คำอธิบายเกี่ยวกับ Open Banking API: คืออะไรและทํางานอย่างไร

Connect
Connect

แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก รวมทั้ง Shopify และ DoorDash ต่างก็ใช้ Stripe Connect ในการผสานรวมการชำระเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. Open Banking API ทํางานอย่างไร
  3. นักพัฒนาใช้ Open Banking API ทําอะไรได้บ้าง
  4. เหตุใด Open Banking API จึงสําคัญ
  5. ประโยชน์ของ Open Banking API
    1. ลูกค้า
    2. ธุรกิจ
    3. สถาบันการเงิน
  6. วิธีปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงินด้วย Open Banking API
    1. การตรวจสอบสิทธิ์และการอนุมัติ
    2. การเข้ารหัสข้อมูล
    3. ความปลอดภัยของ API
    4. การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยและการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนด
    5. การเข้าถึงข้อมูล
    6. การติดตามตรวจสอบและการตรวจจับความผิดปกติ

อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) Open Banking เป็นเกตเวย์ดิจิทัลที่ช่วยให้นักพัฒนาบุคคลที่สามสร้างแอปพลิเคชันและบริการเกี่ยวกับระบบของสถาบันการเงินได้ เทคโนโลยีนี้มีความสำคัญสำหรับ Open Banking ซึ่งเป็นโมเดลที่ส่งเสริมความโปร่งใสและการเข้าถึงในภาคธุรกิจการเงินมากขึ้นด้วยการแชร์ข้อมูลด้วยวิธีการที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานโดยได้รับอนุญาตจากลูกค้า มูลค่าธุรกรรมผ่าน Open Banking ทั่วโลกสูงถึง 57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสําคัญของ API เหล่านี้และการชําระเงินที่สามารถทำได้ด้วย API ดังกล่าว

ด้านล่างนี้เราจะอธิบายว่า Open Banking API ทํางานอย่างไร นักพัฒนาใช้ทําอะไรได้บ้าง ความสําคัญ ข้อดี และวิธีปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงินด้วย API เหล่านี้

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • Open Banking API ทํางานอย่างไร
  • นักพัฒนาใช้ Open Banking API ทำอะไรได้บ้าง
  • เหตุใด Open Banking API จึงสําคัญ
  • ประโยชน์ของ Open Banking API
  • วิธีปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงินด้วย Open Banking API

Open Banking API ทํางานอย่างไร

Open Banking API สร้างช่องทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างธนาคารกับผู้ให้บริการที่เป็นบริษัทอื่น (TPP) ที่เป็นมาตรฐานและปลอดภัย กระบวนการนี้จะช่วยให้มั่นใจว่ามีเพียงบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปตามกรอบข้อบังคับ เช่น คําสั่งว่าด้วยบริการชําระเงินฉบับปรับปรุง (PSD2) ในยุโรปและสิทธิ์ข้อมูลผู้บริโภคในออสเตรเลีย นี่คือการทํางานของ API เหล่านี้

  • การสร้างมาตรฐาน: Open Banking API ใช้ชุดโปรโตคอลและรูปแบบข้อมูลที่มีมาตรฐานทั่วทั้งอุตสาหกรรมการธนาคาร สิ่งนี้ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถโต้ตอบกับธนาคารหลายรายได้ง่ายขึ้นโดยไม่จําเป็นต้องปรับแต่งการผสานการทํางานให้เหมาะสมกับแต่ละธนาคาร

  • การอนุมัติและการตรวจสอบสิทธิ์: ลูกค้าจะต้องอนุญาตให้ TPP เข้าถึงข้อมูลของตัวเองก่อน โดยปกติแล้วลูกค้าจะดําเนินการผ่านขั้นตอนการอนุมัติแบบเปิด (OAuth) เข้าสู่ระบบบัญชีธนาคาร และให้สิทธิ์ TPP เข้าถึงข้อมูลของตน กระบวนการนี้ช่วยรับรองว่า TPP ได้รับความยินยอมให้เข้าถึงข้อมูล เป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของลูกค้า

  • การดึงข้อมูล: เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว TPP จะใช้ API เป็นสะพานกับเซิร์ฟเวอร์ของธนาคารเพื่อดึงข้อมูล เช่น ยอดคงเหลือบัญชีและประวัติธุรกรรมจากฐานข้อมูลของธนาคารได้

