How to register a US business as a nonresident: A step-by-step guide

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การเลือกโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสม
    1. LLC
    2. บริษัทประเภท C
    3. บริษัทประเภท S
    4. ห้างหุ้นส่วน
    5. กิจการเจ้าของคนเดียว
  3. การเลือกรัฐเพื่อจดทะเบียนธุรกิจ
    1. รัฐที่มีผู้นิยมจดทะเบียนธุรกิจ
  4. ขั้นตอนการจดทะเบียนและการปฏิบัติตามข้อกําหนด
    1. เลือกตัวแทนที่ได้รับการจดทะเบียน
    2. จดทะเบียนนิติบุคคลธุรกิจของคุณ
    3. ขอรับหมายเลขประจําตัวนายจ้าง
    4. ใบอนุญาตประกอบกิจการและใบอนุญาตต่างๆ
    5. รายงานประจําปีและภาษีการประกอบการ
    6. ภาระหน้าที่ทางภาษีต่อรัฐบาลกลาง
    7. ภาระหน้าที่ทางภาษีต่อรัฐ
    8. ธุรกรรมธนาคารและธุรกรรมทางการเงิน
  5. การจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน
    1. การเปิดบัญชีธนาคารสําหรับธุรกิจในสหรัฐอเมริกา
    2. การทําบัญชีและการลงบัญชี
    3. ภาระหน้าที่ทางภาษี
    4. บริการประมวลผลการชําระเงิน
    5. การวางแผนและการจัดการทางการเงิน
    6. การปฏิบัติตามข้อกําหนดและการรายงาน
  6. การดูแลการปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ
    1. การปฏิบัติตามข้อกําหนดของรัฐบาลกลาง
    2. การปฏิบัติตามข้อกําหนดของรัฐและท้องถิ่น
    3. การปฏิบัติตามข้อกําหนดขององค์กร
    4. การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานสหรัฐอเมริกา
    5. การปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านทรัพย์สินทางปัญญา
    6. ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านการรักษาความปลอดภัย
  7. ข้อพิจารณาด้านการตรวจคนเข้าเมืองและวีซ่า
    1. ประเภทของวีซ่าและกรีนการ์ด

มีการยื่นใบสมัครขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ 5.5 ล้านรายการในสหรัฐอเมริกาในปี 2023 ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ และการเติบโตของผู้ประกอบการดังกล่าวอาจเป็นประโยชน์กับผู้ไม่มีถิ่นพำนักในประเทศและชาวอเมริกัน บุคคลที่ไม่ใช่ผู้มีถิ่นพำนักหรือพลเมืองของสหรัฐอเมริกาสามารถจัดตั้งองค์กรธุรกิจอย่างเป็นทางการ เช่น บริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทจํากัด (LLC) ในสหรัฐอเมริกาได้โดยทําตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในคู่มือนี้ รายละเอียดเฉพาะของขั้นตอนนี้จะแตกต่างกันไปตามรัฐที่จดทะเบียนธุรกิจ และธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของรัฐบาลกลางและของรัฐทั้งหมด ซึ่งรวมถึงภาระหน้าที่ทางภาษีและการจัดทำเอกสารทางธุรกิจที่เหมาะสม การลงทะเบียนธุรกิจแบบผู้ไม่มีถิ่นพำนักมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น แต่ก็เป็นเป้าหมายที่สามารถทําได้

ด้านล่างนี้เราจะอธิบายขั้นตอนการจดทะเบียนธุรกิจในสหรัฐอเมริกา แบบผู้ไม่มีถิ่นพำนัก รวมถึงการตัดสินใจเลือกโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมและการรับมือกับข้อกําหนดด้านการตรวจคนเข้าเมืองและวีซ่า

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การเลือกโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสม
  • การเลือกรัฐเพื่อจดทะเบียนธุรกิจ
  • ขั้นตอนการจดทะเบียนและการปฏิบัติตามข้อกําหนด
  • การจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน
  • การดูแลการปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ
  • ข้อพิจารณาด้านการตรวจคนเข้าเมืองและวีซ่า

การเลือกโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสม

การเลือกโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกในการสร้างธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าสถานะการมีถิ่นพำนักของคุณจะเป็นแบบใดก็ตาม ตัวเลือกของคุณจะส่งผลต่อภาษี ข้อกําหนดด้านเอกสาร ความรับผิดส่วนบุคคล และความสามารถในการระดมทุน ขณะที่กำลังพิจารณาโครงสร้างธุรกิจแบบต่างๆ ผู้ไม่มีถิ่นพำนักควรพิจารณาถึงความสําคัญของการคุ้มครองสินทรัพย์ส่วนบุคคล ภาระหน้าที่ทางภาษี ข้อกําหนดด้านการบันทึกข้อมูล และมาตรฐานการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้วย ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจช่วยในการกําหนดโครงสร้างที่เหมาะสม ได้แก่ เงื่อนไขว่าคุณจําเป็นต้องระดมทุนหรือไม่และวัตถุประสงค์ระยะยาวในการทำธุรกิจของคุณคืออะไร

ต่อไปนี้เป็นภาพรวมเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กรประเภทหลักๆ ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงข้อสำคัญที่ควรพิจารณาสําหรับผู้ไม่มีถิ่นพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกา

LLC

LLC ให้การคุ้มครองความรับผิดส่วนบุคคล ซึ่งหมายความว่าสินทรัพย์ส่วนบุคคลมักจะได้รับการคุ้มครองในกรณีที่เป็นหนี้หรือคดีความทางธุรกิจ กิจการแบบ LLC มีข้อกําหนดการรายงานที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัท

  • การเก็บภาษี: โดยทั่วไปแล้ว LLC เป็นกิจการที่ "ส่งผ่าน" ในทางภาษี ซึ่งหมายความว่าตัวธุรกิจไม่ได้เป็นผู้จ่ายภาษี แต่ผลกําไรและขาดทุนจะส่งผ่านไปยังแบบแสดงรายการภาษีส่วนบุคคลของเจ้าของกิจการ ผู้ไม่มีถิ่นพำนักในประเทศต้องเผชิญกับความซับซ้อนด้านภาษี และอาจต้องยื่นแบบฟอร์มเฉพาะหรือเลือกให้พิจารณา LLC เป็นลักษณะอื่นเพื่อจุดประสงค์ทางภาษี

  • ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้ไม่มีถิ่นพํานัก: ความยืดหยุ่นและความคุ้มครองบริษัทจํากัด (LLC) ทําให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสําหรับผู้ไม่มีถิ่นพำนัก ไม่มีข้อกำหนดให้สมาชิกกิจการต้องเป็นพลเมืองหรือผู้มีถิ่นพํานักถาวรในสหรัฐอเมริกา

บริษัทประเภท C

บริษัทประเภท C คือนิติบุคคลแยกต่างหากจากเจ้าของและให้การคุ้มครองความรับผิดส่วนบุคคลในระดับสูงสุด บริษัทสามารถระดมทุนได้โดยการออกหุ้น และจําเป็นต้องมีคณะกรรมการบริษัทและจัดประชุมเป็นประจํา

  • การเก็บภาษี: บริษัทประเภท C ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ผลกําไรที่จ่ายเป็นเงินปันผลจะต้องเสียภาษีอีกครั้งในระดับของผู้ถือหุ้น ซึ่งนําไปสู่การเก็บภาษีซ้ำซ้อน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ไม่มีถิ่นพำนักเท่าใดนักในกรณีที่เลือกไม่รับเงินปันผลแล้วนำกำไรมาลงทุนในธุรกิจต่อ

  • ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้ไม่มีถิ่นพํานัก: ผู้ไม่มีถิ่นพำนักสามารถเป็นเจ้าของบริษัทประเภท C ได้ และไม่มีข้อกําหนดด้านถิ่นพํานักสําหรับกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ นี่เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณวางแผนที่จะนำกำไรมาลงทุนต่อหรือแสวงหาเงินร่วมลงทุน

