประเทศสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ด้วยการจําหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่เหมือนใครซึ่งไม่มีในตลาดท้องถิ่น การใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่า และการใช้โมเดลธุรกิจที่ซับซ้อนกว่า การมีชื่อเสียงในฐานะธุรกิจระดับโลกสามารถสร้างประโยชน์ให้ธุรกิจได้ด้วยเกียรติภูมิของแบรนด์ การใช้การวิเคราะห์ขั้นสูงและการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) สามารถสร้างข้อเสนอที่ปรับให้เข้ากับคุณโดยเฉพาะและชิงความได้เปรียบจากคู่แข่งในท้องถิ่นได้

  • การเข้าถึงบุคลากรที่มีความสามารถและนวัตกรรม: การขยายธุรกิจไปทั่วโลกช่วยให้ธุรกิจได้เข้าถึงกลุ่มผู้มีความสามารถใหม่ๆ และโอกาสในการสร้างนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ภูมิภาคนั้นๆ ขึ้นชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ด้านเทคโนโลยี การผลิต หรืออุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (เช่น สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาหรือญี่ปุ่นได้) สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย เข้าร่วมศูนย์นวัตกรรม และการจ้างบุคลากรที่มีความสามารถในท้องถิ่นจะช่วยเร่งนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และปรับโมเดลธุรกิจให้เข้ากับตลาดท้องถิ่น

  • ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน: ธุรกิจระหว่างประเทศสามารถปรับแต่งการดําเนินงานของตนได้โดยใช้ข้อได้เปรียบจากภูมิภาคต่างๆ ตัวอย่างเช่น การผลิตในประเทศหนึ่งอาจคุ้มค่าเชิงต้นทุนมากกว่าเพราะค่าแรงที่ต่ำกว่า ในขณะที่อีกประเทศอาจจะมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีขั้นสูงด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ธุรกิจจะต้องดําเนินการวิเคราะห์ต้นทุนและประโยชน์อย่างถี่ถ้วน รวมทั้งพิจารณาความท้าทายด้านโลจิสติกส์ เช่น การขนส่งและภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงานให้สูงสุด

  • ข้อได้เปรียบด้านภาษีและระเบียบข้อบังคับ: การดําเนินงานในหลายเขตอํานาจศาลสามารถสร้างข้อได้เปรียบจากภาษีและการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ ธุรกิจสามารถจัดโครงสร้างการดําเนินงานให้ได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีต่ำลง สนธิสัญญาทางภาษี และมาตรการจูงใจของรัฐบาลในการดึงดูดธุรกิจต่างชาติ การรับมือกับความซับซ้อนของกฎหมายภาษีระหว่างประเทศและการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับในเขตอํานาจศาลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ

  • การจัดการความเสี่ยงและการสร้างความยืดหยุ่น: การกระจายธุรกิจไปยังต่างประเทศช่วยในการจัดการความเสี่ยงได้ การขยายการดําเนินงานไปยังสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจต่างๆ ช่วยปกป้องธุรกิจจากแรงกระแทกที่เกิดขึ้นเฉพาะภูมิภาค เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความขัดแย้งทางการค้า และภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ การสร้างซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นหมายถึงการสร้างความซ้ำซ้อน มีซัพพลายเออร์ที่หลากหลาย และการจัดทำแผนการรองรับเหตุฉุกเฉินเพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ

วิธีขยายเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

ต่อไปนี้คือบางด้านที่คุณควรพิจารณาเมื่อสร้างกลยุทธ์สําหรับการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

พลวัตของตลาด

เพื่อศึกษาเกี่ยวกับพลวัตในตลาดต่างๆ โปรดดูปัจจัยต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมของลูกค้า แนวโน้มของตลาด ภูมิทัศน์ด้านการแข่งขัน และสภาพแวดล้อมด้านการกำกับดูแล องค์ประกอบเหล่านี้อาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ และมีอิทธิพลต่อการกําหนดตําแหน่งของผลิตภัณฑ์หรือบริการรวมทั้งการขาย ต่อไปนี้คือด้านต่างๆ ที่คุณควรสำรวจและศึกษาเมื่อจะเข้าสู่ตลาดแห่งใหม่

  • ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ: เริ่มต้นด้วยการประเมินสภาพแวดล้อมทางเศรษฐศาสตร์มหภาคของประเทศเป้าหมาย ตรวจสอบอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อัตราเงินเฟ้อ ระดับการจ้างงาน และความเสมอภาคของกำลังซื้อเพื่อรับรู้ภาพรวมสถานะทางเศรษฐกิจและศักยภาพด้านอำนาจการใช้จ่ายของลูกค้า

