การสมัครใช้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) คือวิธีการซื้อและเข้าถึงแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ โดยผู้ใช้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมตามแบบแผนล่วงหน้าเพื่อใช้ซอฟต์แวร์ แทนที่จะซื้อและติดตั้งซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ตลาด SaaS ทั่วโลกมีมูลค่าเกือบ $3.15 แสนล้านในปี 2023 และคาดว่าจะมีมูลค่าเกือบ $1.3 ล้านล้านภายในปี 2034
ด้านล่างนี้เราจะอธิบายสิ่งที่ธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับการสมัครใช้บริการ SaaS ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทํางานของผลิตภัณฑ์ SaaS, ข้อดีและความท้าทายที่มาพร้อมกับโมเดลการเรียกเก็บเงินนี้ รวมถึงวิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากการสมัครใช้บริการ SaaS
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- วิธีการทำงานของการสมัครใช้บริการกับโมเดล SaaS
- โมเดลการเรียกเก็บเงินสำหรับการสมัครใช้บริการ SaaS คืออะไร
- มีโมเดลการสมัครใช้บริการ SaaS ประเภทใดบ้าง
- ประโยชน์ของโมเดลการสมัครใช้บริการสําหรับธุรกิจ SaaS
- ความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับโมเดลการสมัครใช้บริการสําหรับธุรกิจ SaaS
- แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับโมเดลการสมัครใช้บริการ SaaS
วิธีการทำงานของการสมัครใช้บริการกับโมเดล SaaS
นี่คือวิธีการทํางานของโมเดล SaaS โดยทั่วไป
ระดับการสมัครใช้บริการ: ผลิตภัณฑ์ SaaS มักมาพร้อมกับระดับการสมัครใช้บริการต่างๆ ซึ่งแต่ละระดับจะมีฟีเจอร์และฟังก์ชันเฉพาะสำหรับราคาที่แตกต่างกัน การทําเช่นนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกแพ็กเกจที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณของตนเอง ผู้ให้บริการ SaaS บางรายมีตัวเลือกที่ปรับแต่งได้ซึ่งอนุญาตให้ลูกค้าเพิ่มฟีเจอร์หรือฟังก์ชัน (เช่น พื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติมหรือบัญชีผู้ใช้อื่นๆ) โดยมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
การชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า: การสมัครใช้บริการจะกําหนดให้ผู้ใช้ชําระเงินเป็นประจํา โดยทั่วไปแล้วจะทุกเดือนหรือเป็นรายปี การชําระเงินมักเป็นระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะด้วยบัตรเครดิตหรือเกตเวย์การชําระเงินอื่นๆ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้การชําระเงินสําหรับธุรกิจและลูกค้า
การเข้าถึงและการจัดการ: ผู้สมัครใช้บริการจะได้รับสิทธิ์เข้าใช้งานซอฟต์แวร์ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชันไคลเอ็นต์เฉพาะ ผู้ให้บริการจัดการการจัดเก็บข้อมูล ช่วงเวลาที่แอปพลิเคชันพร้อมให้บริการ และโครงสร้างพื้นฐานแบ็กเอนด์ในทุกแง่มุม ลูกค้าสามารถจัดการการสมัครใช้บริการของตัวเองผ่านแดชบอร์ดแบบรวมศูนย์ที่ช่วยให้เพิ่มหรือนําผู้ใช้ออก อัปเกรดหรือดาวน์เกรดแพ็กเกจ รวมถึงตรวจสอบการใช้งานและการเรียกเก็บเงินได้
ความต่อเนื่องในการให้บริการและการอัปเดต: ข้อดีอย่างหนึ่งของโมเดล SaaS คือผู้ให้บริการสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องและส่งการอัปเดตเหล่านี้ให้กับลูกค้า ซึ่งจะได้รับการอัปเดตและฟีเจอร์ใหม่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือความพยายามเพิ่มเติม นอกจากนี้ การชําระเงินตามรอบบิลยังมักจะมาพร้อมสิทธิ์เข้าถึงการสนับสนุนลูกค้า การบํารุงรักษา และบางครั้งก็มีข้อตกลงระดับบริการ (SLA) ที่รับประกันระยะเวลาให้บริการและประสิทธิภาพด้วย