บริษัทประเภท S

บริษัทประเภท S เป็นกิจการแบบส่งผ่านเหมือนกับ LLC แต่มีข้อกําหนดด้านโครงสร้างที่คล้ายกับบริษัทประเภท C

  • การเก็บภาษี: เงินได้ส่งผ่านไปยังแบบแสดงรายการภาษีส่วนบุคคลของผู้ถือหุ้น จึงไม่ต้องเสียภาษีซ้ําซ้อน

  • ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้ไม่มีถิ่นพํานัก: ผู้ไม่มีถิ่นพำนักจะต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทประเภท S ดังนั้นโดยปกติแล้วตัวเลือกนี้ใช้ไม่ได้กับเจ้าของธุรกิจที่เป็นผู้ไม่มีถิ่นพำนัก

ห้างหุ้นส่วน

กิจการแบบห้างหุ้นส่วนต้องมีเจ้าของตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ห้างหุ้นส่วนมีหลายประเภท ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนทั่วไป (GP) และห้างหุ้นส่วนจํากัด (LP)

  • การเก็บภาษี: กิจการประเภทนี้เป็นกิจการแบบส่งผ่าน ซึ่งผลกำไรและขาดทุนจะผ่านไปยังแบบแสดงรายการภาษีส่วนบุคคลของหุ้นส่วน

  • ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้ไม่มีถิ่นพํานัก: แม้ผู้ไม่มีถิ่นพำนักในประเทศจะเป็นหุ้นส่วนได้ แต่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบทางภาษีก็อาจซับซ้อนเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้างหุ้นส่วนทั่วไปซึ่งหุ้นส่วนเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินทางธุรกิจเป็นการส่วนตัว

กิจการเจ้าของคนเดียว

กิจการแบบนี้เป็นรูปแบบธุรกิจที่เรียบง่ายที่สุดซึ่งมีบุคคลเดียวเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดําเนินกิจการโดยไม่มีการแบ่งแยกระหว่างเจ้าของและธุรกิจ

  • การเก็บภาษี: การรายงานเงินได้ทำผ่านแบบแสดงรายการภาษีของเจ้าของ

  • ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้ไม่มีถิ่นพํานัก: โดยทั่วไปผู้ไม่มีถิ่นพํานักจะไม่สามารถจัดตั้งกิจการที่มีเจ้าของคนเดียวในสหรัฐอเมริกาเพราะเจ้าของต้องทํางานในธุรกิจ ซึ่งขัดแย้งกับกฎระเบียบเกี่ยวกับวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน

การเลือกรัฐเพื่อจดทะเบียนธุรกิจ

การเลือกสถานที่จดทะเบียนธุรกิจของคุณเป็นอีกขั้นตอนสําคัญ กฎหมาย ภาษี และข้อกําหนดทางธุรกิจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ต่อไปนี้คือปัจจัยที่ผู้ไม่มีถิ่นพำนักควรพิจารณาเมื่อเลือกรัฐสําหรับการจดทะเบียนธุรกิจ

  • การเก็บภาษี: รัฐบางแห่ง เช่น ไวโอมิง เนวาดา และเซาท์ดาโคตา เป็นที่รู้จักกันว่ามีนโยบายด้านภาษีที่น่าพอใจ ซึ่งอาจรวมถึงภาษีธุรกิจที่ต่ำกว่าหรือไม่มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้ในระดับรัฐ

  • ระบบกฎหมาย: พิจารณาว่าระดับความเป็นมิตรต่อธุรกิจของระบบกฎหมายของรัฐ ตัวอย่างเช่น เดลาแวร์ เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นมิตรต่อการทำธุรกิจ และเป็นมีตัวบทกฎหมายด้านธุรกิจที่มีรากฐานมั่นคง

  • ค่าธรรมเนียมการยื่นเอกสาร: อัตราค่าธรรมเนียมการยื่นจดทะเบียนครั้งแรกและค่าธรรมเนียมรายงานรายปีจะแตกต่างกันในแต่ละรัฐ

  • ภาษีการประกอบการ: บางรัฐมีการเรียกเก็บภาษีการประกอบการกับธุรกิจต่างๆ ตามขนาดและผลกําไรของธุรกิจคุณ ซึ่งอาจเป็นข้อพิจารณาที่สําคัญอีกข้อ

