โมเดลค่าบริการแบบชําระเงินตามการใช้งาน (PAYG) จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามการใช้งานจริงแทนค่าธรรมเนียมคงที่หรือการสมัครใช้บริการ โมเดลนี้ (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าค่าบริการตามการใช้งาน) มักใช้สําหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS), บริการระบบคลาวด์, โทรคมนาคม และอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ซึ่งมีการปรับค่าใช้จ่ายตามการใช้งานแบบไดนามิก ในปี 2023 58% ของธุรกิจ SaaS รายงานว่าได้ปรับใช้หรือทดสอบการคิดค่าบริการตามการใช้งาน
ด้านล่างเราจะพูดถึงเหตุผลว่าทําไมธุรกิจต่างๆ จึงนําค่าบริการ PAYG มาใช้ รวมถึงผลกระทบที่มีต่อความเสถียรของรายรับ สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนนําไปใช้ และกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงโมเดลค่าบริการของตนได้
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- เหตุใดธุรกิจจึงคิดค่าบริการตามการใช้งาน
- ค่าบริการแบบจ่ายตามการใช้งานส่งผลต่อความเสถียรของรายรับอย่างไร
- ปัจจัยสําคัญที่ควรพิจารณาก่อนใช้การคิดค่าบริการแบบจ่ายตามการใช้งานมีอะไรบ้าง
- ความท้าทายหลักของโมเดลการชําระเงินตามการใช้งานคืออะไร
- กลยุทธ์ใดช่วยธุรกิจในการปรับปรุงการคิดค่าบริการตามการใช้งาน
ทําไมธุรกิจจึงคิดค่าบริการตามการใช้งาน
ธุรกิจเลือกใช้ค่าบริการแบบจ่ายตามการใช้งานเพราะสอดคล้องกับต้นทุนตามการใช้งาน ซึ่งทําให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสําหรับลูกค้าและสร้างความยืดหยุ่นในการสร้างรายรับ ข้อดีมีดังนี้
- ลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด: ลูกค้าสามารถเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการได้โดยไม่ต้องทำสัญญาที่มีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสูง 
- คุณค่าที่ชัดเจนสําหรับสิ่งที่จ่าย: PAYG ช่วยให้ลูกค้าชําระเงินสำหรับเฉพาะสิ่งที่ใช้เท่านั้น ซึ่งเหมาะสําหรับธุรกิจที่มีความต้องการผันแปร 
- ความสามารถในการขยาย: ธุรกิจสามารถให้บริการแก่ลูกค้าในวงกว้างตั้งแต่ผู้ใช้ขนาดเล็กไปจนถึงลูกค้าองค์กรได้โดยไม่ต้องแยกระดับค่าบริการ 
- การปรับปรุงรายรับ: ค่าบริการตามการใช้งานอาจทําให้มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้าสูงขึ้นโดยการเก็บรายรับเมื่อลูกค้าเติบโตขึ้นแทนที่จะต้องล็อกไว้กับแพ็กเกจแบบคงที่ 
- อัตราการเลิกใช้บริการลดลง: เนื่องจากลูกค้าไม่ได้ทําสัญญาแบบตายตัว PAYG จึงสามารถลดอัตราการเลิกใช้บริการที่เกิดจากการที่ลูกค้ารู้สึกว่ามีการเรียกเก็บค่าบริการสูงเกินไป 
- ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: ในอุตสาหกรรมที่ลูกค้ามีความอ่อนไหวต่อราคาหรือต้องการความยืดหยุ่น PAYG สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างดี 
