ธุรกิจขนาดเล็กต้องปรับตัวและมุ่งเน้นที่ลูกค้าเป็นหลัก ธุรกิจจึงควรนําเสนอวิธีการชําระเงินที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการชําระค่าสินค้าและบริการได้อย่างยืดหยุ่นและสะดวกสบาย เห็นได้จากมูลค่าธุรกรรมจากการชําระเงินแบบดิจิทัลทั่วทั้งโลก ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
ในบทความนี้ เราจะอธิบายสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับตัวเลือกการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกที่มีในปัจจุบัน ตัวเลือกยอดนิยม ตลอดจนวิธีการพิจารณาว่าวิธีการชําระเงินแบบใดเหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ประโยชน์ของวิธีการชําระเงินแบบออนไลน์สําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- ตัวเลือกการชําระเงินยอดนิยมสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- วิธีการชําระเงินออนไลน์แบบใดเหมาะกับสําหรับธุรกิจขนาดเล็กมากที่สุด
- วิธีเลือกวิธีการชําระเงินที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
ประโยชน์ของวิธีการชําระเงินออนไลน์สําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ต่อไปนี้เราจะอธิบายว่าวิธีการชําระเงินออนไลน์เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็กของคุณอย่างไรบ้าง
ขั้นตอนการชําระเงิน: วิธีการชําระเงินออนไลน์ช่วยให้กระบวนการชําระเงินรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้ออย่างฉับพลันหรือกลับมาซื้อซ้ำ ลูกค้าอาจพอใจกับความยืดหยุ่นและความรวดเร็วในการทําธุรกรรมในแบบที่ตนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นจากอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือคอมพิวเตอร์ก็ตาม
การเข้าถึงตลาด: การชําระเงินออนไลน์ ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถทำธุรกิจนอกพรมแดนทางภูมิศาสตร์ โดยจําหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าทั่วประเทศหรือทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย ธุรกิจเฉพาะกลุ่มจะได้ประโยชน์จากจุดแข็งด้านนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากฐานลูกค้าภายในประเทศอาจจํากัดอยู่ในวงแคบๆ แต่จะกว้างขึ้นเมื่อธุรกิจเจาะฐานลูกค้าทั่วโลก
กระแสเงินสด: การชําระเงินออนไลน์ใช้เวลาดําเนินการเร็วกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการชำระเงินแบบดั้งเดิม เช่น เช็คและใบสั่งจ่ายเงิน ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับเงินรวดเร็วขึ้น ช่วยให้ธุรกิจมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับจัดการกับค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน ลงทุนในสินค้าคงคลัง หรือขยายการดําเนินงาน
ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าหรือบริการโดยตรง: การชําระเงินออนไลน์ลดความจําเป็นในการใช้ระบบบันทึกการขาย (POS) และแรงงานในการจัดการธุรกรรมเงินสดและเช็ค ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าหรือบริการโดยตรงลดลงได้
การรักษาความปลอดภัย: ระบบการชําระเงินออนไลน์ที่มีชื่อเสียงมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมสําหรับปกป้องข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อน โดยมีการเข้ารหัสและการปฏิบัติตามมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) ซึ่งจะช่วยปกป้องทั้งธุรกิจและลูกค้าจากการฉ้อโกง รักษาชื่อเสียงของธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า
ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า: แพลตฟอร์มการชําระเงินออนไลน์มักจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า แนวโน้มการขาย และสถานะทางการเงินผ่านเครื่องมือวิเคราะห์ของแพลตฟอร์ม ข้อมูลเชิงลึกนี้เป็นประโยชน์ต่อการออกแบบกลยุทธ์การตลาด การจัดการสินค้าคงคลัง และแผนสร้างการเติบโตของธุรกิจ ทําให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถตอบสนองต่อความต้องการในตลาดและความท้าทายในการดำเนินงานได้เร็วขึ้น
กระบวนการอัตโนมัติ: ธุรกิจสามารถผสานวิธีการชําระเงินออนไลน์เข้ากับเครื่องมือทางธุรกิจอื่นๆ ได้ เช่น ซอฟต์แวร์การทําบัญชี ระบบการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) และระบบการจัดการสินค้าคงคลัง การผสานการทํางานดังกล่าวจะช่วยให้ถ่ายโอนข้อมูลให้กับฝ่ายงานต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ จึงลดข้อผิดพลาดและภาระงานในการดูแลระบบได้
ตัวเลือกการชําระเงินยอดนิยมสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ต่อไปนี้คือวิธีการชําระเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ธุรกิจขนาดเล็ก
วิธีการชําระเงินแบบดั้งเดิม: วิธีการชําระเงินแบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมได้แก่ เงินสด เช็ค บัตรเครดิต และบัตรเดบิต รวมถึงใบสั่งจ่ายะงเนหรือแคชเชียร์เช็ค
วิธีการชําระเงินแบบดิจิทัล: วิธีการชําระเงินแบบดิจิทัลยอดนิยม ได้แก่ กระเป๋าเงินดิจิทัล, การโอนเงินผ่านธนาคาร และการชําระเงินระหว่างบุคคล (P2P) เช่น Venmo และ Zelle นอกจากนี้ ผู้ทํางานอิสระและผู้ให้บริการยังอาจใช้ลิงก์ชําระเงินเพื่อขอให้ลูกค้าชําระเงินผ่านอีเมลหรือข้อความ SMS ด้วย
วิธีการชําระเงินแบบใหม่ๆ: วิธีการชําระเงินแบบใหม่ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ บริการซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL) คริปโตเคอร์เรนซี รวมถึงบัตรแบบไร้สัมผัสและการชำระเงินผ่านอุปกรณ์แบบสวมใส่
วิธีการชําระเงินออนไลน์แบบใดเหมาะกับสําหรับธุรกิจขนาดเล็กมากที่สุด
วิธีการชําระเงินยอดนิยมเหล่านี้เป็นประโยชน์กับธุรกิจขนาดเล็กดังต่อไปนี้
บัตรเครดิตและบัตรเดบิต: บัตรเครดิตและบัตรเดบิตเป็นหนึ่งในวิธีการชําระเงินออนไลน์ที่นิยมใช้กันมากที่สุดเนื่องจากสะดวกและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังทําธุรกรรมได้รวดเร็วและมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม เช่น ฟังก์ชันการป้องกันการฉ้อโกงและการดึงเงินคืน อย่างไรก็ตาม ลูกค้าจะต้องใช้เทอร์มินัล POS สําหรับการชําระเงินที่จุดขายและมีค่าธรรมเนียมการประมวลผล
การโอนเงินผ่านธนาคาร: การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นวิธีที่คุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับธุรกรรมขนาดใหญ่ ส่วนการชําระเงินแบบสํานักหักบัญชีอัตโนมัติ (ACH) ในสหรัฐอเมริกาและการหักบัญชีอัตโนมัติในเขตพื้นที่การชําระเงินที่ใช้สกุลเงินยูโร (SEPA) ในยุโรปนั้นเหมาะกับการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าเนื่องจากมีค่าธรรมเนียมถูกกว่า แต่อาจใช้เวลาดําเนินการหลายวัน การโอนเงินระหว่างธนาคารเหมาะกับการชําระเงินครั้งเดียวที่มีมูลค่าสูง ซึ่งต้องมีการประมวลผลอย่างรวดเร็ว
กระเป๋าเงินดิจิทัล: กระเป๋าเงินดิจิทัล เช่น Apple Pay และ Google Pay ช่วยให้ลูกค้าชําระเงินได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องป้อนข้อมูลบัตรในหลายเว็บไซต์ กระเป๋าเงินเหล่านี้ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมโดยจะแปลงเป็นข้อมูลเป็นโทเค็นและตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก ทั้งยังเร่งกระบวนการชําระเงินให้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ต้องใช้เทอร์มินัลที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารแบบระยะใกล้(NFC) ในการประมวลผลการชําระเงิน
การชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่: เนื่องจากอัตราการใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น โซลูชันการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่จึงช่วยให้ลูกค้าชําระเงินได้อย่างสะดวกจากโทรศัพท์ของตัวเองโดยตรง โซลูชันเหล่านี้มักจะผสานการทํางานกับกระเป๋าเงินดิจิทัลและมอบประสบการณ์การชําระเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย ซึ่งเหมาะสําหรับการทําธุรกรรมระหว่างเดินทาง
คริปโตเคอร์เรนซี: การรับชำระเงินด้วยคริปโตเคอเรนซีเช่น Bitcoin และ Ethereum สามารถดึงดูดลูกค้าที่ต้องการวิธีการชําระเงินที่ทันสมัย เนื่องจากมีค่าธรรมเนียมธุรกรรม ไม่มีการดึงเงินคืน และเข้าถึงได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม คริปโตเคอร์เรนซีความเสี่ยงเรื่องความผันผวนและระเบียบข้อบังคับ
บริการ BNPL: บริการต่างๆ เช่น Afterpay และ Klarna ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าและผ่อนชําระโดยมักจะไม่มีดอกเบี้ย วิธีนี้อาจช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อและอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน เนื่องจากช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงเงินทุนสำหรับนำมาซื้อผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น
การหักบัญชีอัตโนมัติ: การหักบัญชีอัตโนมัติเหมาะกับธุรกิจแบบสมัครใช้บริการที่ลูกค้าต้องชําระเงินเป็นประจํา เพราะลดปัญหาในการตามเก็บเงินและเพิ่มความคล่องตัวให้กระแสเงินสดได้
รหัส QR: การชําระเงินด้วยรหัส QR กําลังเป็นที่นิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีอัตราการใช้สมาร์ทโฟนสูง ข้อดีคือเป็นวิธีการชำระเงินแบบไร้สัมผัส ปลอดภัย และจัดการธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้บัตรจริงหรือเงินสด นอกจากนี้ ธุรกิจยังนำรหัส QR ไปใช้กับโปรโมชันในร้านได้ด้วย
การชําระเงินตามใบแจ้งหนี้: สําหรับธุรกรรมหรือบริการระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) แล้ว ใบแจ้งหนี้ที่สามารถชําระทางออนไลน์ผ่านลิงก์หรือเกตเวย์การชําระเงินจะทําให้กระบวนการชําระเงินง่ายขึ้นและยังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงานด้วย
บัตรเติมเงินและบัตรของขวัญ: บัตรเติมเงินและบัตรของขวัญจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตได้ อีกทั้งยังช่วยสร้างความภักดีกับแบรนด์และกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำได้เป็นอย่างดี
วิธีเลือกวิธีการชําระเงินที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
ขั้นแรกให้ประเมินความต้องการทางธุรกิจ ความต้องการของลูกค้า และแนวโน้มตลาด แล้วค่อยเลือกวิธีการชําระเงินที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก แนะนำให้เริ่มต้นด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
ทําความเข้าใจฐานลูกค้า
ข้อมูลประชากร: พิจารณาอายุ ตําแหน่งที่ตั้ง และความคุ้นเคยต่อเทคโนโลยีของลูกค้า หากเป็นลูกค้าที่อายุน้อยและเชี่ยวชาญเทคโนโลยี ลูกค้าอาจชอบการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่และกระเป๋าเงินดิจิทัลมากกว่า ส่วนลูกค้าวัยผู้ใหญ่อาจเลือกใช้บัตรเครดิตแบบเก่าหรือการโอนเงินผ่านธนาคาร
ความต้องการ: สํารวจลูกค้าและวิเคราะห์พฤติกรรมการชําระเงินในปัจจุบันเพื่อทําความเข้าใจวิธีการชําระเงินที่ลูกค้าต้องการ ข้อมูลนี้จะช่วยคุณจัดลําดับความสําคัญของตัวเลือกการชำระเงินที่จะนำมาใช้
ประเมินประเภทและความต้องการทางธุรกิจของคุณ