  • ที่ตั้งทางกายภาพหรือจุดเชื่อมโยง: ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะจดทะเบียนธุรกิจในรัฐใดก็ตาม การมีที่ตั้งทางกายภาพอาจทำให้เกิดภาระหน้าที่จากจุดเชื่อมโยงทางภาษีได้ หากธุรกิจของคุณต้องมีที่ตั้งทางกายภาพหรือวางแผนที่จะมีพนักงานในสหรัฐอเมริกา โปรดพิจารณาการวางแผนจัดการและค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานเหล่านั้นในรัฐต่างๆ

  • ความเป็นส่วนตัว: แต่ละรัฐมีการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวเจ้าของธุรกิจที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น รัฐไวโอมิงและเนวาดาไม่ได้กำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นหรือกรรมการบริษัท

  • การเข้าถึงตลาด: หากธุรกิจของคุณได้ตั้งเป้าหมายตลาดทางภูมิศาสตร์เอาไว้ ให้พิจารณาจดทะเบียนในสถานที่นั้นหรือในที่ใกล้เคียงเพื่อเข้าถึงตลาดและเพิ่มโอกาสในการสร้างเครือข่ายได้ดีขึ้น

  • การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ: การมีผู้ให้บริการด้านวิชาชีพต่างๆ ในพื้นที่ เช่น ด้านกฎหมายและบัญชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คุ้นเคยกับเจ้าของธุรกิจระหว่างประเทศก็เป็นปัจจัยสําคัญอีกข้อหนึ่ง

รัฐที่มีผู้นิยมจดทะเบียนธุรกิจ

  • เดลาแวร์: เดลาแวร์เป็นตัวเลือกยอดนิยมสําหรับธุรกิจทั้งในประเทศและธุรกิจต่างชาติ ศาลชานเซอรีของรัฐเดลาแวร์มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจ ซึ่งช่วยให้กระบวนการพิจารณาคดีมีความชัดเจนและคาดการณ์ได้

  • เนวาดาและไวโอมิง: รัฐเหล่านี้เป็นที่น่าสนใจในแง่นโยบายภาษีและการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวที่เอื้อต่อธุรกิจ

  • แคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก: แม้ว่ารัฐเหล่านี้จะไม่ได้ให้ประโยชน์สูงสุดในด้านภาษี แต่อาจเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะมีตลาดที่ใหญ่และเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกิจกรรมทางธุรกิจของคุณมีศูนย์กลางอยู่ที่นั่น

ขั้นตอนการจดทะเบียนและการปฏิบัติตามข้อกําหนด

สําหรับผู้ไม่มีถิ่นพำนัก การจดทะเบียนธุรกิจในสหรัฐอเมริกามีขั้นตอนทางกฎหมายและการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหลายขั้นตอน โดยต่อไปนี้คือขั้นตอนโดยย่อ

เลือกตัวแทนที่ได้รับการจดทะเบียน

ธุรกิจในสหรัฐอเมริกามีข้อกำหนดว่าต้องใช้ตัวแทนที่ได้รับการจดทะเบียน ตัวแทนนี้ทำหน้าาที่รับเอกสารทางกฎหมายและจดหมายที่ออกโดยรัฐบาลในนามของธุรกิจคุณ และต้องมีที่อยู่จริงในรัฐที่ธุรกิจของคุณจดทะเบียน

จดทะเบียนนิติบุคคลธุรกิจของคุณ

คุณจะต้องยื่นเอกสารเพื่อจดทะเบียนธุรกิจกับสํานักงานรับยื่นเอกสารทางธุรกิจของรัฐ ซึ่งแตกต่างกันไปตามโครงสร้างธุรกิจ เอกสารเหล่านี้ประกอบด้วยข้อบังคับของบริษัทสำหรับบริษัทหรือข้อบังคับขององค์กรสำหรับบริษัทจำกัด