- การจัดการกระแสเงินสดที่ดีขึ้น: ธุรกิจสามารถเชื่อมโยงรายรับกับค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานได้อย่างใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโมเดลที่ใช้ระบบคลาวด์หรือขับเคลื่อนด้วย API 
ค่าบริการแบบจ่ายตามการใช้งานส่งผลต่อความเสถียรของรายรับอย่างไร
การคิดค่าบริการแบบจ่ายตามการใช้งานอาจเพิ่มความผันผวนของรายรับ แต่หากจัดการได้ดี คุณก็สามารถเพิ่มรายรับในระยะยาวได้ ผลกระทบต่อความมั่นคงของรายรับมีดังนี้
ความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น
- กระแสรายรับที่แปรผัน: โมเดล PAYG มีรายรับที่ผันผวนตามการใช้งานของลูกค้า ซึ่งต่างจากโมเดลแบบสมัครใช้บริการที่ให้รายรับตามแบบแผนล่วงหน้าที่คาดการณ์ได้ 
- ความต้องการตามฤดูกาลหรือเป็นวงจร: ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนตามฤดูกาล (เช่น การประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ พลังงาน) อาจส่งผลให้มีรายรับเพิ่มขึ้นและลดลง 
- ความเสี่ยงในการเลิกใช้บริการของลูกค้า: เนื่องจากลูกค้าไม่ถูกผูกมัดด้วยสัญญา ลูกค้าจึงสามารถลดหรือหยุดการใช้งานได้ทุกเมื่อ ซึ่งอาจทําให้คาดการณ์รายรับได้ยากขึ้น 
- การคาดการณ์ทางการเงินที่ยากขึ้น: ธุรกิจจะต้องสร้างโมเดลการคาดการณ์ที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งพิจารณาจากความผันผวนของการใช้งาน 
ข้อได้เปรียบที่เป็นไปได้
- การรักษาลูกค้าที่สูงขึ้น: ความยืดหยุ่นของค่าบริการ PAYG สามารถลดความเสี่ยงของลูกค้าที่อาจยกเลิกไปเลย เนื่องจากพวกเขาสามารถปรับการใช้งานเพิ่มขึ้นหรือลดลงแทนได้ 
- โอกาสในการเพิ่มรายรับ: เมื่อลูกค้าเติบโตขึ้น การใช้งานก็เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะเพิ่มรายรับได้โดยธรรมชาติโดยไม่ต้องขายต่อยอดหรืออัปเกรดแพ็กเกจ 
- ฐานรายรับที่หลากหลาย: ธุรกิจที่ให้บริการลูกค้าในวงกว้างที่มีรูปแบบการใช้งานหลากหลายจะช่วยลดความผันผวนของรายรับให้เหลือน้อยที่สุด 
- โมเดลค่าบริการแบบไฮบริด: ธุรกิจหลายแห่งรวมค่าบริการ PAYG เข้ากับภาระผูกพันขั้นต่ําเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นกับความสามารถในการคาดการณ์รายรับ 
ปัจจัยสําคัญที่ควรพิจารณาก่อนใช้การคิดค่าบริการแบบจ่ายตามการใช้งานมีอะไรบ้าง
ก่อนที่จะใช้การคิดค่าบริการแบบชําระเงินตามการใช้งาน ให้ลองพิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ โมเดลนี้ช่วยให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นและสามารถเพิ่มการใช้งานได้มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่ก็มีความคาดเดาไม่ได้เกี่ยวกับรายรับของคุณและประสบการณ์ของลูกค้า สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนเปลี่ยนมีดังนี้
ความชื่นชอบของผู้บริโภค
- หากการใช้งานผลิตภัณฑ์ของคุณมีความผันผวนตามธรรมชาติ (เช่น การเรียก API, การจัดเก็บบนคลาวด์, การใช้พลังงาน) ค่าบริการ PAYG ก็อาจเหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่ถ้าลูกค้าต้องการต้นทุนคงที่ ก็อาจไม่เหมาะสมนัก 