  • พฤติกรรมของลูกค้า: ศึกษารูปแบบพฤติกรรมของลูกค้าในท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม พฤติกรรมการซื้อ ความอ่อนไหวต่อราคา ความภักดีต่อแบรนด์ และช่องทางการสื่อสารที่ชอบ คุณสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมลูกค้าจากการสํารวจ กลุ่มโฟกัส และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าผ่านโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ

  • แนวโน้มตลาด: ระบุและวิเคราะห์แนวโน้มตลาดปัจจุบัน รวมถึงเทคโนโลยีเกิดใหม่ การเปลี่ยนแปลงความต้องการของลูกค้า และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การทําความเข้าใจแนวโน้มเหล่านี้สําคัญต่อการคาดการณ์ความต้องการในตลาดและก้าวนําหน้าคู่แข่ง

  • ภูมิทัศน์ในการแข่งขัน: วิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการแข่งขันอย่างถี่ถ้วน ระบุคู่แข่งทางตรงและทางอ้อมรวมถึงส่วนแบ่งตลาด จุดแข็ง และจุดอ่อน กลยุทธ์การตั้งราคา และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอโดยคู่แข่ง วิธีนี้จะช่วยให้คุณกําหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์หรือบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมๆ กับการระบุช่องว่างในตลาดที่คุณจะใช้ประโยชน์ได้

  • สภาพแวดล้อมด้านการกํากับดูแล: ทําความคุ้นเคยกับกรอบกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของประเทศเป้าหมาย รวมถึงนโยบายการค้า ภาษีสินค้า ข้อจํากัดในการนําเข้า และระเบียบข้อบังคับเฉพาะของอุตสาหกรรม การปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่นเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับและคดีความ และเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะดําเนินธุรกิจในประเทศนั้นต่อไปได้

  • อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด: ประเมินอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดเป้าหมาย เช่น ภาวะการแข่งขันสูง ระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวด หรือปริมาณเงินทุนที่ต้องใช้สูง การทําความเข้าใจอุปสรรคเหล่านี้จะช่วยคุณกําหนดกลยุทธ์ที่จะเอาอุปสรรคดังกล่าว ไม่ว่าจะด้วยการใช้นวัตกรรม ความร่วมมือกับพันธมิตรหลัก หรือการใช้จุดขายที่ไม่เหมือนใคร

  • ขนาดของตลาดและการแบ่งส่วนตลาด: วัดขนาดของตลาดและแบ่งส่วนตลาดตามข้อมูลประชากร ลักษณะจิตวิทยาทางสังคม ภูมิศาสตร์ และพฤติกรรม การแบ่งส่วนช่วยให้สามารถกําหนดกลยุทธ์ทางการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และแผนการจัดจำหน่ายที่ตรงเป้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ช่องทางการจัดจำหน่าย: สำรวจช่องทางการจัดจําหน่ายที่มีประสิทธิภาพที่สุดในตลาด เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ พันธมิตรค้าปลีก การขายตรง และผู้จัดจําหน่ายบุคคลที่สาม ทั้งนี้ตลาดแต่ละแห่งอาจมีภาพของการจัดจำหน่ายที่เฉพาะตัวซึ่งแปรผันตามความต้องการของลูกค้าและโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น

  • กลยุทธ์การตั้งราคา: จัดทํากลยุทธ์การตั้งราคา ที่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของตลาดเป้าหมาย ภูมิทัศน์ในการแข่งขัน และความคาดหวังของลูกค้า

  • วงจรคําติชม: สุดท้ายนี้ ให้สร้างกลไกเพื่อรวบรวมและวิเคราะห์คำติชมจากตลาดอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นการสํารวจความพึงพอใจของลูกค้า การติดตามตรวจสอบโซเชียลมีเดีย และการวิเคราะห์ข้อมูลการขาย วงจรคําติชมช่วยในการปรับกลยุทธ์ตามผลการปฏิบัติงานจริงและข้อมูลเชิงลึก