การปฏิบัติตามข้อกําหนดและการรักษาความปลอดภัย: เนื่องจากผู้ให้บริการซอฟต์แวร์โฮสต์แอปพลิเคชันและข้อมูล จึงมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยของแพลตฟอร์มและจัดการข้อบังคับด้านการปฏิบัติตามข้อกําหนด ซึ่งรวมถึงการอัปเดตการรักษาความปลอดภัยเป็นประจํา การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนด การปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และการดูแลจัดการข้อมูลในทุกแง่มุม
การยกเลิกและการต่ออายุ: โดยทั่วไปแล้ว ลูกค้าจะยกเลิกการสมัครใช้บริการได้ทุกเมื่อ เมื่อยกเลิก ลูกค้าจะใช้บริการนี้ไม่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบการเรียกเก็บเงินปัจจุบัน ระบบจะต่ออายุการชําระเงินตามรอบบิล SaaS หลายรายการโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ลูกค้าจะเลือกไม่ใช้บริการ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความติดขัดในการใช้งาน
โมเดลการเรียกเก็บเงินสำหรับการสมัครใช้บริการ SaaS คืออะไร
ต่อไปนี้เป็นฟีเจอร์สําคัญของโมเดลการเรียกเก็บเงินสำหรับการสมัครใช้บริการ SaaS
การชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า: ระบบจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามรอบเวลาประจํา (เช่น รายเดือน รายไตรมาส รายปี) ตราบใดที่ลูกค้ายังคงใช้บริการต่อไป
การนำส่งผ่านระบบคลาวด์: ซอฟต์แวร์ได้รับการโฮสต์ไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการและลูกค้าจะเข้าถึงได้ทางออนไลน์
ความสามารถในการปรับขนาด: โมเดลการเรียกเก็บเงินสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในการใช้งานหรือความต้องการของลูกค้าได้อย่างง่ายดาย
ความยืดหยุ่น: โดยปกติลูกค้าจะอัปเกรด ดาวน์เกรด หรือยกเลิกการสมัครใช้บริการได้ตามต้องการ
มีโมเดลการสมัครใช้บริการ SaaS ประเภทใดบ้าง
ต่อไปนี้คือโมเดลการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS ประเภทที่พบบ่อยที่สุด
ค่าบริการอัตราคงที่: โมเดลนี้มีค่าบริการในอัตราคงที่ราคาเดียวสําหรับฟีเจอร์และการใช้งานทั้งหมด โมเดลนี้เข้าใจง่ายและคาดเดาได้สำหรับลูกค้า แต่อาจไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย
ค่าบริการแบบแบ่งระดับ: โมเดลนี้มีค่าบริการหลายระดับพร้อมฟีเจอร์และขีดจํากัดการใช้งานที่แตกต่างกันสำหรับจุดราคาต่างๆ โดยจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกแพ็กเกจที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณของตัวเองมากที่สุด HubSpot ใช้โมเดลการเรียกเก็บเงินนี้
ค่าบริการต่อผู้ใช้: โมเดลนี้กําหนดราคาโดยอิงตามจํานวนผู้ใช้ที่เข้าถึงซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมสําหรับเครื่องมือในการทํางานร่วมกันและการสื่อสาร Slack ใช้โมเดลการเรียกเก็บเงินนี้
ค่าบริการตามการใช้งาน: โมเดลนี้กําหนดราคาตามการใช้งานซอฟต์แวร์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พื้นที่จัดเก็บ แบนด์วิดท์ หรือจํานวนธุรกรรม โดยค่าใช้จ่ายจะสอดคล้องกับการใช้งานและเหมาะสําหรับธุรกิจที่มีความต้องการผันผวน Amazon Web Services (AWS) ใช้โมเดลการเรียกเก็บเงินนี้