- หากคู่แข่งใช้โมเดล PAYG ลูกค้าอาจคาดหวังจากคุณด้วย แต่หากลูกค้าไม่ได้คาดหวัง คุณจะต้องให้ความรู้พวกเขาเกี่ยวกับข้อดีของค่าบริการแบบนี้ 
ความมั่นคงของรายได้และผลกระทบทางการเงิน
- หากมีการใช้งานน้อยเกินไป คุณอาจมีปัญหากับความผันผวนของรายรับ ธุรกิจบางแห่งบรรเทาปัญหานี้โดยการรวมค่าบริการ PAYG เข้ากับการทำสัญญาหรือระดับการใช้จ่ายขั้นต่ํา 
- รายรับจะมีความคงที่สำหรับการชําระเงินตามรอบบิล แต่ด้วยโมเดล PAYG รายรับจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามความต้องการของลูกค้า หากค่าใช้จ่ายของคุณส่วนใหญ่เป็นแบบคงที่ การใช้งานที่ลดลงอาจทำให้คุณได้กำไรน้อยลง 
- ค่าบริการแบบ PAYG ช่วยให้ลูกค้าเริ่มจากเล็กๆ และขยายขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าตลอดอายุการใช้งาน แต่หากลูกค้าปรับแต่งการใช้งานให้เหมาะสมอยู่เสมอเพื่อชําระเงินให้น้อยที่สุด คุณอาจได้รับรายรับต่ํากว่าที่คุณจะได้เมื่อใช้โมเดลการสมัครใช้บริการแบบคงที่ 
ค่าใช้จ่ายและโครงสร้างค่าบริการ
- หากการใช้งานแต่ละหน่วยมีค่าใช้จ่ายสำหรับคุณ ค่าบริการ PAYG จะช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้ แต่หากค่าใช้จ่ายของคุณคงที่เป็นส่วนใหญ่ คุณอาจทําเงินน้อยกว่าการใช้โมเดลแบบสมัครใช้บริการ 
- คุณต้องระบุวิธีที่ชัดเจนในการติดตามการใช้งาน (เช่น ต่อการเรียก API, ต่อกิกะไบต์, ต่อธุรกรรม) ยิ่งลูกค้าเข้าใจง่ายเท่าใด คุณก็มีข้อโต้แย้งในการเรียกเก็บเงินที่ต้องแก้ไขน้อยลงเท่านั้น 
- ส่วนลดตามปริมาณหรือแผนชําระเงินล่วงหน้าสามารถช่วยให้ผู้ใช้ที่มีปริมาณการใช้งานสูงได้รับความพึงพอใจและกระตุ้นให้ใช้งานเพิ่มขึ้นอีก การเพิ่มค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องอาจทําให้ลูกค้ารายใหญ่รู้สึกเหมือนได้รับดีลที่แย่กว่า 
ประสบการณ์และการรักษาลูกค้า
- โมเดล PAYG ที่ดีที่สุดช่วยให้การกําหนดราคามีความยุติธรรม โดยลูกค้าจ่ายเงินสําหรับสิ่งที่ใช้และไม่รู้สึกเสียเปรียบเมื่อมีการขยับขยาย อย่างไรก็ตาม หากลูกค้ารู้สึกประหลาดใจกับการเรียกเก็บเงินที่มียอดสูง อาจจะมีการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าเกิดขึ้น 
- หากการใช้งานประเมินได้ยาก ลูกค้าอาจลังเลที่จะทำสัญญาหรือรู้สึกไม่พอใจเมื่อใบเรียกเก็บเงินมียอดผันผวน แดชบอร์ดการใช้งาน การแจ้งเตือน หรือเครื่องมือกําหนดงบประมาณจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ 
- ลูกค้าอาจต้องการคําแนะนําเพื่อควบคุมการใช้งานของตน โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่ม หากไม่มีการสนับสนุนนี้ ลูกค้าอาจลดการใช้จ่ายหรือเลิกใช้บริการไปเลย 
ความพร้อมในการปฏิบัติงาน
- ค่าบริการแบบ PAYG ต้องมีการติดตามแบบเรียลไทม์ การออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ และการจัดการการโต้แย้งการชําระเงิน หากการตั้งค่าการเรียกเก็บเงินไม่พร้อม ทีมของคุณอาจพบงานที่หนักหน่วงในภายหลัง 