พันธมิตรในท้องถิ่น

การหาและพันธมิตรที่เหมาะสมในท้องถิ่นเป็นขั้นตอนสําคัญในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ พันธมิตรในท้องถิ่นสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับตลาด อํานวยความสะดวกในการเข้าสู่ตลาดที่ราบรื่นยิ่งขึ้น และช่วยให้มีเครือข่ายที่มั่นคงซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีในการสร้างขึ้นเอง ต่อไปนี้คือข้อควรพิจารณาบางประการเมื่อต้องการหาพันธมิตรที่มีศักยภาพในท้องถิ่น

  • การปรับวิสัยทัศน์และค่านิยมให้ตรงกัน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพันธมิตรในอนาคตมีวิสัยทัศน์ คุณค่า และวัตถุประสงค์ตรงกับธุรกิจของคุณ การปรับนี้ช่วยป้องกันความขัดแย้งและเป็นกุญแจสําคัญในการทํางานร่วมกันในระยะยาว ทําการสอบทานธุรกิจ เพื่อดูแนวปฏิบัติทางธุรกิจ ชื่อเสียง และวัฒนธรรมขององค์กรอย่างละเอียดถี่ถ้วน

  • ความรู้เกี่ยวกับตลาดและเครือข่าย: พันธมิตรที่เหมาะสมควรมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดในพื้นที่และเครือข่ายผู้ติดต่อที่แข็งแกร่ง รวมถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า ซัพพลายเออร์ และหน่วยงานกํากับดูแล เครือข่ายนี้จะช่วยเร่งการเข้าสู่ตลาดและการขยายธุรกิจ ลดเวลาและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ได้

  • จุดแข็งและความสามารถที่ส่งเสริมกัน: มองหาพันธมิตรที่มีจุดแข็งและความสามารถที่ส่งเสริมกัน ซึ่งอาจรวมถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะในอุตสาหกรรม เครือข่ายการกระจายสินค้า ความสามารถด้านการตลาด หรือความรู้ทางเทคโนโลยี

  • ความมั่นคงและทรัพยากรด้านการเงิน: ประเมินความมั่นคงทางการเงินและทรัพยากรของผู้มีโอกาสเป็นพันธมิตร พันธมิตรที่มีทรัพยากรเพียงพอสามารถสนับสนุนเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจและช่วยให้การดําเนินงานเพื่อการเติบโตระยะแรกดำเนินไปได้

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ: ตรวจสอบยืนยันว่าพันธมิตรระดับในท้องถิ่นของคุณมีประวัติการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ดี ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดอาจทำให้การดําเนินธุรกิจหยุดชะงักและทําให้ชื่อเสียงของแบรนด์คุณเสียหาย จ้างผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเพื่อตรวจสอบประวัติการปฏิบัติตามข้อกําหนดของพันธมิตรธุรกิจอย่างครอบคลุม

เมื่อคุณระบุพันธมิตรที่มีศักยภาพได้แล้ว ให้เริ่มจัดทําข้อตกลงและเจรจาเงื่อนไข กระบวนการนี้จะครอบคลุมทุกแง่มุมของความร่วมมือ ซึ่งรวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบ การสนับสนุนด้านการเงิน การแบ่งผลกําไร สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา กลไกการระงับข้อพิพาท และกลยุทธ์การออกจากการทำธุรกิจ ก่อนสรุปความร่วมมือ คุณอาจลองพิจารณาทำโครงการนําร่องเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ด้านการทํางานและประเมินประสิทธิภาพของพันธมิตรธุรกิจในสภาวะของจริง โครงการเหล่านี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับการดําเนินงานของพันธมิตร ระดับความมุ่งมั่น และความสามารถในสร้างผลลัพธ์

ความแตกต่างทางวัฒนธรรม

พิจารณาความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่อาจส่งผลกระทบในด้านต่างๆ เช่น คุณค่าของผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การตลาด และการตัดสินใจจ้างในตลาดทุกแห่ง ซึ่งประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้:

  • การศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม: เรียนรู้เกี่ยวกับบรรทัดฐาน คุณค่า รูปแบบการสื่อสาร และมารยาทในการทําธุรกิจในวัฒนธรรมเป้าหมาย การศึกษาข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่นได้ดีขึ้นและป้องกันการเข้าใจผิดได้

  • ผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่: ติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาในท้องถิ่นที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจ ความเชี่ยวชาญของบุคคลเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับโมเดลธุรกิจให้เหมาะกับความต้องการในท้องถิ่น