โมเดลฟรีเมียม: โมเดลนี้มีแพ็กเกจพื้นฐานแบบให้บริการฟรีที่มีฟีเจอร์จํากัด และการอัปเกรดแบบชําระเงินเพื่อใช้ฟังก์ชันเพิ่มเติม จึงเป็นวิธีที่ดีในการดึงดูดผู้ใช้ใหม่ๆ และขายต่อยอดแพ็กเกจระดับพรีเมียม Canva ใช้โมเดลการเรียกเก็บเงินนี้
โมเดลชำระเงินตามการใช้งาน (PAYG): โมเดลนี้ช่วยให้ผู้ใช้ชําระเงินสําหรับทรัพยากรที่ตนเองใช้ โดยมักจะคิดเป็นรายชั่วโมงหรือตามการใช้งาน โมเดลนี้เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไปในบริการการประมวลผลในระบบคลาวด์ที่สามารถปรับขนาดทรัพยากรเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามความต้องการ
โมเดลไฮบริด: ธุรกิจ SaaS จํานวนมากผสานโมเดลการเรียกเก็บเงินหลายๆ แบบเข้าด้วยกันเพื่อความยืดหยุ่นที่มากขึ้น และเพื่อสนับสนุนกลุ่มลูกค้าในวงกว้างขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจจะมีโมเดลค่าบริการแบบต่อผู้ใช้ พร้อมส่วนเสริมที่คิดค่าบริการตามการใช้งานสําหรับฟีเจอร์เฉพาะ
เมื่อเลือกโมเดลการสมัครใช้บริการ SaaS ที่จะนำไปใช้ ให้ลองพิจารณาถึงแง่มุมดังต่อไปนี้ของธุรกิจ
กลุ่มเป้าหมาย: ใครคือลูกค้าในอุดมคติของคุณ รวมถึงความต้องการและงบประมาณของลูกค้าเหล่านั้น
ผลิตภัณฑ์: ซอฟต์แวร์ของคุณมีฟีเจอร์อะไรบ้างและมีความซับซ้อนในการใช้มากเพียงใด
คุณค่าที่นำเสนอ: ซอฟต์แวร์ของคุณมอบคุณค่าอะไรให้กับลูกค้า
ภูมิทัศน์ในการแข่งขัน: คู่แข่งของคุณใช้โมเดลการเรียกเก็บเงินแบบใด
ประโยชน์ของโมเดลการสมัครใช้บริการสําหรับธุรกิจ SaaS
ต่อไปนี้คือประโยชน์บางส่วนที่มักพบจากโมเดลการสมัครใช้บริการสําหรับธุรกิจ SaaS
รายรับที่คาดการณ์ได้: กระแสรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าช่วยมอบการคาดการณ์และการวางแผนทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น รวมทั้งลดความไม่แน่นอน และสนับสนุนการเติบโตที่มั่นคง
กระแสเงินสดที่ดีขึ้น: การชําระเงินรายเดือนหรือรายปีอย่างต่อเนื่องจะมอบกระแสเงินสดที่มั่นคง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานและการลงทุน
มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้าที่สูงขึ้น (CLTV): โมเดลการสมัครใช้บริการส่งเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว ซึ่งนําไปสู่รายรับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากการต่ออายุและการขายต่อยอด
ต้นทุนการได้ลูกค้าใหม่ที่ลดลง (CAC): โมเดลการสมัครใช้บริการให้ความสําคัญกับการรักษาลูกค้าเป็นอันดับแรก ซึ่งช่วยลดความจําเป็นในการหาลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่องและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า: การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สมัครใช้บริการเป็นประจําผ่านการอัปเดต การสนับสนุน และการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ทําให้เกิดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและสร้างความภักดีของลูกค้า
ความสามารถในการปรับขนาด: โมเดล SaaS ช่วยให้การขยายธุรกิจเป็นเรื่องง่ายเมื่อฐานลูกค้าเติบโตขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนล่วงหน้าจำนวนมากไปกับโครงสร้างพื้นฐานหรือทรัพยากร
การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: โมเดลการสมัครใช้บริการจะจูงใจให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ยังคงรักษาผู้สมัครใช้บริการไว้ได้ รวมทั้งดึงดูดผู้สมัครใช้บริการใหม่ๆ