- การฉ้อโกง การใช้จ่ายเกินโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือค่าใช้จ่ายสูญเปล่า (เช่น แอปเรียก API โดยไม่คาดคิด) อาจทําให้เกิดปัญหาต่อลูกค้าและทำให้คุณสูญเสียรายรับ 
- การใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นดีสําหรับรายรับ เว้นแต่ว่าระบบของคุณจะรับมือไม่ได้ คุณจะต้องมั่นใจในประสิทธิภาพการทํางานที่แข็งแกร่งแม้เมื่อความต้องการผันผวน 
ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับการขายและการตลาด
- ค่าบริการแบบ PAYG สามารถลดระยะเวลาวงจรการขายได้โดยการลดภาระในการทำสัญญาล่วงหน้า แต่ก็หมายความว่าลูกค้าอาจใช้เวลานานขึ้นในการเพิ่มยอดการใช้จ่าย ฝ่ายขายของคุณอาจต้องใช้วิธีอื่น 
- หากลูกค้าไม่เข้าใจว่าการใช้งานเชื่อมโยงกับค่าใช้จ่ายอย่างไร พวกเขาอาจลังเลที่จะทำสัญญา 
- โมเดล PAYG ทําให้ธุรกิจของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น แต่ถ้าคู่แข่งยึดลูกค้าไว้ด้วยการชําระเงินตามรอบบิล คุณอาจต้องใช้อย่างอื่นในการสร้างความแตกต่าง 
ความท้าทายหลักของโมเดลการชําระเงินตามการใช้งานคืออะไร
การคิดค่าบริการแบบจ่ายตามการใช้งานถือเป็นวิธีที่ดีในการดึงดูดลูกค้า กระตุ้นการใช้งาน และขยายธุรกิจตามความต้องการ แต่ก็ยังมีความท้าทาย รวมถึงรายรับที่ผันผวนและพฤติกรรมของลูกค้าที่คาดเดาได้ยากอีกด้วย Stripe ซึ่งมีชุดผลิตภัณฑ์สำหรับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ช่วยแก้ปัญหามากมายเหล่านี้ได้ นี่คือสิ่งที่คุณต้องคอยดูและวิธีที่ Stripe ทําให้การจัดการค่าบริการ PAYG ง่ายขึ้น
ความผันผวนของรายรับ
รายได้จากโมเดล PAYG จะเพิ่มขึ้นและลดลงตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งแตกต่างจากการชําระเงินตามรอบบิล ซึ่งช่วยให้คาดการณ์กระแสเงินสดและงบประมาณเพื่อการเติบโตได้ยากขึ้น
Stripe ช่วยเหลือคุณดังนี้
- Stripe Billing มีฟีเจอร์การคาดการณ์ที่ช่วยประมาณการประสิทธิภาพในธุรกิจ 
- การรายงานขั้นสูงจะช่วยให้คุณคาดการณ์แนวโน้มการใช้งานของลูกค้าได้ 
- Stripe ทําให้การรวมค่าบริการแบบ PAYG เข้ากับภาระผูกพันขั้นต่ําหรือเครดิตเติมเงินได้ง่าย เพื่อให้มีความผันผวนน้อยลง 
การเรียกเก็บเงินที่ไม่คาดคิด
หากลูกค้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็อาจรู้สึกไม่พอใจเมื่อมีใบเรียกเก็บเงินที่มียอดสูง หรืออาจระมัดระวังเป็นอย่างมากและจํากัดการใช้งาน ผลลัพธ์ทั้งสองนี้ไม่เป็นผลดีกับการรักษาลูกค้าและรายรับ
Stripe ช่วยเหลือคุณดังนี้
- เครื่องมือการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานช่วยให้ธุรกิจเรียกเก็บเงินอย่างโปร่งใสตามการใช้งานจริง 
- การแจ้งเตือนเกณฑ์จะป้องกันไม่ให้มีการเรียกเก็บเงินโดยไม่คาดคิดด้วยการแจ้งลูกค้าก่อนที่จะถึงระดับการใช้งานที่ตั้งไว้ 
- แดชบอร์ด Stripe ช่วยให้ลูกค้าติดตามการใช้งานได้แบบเรียลไทม์ ลูกค้าจึงรู้สึกควบคุมได้มากขึ้น 