  • การปรับแต่งผลิตภัณฑ์และการตลาด: ปรับผลิตภัณฑ์ บริการ และข้อความทางการตลาดของคุณให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยอาจจะต้องปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ หรือกลยุทธ์ส่งเสริมการขายเพื่อให้สอดคล้องกับความชอบและความอ่อนไหวตามวัฒนธรรม

  • การปรับเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสาร: ระมัดระวังเรื่องความแตกต่างเรื่องรูปแบบการสื่อสารซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม ทําความเข้าใจว่าคุณค่าทางวัฒนธรรมในการสื่อสารทั้งทางตรงและทางอ้อมจะส่งผลต่อวิธีการเจรจาต่อรอง การขาย และการสร้างความสัมพันธ์ของคุณอย่างไร

  • การฝึกอบรมและความแวดไว: จัดการฝึกอบรมให้ทีมของคุณในเรื่องความตระหนักรู้และความแวดไวทางวัฒนธรรมเพื่อให้แน่ใจว่าทีมจะสามารถโต้ตอบกับพันธมิตรธุรกิจ ลูกค้า และเพื่อนร่วมงานในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้เกียรติ

การจ้างทีม

เมื่อขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ คุณก็จะต้องจ้างทีมต่างประเทศเพื่อดูแลการดําเนินงานในภูมิภาค แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้จะช่วยให้คุณจ้างบุคลากรที่มีความสามารถที่เหมาะสม:

  • การหาบุคลากรที่มีความสามารถในท้องถิ่น: การจ้างบุคลากรที่มีความสามารถในท้องถิ่นมีประโยชน์หลายอย่าง พนักงานท้องถิ่นมีความเข้าใจความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมและธุรกิจของตลาด โดยคุ้นเคยกับพฤติกรรมลูกค้าในท้องถิ่น กฎระเบียบทางกฎหมาย และมารยาทในการดําเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเร่งการเจาะตลาดของคุณได้

  • ความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง: เน้นความหลากหลายในกลยุทธ์การจ้างงานของคุณ ทีมงานที่มีความหลากหลายจะให้มุมมอง ความคิด และทางออกที่หลากหลายในการพูดคุย ซึ่งช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและช่วยในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ดูแลให้แนวทางการจัดจ้างของคุณมีการยอมรับความแตกต่างและไม่แบ่งเลือกปฏิบัติเพื่อดึงดูดผู้สมัครที่ดีที่สุดจากทุกภูมิหลัง

  • การคัดเลือกบุคลากรที่ปรับแต่งให้เหมาะกับคุณ: ระบุชุดทักษะและระดับประสบการณ์ที่ทีมปฏิบัติการระหว่างประเทศของคุณต้องการ จากนั้นจึงปรับการสรรหาบุคลากรของคุณให้ได้ผู้สมัครที่ตรงกับเกณฑ์นั้น สิ่งที่ควรให้ความสำคัญอาจรวมถึงทักษะทางภาษา ประสบการณ์ด้านธุรกิจระหว่างประเทศ หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะอุตสาหกรรม นอกเหนือจากคุณสมบัติทางวิชาชีพแล้ว ควรพิจารณาความเหมาะสมทางวัฒนธรรมและความสามารถในการปรับตัวของผู้สมัครด้วย พนักงานที่มีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนและปรับตัว ตลอดสามารถรับมือกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมจะประสบความสําเร็จในบทบาทในการทำงานระดับต่างประเทศมากกว่า

  • ประกาศตำแหน่งงานแบบทำจากระยะไกลและผสมผสาน: การประกาศลักษณะงานแบบทำจากระยะไกลและยืดหยุ่นจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถในวงกว้างและรองรับเขตเวลาต่างๆ ซึ่งช่วยในเรื่องการทำงานร่วมกันและประสิทธิภาพ

  • การปฏิบัติตามกฎหมาย: ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับการจ้างงานของท้องถิ่น ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งรวมถึงสัญญา ชั่วโมงทํางาน สวัสดิการ ภาษี และนโยบายการเลิกจ้าง การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายในท้องถิ่นจะช่วยให้คุณรับมือกับความซับซ้อนเหล่านี้ และหลีกเลี่ยงปัญหาด้านกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้