ความคิดเห็นของลูกค้า: การโต้ตอบกับผู้สมัครใช้บริการเป็นประจําจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าสําหรับการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่
เวลาในการเข้าตลาดที่เร็วขึ้น: การให้บริการโดยใช้ระบบคลาวด์ช่วยให้ทำการอัปเดตและเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ได้รวดเร็วขึ้น ธุรกิจจึงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับโมเดลการสมัครใช้บริการสําหรับธุรกิจ SaaS
ธุรกิจที่ใช้โมเดลการสมัครใช้บริการ SaaS มักจะประสบปัญหาดังต่อไปนี้
การเลิกใช้บริการของลูกค้า
เมื่อสมัครใช้บริการ SaaS ลูกค้าจะเลิกใช้บริการได้ด้วยสาเหตุหลายประการ ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าไม่เข้าใจวิธีใช้ผลิตภัณฑ์นั้น พบปัญหาในการสนับสนุนลูกค้า หรือประสบปัญหาเกี่ยวกับค่าบริการ
วิธีแก้ปัญหา
กระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่ปรับให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละราย: ปรับแต่งประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานให้เหมาะกับความต้องการและเป้าหมายของผู้ใช้แต่ละราย
การมีส่วนร่วมกับลูกค้าในเชิงรุก: สื่อสารกับผู้ใช้เป็นประจําผ่านอีเมล จดหมายข่าว การสัมมนาผ่านเว็บ หรือข้อความในแอปเพื่อแจ้งข้อมูลและสร้างการมีส่วนร่วม
การสนับสนุนลูกค้าอย่างทันท่วงที: ระบุช่องทางต่างๆ เพื่อรับการสนับสนุน (เช่น อีเมล แชท โทรศัพท์) และพยายามแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว
ค่าบริการที่โปร่งใส: แจ้งการเปลี่ยนแปลงค่าบริการล่วงหน้า รวมถึงมอบรางวัลจูงใจสําหรับลูกค้าที่ภักดี
การเรียกเก็บเงินและการจัดการรายได้
การชําระเงินที่ไม่สําเร็จ การโต้แย้งใบแจ้งหนี้ และการทําบัญชีที่ไม่ถูกต้องอาจทําให้การจัดการการเรียกเก็บเงินและรายรับจากโมเดลการสมัครใช้บริการ SaaS เป็นเรื่องยาก
วิธีแก้ปัญหา
การจัดการการติดตามหนี้: นํากระบวนการอัตโนมัติมาใช้เพื่อลองเรียกเก็บเงินจากการชําระเงินที่ไม่สําเร็จซ้ําอีกครั้งและสื่อสารกับลูกค้า
ใบแจ้งหนี้ที่ชัดเจน: ระบุคำอธิบายการเรียกเก็บเงินอย่างโปร่งใสในใบแจ้งหนี้ที่ให้รายละเอียด
ซอฟต์แวร์การเรียกเก็บเงิน: ใช้ระบบการเรียกเก็บเงินที่น่าเชื่อถือเพื่อให้กระบวนการทํางานโดยอัตโนมัติ ปรับปรุงความแม่นยํา และปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ
ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ (CAC)
บริษัท SaaS อาจมี CAC ที่มีจำนวนสูง การโฆษณาแบบมีค่าใช้จ่าย การตลาดผ่านเนื้อหา และกิจกรรมต่างๆ อาจมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีงบประมาณจํากัด นอกจากนี้ ยอดขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) มักมีวงจรการขายที่ยาวนาน มีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายราย และกระบวนการประเมินที่ใช้เวลานานอีกด้วย
วิธีแก้ปัญหา
การตลาดแบบแรงดึงดูด: ดึงดูดลูกค้าผ่านเนื้อหาที่มีคุณค่าและการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา (SEO)
โปรแกรมแนะนําบริการ: กระตุ้นให้ลูกค้าปัจจุบันแนะนําผู้ใช้ใหม่
การทดลองใช้ฟรีและโมเดลฟรีเมียม: ให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะตัดสินใจใช้แพ็กเกจแบบมีค่าใช้จ่าย
เพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการขาย: ทําให้กระบวนการขายง่ายขึ้นและมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอํานาจตัดสินใจหลัก
การแข่งขัน
ตลาด SaaS อิ่มตัว ทําให้สร้างความโดดเด่นและดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ได้ยาก คู่แข่งอาจลดราคาเพื่อที่จะได้รับส่วนแบ่งตลาด ซึ่งส่งผลต่อผลกําไร การที่จะคงความเป็นผู้นำต้องอาศัยนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
วิธีแก้ปัญหา
การสร้างความแตกต่าง: มุ่งเน้นไปที่ฟีเจอร์ ประโยชน์ หรือตลาดเป้าหมายที่ไม่เหมือนใครซึ่งสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์ของคุณ
ฝ่ายบริการลูกค้า: มอบการบริการลูกค้าอันยอดเยี่ยมเพื่อสร้างความภักดีและการบอกต่อแบบปากต่อปาก
การเป็นพาร์ทเนอร์และการผสานการทํางาน: ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจอื่นๆ เพื่อขยายการเข้าถึงและสร้างมูลค่าให้ลูกค้ามากขึ้น
การรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
ผู้ให้บริการ SaaS ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ เพื่อปกป้องข้อมูลจากแฮ็กเกอร์ ดังนั้นจึงมักต้องพึ่งพาผู้ให้บริการบุคคลที่สามสําหรับโครงสร้างพื้นฐานหรือบริการ ซึ่งอาจทําให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมได้
วิธีแก้ปัญหา
มาตรการรักษาความปลอดภัยอันรัดกุม: ใช้การเข้ารหัสอันรัดกุม รวมทั้งมาตรการควบคุมการเข้าถึง และการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจํา
การสํารองข้อมูลและการกู้คืนหลังเกิดภัยพิบัติ: มีขั้นตอนปฏิบัติเพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูลอันเนื่องมาจากความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือภัยไซเบอร์
การฝึกอบรมพนักงาน: ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัยและความสําคัญของความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
การเชื่อมต่อการทํางานและความเข้ากันได้
ธุรกิจหลายแห่งยังคงใช้ระบบซอฟต์แวร์รุ่นเก่าที่อาจไม่สามารถผสานการทํางานกับโซลูชัน SaaS สมัยใหม่ได้อย่างง่ายดาย และผู้ให้บริการ SaaS บางรายอาจไม่มีส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์ (API) สําหรับการผสานการทํางานกับระบบอื่นๆ นอกจากนี้ การผสานการทํางานข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ยังอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเนื่องจากแต่ละแพลตฟอร์มก็มีรูปแบบและโครงสร้างที่แตกต่างกันไป
วิธีแก้ปัญหา
Open API: มอบ API ที่มีเอกสารประกอบชัดเจนและใช้งานง่ายเพื่ออำนวยความสะดวกในการผสานการทํางานกับแพลตฟอร์มอื่นๆ
การผสานการทํางานสําเร็จรูป: นําเสนอการผสานการทํางานสําเร็จรูปโดยใช้ระบบจากบริษัทอื่นที่ได้รับความนิยม
บริการผสานระบบที่ออกแบบเอง: ให้บริการเฉพาะทางเพื่อช่วยลูกค้าที่มีความต้องการด้านการเชื่อมต่อระบบที่ซับซ้อน
ความสามารถในการปรับขนาด
การปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอาจมีราคาแพงและใช้เวลานาน นอกจากนี้ การคงประสิทธิภาพอันรวดเร็วและเสถียรเมื่อฐานผู้ใช้เติบโตขึ้นก็อาจเป็นความท้าทายทางเทคนิค การมอบการสนับสนุนฐานลูกค้าที่เติบโตขึ้นอย่างเพียงพอนั้นก็ยังต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญเพิ่มเติมด้วย
วิธีแก้ปัญหา
โครงสร้างพื้นฐานบนระบบคลาวด์: ใช้ความสามารถในการปรับขนาดของแพลตฟอร์มประมวลผลในระบบคลาวด์เพื่อรองรับการเติบโต
ทรัพยากรแบบบริการตัวเอง: ส่งเอกสารประกอบ บทแนะนําการใช้งาน และคําถามที่พบบ่อยในรูปแบบออนไลน์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
การติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพการทํางาน: ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเป็นประจําและระบุปัญหาติดขัดตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันการหยุดทํางานและความล่าช้า
การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ
ธุรกิจ SaaS ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหลายประการเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และข้อกําหนดเฉพาะของอุตสาหกรรม กฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ อาจเปลี่ยนแปลงได้บ่อย ทําให้การติดตามข้อมูลล่าสุดและตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนดนั้นเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้ ธุรกิจที่ดําเนินงานในหลายประเทศยังต้องสํารวจกรอบการทำงานทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่แตกต่างกันไป
วิธีแก้ปัญหา
ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย: ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เครื่องมือการปฏิบัติตามข้อกําหนด: ใช้ซอฟต์แวร์เพื่อปรับการทํางานด้านการปฏิบัติตามข้อกําหนดและติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านข้อบังคับให้เป็นระบบอัตโนมัติ
การรับรอง: ขอรับการรับรอง (เช่น ISO/IEC 27001) เพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่นในการรักษาความปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูล
ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
ความต้องการและความชอบของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทําให้ธุรกิจคาดการณ์และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ยาก เทคโนโลยีใหม่ๆ อาจเข้ามาพลิกโฉมตลาดและสร้างความคาดหวังใหม่ๆ สําหรับผลิตภัณฑ์ SaaS ยิ่งไปกว่านั้น คู่แข่งที่เปิดตัวฟีเจอร์หรือบริการใหม่ๆ ก็อาจบีบให้ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว
วิธีแก้ปัญหา
ลูปความคิดเห็นของลูกค้า: รวบรวมความคิดเห็นจากลูกค้าเพื่อทําความเข้าใจความต้องการของพวกเขาและระบุสิ่งที่ต้องปรับปรุง
การพัฒนาอย่างคล่องตัว: นําระเบียบวิธีการพัฒนาที่คล่องตัวมาใช้เพื่อให้ปรับตัวตามข้อกําหนดที่มีการเปลี่ยนแปลงและเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
การวิจัยตลาด: ติดตามข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับแนวโน้มในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่กําลังเกิดขึ้นเพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าในอนาคต
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับโมเดลการสมัครใช้บริการ SaaS
ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการใช้โมเดลการสมัครใช้บริการ SaaS ของคุณ
การรักษาลูกค้า
กระบวนการเริ่มต้นใช้งานในภาพรวม: มอบประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานแบบส่วนตัวที่ผู้ใช้จะได้รับคําแนะนําเฉพาะบุคคลและการสนับสนุนในช่วงทดลองใช้ฟรี แทนที่จะเป็นการทดลองใช้ฟรีแบบทั่วๆ ไป วิธีนี้อาจช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินเมื่อผู้ใช้รู้สึกได้ใช้เวลาและเข้าใจถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์
