บางครั้ง เมตริกที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณไม่ใช่ผลกำไรหรือการเติบโต แต่เป็นเกณฑ์พื้นฐานที่ต้องทำให้ถึงจึงจะไม่จมทุน เกณฑ์นี้ก็คือจุดคุ้มทุนของคุณ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ระบุถึงรายรับ (หรือจำนวนการขาย) ที่ต้องทำให้ได้จึงจะรองรับต้นทุนได้ครบทั้งหมด เงินทุกบาททุกสตางค์ก่อนถึงจุดคุ้มทุนคือเงินที่คุณเสียไปเพื่อให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ ส่วนเงินที่เกินมาจากจุดดังกล่าวจะช่วยให้คุณต่อยอดธุรกิจได้
เราจะอธิบายวิธีคำนวณจุดคุ้มทุน วิธีปรับให้เหมาะกับสินค้าและลำดับเวลาต่างๆ รวมถึงวิธีนำไปใช้ใน Excel หรือการตัดสินใจในแต่ละวันไว้ที่ด้านล่างนี้
เนื้อหาหลักในบทความ
- จุดคุ้มทุนคืออะไร
- การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนคืออะไร แล้วเหตุใดจึงสำคัญ
- คุณจะคำนวณจุดคุ้มทุนได้อย่างไร
- การคำนวณจุดคุ้มทุนมีสูตรอย่างไร
- คุณจะคำนวณจุดคุ้มทุนสำหรับสินค้าหลายรายการได้อย่างไร
- คุณคำนวณจุดคุ้มทุนแบบรายเดือนและรายปีได้อย่างไร
- คุณจะคำนวณจุดคุ้มทุนใน Excel ได้อย่างไร
จุดคุ้มทุนคืออะไร
จุดคุ้มทุนคือจุดที่ธุรกิจของคุณไม่ขาดทุนอีกและรองรับต้นทุนของธุรกิจได้ครบทั้งหมด จุดคุ้มทุนคือจำนวนรายรับที่คุณต้องการจึงจะรองรับค่าใช้จ่ายได้ครบทั้งหมด คุณจะทำกำไรไม่ได้เลยหากไม่ผ่านจุดคุ้มทุนให้ได้เสียก่อน และเมื่อทราบจุดคุ้มทุน คุณก็จะสามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการดำเนินธุรกิจได้
ตัวอย่างเช่น หากคุณมียอดใช้จ่ายรายเดือนรวม 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อขายสินค้าแต่ละหน่วยจะได้ส่วนต่างกำไร 50 ดอลลาร์สหรัฐ คุณจะต้องขายสินค้าให้ได้ 200 หน่วยต่อเดือนจึงจะคุ้มทุน หากคุณขายได้ไม่ถึง 200 หน่วย คุณก็จะขาดทุน
ตัวเลขนี้ใช้ในการวางแผน การตั้งราคา การคาดการณ์ และการสนทนากับนักลงทุน หากคุณเข้าใกล้จุดคุ้มทุนแล้ว แสดงว่าธุรกิจของคุณเริ่มมีรากฐานที่มั่นคง แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น แสดงว่าคุณอาจต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างในโมเดลธุรกิจ
การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนคืออะไร แล้วเหตุใดจึงสำคัญ
การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนจะช่วยให้คุณทราบถึงระดับผลการดำเนินงานขั้นต่ำที่ธุรกิจของคุณต้องทำให้ได้จึงจะไม่ขาดทุน ขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณคำนวณหาจุดที่รายรับพอดีกับต้นทุนรวมของคุณได้อย่างแน่ชัด การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนจะช่วยให้คุณประเมินผลการดำเนินงานของธุรกิจได้ดังนี้
การทดสอบการตั้งราคาของคุณภายใต้แรงกดดัน
การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนจะช่วยให้เข้าใจว่าการตั้งราคาของคุณต้องตอบโจทย์เป้าหมายอะไรบ้าง
สมมติว่าคุณกำลังจะลดราคาสินค้าเพื่อให้เกิดการชำระเงินมากขึ้น ถึงวิธีนี้อาจจะได้ผล แต่เมื่อสินค้ามีราคาน้อยลง คุณจะต้องขายให้ได้เท่าใดจึงจะถึงจุดคุ้มทุน หากคำตอบที่ได้ดูแล้วไม่น่าจะทำได้ การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนก็จะช่วยให้คุณทราบถึงข้อมูลนี้ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาทางการเงินในภายหลัง
การวิเคราะห์นี้ยังช่วยให้คุณทราบด้วยว่า การตั้งราคาของคุณรองรับโมเดลธุรกิจหรือไม่ หากคุณขายสินค้าหรือบริการมูลค่า 25 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ต้องการรายรับ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อหน่วยจึงจะคุ้มทุน แสดงว่าผลการดำเนินงานของคุณไม่ได้แย่ แต่คุณตั้งราคาสินค้าหรือบริการไม่เหมาะสมต่างหาก
การช่วยให้เห็นต้นทุนของคุณอย่างตรงไปตรงมา
หากต้องการคำนวณจุดคุ้มทุนอย่างถูกต้อง คุณต้องระบุต้นทุนให้ครบถ้วนทั้งหมด ได้แก่ ต้นทุนคงที่ ต้นทุนแปรผัน ต้นทุนที่ต้องจ่ายซ้ำๆ และต้นทุนที่จ่ายครั้งเดียว ขั้นตอนนี้จะส่งผลให้เกิดความรับผิดชอบทางการเงินโดยระบุค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจถูกมองข้ามไปในส่วนต่างกำไรหากใช้วิธีอื่น
หากการคำนวณจุดคุ้มทุนได้ตัวเลขที่ดูผิดปกติ มักเป็นสัญญาณว่ามีบางอย่างขาดหายไปหรือได้รับการจัดหมวดหมู่ไม่ถูกต้อง
การตั้งเป้าหมายยอดขายที่สมเหตุสมผล
เมื่อทราบจุดคุ้มทุนแล้ว คุณก็จะทราบว่าธุรกิจของคุณต้องขายให้ได้เป็นจำนวนเท่าใด (รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี) ธุรกิจจึงจะยังพอไปต่อได้
คุณไม่จำเป็นต้องทำยอดให้ถึงจุดคุ้มทุนในทุกๆ เดือน แต่จุดคุ้มทุนจะเป็นเกณฑ์พื้นฐานของคุณ หากคุณดำเนินงานไม่ถึงจุดคุ้มทุนอยู่เรื่อยๆ แสดงว่าคุณกำลังจมทุนอยู่ แต่หากคุณทำยอดเกินจุดดังกล่าวได้แบบสบายๆ แสดงว่าคุณกำลังทำกำไรและมีส่วนเผื่อเอาไว้รองรับเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น
การทำโมเดลความเสี่ยงและความยืดหยุ่น
การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนจะช่วยวางเฟรมเวิร์กในการทดสอบภายใต้ความกดดัน และช่วยให้คุณตั้งคำถามต่างๆ ได้ เช่น
- จุดคุ้มทุนจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างหากต้นทุนวัสดุเพิ่มขึ้น 15%
- ถ้าเราเปิดสาขาที่ 2 และมีต้นทุนคงที่เพิ่มเป็น 2 เท่า เราจะต้องขายให้ได้อีกเท่าไหร่
- ถ้าเราเปลี่ยนไปใช้โมเดลการชำระเงินตามรอบบิล เราต้องมีลูกค้าที่จ่ายเงินเดือนละกี่คนจึงจะมีกระแสเงินสดไม่ลดลงไปจากเดิม
เมื่อใช้โมเดลการทำงาน คุณสามารถนำตัวแปรตามจริงมาใช้ และดูได้ว่าธุรกิจของคุณจะรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีเพียงใด
การทำความเข้าใจส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยของคุณ
การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนจะช่วยให้คุณทราบส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (ยอดขายที่เกินมาจากจุดคุ้มทุน) ยิ่งเกินมามากใหญ่เท่าไหร่ ธุรกิจของคุณก็จะรับมือกับความผันผวนได้ดีมากขึ้นเท่านั้น แต่ยิ่งเกินมาน้อยเท่าไหร่ ธุรกิจของคุณก็จะยิ่งเสี่ยงเมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
การตัดสินใจอย่างเป็นกลางมากขึ้น
การตัดสินใจที่สำคัญ เช่น การจ้างงาน การเปลี่ยนแปลงราคา สายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการขยายธุรกิจ ย่อมส่งผลต่อโครงสร้างต้นทุนและศักยภาพในการสร้างรายรับของคุณ การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนจะช่วยให้คุณประเมินทางเลือกดังกล่าวได้
หากโครงการใหม่ทำให้คุณมีต้นทุนคงที่เพิ่มขึ้น คุณสามารถคำนวณรายรับที่ต้องหาเพิ่มเพื่อรองรับการขยายธุรกิจนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว หากคุณจะเปิดตัวสินค้าที่มีส่วนต่างกำไรต่ำ คุณก็จะคาดการณ์ปริมาณที่ต้องขายให้ได้จึงจะคุ้มทุนสำหรับสินค้านั้นๆ ได้
การทำตามความคาดหวังทางการเงิน
หากคุณกำลังระดมทุนหรือยื่นขอจัดหาเงินทุน คุณจะได้รับคำถามเกี่ยวกับจุดคุ้มทุนแทบจะทุกครั้ง คำถามนี้จะแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจสถานภาพทางเศรษฐกิจของธุรกิจและมีแผนที่น่าเชื่อถือที่จะยับยั้งการจมทุนและเริ่มสร้างผลตอบแทน การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนที่มีโครงสร้างอย่างดีจะช่วยให้คุณตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมั่นใจ
คุณจะคำนวณจุดคุ้มทุนได้อย่างไร
หากต้องการคำนวณหาจุดคุ้มทุน ให้เริ่มต้นด้วยตัวเลข 3 อย่างดังนี้
- ต้นทุนคงที่ของคุณ
- ต้นทุนแปรผันต่อหน่วยของคุณ
- ราคาขายต่อหน่วยของคุณ
หลังจากมีตัวเลขเหล่านี้แล้ว ให้ทำตามคำแนะนำด้านล่าง
เพิ่มต้นทุนคงที่
ต้นทุนเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายของคุณไม่ว่าคุณจะขายได้มาก (หรือน้อย) แค่ไหน ซึ่งรวมถึงค่าเช่า เงินเดือน การชำระเงินตามรอบบิลเป็นค่าซอฟต์แวร์ ประกันภัย และค่าเช่าอุปกรณ์ ต้นทุนเหล่านี้จะคงที่เท่าเดิมในทุกๆ เดือน
กำหนดต้นทุนแปรผันต่อหน่วย
ต้นทุนเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการขายในแต่ละครั้ง ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ การจัดส่ง กำลังคนในการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ และค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงิน หากคุณมีค่าใช้จ่าย 5 ดอลลาร์สหรัฐในการผลิต บรรจุ และจัดส่งสินค้าแต่ละหน่วย คุณก็จะมีต้นทุนแปรผันต่อหน่วยอยู่ที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐ
รวมค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงินไว้ในต้นทุนแปรผัน Stripe จะแสดงค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมในแดชบอร์ดของคุณ เพื่อให้นำค่าธรรมเนียมเหล่านี้ไปคำนวณรวมในต้นทุนแปรผันได้ง่าย
ทราบราคาขายของคุณ
ราคาขายคือจำนวนเงินที่คุณเรียกเก็บเป็นค่าสินค้าหรือบริการ 1 หน่วย
อย่าลืมว่าตัวเลขทั้งหมดนี้จะต้องอิงตามช่วงเวลาเดียวกัน หากคุณใช้ต้นทุนคงที่ต่อเดือน จุดคุ้มทุนที่คุณคำนวณได้ก็จะเป็นตัวเลขรายเดือน หากคุณใช้ต้นทุนคงที่ต่อปี จุดคุ้มทุนก็จะเป็นแบบรายปี หากกำไรส่วนเกินของคุณดูมากหรือน้อยแปลกๆ ให้ตรวจสอบตัวเลขดังกล่าวอีกครั้ง ปัญหามักเกิดจากต้นทุนที่ขาดหายไปหรือการตั้งราคาสมมติที่ไม่ถูกต้อง
การคำนวณจุดคุ้มทุนมีสูตรอย่างไร
เมื่อคุณระบุต้นทุนคงที่ ต้นทุนแปรผัน และราคาขายแล้ว คุณสามารถคำนวณจุดคุ้มทุนได้ 2 วิธี ได้แก่ การคำนวณเป็นจำนวนหน่วยที่ต้องขายให้ได้ และเป็นจำนวนรายรับที่ต้องทำให้ถึง วิธีคำนวณในแต่ละวิธีมีดังนี้
จุดคุ้มทุนในรูปแบบหน่วยที่ต้องขายให้ได้
เมตริกนี้จะระบุจำนวนหน่วยที่คุณต้องขายให้ได้เพื่อรองรับต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันให้ครบทั้งหมด
สูตรมีดังนี้
จุดคุ้มทุน (หน่วย) = ต้นทุนคงที่ / (ราคาขายต่อหน่วย - ต้นทุนแปรผันต่อหน่วย)
นอกจากนี้ยังเขียนเป็นดังนี้ได้ด้วย
จุดคุ้มทุน (หน่วย) = ต้นทุนคงที่ / กำไรส่วนเกิน
กำไรส่วนเกินของคุณคือราคาขายต่อหน่วยลบด้วยต้นทุนแปรผันต่อหน่วย
ตัวอย่าง:
- ต้นทุนคงที่: 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- ราคาต่อหน่วย: 50 ดอลลาร์สหรัฐ
- ต้นทุนแปรผันต่อหน่วย: 5 ดอลลาร์สหรัฐ
- กำไรส่วนเกิน: 45 ดอลลาร์สหรัฐ
จุดคุ้มทุน (หน่วย) = 15,000 / 45 ดอลลาร์สหรัฐ = 333.33 หน่วย
คุณจะรองรับต้นทุนคงที่จำนวน 15,000 ดอลลาร์สหรัฐได้เมื่อขายได้ 334 หน่วย (ปัดเศษขึ้น) ต่อเดือน ผลกำไรจะเป็น 0 (ไม่ว่าจะปัดเศษขึ้นหรือลง) หากขายได้ 335 หน่วย ก็จะได้กำไรเพิ่มมา 45 ดอลลาร์สหรัฐ
จุดคุ้มทุนในรูปแบบรายรับที่ต้องทำให้ถึง
หากต้องการคำนวณหาจุดคุ้มทุนโดยมีสกุลเงินเป็นดอลลาร์แทนที่จะเป็นหน่วย ให้ใช้สูตรคำนวณจุดคุ้มทุนสำหรับรายรับ
สูตรมีดังนี้
จุดคุ้มทุน (รายรับ) = ต้นทุนคงที่ / อัตราส่วนกำไรส่วนเกิน
หากต้องการคำนวณหาอัตราส่วนกำไรส่วนเกิน ให้นำกำไรส่วนเกินมาหารด้วยราคาขายต่อหน่วย
- ในตัวอย่างข้างต้น: 45 / 50 ดอลลาร์สหรัฐ = 0.9 (หรือ 90%)
- จุดคุ้มทุน (รายรับ) = 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ / 0.9 = 16,666.67 ดอลลาร์สหรัฐ
จำนวนนี้คือรายรับจากการขายขั้นต่ำที่คุณต้องทำให้ถึงในช่วงเวลานั้นๆ จึงจะถึงจุดคุ้มทุน
สูตรทั้งสองนี้ใช้ตรรกะเดียวกัน สูตรแรกจะแสดงเป้าหมายปริมาณการขาย ส่วนอีกสูตรหนึ่งจะให้ตัวเลขเป็นดอลลาร์ ใช้สูตรใดก็ได้ที่ช่วยให้คุณวางแผนได้ชัดเจนขึ้น และคอยตรวจสอบเมื่อต้นทุนมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการปรับราคา
คุณจะคำนวณจุดคุ้มทุนสำหรับสินค้าหลายรายการได้อย่างไร
เมื่อคุณขายสินค้าหรือบริการมากกว่า 1 รายการ การคำนวณจุดคุ้มทุนก็จะไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนกับการคำนวณสำหรับสินค้ารายการเดียว โดยแต่ละรายการก็น่าจะมีราคา ต้นทุน และส่วนต่างกำไรแตกต่างกันไป คุณจึงไม่สามารถใช้ตัวเลขเพียงตัวเดียวในสูตรได้
แต่คุณจะต้องคำนึงถึงส่วนผสมสินค้าโดยใช้ค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก เรามาดูกันว่าต้องทำอย่างไร
กำหนดส่วนผสมยอดขาย
เริ่มด้วยการระบุเปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวมต่อหน่วยของสินค้าแต่ละรายการ เช่น
- สินค้า A = 50%
- สินค้า B = 30%
- สินค้า C = 20%
เปอร์เซ็นต์เหล่านี้ควรสัมพันธ์กับค่าเฉลี่ยที่คาดการณ์ไว้หรือที่ผ่านมาในอดีต
คำนวณราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักและต้นทุนแปรผัน
คำนวณราคาแบบผสมและต้นทุนแปรผันต่อหน่วยแบบผสมโดยใช้ส่วนผสมยอดขายของคุณ
ตัวอย่างเช่น
- สินค้า A: ราคา 100 ดอลลาร์สหรัฐ, ต้นทุนแปรผัน 60 ดอลลาร์สหรัฐ
- สินค้า B: ราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐ, ต้นทุนแปรผัน 30 ดอลลาร์สหรัฐ
- สินค้า C: ราคา 30 ดอลลาร์สหรัฐ, ต้นทุนแปรผัน 15 ดอลลาร์สหรัฐ
ในสถานการณ์จำลองนี้ ราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักจะเป็นดังนี้
(0.5 × 100 ดอลลาร์สหรัฐ) + (0.3 × 50 ดอลลาร์สหรัฐ) + (0.2 × 30 ดอลลาร์สหรัฐ) = 50 + 15 + 6 ดอลลาร์สหรัฐ = 71 ดอลลาร์สหรัฐ
ต้นทุนแปรผันเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักจะเป็นดังนี้
(0.5 × 60 ดอลลาร์สหรัฐ) + (0.3 × 30 ดอลลาร์สหรัฐ) + (0.2 × 15 ดอลลาร์สหรัฐ) = 30 + 9 + 3 ดอลลาร์สหรัฐ = 42 ดอลลาร์สหรัฐ
คำนวณหากำไรส่วนเกินเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก
สูตร: กำไรส่วนเกินเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก = ราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก – ต้นทุนแปรผันเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก
เมื่อใช้ตัวอย่างก่อนหน้านี้ การคำนวณจะเป็นดังนี้
71 – 42 ดอลลาร์สหรัฐ = 29 ดอลลาร์สหรัฐต่อหน่วย
คำนวณหน่วยที่ต้องขายจึงจะคุ้มทุนแบบรวม
สูตร: จุดคุ้มทุน (หน่วย) = ต้นทุนคงที่ / กำไรส่วนเกินเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก
หากต้นทุนคงที่ของคุณอยู่ที่ 58,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะคำนวณได้ว่า
58,000 ดอลลาร์สหรัฐ / 29 ดอลลาร์สหรัฐ = 2,000 หน่วย
จัดสรรหน่วยที่ต้องขายจึงจะคุ้มทุนโดยแยกตามสินค้า
นำหน่วยที่ต้องขายจึงจะคุ้มทุนแบบรวมไปคูณด้วยส่วนผสมยอดขายของสินค้าแต่ละรายการ เพื่อดูว่าคุณต้องขายสินค้าแต่ละรายการให้ได้เท่าใด
- สินค้า A: 2,000 × 50% = 1,000 หน่วย
- สินค้า B: 2,000 × 30% = 600 หน่วย
- สินค้า C: 2,000 × 20% = 400 หน่วย
เป้าหมายในการคุ้มทุนคือการขายสินค้าต่างๆ ให้ได้สมดุล หากคุณขายสินค้าที่มีส่วนต่างกำไรสูงขึ้นได้มากขึ้น คุณก็จะถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้น แต่หากยอดขายส่วนใหญ่ของคุณมาจากสินค้าที่มีส่วนต่างกำไรน้อย คุณก็จะต้องขายสินค้าโดยรวมให้ได้มากขึ้นจึงจะถึงจุดคุ้มทุน
คุณคำนวณจุดคุ้มทุนแบบรายเดือนและรายปีได้อย่างไร
สูตรคำนวณจุดคุ้มทุนจะไม่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา แต่คุณเปลี่ยนตัวเลขที่ใช้ในสูตรได้ การเลือกคำนวณหาจุดคุ้มทุนแบบรายเดือนหรือรายปีนั้นขึ้นอยู่กับแผนของคุณและข้อมูลที่คุณต้องการดู วิธีคำนวณหาจุดคุ้มทุนแต่ละแบบมีดังนี้
จุดคุ้มทุนแบบรายเดือน
จุดคุ้มทุนแบบรายเดือนจะช่วยให้คุณทำได้ดังนี้
- ติดตามผลการดำเนินงานแบบเรียลไทม์
- ระบุเดือนที่มีผลกำไร
- ตั้งงบประมาณรายเดือน
ให้คำนวณโดยใช้ต้นทุนคงที่ต่อเดือนและตัวเลขยอดขาย เพื่อให้เห็นภาพระยะสั้นเกี่ยวกับยอดขายที่ต้องทำให้ได้เพื่อให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ในแต่ละเดือน
ตัวอย่างเช่น
- ต้นทุนคงที่ต่อเดือน = 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- กำไรส่วนเกินต่อหน่วย = 40 ดอลลาร์สหรัฐ
- หน่วยที่ต้องขายจึงจะคุ้มทุนต่อเดือน = 12,000 / 40 ดอลลาร์สหรัฐ = 300 หน่วย
จุดคุ้มทุนแบบรายปี
จุดคุ้มทุนแบบรายปีจะช่วยคุณในเรื่องต่อไปนี้
- การวางแผนหรือการระดมทุน
- การเห็นภาพรวมเกี่ยวกับสถานภาพของธุรกิจตลอดทั้งปี
- การเฉลี่ยความผันผวนระหว่างเดือนต่างๆ ในธุรกิจที่อิงตามฤดูกาล
ใช้ตัวเลขแบบรายปีเพื่อให้เห็นภาพระยะยาวพร้อมต้นทุนคงที่ทั้งหมดของปีนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น
- ต้นทุนคงที่ต่อปี = 144,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- กำไรส่วนเกินต่อหน่วย = 40 ดอลลาร์สหรัฐ
- หน่วยที่ต้องขายจึงจะคุ้มทุนต่อปี = 144,000 / 40 ดอลลาร์สหรัฐ = 3,600
ธุรกิจอาจถึงจุดคุ้มทุนได้ใน 1 ปี แต่ยังคงจมทุนในบางเดือนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของธุรกิจที่อิงตามฤดูกาล การทราบจุดคุ้มทุนแบบรายเดือนจะช่วยให้คุณวางแผนสำหรับช่วงเดือนที่มียอดขายน้อยได้ และช่วยให้มั่นใจว่าคุณจะมีแผนรองรับหรือกระแสเงินสดเพียงพอที่จะรับมือกับช่วงเหล่านั้น แต่ในทางกลับกัน ธุรกิจบางแห่งจะใช้จุดคุ้มทุนแบบรายปีเพื่อหาจำนวนที่ต้องขายให้ได้เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปี
หากใช้ Stripe ในการชำระเงิน คุณจะดึงข้อมูลรายงานรายรับแบบรายเดือนหรือรายปีจากแดชบอร์ดได้ ช่วยให้คุณเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับเป้าหมายรายรับในการคุ้มทุนตามกรอบเวลาต่างๆ และปรับเปลี่ยนตามความจำเป็นได้ง่ายขึ้น
คุณจะคำนวณจุดคุ้มทุนใน Excel ได้อย่างไร
Excel และ Google Sheets เหมาะสำหรับใช้สร้างโมเดลจุดคุ้มทุน คุณจะทำโมเดลเป็นแบบเรียบง่ายหรือเสริมความซับซ้อนเพิ่มเข้าไปก็ได้ เมื่อตั้งค่าโมเดลแล้ว คุณจะใช้โมเดลนี้เพื่อทดสอบสถานการณ์จำลองต่างๆ ได้ในไม่กี่วินาที วิธีคำนวณจุดคุ้มทุนในสเปรดชีตมี 2-3 วิธีดังนี้
ตั้งค่าการคำนวณ
สร้างแถวไว้สำหรับรายการต่อไปนี้
- ราคาต่อหน่วย
- ต้นทุนแปรผันต่อหน่วย
- ต้นทุนคงที่
ป้อนตัวเลข จากนั้นให้เขียนสูตรการคำนวณลงในเซลล์ใหม่โดยใช้ตำแหน่งเซลล์แทนตัวแปรต่างๆ ที่ต้องการ เช่น หากราคาต่อหน่วยอยู่ในเซลล์ B1 และต้นทุนแปรผันต่อหน่วยอยู่ในเซลล์ B2 สูตรการคำนวณจะเป็นดังนี้
- กำไรส่วนเกิน = ราคาต่อหน่วย - ต้นทุนแปรผันต่อหน่วย
- กำไรส่วนเกิน = B1 - B2
หากต้นทุนคงที่อยู่ในเซลล์ B4 และคุณคำนวณกำไรส่วนเกินไว้ในเซลล์ B3 คุณจะต้องทำดังนี้เพื่อคำนวณจุดคุ้มทุนเป็นจำนวนหน่วยที่ต้องขาย
- จุดคุ้มทุน (หน่วย) = ต้นทุนคงที่ / กำไรส่วนเกิน
- จุดคุ้มทุน (หน่วย) = B4 / B3
เมื่อคุณคำนวณใน Excel หรือ Google Sheets ได้สะดวก คุณก็จะคำนวณรายการเหล่านี้ในสเปรดชีตที่คำนวณต้นทุนคงที่และตัวแปรอื่นๆ อยู่แล้วได้เลย แต่สูตรนี้เป็นสูตรพื้นฐานที่คุณต้องเริ่มต้นใช้งาน
ใช้ "ค้นหาค่าเป้าหมาย" (Goal Seek) เพื่อช่วยหาจุดคุ้มทุน
หากคุณมีสเปรดชีตที่มีการคำนวณต้นทุนและรายรับในปัจจุบันอยู่แล้ว คุณก็สามารถใช้เครื่องมือ "ค้นหาค่าเป้าหมาย" (Goal Seek) ของ Excel เพื่อคำนวณหาจุดคุ้มทุนของคุณได้ ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้
- ไปที่แท็บ "ข้อมูล" (Data)
- คลิกที่ "การวิเคราะห์แบบ What-If" (What-If Analysis)
- คลิก "ค้นหาค่าเป้าหมาย" (Goal Seek)
- ตั้งค่าช่อง "ตั้งค่าในเซลล์" (Set cell) เป็นเซลล์ที่มีการคำนวณกำไร/ขาดทุน
- กำหนดค่าที่ต้องการสำหรับเซลล์กำไร/ขาดทุนเป็น 0
- ป้อนเซลล์ที่มีหน่วยที่ขายลงในช่อง "โดยการเปลี่ยนเซลล์" (By changing cell)
- คลิก "ตกลง" (OK)
Excel จะคำนวณจำนวนหน่วยสินค้าที่ต้องขายให้ได้จึงจะคุ้มทุนให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะใช้ได้ดีเมื่อข้อมูลที่ป้อนกับผลลัพธ์ที่ได้ไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงเส้นกันอย่างสมบูรณ์ หรือเมื่อคุณกำลังสร้างโมเดลที่ซับซ้อนขึ้น
สเปรดชีตจะใช้ได้ผลดีสำหรับจุดคุ้มทุนเนื่องจากคุณสามารถอัปเดตข้อมูลที่ป้อนได้ตามการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ สร้างโมเดลผลิตภัณฑ์ กรอบระยะเวลา หรือกลยุทธ์การกำหนดราคามากมายได้ง่ายๆ และใช้การทำแผนภูมิที่มีอยู่ใน Excel เพื่อแสดงให้เห็นเกณฑ์การคุ้มทุนตามระยะเวลาได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