เมื่อขั้นตอนการจ้างงานเสร็จสมบูรณ์ ให้ลงทุนจัดให้มีโปรแกรมฝึกอบรมและพัฒนาเพื่อให้ทีมของคุณมีทักษะที่จําเป็นในการขยายตัวไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งอาจรวมถึงการเรียนภาษา การฝึกอบรมเรื่องความแวดไวทางวัฒนธรรม และการสัมมนาเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการดําเนินธุรกิจระหว่างประเทศ โอกาสในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณรักษาบุคลากรที่มีความสามารถได้ โดยเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความเติบโตของบุคคลเหล่านี้ทั้งในด้านส่วนตัวและในวิชาชีพ

ภาษาท้องถิ่น

ความรู้ความเข้าใจภาษาที่ใช้ในตลาดเป้าหมายของคุณเป็นสิ่งสําคัญในการสื่อสารและกลยุทธ์การปรับเข้ากับท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือเรื่องหลักๆ ที่ควรศึกษา:

  • ภาษาราชการและภาษาธุรกิจ: ระบุภาษาราชการของประเทศนั้นและภาษาอื่นในภูมิภาค รวมถึงภาษาที่ใช้ในบริบททางธุรกิจ เช่น เอกสารทางกฎหมาย การเจรจาต่อรอง และการสื่อสารองค์กร

  • ความชอบเกี่ยวกับภาษาของลูกค้า: สำรวจความชอบเกี่ยวกับภาษาของกลุ่มประชากรลูกค้าเป้าหมายของคุณ ในแต่ละประเทศอาจมีความชอบที่ต่างกันได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่ใช้หลายสำเนียงหรือหลายภาษา และการปรับการสื่อสารของคุณให้เข้ากับความชอบเหล่านี้สามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและความภักดีกับแบรนด์ได้

  • ระดับความสามารถทางภาษา: ประเมินระดับความสามารถทางภาษาโดยทั่วไปในประเทศนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่กิจการของคุณใช้ดำเนินธุรกิจ ข้อมูลนี้จะช่วยคุณในการปรับการสื่อสาร ข้อมูลผลิตภัณฑ์ สื่อการตลาด และให้การสนับสนุนลูกค้าตรงตามความต้องการของท้องถิ่น

เมื่อประเมินภาษาในตลาดใหม่ของคุณแล้ว คุณก็จะตัดสินใจได้ว่าจะต้องปรับการใช้ภาษาให้เข้ากับท้องถิ่นอย่างไร ซึ่งอาจรวมถึงการแปลและปรับเว็บไซต์ แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ สื่อการตลาด และอินเทอร์เฟซผู้ใช้เพื่อตอบต่อผู้ใช้ในท้องถิ่น หากภาษาหลักที่ใช้ในธุรกิจหรือที่ลูกค้าต้องการใช้ต่างจากภาษาที่คุณใช้ทำธุรกิจตามปกติ

ผู้ให้บริการด้านภาษาและพนักงานที่มีความสามารถหลายภาษาถือเป็นทรัพยากรอย่างดีในการแปลการสื่อสารทางธุรกิจของคุณเป็นภาษาใหม่ ผู้ให้บริการด้านภาษาสามารถช่วยแปล เป็นล่าม และให้บริการแปลเป็นภาษาท้องถิ่น รวมทั้งเป็นเครื่องมือชั้นยอดเพื่อความถูกต้องและความเหมาะสมทางวัฒนธรรมในการแปล ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญสําหรับเอกสารทางกฎหมายและเนื้อหาที่ลูกค้าเห็น พนักงานที่มีความสามารถหลายภาษาสามารถสร้างความแตกต่างที่สําคัญในงานบริการลูกค้าและการวิเคราะห์ตลาดท้องถิ่นโดยเชื่อมช่องว่างทางภาษา ช่วยให้การดําเนินงานราบรื่นขึ้น และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม

เขตเวลา

ธุรกิจระหว่างประเทศต้องรักษาความพร้อมให้บริการในเขตเวลาต่างๆ เพื่อให้การสนับสนุนลูกค้า พันธมิตร และพนักงานทั่วโลกได้ทันท่วงที แนวทางปฏิบัติสําหรับธุรกิจต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสร้างทีมที่สามารถดําเนินงานได้ในหลายเขตเวลา:

  • สร้างความครอบคลุมด้านงานสนับสนุนลูกค้า: นําระบบการสนับสนุนลูกค้าที่สามารถรองรับลูกค้าทั่วโลกในเขตเวลาของลูกค้ามาใช้ ซึ่งอาจรวมถึงการจัดทำสายให้บริการสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงโดยใช้ Chatbot ตอบคําถามนอกเวลาทํางาน และจ้างเจ้าหน้าที่สนับสนุนในเขตเวลาที่แตกต่างกัน