การติดตามการใช้งานและค่าบริการ
โมเดล PAYG ทำให้คุณต้องติดตามการใช้งานทุกหน่วย (เช่น การเรียก API, การจัดเก็บข้อมูล, ธุรกรรม) และแปลงเป็นตัววัดเพื่อการเรียกเก็บเงินที่ยุติธรรมและเข้าใจง่าย หากกระบวนการนี้ทำให้เกิดความสับสนหรือไม่ถูกต้อง คุณน่าจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้จากลูกค้า
Stripe ช่วยเหลือคุณดังนี้
- API การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานของ Stripe ทําให้ระบบวัดและเรียกเก็บเงินโดยอัตโนมัติ ธุรกิจจึงไม่ต้องสร้างระบบที่ซับซ้อนเองตั้งแต่ต้น 
- Stripe ให้ธุรกิจเลือกโมเดลค่าบริการที่ยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถเรียกเก็บเงินต่อหน่วย ตามช่วงเวลาที่เรียกเก็บซ้ํา หรือตามปริมาณการใช้งาน 
การเลิกใช้บริการของลูกค้า
การชําระเงินตามรอบบิลสร้างรายรับที่คาดการณ์ได้ เนื่องจากลูกค้าให้สัญญาล่วงหน้าว่าจะใช้บริการในระยะเวลาที่กำหนด แต่สำหรับโมเดล PAYG ลูกค้าสามารถลดการใช้งานหรือเลิกใช้งานได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ซึ่งช่วยให้การรักษาลูกค้าเป็นเรื่องที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น
Stripe ช่วยเหลือคุณดังนี้
- รางวัลจูงใจและส่วนลดตามปริมาณกระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายต่อไป 
- ตัวเลือกการชําระเงินตามรอบบิลแบบไฮบริดสร้างความสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นกับความมั่นคง โดยช่วยให้ธุรกิจสามารถรวมการคิดค่าบริการแบบ PAYG เข้ากับภาระผูกพันขั้นพื้นฐานได้ 
การชําระเงินไม่สําเร็จ
เมื่อใช้โมเดล PAYG ใบแจ้งหนี้จะมีความผันผวนและการชําระเงินจะไม่คาดการณ์ได้เสมอไป ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของธุรกรรมที่ไม่สําเร็จและการชําระเงินที่ล่าช้า
Stripe ช่วยเหลือคุณดังนี้
- Smart Retries จะลองดําเนินการกับการชําระเงินที่ไม่สําเร็จซ้ําโดยอัตโนมัติในช่วงเวลาที่มีโอกาสสูงสุดที่จะสําเร็จ 
- ตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลายช่วยให้ลูกค้าชําระเงินได้ง่ายขึ้น 
- การแจ้งเตือนใบแจ้งหนี้อัตโนมัติจะช่วยป้องกันความล่าช้าที่ไม่จําเป็นและการสูญเสียรายรับ 
การฉ้อโกงและการใช้งานที่ละเมิด
เมื่อไม่มีค่าบริการคงที่ ลูกค้าบางรายอาจพยายามโกงระบบโดยการใช้งานสะสมเป็นจำนวนมากโดยที่ตนไม่สามารถหรือจะไม่จ่ายเงิน
Stripe ช่วยเหลือคุณดังนี้
- Stripe Radar จะตรวจหาธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์และบล็อกการชําระเงินที่มีความเสี่ยงสูง 
- ขีดจำกัดการใช้งานและตัวเลือกการชําระเงินล่วงหน้าช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดให้ต้องใส่เงินในยอดคงเหลือไว้ล่วงหน้าหรือจำกัดการใช้งานก่อนที่จะไม่สามารถควบคุมการเรียกเก็บเงินที่ค้างชำระได้ 
กลยุทธ์ใดช่วยธุรกิจในการปรับปรุงการคิดค่าบริการตามการใช้งาน
การคิดค่าบริการแบบจ่ายตามการใช้งานนั้นยืดหยุ่น แต่ต้องมีการจัดโครงสร้างอย่างระมัดระวังเพื่อเพิ่มรายรับให้สูงสุดและช่วยให้ลูกค้าเริ่มต้นใช้งานได้ หากลูกค้ารู้สึกว่าไม่สามารถคาดเดาค่าบริการได้ พวกเขาอาจลังเลที่จะทำสัญญาหรืออาจเลิกใช้บริการไปเลย หากเข้มงวดเกินไป คุณจะเสียข้อดีของค่าบริการแบบ PAYG กลยุทธ์ที่ดีที่สุดจะหาจุดสมดุลระหว่างความยืดหยุ่น ความสามารถในการคาดการณ์ และรางวัลจูงใจให้เกิดการใช้งานที่สูงขึ้น ต่อไปนี้คือวิธีที่ธุรกิจสามารถปรับปรุงโมเดล PAYG เพื่อการเติบโตและความมั่นคง
ใช้ส่วนลดเพื่อให้รางวัลแก่การเติบโต
ลูกค้าจะอยากใช้จ่ายมากขึ้นหากทราบว่าตนจะได้จ่ายน้อยลงต่อหน่วยเมื่ออยู่ในระดับการใช้งานที่สูงขึ้น หากไม่มีรางวัลจูงใจนี้ ลูกค้าอาจต้องลดปริมาณการใช้งานลง ซึ่งจะจํากัดรายรับ ทดลองด้วย:
- ค่าบริการแบบแบ่งระดับ: เรียกเก็บเงินต่อหน่วยน้อยลงเมื่อลูกค้าใช้งานมากขึ้น (เช่น การเรียก API พันครั้งแรกมีราคาครั้งละ 0.10 ดอลลาร์ แต่อีกหมื่นครั้งต่อไปจะมีราคาครั้งละ 0.08 ดอลลาร์) 
- ส่วนลดเมื่อใช้จำนวนมาก: เสนอเครดิตแบบเติมเงินในอัตราที่ต่ําลง (เช่น เมื่อซื้อ 100 ดอลลาร์ จะได้ใช้บริการมูลค่า 120 ดอลลาร์) 
- แผนประหยัดด้วยการทำสัญญา: ให้ลูกค้าทำสัญญาใช้จ่ายขั้นต่ําเพื่อแลกกับอัตราที่ต่ําลง นี่จะเป็นเหตุผลให้พวกเขาใช้บริการต่อเนื่อง 
- สิทธิประโยชน์สำหรับความภักดีตามการใช้งาน: ลองใช้โมเดลที่ลูกค้าได้รับประโยชน์เมื่อใช้บริการมากขึ้น (เช่น การสนับสนุนแบบเร่งด่วน การผสานการทํางานที่ออกแบบเอง) 
กําหนดภาระผูกพันขั้นต่ําเพื่อให้คาดการณ์ได้
รายรับ PAYG มีความผันผวน ซึ่งทําให้กระแสเงินสดคาดการณ์ได้ยาก สัญญาพื้นฐานขนาดเล็กจะช่วยลดปัญหานี้ได้ คุณสามารถลอง:
- กําหนดให้ใช้จ่ายขั้นต่ํารายเดือน แม้ว่าการใช้งานจะอยู่ในระดับต่ําก็ตาม 
- เสนอค่าบริการ PAYG ต่อยอดจากการชําระเงินตามรอบบิลพื้นฐาน 
- รวมค่าบริการ PAYG เข้ากับแพ็กเกจเติมเงิน เพื่อให้ลูกค้าชําระเงินล่วงหน้าและดึงเงินจากยอดคงเหลือของตัวเอง 
แสดงข้อมูลการใช้งานแบบเรียลไทม์
การให้ลูกค้าติดตามการใช้จ่ายได้แบบเรียลไทม์ช่วยให้พวกเขาควบคุมธุรกิจได้มากขึ้นและลดแนวโน้มที่ลูกค้าจะลดปริมาณการใช้งานหรือเลิกใช้บริการเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่คาดเดาไม่ได้ มอบสิ่งต่อไปนี้ให้ลูกค้า
- แดชบอร์ดแบบเรียลไทม์ที่แสดงการใช้งานแบบเรียลไทม์และค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ 
- การแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อมีการใช้งานเกินเกณฑ์ที่กําหนด (เช่น "คุณใช้ไป 80% ของขีดจำกัดรายเดือนแล้ว") 
- เครื่องมือจัดทํางบประมาณที่อนุญาตให้ตั้งขีดจํากัดหรือเติมเงินเข้ายอดคงเหลือโดยอัตโนมัติ 
เชื่อมโยงค่าใช้จ่ายกับคุณค่าโดยตรง
ค่าบริการที่คิดตามการใช้งานเพียงอย่างเดียวอาจทำให้รู้สึกเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยน การแทรกองค์ประกอบที่เน้นคุณค่าเข้าไปจะทําให้การคิดค่าบริการดูยุติธรรมมากขึ้นและช่วยเพิ่มผลกำไร ต่อไปนี้คือตัวอย่าง