ขอรับหมายเลขประจําตัวนายจ้าง

หมายเลขประจําตัวนายจ้าง (EIN) มีความจำเป็นเพื่อจุดประสงค์ทางภาษี การจ้างพนักงาน และเปิดบัญชีธนาคารของธุรกิจ ผู้ไม่มีถิ่นพำนักในสหรัฐอเมริกาสามารถขอรับ EIN ได้โดยกรอกแบบฟอร์ม IRS SS-4 และอาจต้องโทรติดต่อ IRS เพื่อดําเนินการให้เสร็จสิ้นตามขั้นตอน

ใบอนุญาตประกอบกิจการและใบอนุญาตต่างๆ

คุณอาจต้องขอใบอนุญาตเฉพาะและใบอนุญาตบางประเภทเพื่อดําเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทและที่ตั้งของธุรกิจนั้น

รายงานประจําปีและภาษีการประกอบการ

รัฐส่วนใหญ่กําหนดให้ธุรกิจต้องยื่นรายงานประจําปีและจ่ายภาษีการประกอบการ ข้อกําหนดแตกต่างในแต่ละรัฐและโครงสร้างธุรกิจ

ภาระหน้าที่ทางภาษีต่อรัฐบาลกลาง

เจ้าของธุรกิจที่ไม่มีถิ่นพํานักต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา ภาระหน้าที่ทางภาษีของธุรกิจคุณจะพิจารณาจากลักษณะกิจกรรมทางธุรกิจในสหรัฐอเมริกา โดยอาจได้รับผลกระทบจากสนธิสัญญาภาษีระหว่างประเทศภูมิลำเนาของคุณกับสหรัฐอเมริกาได้อีกด้วย

ภาระหน้าที่ทางภาษีต่อรัฐ

คุณอาจต้องจ่ายภาษีเงินได้ระดับรัฐ ภาษีขาย และภาษีเฉพาะรัฐประเภทอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรัฐที่คุณจดทะเบียนธุรกิจและลักษณะของธุรกิจคุณ หากธุรกิจของคุณดำเนินงานในรัฐใดอย่างมีนัยสำคัญ คุณอาจต้องชําระภาษีระดับรัฐแม้ว่าคุณจะไม่ได้จดทะเบียนที่นั่นก็ตาม คําจํากัดความของการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ

ธุรกรรมธนาคารและธุรกรรมทางการเงิน

การเปิดบัญชีธนาคารสําหรับธุรกิจในสหรัฐอเมริกาอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายสําหรับผู้ไม่มีถิ่นพำนัก เนื่องจากธนาคารหล่ายแห่งกำหนดให้ต้องมีที่อยู่ทางกายภาพในท้องถิ่น ธนาคารบางแห่งอาจอนุญาตให้คุณเปิดบัญชีจากทางไกล แต่มักจะต้องมีเอกสารประกอบและการยืนยันเพิ่มเติม พิจารณาระเบียบข้อบังคับด้านการธนาคารและการเงินที่บังคับใช้กับธุรกิจของคุณ รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีของบัญชีต่างชาติ(FATCA) และกฎหมายป้องกันการฟอกเงิน (AML)

การจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน

การจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินสําหรับธุรกิจในสหรัฐอเมริกามีองค์ประกอบสําคัญหลายอย่างที่ช่วยให้การปฏิบัติงานทางการเงินดําเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสหรัฐอเมริกา

การเปิดบัญชีธนาคารสําหรับธุรกิจในสหรัฐอเมริกา

หากต้องการเปิดบัญชีธุรกิจ โดยทั่วไปแล้วคุณต้องใช้หนังสือเดินทาง หลักฐานการจดทะเบียนธุรกิจ (เช่น ข้อบังคับของบริษัทหรือองค์กร) EIN และที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาในบางครั้ง ธนาคารบางแห่งอาจขอเอกสารประกอบเพิ่มเติม เมื่อเลือกธนาคาร ให้มองหาธนาคารที่มีประสบการณ์ด้านลูกค้าต่างประเทศ และสามารถให้การช่วยเหลือเกี่ยวกับการจ้ดทำบัญชีจากทางไกลได้หากคุณไม่สามารถเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาได้