  • เวลาทํางานที่ยืดหยุ่น: นำหลักการทำงานแบบยืดหยุ่นเวลามาใช้กับทีมของคุณเพื่อรองรับการประชุมและข้อกําหนดด้านการทํางานระหว่างประเทศ

  • การนําเครื่องมือจัดการตารางเวลาและการทํางานร่วมกันแบบทางไกลมาใช้: ใช้เครื่องมือจัดการตารางเวลาที่ปรับเปลี่ยนรองรับเขตเวลาที่แตกต่างกันได้อัตโนมัติ เช่น World Time Buddy หรือนาฬิกาบอกเวลาโลกของ Google Calendar เพื่อกําหนดเวลาการประชุมโดยไม่ต้องสับสนกับการเปลี่ยนเขตเวลา ใช้เครื่องมือการทํางานร่วมกันแบบทางไกล เช่น Slack, Trello หรือ Asana เพื่อสนับสนุนการทํางานแบบอะซิงโครนัส ซึ่งช่วยให้สมาชิกในทีมร่วมมือกันได้ตามกําหนดและขับเคลื่อนโครงการให้เดินหน้าต่อไป

  • ใช้ระบบการทำงานเป็นกะหมุนเวียน สําหรับการปฏิบัติงานที่ต้องเฝ้าดูแลอย่างต่อเนื่อง เช่น งานสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) หรืองานบริการลูกค้า ควรพิจารณาใช้ระบบการทำงานเป็นกะหมุนเวียนเพื่อครอบคลุมทุกเขตเวลา ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่ามีบุคคลพร้อมตอบกลับปัญหาหรือคำถามสําคัญๆ อยู่เสมอ

  • การกำหนดระเบียบการด้านการสื่อสารที่ชัดเจน: สร้างระเบียบการด้านการสื่อสารที่ชัดเจนซึ่งระบุเวลาและวิธีการสื่อสารข้ามเขตเวลา ซึ่งรวมถึงชั่วโมงที่ควรกำหนดเวลาประชุมและช่วงเวลาที่คาดหวังการตอบกลับทางอีเมล

  • การให้เกียรติความแตกต่างทางวัฒนธรรม: เมื่อวางแผนการประชุมและกําหนดเวลา ให้ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมในเรื่องสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน รวมทั้งวันหยุดนักขัตฤกษ์ทั่วทุกภูมิภาค

คุณค่าของผลิตภัณฑ์

แม้ว่าการแปลผลิตภัณฑ์และสื่อการตลาดของคุณอาจดูเหมือนขั้นตอนแรกในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศที่สมเหตุสมผล แต่สิ่งสําคัญคือคุณจะต้องประเมินคุณค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์ในตลาดต่างประเทศแต่ละแห่ง สิ่งที่เข้ากับตลาดในบ้านของคุณอาจใช้ไม่ได้โดยตรงกับตลาดแห่งอื่น และความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ และภูมิทัศน์การแข่งขันอาจส่งผลกระทบต่อคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่ตลาดรับรู้เป็นอย่างมาก

การกําหนดคุณค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์ในบริบทใหม่จะช่วยให้คุณนำเสนอคุณค่าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยขับเคลื่อนความสําเร็จในการขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศของคุณ ในขณะที่คุณปรับการนำเสนอคุณค่าในตลาดใหม่ๆ คุณจะต้องรับมือกับความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่น สภาวะของตลาด รวมถึงบรรทัดฐานและคุณค่าทางวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยปรับการสื่อสารเพื่อตอบโจทธ์ในตลาดเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ในระหว่างการขยายธุรกิจ โปรดเตรียมพร้อมเพื่อปรับการนำเสนอคุณค่าโดยอิงตามข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ ของตลาด

ขั้นตอนแรกในการประเมินคุณค่าของผลิตภัณฑ์ในตลาดใหม่คือการทําการวิจัยตลาดดังต่อไปนี้:

  • ระบุความจำเป็นและความต้องการ: วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่น ความท้าทาย และพฤติกรรมการซื้อ เพื่อประเมินว่าผลิตภัณฑ์ของคุณช่วยแก้ปัญหาอะไรได้ในบริบทเฉพาะนี้

  • ประเมินภูมิทัศน์การแข่งขัน: วิเคราะห์ข้อเสนอ ราคา และการนำเสนอคุณค่าของคู่แข่ง รวมทั้งประเมินว่าผลิตภัณฑ์ของคุณแตกต่างอย่างไร

  • ประเมินปัจจัยทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น: พิจารณาอำนาจการซื้อ ระดับรายได้ และความสามารถในการจ่ายของกลุ่มเป้าหมายของคุณ

เมื่อประเมินแล้วว่าผลิตภัณฑ์ของคุณจะเข้าไปอยู่ในตลาดใหม่นี้อย่างไร คุณควรจะต้องปรับคุณค่าที่นำเสนอให้สอดคล้องกับตําแหน่งผลิตภัณฑ์ใหม่

  • รับมือกับความจำเป็นและความต้องการของตลาด: เน้นคุณสมบัติที่ตอบสนองความจำเป็นและความต้องการตามที่คุณพบจากการวิจัยตลาด ลองพิจารณาใช้ตัวเลือกการกำหนดราคาแบบต่างๆ หรือโมเดลการชําระเงินตามรอบบิล เพื่อรองรับงบประมาณและความต้องการที่หลากหลาย

  • ปรับแต่งข้อความสื่อสารให้เข้ากับบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม: ให้แน่ใจว่าข้อความสื่อสารของคุณสอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด

  • ปรับผลิตภัณฑ์ให้สะท้อนกับตลาด: ในบางกรณีอาจจําเป็นต้องปรับตัวผลิตภัณฑ์เล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นหรือข้อบังคับในท้องถิ่น ตรวจสอบว่าการปรับเปลี่ยนเหล่านี้สะท้อนอยู่ในคุณค่าใหม่ที่คุณนำเสนอ

  • สื่อสารคุณค่าเชิงเปรียบเทียบ: แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของคุณโดดเด่นกว่าของคู่แข่งอย่างไร แสดงให้เห็นคุณค่าที่ไม่เหมือนใครที่ผลิตภัณฑ์ของคุณนำเสนอเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นแทนที่จะแข่งด้านราคาเพียงอย่างเดียว

  • เน้นประโยชน์ที่จับต้องได้: นอกเหนือจากประโยชน์เชิงการใช้งานแล้ว ให้เน้นคุณค่าทางอารมณ์หรือสังคมที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย

วัฒนธรรมการชําระเงิน

กุญแจสําคัญสู่ความสําเร็จในตลาดต่างประเทศคือการเปิดรับวัฒนธรรมการชําระเงินที่ไม่เหมือนใครของตลาดนั้นๆ ตั้งแต่การชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ซึ่งครองการใช้งานในเอเชียไปจนถึงบทบาทที่แพร่หลายของการโอนเงินผ่านธนาคารในยุโรป การพิจารณาความนิยมด้านการชําระเงินในแต่ละตลาดแสดงให้เห็นว่าธุรกิจของคุณเคารพและมีความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าใหม่ไปพร้อมๆ กับการสร้างประสบการณ์การชําระเงินที่สะดวกสบาย ธุรกิจควรคํานึงถึงข้อควรพิจารณาต่อไปนี้เมื่อนํากลยุทธ์การชําระเงินมาใช้ในตลาดใหม่ๆ

  • การประมวลผลการชําระเงิน: ประสบการณ์เกี่ยวกับการประมวลผลการชําระเงินอาจส่งผลอย่างมากต่อตําแหน่งทางตลาดของคุณ ทํางานกับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินในท้องถิ่นเพื่อสร้างประสบการณ์การชําระเงินที่ราบรื่นและต้นทุนต่ําที่สุดเท่าที่จะทําได้เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้งานเรื่อยๆ

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้: การให้ทางเลือกการชำระในสกุลเงินท้องถิ่นหรือการผสานการทํางานกับเกตเวย์การชําระเงิน ในภูมิภาคแสดงถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ต่อกลุ่มเป้าหมายใหม่

  • การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: ตลาดทุกแห่งมีกฎระเบียบทางการเงินเป็นของตนเอง การฝ่าฟันด้านกฎระเบียบนต้องใช้แนวทางการคุ้มครองข้อมูลและการป้องกันการฉ้อโกงเชิงรุกที่ให้ความมั่นใจกับลูกค้าว่าธุรกรรมที่ทำมีความปลอดภัย

  • ระบบความปลอดภัยของการชําระเงิน: กรอบการทํางานด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มแข็งจะช่วยป้องกันการฉ้อโกงและการคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นความจําเป็นทางเทคนิคและเป็นส่วนสําคัญในการรักษาความไว้วางใจของลูกค้า