ความสําเร็จของลูกค้า: ลงทุนกับทีมความสําเร็จของลูกค้าที่พร้อมระบุและแก้ไขปัญหาที่ลูกค้าเผชิญ รวมถึงลดอัตราการเลิกใช้บริการ พร้อมทั้งสร้างโอกาสในการขายต่อยอดและการขายต่อเนื่อง
การสมัครใช้บริการที่ยั่งยืน: แทนที่จะเป็นสัญญาแบบกําหนดระยะเวลา ให้มุ่งเน้นไปที่การสร้างโมเดลการสมัครใช้บริการแบบ "แบบยั่งยืน" ที่ลูกค้าจะได้รับมูลค่าอย่างต่อเนื่องผ่านการอัปเดตเป็นประจํา ฟีเจอร์ใหม่ และเนื้อหาสุดพิเศษ การทำเช่นนี้กระตุ้นให้มีการต่ออายุในระยะยาวและลดความกดดันจากการเจรจาต่อรองในแต่ละปี
การใช้เทคนิคในรูปแบบของเกม: การใช้เทคนิคในรูปแบบของเกมไว้ในโมเดลการสมัครใช้บริการของคุณ เช่น การให้รางวัลลูกค้าที่ภักดีด้วยป้ายแสดง ส่วนลด หรือสิทธิ์เข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ ก่อนเปิดตัว วิธีนี้อาจช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและทําให้ประสบการณ์การสมัครใช้บริการมีความสนุกสนานมากขึ้น
การวิเคราะห์การเลิกใช้บริการที่คาดการณ์ไว้: ใช้แมชชีนเลิร์นนิงเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และคาดการณ์ความเสี่ยงในการเลิกใช้บริการ เพื่อให้คุณเข้าไปหยุดยั้งด้วยข้อเสนอที่กําหนดเป้าหมาย การสื่อสารที่ปรับให้เหมาะกับลูกค้า หรือการสนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าเลิกใช้บริการของธุรกิจ
ค่าบริการ
ค่าบริการที่ปรับให้เหมาะกับบุคคล: ใช้แมชชีนเลิร์นนิงและข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับค่าบริการตามรูปแบบการใช้งาน ความต้องการ และความยินดีที่จะชําระเงิน วิธีนี้จะช่วยเพิ่มรายรับให้สูงสุดไปพร้อมๆ กับการสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับข้อเสนอที่ยุติธรรม
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานแบบไฮบริด: ระบุโมเดลตามการใช้งานพร้อมขีดจํากัดสูงสุด หรือระบบแบบแบ่งตามระดับที่เปลี่ยนเป็นค่าธรรมเนียมคงที่หลังจากถึงเกณฑ์การใช้งานหนึ่งๆ การทำเช่นนี้จะช่วยมอบความยืดหยุ่นให้ผู้ใช้ที่มีความต้องการไม่แน่นอน พร้อมทั้งสร้างรายรับที่คาดการณ์ได้ให้กับธุรกิจของคุณ
ค่าบริการที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน: ดึงดูดชุมชนผู้ใช้ของคุณให้มาพูดคุยเกี่ยวกับค่าบริการและรวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับโมเดลค่าบริการที่เป็นไปได้ วิธีนี้จะสร้างความโปร่งใสและเปิดรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความคิดเห็นของลูกค้าและความยินดีที่จะชําระเงิน
การรวมชุดหรือแยกชุด: ทดสอบการรวมชุดผลิตภัณฑ์หรือบริการเสริมเป็นแพ็กเกจการสมัครใช้บริการแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าคําสั่งซื้อเฉลี่ยและรองรับกลุ่มลูกค้าอื่นๆ หรืออาจยกเลิกการรวมชุดฟีเจอร์บางอย่างและนำเสนอเป็นส่วนเสริมเพื่อสร้างรายรับเพิ่มเติม
การทดลองใช้ค่าบริการ: ทดสอบโมเดลและกลยุทธ์ค่าบริการแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มรายรับและความพึงพอใจของลูกค้า ใช้การทดสอบ A/B เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของตัวเลือกค่าบริการแบบต่างๆ และรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในอนาคต
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