การทําบัญชีและการลงบัญชี

การจัดทำบันทึกข้อมูลที่ดีมีความสําคัญต่อการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีและการจัดการทางการเงิน ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีเพื่อจัดการด้านการเงิน ติดตามรายรับและรายจ่าย และการเตรียมการสำหรับช่วงยื่นภาษี ตัวเลือกอย่างเช่น QuickBooks, Xero หรือ FreshBooks ได้รับความนิยมในหมู่ธุรกิจขนาดเล็ก ให้เก็บบันทึกธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดอย่างระมัดระวัง รวมถึงใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ รับเงิน และรายการเดินบัญชีธนาคาร

ภาระหน้าที่ทางภาษี

คุณจะต้องจ่ายภาษีระดับรัฐบาลกลางจากเงินได้ที่ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาของคุณได้รับ ภาระหน้าที่เฉพาะขึ้นอยู่กับโครงสร้างธุรกิจและการดําเนินงานของคุณ ควรรับทราบข้อกําหนดด้านภาษีของรัฐและท้องถิ่นให้ดี ซึ่งอาจรวมถึงภาษีเงินได้ ภาษีขาย และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ขึ้นอยู่กับที่ตั้งและกิจกรรมทางธุรกิจของคุณ สนธิสัญญาด้านภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศภูมิลำเนาของคุณอาจส่งผลกระทบต่อภาระหน้าที่ด้านภาษีของคุณด้วย ให้พิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจระหว่างประเทศ

บริการประมวลผลการชําระเงิน

เมื่อเลือกผู้ประมวลผลการชําระเงิน ให้พิจารณาค่าธรรมเนียมของผู้ประมวลผล ความสะดวกในการผสานการทํางานกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มการขายของคุณ และความสามารถในการจัดการกับธุรกรรมระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ด้วยStripe ธุรกิจสามารถประมวลผลธุรกรรมทางออนไลน์และที่จุดขายได้ Stripe เป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาดสําหรับผู้ไม่มีถิ่นพำนักในประเทศเนื่องจากช่วยให้ธุรกิจสามารถรับชําระเงินจากลูกค้าทั่วโลกได้และไม่กําหนดให้ธุรกิจต้องมีบัญชีผู้ค้าของตนเอง

การวางแผนและการจัดการทางการเงิน

จัดทํางบประมาณที่สรุปรายได้และค่าใช้จ่ายคาดการณ์เพื่อให้ธุรกิจของคุณมีสถานะทางการเงินที่ดี ตรวจสอบงบการเงินเป็นประจําเพื่อประเมินผลประกอบการทางการเงินของธุรกิจและตัดสินใจอย่างมีข้อมูล พิจารณาจัดตั้งเงินทุนสํารองเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดหรือความผันผวนของกระแสเงินสด

การปฏิบัติตามข้อกําหนดและการรายงาน

แนวทางปฏิบัติด้านการเงินของคุณต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของสหรัฐอเมริกา รวมถึงกฎหมาย AML และ FATCA คุณอาจต้องรายงานกิจกรรมทางการเงินบางรายการให้หน่วยงานต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต้องโยกย้ายเงินก้อนใหญ่ข้ามพรมแดน

การดูแลการปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ

ธุรกิจทั้งหมดที่ดําเนินงานในสหรัฐอเมริกาจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของรัฐบาลกลาง รัฐ และระดับท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงภาระหน้าที่ทางภาษี กฎหมายแรงงาน และมาตรฐานที่กํากับดูแลความรับผิดชอบขององค์กร การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และทรัพย์สินทางปัญญา คุณควรตรวจสอบการดําเนินงานของธุรกิจเป็นระยะเพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งอาจต้องมีการตรวจสอบด้วยตัวเองหรือการจ้างที่ปรึกษา ภาระหน้าที่ทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับสําหรับธุรกิจในสหรัฐอเมริกาสรุปได้ดังด้านล่างนี้