  • พันธมิตรในพื้นที่: การสร้างความสัมพันธ์กับธนาคารท้องถิ่นและองค์กรทางการเงินจะช่วยให้ธุรกิจคุณใช้ประโยชน์ในเชิงลอจิสติกส์และมุมมองแบบคนวงในเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมด้านการชําระเงิน พันธมิตรเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าในท้องถิ่น อุปสรรคเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับ และโอกาสในตลาด

การปฏิบัติตามกฎหมายและการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ

ธุรกิจที่ดําเนินงานในต่างประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับท้องถิ่นทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้ต้องออกแบบกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใครเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านภาษีท้องถิ่นของแต่ละตลาด กฎหมายการคุ้มครองข้อมูล มาตรฐานการจ้างงาน ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ การปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับข้อกําหนดเหล่านี้ หมายถึงการลงรายละเอียดเรื่องกฎหมายท้องถิ่นและวางกลยุทธ์เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตามข้อกําหนดโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพในการดําเนินงานหรือชื่อเสียงของแบรนด์ แนวทางปฏิบัติทางธุรกิจต่อไปนี้เป็นหลักสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ด้านการปฏิบัติตามข้อกําหนดในตลาดใหม่ๆ:

  • ติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายและภาษีท้องถิ่น: ความซับซ้อนของการปฏิบัติตามข้อกําหนดและการจัดเก็บภาษีทั่วโลกมักจะเกินขอบเขตความเชี่ยวชาญภายในบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีสภาพแวดล้อมด้านระเบียบข้อบังคับที่ไม่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น สภาพแวดล้อมทางภาษีทั่วโลกประกอบด้วยกฎระเบียบต่างๆ ที่กระจายตัวกันอยู่ ประกอบด้วยภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ภาษีสินค้าและบริการ (GST) ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีศุลกากร การทํางานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับภาระหน้าที่และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่ดีที่สุดในแต่ละเขตอํานาจศาล การทํางานร่วมกันนี้อาจเป็นได้ตั้งแต่การเข้าสู่ตลาดในขั้นต้นไปจนถึงเรื่องการปฏิบัติตามข้อกําหนดอย่างต่อเนื่องและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับการตรวจสอบ

  • ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างภาษี: วิเคราะห์ภาระและโอกาสทางภาษีในภูมิภาคที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเครดิตภาษีและมาตรการจูงใจทางภาษี รวมถึงกลยุทธ์บรรเทาภาระภาษีซ้ําซ้อน การวางแผนภาษีอาจส่งผลต่อกลยุทธ์การกําหนดราคา การออกแบบซัพพลายเชน และอื่นๆ โดยการวางแผนควรรวมถึงการประเมินผลกระทบทางภาษีจากโครงสร้างองค์กรลักษณะต่างๆ การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และธุรกรรมข้ามพรมแดน การวางแผนภาษีที่มีประสิทธิภาพช่วยส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนโดยการจัดการภาระทางภาษีอย่างเหมาะสมและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงาน

  • พึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อการปฏิบัติตามข้อกําหนดและการจัดการภาษี: เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มขั้นสูงจะติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านข้อบังคับโดยอัตโนมัติ คํานวณภาระทางภาษีแบบเรียลไทม์ และอํานวยความสะดวกในการจัดทำรายงานที่ถูกต้องในเขตอํานาจศาลต่างๆ การลงทุนกับเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดและบทลงโทษที่เกี่ยวข้อง และช่วยจัดสรรทรัพยากรที่มีคุณค่าไปกับการเติบโตของธุรกิจหลักแทนได้

  • ติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับ: ธุรกิจจะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีและการปฏิบัติตามข้อกําหนดอยู่เสมอ ควรสร้างขั้นตอนที่มีโครงสร้างชัดเจนเพื่อติดตามพัฒนาการทางกฎหมายและแนวโน้มของอุตสาหกรรม ตีความผลกระทบที่มีต่อธุรกิจของคุณ แล้วดําเนินการปรับเปลี่ยนตามที่จําเป็นอย่างรวดเร็ว

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Connect

Connect

ใช้งานจริงภายในไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะต้องเสียเวลาหลายไตรมาส สร้างธุรกิจการชำระเงินที่สร้างผลกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Connect

ดูวิธีกำหนดเส้นทางการชำระเงินระหว่างหลายฝ่าย