  • การใช้งานข้อมูล: TPP สามารถใช้ข้อมูลที่ดึงมาเพื่อให้บริการต่างๆ เช่น เครื่องมือจัดการทางการเงิน คําแนะนําทางการเงินส่วนบุคคล และบริการชําระเงิน ตัวอย่างเช่น แอปจัดงบประมาณอาจใช้ข้อมูลธุรกรรมเพื่อช่วยผู้ใช้ติดตามการใช้จ่ายและค้นหาโอกาสในการออม

  • มาตรการรักษาความปลอดภัย: โปรโตคอลความปลอดภัยที่เข้มงวดของ Open Banking API จะปกป้องข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อน มาตรการเหล่านี้ประกอบด้วยการเข้ารหัส แนวทางการเขียนโค้ดที่ปลอดภัย และการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจํา ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการละเมิดข้อมูลและปกป้องข้อมูลของลูกค้าได้

นักพัฒนาใช้ Open Banking API ทําอะไรได้บ้าง

นักพัฒนาสามารถใช้ Open Banking API สร้างแอปพลิเคชันและบริการทางการเงินที่หลากหลายซึ่งขับเคลื่อนโซลูชันทางการเงินที่ล้ํานวัตกรรม ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ และทําให้การดําเนินธุรกิจง่ายขึ้นได้ นี่คือผลิตภัณฑ์และบริการบางส่วนที่เป็นไปได้โดย API เหล่านี้

  • เครื่องมือจัดการทางการเงินส่วนบุคคล: นักพัฒนาสามารถสร้างแอปที่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการการเงินของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย Open Banking API เครื่องมือเหล่านี้สามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายบัญชีเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ตั้งเป้าหมายงบประมาณ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีประหยัดเงิน

  • บริการที่เริ่มต้นการชําระเงิน: Open Banking API ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปที่เริ่มต้นการชําระเงินได้จากบัญชีธนาคารของผู้ใช้โดยตรง แอปเหล่านี้ทำให้ไม่ต้องใช้ระบบการชําระเงินแบบเดิมๆ เช่น บัตรเครดิต เพื่ออํานวยความสะดวกสําหรับธุรกรรมที่รวดเร็วขึ้น ถูกลง และปลอดภัยยิ่งขึ้น

  • บริการให้คะแนนเครดิตและให้กู้ยืม: เมื่อสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินแบบละเอียดจาก Open Banking API นักพัฒนาจะสามารถสร้างโมเดลการให้คะแนนเครดิตที่แม่นยํายิ่งขึ้นและบริการให้กู้ยืมส่วนบุคคลได้มากขึ้น ซึ่งนําไปสู่การอนุมัติเงินกู้ที่รวดเร็วขึ้นและอัตราเงินกู้ที่ออกแบบเองได้มากขึ้น

  • บริการรวบรวมบัญชี: นักพัฒนาสามารถใช้ Open Banking API เพื่อสร้างบริการที่รวบรวมข้อมูลจากบัญชีธนาคารและบัญชีการเงินต่างๆ ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เห็นมุมมองสถานะทางการเงินของตัวเองโดยรวม เพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจ

  • การตรวจจับการฉ้อโกง: การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมจาก Open Banking API ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างอัลกอริทึมที่ซับซ้อนเพื่อตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติและอาจเป็นการฉ้อโกงได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ธุรกรรมทางการเงิน

  • แพลตฟอร์มการลงทุนและการออม: แพลตฟอร์มการลงทุนอัตโนมัติหรือที่ปรึกษาด้านการเงินที่พัฒนาผ่าน Open Banking API สามารถให้คําแนะนําด้านการลงทุนที่ปรับแต่งได้ตามข้อมูลทางการเงินและการยอมรับความเสี่ยงของผู้ใช้

  • การธนาคารแบบมาร์เก็ตเพลส: นักพัฒนาสามารถสร้างแพลตฟอร์มที่ผู้ให้บริการทางการเงินหลายรายนําเสนอผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ใช้โดยตรง จากนั้นผู้ใช้เหล่านี้จะเปรียบเทียบและเลือกบริการต่างๆ เช่น ประกันภัย เงินกู้ และบัญชีออมทรัพย์ได้

  • โซลูชันการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: นักพัฒนาสามารถใช้ Open Banking API เพื่อช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมาย เช่น การตรวจสอบตามข้อกําหนดด้านการต่อต้านการฟอกเงิน (AML) และการตรวจสอบตามข้อกําหนดด้านการรู้จักลูกค้าของคุณ (KYC)

เหตุใด Open Banking API จึงสําคัญ

Open Banking API ได้พลิกโฉมประสบการณ์ของผู้ใช้และการทำงานแบ็กเอนด์ในบริการธนาคาร นี่คือตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงและผลที่ได้จาก API เหล่านี้

  • การแข่งขัน: API ช่วยให้ธนาคารสามารถแชร์ระบบและข้อมูลกับนักพัฒนาบุคคลที่สาม บริษัทเทคโนโลยีการเงิน และสถาบันการเงินอื่นๆ ได้ ทําให้ผู้มีบทบาทจํานวนมากขึ้นสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ ต่อยอดจากระบบธนาคารที่มีอยู่เดิมได้ ในท้ายที่สุด การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าด้วยการให้ทางเลือกมากขึ้นซึ่งมีการปรับแต่งมากขึ้นด้วย

  • ประสบการณ์ของลูกค้า: API มอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายมากขึ้นด้วยการผสานบริการธนาคารกับแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถดูยอดคงเหลือในธนาคารและชําระเงินได้โดยตรงจากแอปจัดทํางบประมาณหรือแพลตฟอร์มการจัดการทางการเงิน แทนที่จะต้องเปลี่ยนไปมาระหว่างแอปธนาคารกับผู้ให้บริการบุคคลที่สาม

  • การเข้าถึงและการช่วยสําหรับการเข้าถึง: เมื่อเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทฟินเทคและองค์กรอื่นๆ ธนาคารสามารถใช้ API เพื่อให้บริการทางการเงินแก่ตลาดและกลุ่มประชากรใหม่ๆ ได้ รวมถึงกลุ่มคนและธุรกิจด้อยโอกาสที่อาจไม่สามารถเข้าถึงบริการธนาคารแบบดั้งเดิม

  • ระบบอัตโนมัติ: API สามารถทําให้กระบวนการธนาคารต่างๆ เช่น ใบสมัครเงินกู้ การเปิดบัญชี และการประมวลผลการชําระเงินเป็นไปโดยอัตโนมัติและง่ายขึ้น ซึ่งช่วยลดงานและข้อผิดพลาดที่เกิดจากการดําเนินการโดยมนุษย์ และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานของธนาคาร

  • ช่องทางสร้างรายรับ: การเรียกเก็บเงินจากนักพัฒนาบุคคลที่สามหรือธุรกิจต่างๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลและบริการธนาคารธนาคารจะช่วยให้ธนาคารสร้างรายรับจาก API ได้ วิธีนี้สามารถเปิดกระแสรายรับใหม่ๆ ให้กับธนาคาร และสร้างโอกาสในการทํางานร่วมกันและการเป็นพาร์ทเนอร์

  • ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: API สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าและความต้องการของลูกค้าแก่ธนาคารได้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลของตน จากนั้นธนาคารจะใช้ข้อมูลเชิงลึกนี้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะบุคคล ปรับปรุงการจัดการความเสี่ยง และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

ประโยชน์ของ Open Banking API

นี่คือวิธีที่ Open Banking API เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ธุรกิจ และสถาบันทางการเงิน

ลูกค้า

  • การปรับแต่ง: Open Banking API ช่วยอำนวยความสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินอย่างละเอียด ซึ่งช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถเสนอคําแนะนําทางการเงิน คําแนะนําเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และข้อกําหนดเงินกู้ที่ออกแบบเองโดยอิงตามพฤติกรรมการใช้จ่าย รูปแบบรายรับ และเป้าหมายทางการเงินของแต่ละบุคคล

  • ความรู้ด้านการเงินที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูล: Open Banking API สามารถให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจของลูกค้าและปรับปรุงความรู้ด้านการเงินของลูกค้าด้วยการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายและพฤติกรรมทางการเงิน

  • ความโปร่งใสและการควบคุม: Open Banking API ช่วยให้ลูกค้าเห็นมุมมองสถานะทางการเงินของตนเองได้ชัดเจนขึ้น และช่วยให้ลูกค้าควบคุมวิธีใช้ข้อมูลของตัวเองได้

  • การจัดการการชําระเงินตามรอบบิล: Open Banking API สามารถติดตามและจัดการการชําระเงินตามรอบบิลโดยอัตโนมัติ ระบุโอกาสในการประหยัด และแม้แต่เจรจาให้ได้ข้อเสนอที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้าได้

ธุรกิจ

  • โมเดลทางเลือกสำหรับการให้คะแนนเครดิต: นักพัฒนาสามารถใช้ข้อมูล Open Banking เพื่อพัฒนาโมเดลการให้คะแนนเครดิตทางเลือกที่พิจารณาปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากโมเดลแบบเดิมๆ ได้ ซึ่งอาจขยายการเข้าถึงเครดิตไปสู่กลุ่มประชากรที่ด้อยโอกาส

  • การประเมินความเสี่ยงแบบเรียลไทม์: ธุรกิจสามารถตรวจสอบสถานะทางการเงินอย่างต่อเนื่องได้โดยใช้ข้อมูลธ Open Banking เพื่อระบุและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืม การชําระเงิน และการลงทุน

  • การเงินแบบผสานรวมในตัว: Open Banking API ช่วยให้ธุรกิจสามารถผสานบริการทางการเงินลงในผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มที่มีอยู่โดยตรง เพื่อสร้างประสบการณ์ของลูกค้าและกระแสรายรับใหม่ๆ ที่ดียิ่งขึ้น

  • การสร้างรายรับจากข้อมูล: ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูล Open Banking แบบรวมที่ไม่มีการระบุตัวตนเพื่อพัฒนาข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าและการวิเคราะห์สําหรับการใช้งานภายในหรือขายให้แก่บริษัทอื่น

สถาบันการเงิน

  • การประสานงานสภาพแวดล้อม: ธนาคารที่ใช้ Open Banking API สามารถพัฒนาจากการเป็นผู้ให้บริการแบบเดิมไปสู่การเป็นผู้ประสานงานสภาพแวดล้อมทางการเงินในวงกว้าง โดยการร่วมมือกับบริษัทฟินเทคเพื่อมอบบริการที่หลากหลายมากขึ้น

  • โมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย API: ธนาคารสามารถใช้ API ของตัวเองเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เช่น การให้บริการธนาคาร (BaaS) เพื่อให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและบริการทางการเงินแก่ธุรกิจอื่นๆ ผ่าน API

  • ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: การเปิดรับ Open Banking และการพัฒนากลยุทธ์ API ที่แข็งแกร่งช่วยให้ธนาคารสร้างความแตกต่างในตลาด ดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ และรักษาลูกค้าเดิมไว้ได้

  • การฉ้อโกง: Open Banking API มักจะใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง อย่างเช่น การตรวจสอบสิทธิ์ลูกค้าแบบรัดกุม (SCA) และการเข้ารหัส ซึ่งจะช่วยลดการฉ้อโกงและเพิ่มความปลอดภัยทางการเงินได้

วิธีปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงินด้วย Open Banking API

ธุรกิจที่ใช้ Open Banking API จะต้องใช้โปรโตคอลที่เข้มงวด เทคโนโลยีขั้นสูง และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อปกป้องความถูกต้องสมบูรณ์ การรักษาความลับ และความพร้อมใช้ของข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงิน ซึ่งสามารถทําได้โดยใช้กลยุทธ์และเทคนิคเหล่านี้

การตรวจสอบสิทธิ์และการอนุมัติ

  • SCA: ผู้ใช้ต้องใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA) เพื่อเข้าถึงข้อมูลของตัวเอง โดยมักจะต้องใช้สิ่งที่ผู้ใช้รู้ (รหัสผ่าน) สิ่งที่ผู้ใช้มี (อุปกรณ์มือถือ) และสิ่งที่ผู้ใช้เป็น (ไบโอเมตริก)

  • OAuth 2.0 และ OpenID Connect: ใช้โปรโทคอลเหล่านี้เพื่อการเข้าถึงที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ OAuth 2.0 อนุญาตให้บริการของบริษัทอื่นเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลประจําตัวของผู้ใช้ ในขณะที่ OpenID Connect เพิ่มเลเยอร์การตรวจสอบสิทธิ์เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้

การเข้ารหัสข้อมูล

  • การเข้ารหัสขณะพักและระหว่างส่ง: เข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดในขณะที่ส่งผ่านเครือข่ายโดยใช้ Transport Layer Security (TLS) และดําเนินการเช่นนั้นขณะจัดเก็บในฐานข้อมูลหรือระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบถาวร

  • มาตรฐานการเข้ารหัสแบบรัดกุม: ใช้มาตรฐานการเข้ารหัส เช่น Advanced Encryption Standard (AES) ที่มีความยาวคีย์เพียงพอสําหรับปกป้องข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน

ความปลอดภัยของ API

  • เกตเวย์ API: นําเกตเวย์ API มาใช้เพื่อจัดการการรับส่งข้อมูลของ API เกตเวย์สามารถช่วยป้องกันการโจมตีอย่าง Distributed Denial of Service (DDoS) บังคับใช้นโยบายความปลอดภัย และเพิ่มเลเยอร์การรักษาความปลอดภัย

  • การจํากัดอัตรา: ป้องกันการโจมตีโดยมิชอบและ Distributed Denial of Service (DoS) ที่อาจเกิดขึ้น โดยการจํากัดความถี่ที่ผู้ใช้หรือบริการสามารถเข้าถึง API ภายในช่วงเวลาหนึ่งๆ

  • การกําหนดเวอร์ชัน API: รักษา API เวอร์ชันเก่าเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้งานกับเวอร์ชันเก่าได้ ในขณะเดียวกันก็ปรับใช้และบังคับใช้มาตรฐานความปลอดภัยที่ใหม่กว่าในเวอร์ชันล่าสุด

การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยและการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนด

  • การทดสอบการเจาะระบบ: ทําการทดสอบการเจาะระบบอยู่เสมอเพื่อระบุและแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

  • การปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมาย: ปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมาย เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR), PSD2 และข้อกําหนดระดับท้องถิ่นอื่นๆ ในประเทศที่กําหนดมาตรการด้านความปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูลโดยเฉพาะ

  • การประเมินความปลอดภัยโดยบุคคลที่สาม: ปรึกษาบริษัทรักษาความปลอดภัยภายนอกเพื่อประเมินสภาวะความปลอดภัยของ API

การเข้าถึงข้อมูล

  • การควบคุมการเข้าถึงตามบทบาท (RBAC): ใช้ RBAC เพื่อให้ผู้ใช้และระบบสามารถเข้าถึงได้เฉพาะข้อมูลที่จําเป็นเท่านั้น

  • หลักการการมีสิทธิ์น้อยที่สุด: ใช้หลักการการมีสิทธิ์น้อยที่สุดกับทุกระบบและบริการ เพื่อลดสิทธิ์ในการเข้าถึงและลดผลกระทบจากการละเมิดความปลอดภัย

การติดตามตรวจสอบและการตรวจจับความผิดปกติ

  • การติดตามตรวจสอบแบบเรียลไทม์: ใช้เครื่องมือตรวจสอบความปลอดภัยเพื่อติดตามกิจกรรมที่ผิดปกติซึ่งบ่งชี้ถึงการละเมิด เช่น รูปแบบการเข้าถึง API ผิดปกติหรือการเรียก API ที่ไม่ได้รับการอนุมัติ

  • การตรวจจับความผิดปกติ: นําระบบตรวจจับความผิดปกติแบบแมชชีนเลิร์นนิงมาใช้เพื่อระบุและตอบสนองต่อพฤติกรรมที่ผิดปกติแบบเรียลไทม์

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Connect

Connect

ใช้งานจริงภายในไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะต้องเสียเวลาหลายไตรมาส สร้างธุรกิจการชำระเงินที่สร้างผลกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Connect

ดูวิธีกำหนดเส้นทางการชำระเงินระหว่างหลายฝ่าย