โมเดลธุรกิจ: ประเภทธุรกิจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ร้านค้าแบบมีหน้าร้าน หรือบริษัทผู้ให้บริการ ส่งผลต่อการเลือกวิธีการชำระเงิน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จะได้รับประโยชน์จากการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และกระเป๋าเงินดิจิทัลมากกว่า ส่วนร้านค้าแบบมีหน้าร้านก็จำเป็นต้องใช้ระบบ POS ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการประมวลผลบัตร
ขนาดและความถี่ของธุรกรรม: ธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการราคาสูงเหมาะกับบัตรเครดิตและการโอนเงินผ่านธนาคาร ส่วนธุรกรรมมูลค่าน้อยๆ ทว่าเป็นธุรกรรมที่ลูกค้าทำบ่อยๆ ธุรกิจอาจจะต้องการวิธีการชำระเงินที่รวดเร็ว เช่น การชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่
พิจารณาค่าใช้จ่าย
ค่าธรรมเนียม: วิธีการชําระเงินแต่ละแบบมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมแตกต่างกันไป รวมถึงค่าธรรมเนียมธุรกรรม ค่าธรรมเนียมรายเดือน หรือค่าใช้จ่ายในการตั้งค่า ธุรกิจต้องประเมินค่าใช้จ่ายเหล่านี้โดยเทียบข้อดีของแต่ละวิธี
กระแสเงินสด: วิธีการชำระเงินบางวิธี เช่น บัตรเครดิต จะชําระเงินทันที ส่วนวิธีการอื่นๆ เช่น เช็คและระบบออกใบแจ้งหนี้บางระบบอาจจะชำระเงินช้ากว่า
ประเมินความต้องการด้านการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด
การรักษาความปลอดภัย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวิธีการชําระเงินที่คุณเลือกเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น PCI DSS สําหรับการชําระเงินด้วยบัตร พิจารณาฟีเจอร์ความปลอดภัยของวิธีการชำระเงินแต่ละแบบเพื่อปกป้องธุรกิจและลูกค้าของคุณจากการฉ้อโกง
การปฏิบัติตามข้อกําหนด: ทําความเข้าใจผลกระทบทางกฎหมายของวิธีการชําระเงินที่คุณเลือก ขั้นตอนนี้สําคัญอย่างยิ่งหากคุณดําเนินธุรกิจในหลายประเทศและจําเป็นต้องปฏิบัติตามข้อบังคับทางการเงินในทุกเขตอํานาจศาล
ผสานการทํางานเทคโนโลยี
การผสานการทํางาน: ดูว่าวิธีการชําระเงินจะผสานการทํางานกับระบบที่คุณมีอยู่ได้อย่างไร เช่น ซอฟต์แวร์การทําบัญชี ระบบ CRM และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หากผสานการทํางานได้ง่าย ก็จะช่วยประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาดได้
ปรับขนาด: เลือกโซลูชันการชําระเงินที่จะเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของคุณ พิจารณาว่าวิธีการชำระเงินรองรับยอดธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องอัปเกรดครั้งใหญ่หรือเพิ่มค่าใช้จ่ายได้หรือไม่
ตรวจสอบแนวปฏิบัติของคู่แข่ง
มาตรฐานตลาด: สังเกตวิธีการชําระเงินที่คู่แข่งของคุณใช้ การเลือกใช้วิธีการชำระเงินเหมือนกันจะป้องกันไม่ให้ลูกค้าหันไปเลือกคู่แข่งได้โดยอาศัยแค่ความสะดวกในการชําระเงินเพียงเท่านั้น
แนวทางปฏิบัติแบบใหม่ที่เป็นนวัตกรรม: ลองใช้นวัตกรรมวิธีการชําระเงินที่คู่แข่งของคุณยังไม่ยอมรับ การเสนอตัวเลือกเหล่านี้ร่วมกับวิธีการชําระเงินแบบเก่าจะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับคุณได้
ทำให้ตัวเลือกการชําระเงินพร้อมสำหรับอนาคต
แนวโน้ม: ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเทรนด์ต่างๆ เช่น ความเฟื่องฟูของเทคโนโลยีบล็อกเชนหรือความนิยมในการชําระเงินด้วยข้อมูลไบโอเมตริก การนําเทคโนโลยีเกิดใหม่มาใช้เป็นรายแรกๆ จะช่วยให้คุณได้เปรียบในการแข่งขัน
ความยืดหยุ่น: ตรวจสอบให้มั่นใจว่าวิธีการชําระเงินที่คุณเลือกสามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมลูกค้าในอนาคตได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