- ระดับตามฟีเจอร์: แทนที่จะเรียกเก็บเงินเฉพาะสําหรับการใช้งาน ให้รวมฟีเจอร์ระดับพรีเมียมที่การใช้จ่ายระดับต่างๆ 
- ค่าบริการตามผลลัพธ์: เรียกเก็บเงินตามผลลัพธ์ที่ลูกค้าได้รับแทนที่จะคิดตามการใช้งานเพียงอย่างเดียว 
ใช้ฟรีเมียมหรือกระบวนการเริ่มต้นใช้งานแบบทดลองใช้
ลูกค้าจะยินดีทดลองใช้การคิดค่าบริการ PAYG มากขึ้นหากสามารถเริ่มได้ฟรีหรือมีความเสี่ยงต่ํา คุณอาจดำเนินการต่อไปนี้ได้
- เสนอบริการระดับฟรีโดยมีการใช้งานแบบจํากัด และกระตุ้นให้ลูกค้าใช้แพ็กเกจแบบชําระเงินเมื่อเห็นคุณค่าเป็นรูปธรรม 
- ให้เครดิตใช้งานล่วงหน้าแทนช่วงทดลองใช้งานแบบคงที่ (เช่น "ใช้งานฟรีสำหรับ 50 ดอลลาร์แรก") 
รวมเข้ากับตัวเลือกค่าบริการที่คาดการณ์ได้มากกว่า
หากลูกค้าเพิ่มปริมาณการใช้งานอย่างกะทันหัน การเรียกเก็บเงินที่มียอดสูงอย่างไม่คาดคิดอาจส่งผลให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้บริการคู่แข่งซึ่งมีการกําหนดราคาที่คาดการณ์ได้มากกว่า วิธีหลีกเลี่ยงปัญหานี้
- เสนอขีดจำกัดการใช้งานเพื่อให้ลูกค้าเลือก "การบังคับหยุด" เมื่อถึงระดับการใช้จ่ายที่กำหนด 
- ให้การควบคุมการจํากัดอัตราเพื่อให้ลูกค้าลดการใช้งานก่อนที่จะมีการเรียกเก็บเงินสะสมเป็นยอดสูง 
- สร้างส่วนลดที่ปรับขนาดอัตโนมัติ ลูกค้าจึงไม่ต้องเสียเปรียบเมื่อใช้งานมากขึ้น 
การเรียกเก็บเงินอัตโนมัติเพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ดียิ่งขึ้น
หากใบแจ้งหนี้ไม่สอดคล้องกันหรือมีการชําระเงินไม่สําเร็จบ่อยครั้ง ลูกค้าอาจต้องระมัดระวังในการทํางานร่วมกับคุณ การเรียกเก็บเงินอัตโนมัติช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้ การเรียกเก็บเงินอัตโนมัติจะช่วยให้คุณทําต่อไปนี้ได้
- เรียกเก็บเงินโดยอัตโนมัติแทนการออกใบแจ้งหนี้ด้วยตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้มีการชําระเงินล่าช้า 
- ใช้ตรรกะการลองซ้ําที่ชาญฉลาดเพื่อลดจํานวนธุรกรรมที่ไม่สําเร็จ 
- ยอมรับวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต การโอนเงินผ่านธนาคารอัตโนมัติ (ACH) และการโอนเงินระหว่างธนาคาร 
กระตุ้นให้เพิ่มการใช้งานด้วยการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องและส่วนเสริม
ผู้ใช้ PAYG มักจะเริ่มจากขนาดเล็ก แต่ความต้องการของพวกเขาอาจโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป โมเดลค่าบริการที่ออกแบบมาอย่างดีจะกระตุ้นให้พวกเขาใช้จ่ายมากขึ้น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมมากขึ้นด้วยสิ่งต่อไปนี้
- ฟีเจอร์ส่วนเสริมที่ช่วยเพิ่มการใช้งาน (เช่น การวิเคราะห์ขั้นสูง การสนับสนุนระดับพรีเมียม) 
- ชุดผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่ขยายการใช้งานของลูกค้าผ่านบริการต่างๆ 
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