การปฏิบัติตามข้อกําหนดของรัฐบาลกลาง

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษี: ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับภาระหน้าที่ด้านภาษีต่อรัฐบาลกลาง รวมถึงภาษีเงินได้และภาษีการจ้างงาน ยื่นแบบรายการแสดงภาษีประจําปี และชําระภาษีประมาณการ

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนดของสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC): หากธุรกิจของคุณมีการซื้อขายหรือออกหลักทรัพย์ คุณจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของ SEC

  • ระเบียบข้อบังคับเฉพาะอุตสาหกรรม: คุณอาจต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเฉพาะอุตสาหกรรมของรัฐบาลกลาง (เช่น ระเบียบข้อบังคับที่กํากับดูแลอุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพ การเงิน หรืออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม) โดยขึ้นอยู่กับภาคธุรกิจของคุณ หากธุรกิจของคุณเกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการจัดการวัตถุที่เป็นอันตราย คุณจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของสํานักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA)

การปฏิบัติตามข้อกําหนดของรัฐและท้องถิ่น

  • รายงานประจําปี: รัฐส่วนใหญ่กําหนดให้ธุรกิจต้องยื่นรายงานประจําปีและจ่ายค่าธรรมเนียมการยื่น รายงานเหล่านี้จะช่วยให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันของธุรกิจคุณแก่รัฐ

  • ภาษีของรัฐ: ปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีเงินได้ ภาษีขาย และภาษีเงินเดือน ซึ่งอาจรวมถึงการยื่นและชําระภาษีรายไตรมาสหรือรายปี

  • ใบอนุญาต: ต่ออายุใบอนุญาตระดับรัฐหรือท้องถิ่นเพื่อให้ธุรกิจของคุณยังคงได้รับอนุญาตให้ดําเนินงานตามกฎหมาย

  • ระเบียบข้อบังคับเฉพาะรัฐ: โปรดระมัดระวังกฎหมายเฉพาะรัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณ เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายการจ้างงาน และระเบียบข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม

การปฏิบัติตามข้อกําหนดขององค์กร

  • การกํากับดูแลกิจการ: ดูแลให้มีแนวทางการกํากับดูแลองค์กรที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการจัดการประชุมประจำปี การจัดทํารายงานการประชุม และการปฏิบัติหน้าที่ตามข้อบังคับของกิจการหรือข้อตกลงในการดําเนินงาน

  • การบันทึกข้อมูล: เก็บบันทึกกิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมด ธุรกรรมทางการเงิน การดำเนินการด้านการปฏิบัติตามข้อกําหนด และการตัดสินใจที่ดําเนินการโดยผู้บริหาร

การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานสหรัฐอเมริกา

  • กฎหมายแรงงาน: หากคุณมีพนักงานในสหรัฐอเมริกา ให้ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานของรัฐบาลกลางและของรัฐเกี่ยวกับค่าแรง สภาพการทํางาน การไม่เลือกปฏิบัติ และสวัสดิการ

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านการตรวจคนเข้าเมืองสําหรับพนักงาน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนงานต่างชาติมีวีซ่าและใบอนุญาตทํางานที่เหมาะสม

การปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านทรัพย์สินทางปัญญา

  • การจดทะเบียน IP: จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตรของคุณในสหรัฐอเมริกาเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของคุณ ตรวจสอบและบังคับใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของคุณเป็นประจําเพื่อป้องกันการละเมิด

ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านการรักษาความปลอดภัย

ข้อพิจารณาด้านการตรวจคนเข้าเมืองและวีซ่า

ผู้ไม่มีถิ่นพำนักในสหรัฐอเมริกาที่ต้องการบริหารหรือทำงานในกิจการของตนในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นประจำต่อเนื่องต้องผ่านกระบวนการเกี่ยวกับระบบตรวจคนเข้าเมืองในสหรัฐอเมริกา ต่อไปนี้คือข้อควรพิจารณาสําคัญบางประการเกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมืองและวีซ่า:

  • ขั้นตอนการสมัครวีซ่า: ขั้นตอนการสมัครอาจซับซ้อนและแตกต่างกันไปตามประเภทของวีซ่า ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องยื่นคําร้อง เข้ารับการสัมภาษณ์ที่สถานทูตหรือสถานกงสุลในสหรัฐอเมริกา และแสดงเอกสารประกอบที่ครอบคลุมเกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุนของคุณ

  • นัยทางภาษี: ผู้ถือวีซ่าต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีของสหรัฐอเมริกาและอาจถือว่าเป็นผู้มีถิ่นพํานักในทางภาษี โดยขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา ควรทําความเข้าใจภาระหน้าที่ทางภาษีของคุณในฐานะผู้ถือวีซ่าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านกฎหมาย

  • การรักษาสถานะวีซ่า: ประเภทวีซ่าที่ต่างกันก็มีกิจกรรมที่อนุญาตให้ทำได้ต่างกัน การละเมิดเงื่อนไขของวีซ่าอาจทําให้คุณสูญเสียสถานะหรือถูกเพิกถอนวีซ่า

  • เส้นทางสู่สถานะผู้พำนักถาวร: วีซ่าบางประเภท เช่น EB-5 เป็นเส้นทางสู่สถานะผู้พำนักถาวรโดยตรง ส่วนวีซ่าประเภทอื่น รวมถึงวีซ่าประเภท E-2 จะไม่นำไปสู่การได้กรีนการ์ดโดยอัตโนมัติ แต่มีโอกาสทำให้เป็นไปได้ด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสถานะหรือการสนับสนุนโดยนายจ้าง

  • ผู้ติดตาม: พิจารณาตัวเลือกวีซ่าสําหรับผู้อยู่ในอุปการะ (เช่น คู่สมรสและบุตร) วีซ่าบางประเภทอาจอนุญาตให้ผู้อยู่ในอุปการะติดตามคุณมายังสหรัฐอเมริกา และในบางกรณี คู่สมรสของคุณอาจขอใบอนุญาตทำงานได้

ประเภทของวีซ่าและกรีนการ์ด

  • วีซ่าผู้มาเยือนทางธุรกิจประเภทชั่วคราว B-1: วีซ่าประเภท B-1 เป็นวีซ่าสําหรับผู้มาเยือนทางธุรกิจที่มาประชุมหรือเจรจาทําสัญญา ไม่อนุญาตให้ดําเนินธุรกิจหรือทำงานเป็นประจำต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา แต่เหมาะกับการมาเยือนระยะสั้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

  • วีซ่านักลงทุนตามสนธิสัญญา E-2: วีซ่าประเภท E-2 อนุญาตให้บุคคลทํางานในธุรกิจที่ตนได้ลงทุนจำนวนมากสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะไม่มีการกำหนดการลงทุนขั้นต่ํา แต่จํานวนเงินลงทุนควรเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับต้นทุนรวมในการซื้อหรือการจัดตั้งธุรกิจ วีซ่าประเภทนี้เปิดให้บุคคลจากประเทศที่สหรัฐอเมริกามีสนธิสัญญาการค้าและการเดินเรือยื่นขอได้

  • วีซ่าเพื่อการโยกย้ายภายในบริษัท L-1: วีซ่า L-1 อนุญาตให้มีการโอนย้ายผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือพนักงานที่มีความรู้เฉพาะทางไปยังสาขาในสหรัฐอเมริกาของธุรกิจที่ดําเนินงานในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ วีซ่า L-1A เป็นวีซ่าสำหรับผู้บริหารและผู้จัดการโดยเฉพาะ ส่วนวีซ่า L-1B เป็นวีซ่าสําหรับพนักงานที่มีความรู้เฉพาะทาง

  • วีซ่านักลงทุน EB-5: วีซ่า EB-5 เปลี่ยนสถานะนักลงทุนให้กลายเป็นผู้พํานักถาวรได้หากลงทุน 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 900,000 ดอลลาร์สหรัฐในพื้นที่การจ้างงานที่กําหนด) ในองค์กรธุรกิจใหม่ที่สร้างงานเต็มเวลาอย่างน้อย 10 ตำแหน่งให้กับคนงานในสหรัฐอเมริกา

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas