อัตราการคาดการณ์รายรับคือเมตริกทางการเงินที่ใช้คํานวณรายรับในอนาคตของบริษัท โดยทั่วไปแล้ว เมตริกนี้จะใช้รายได้ที่ได้รับในช่วงเดือนหรือไตรมาสล่าสุดเพื่อคาดการณ์รายได้ดังกล่าวตลอดทั้งปี โดยเป็นการประมาณการรายได้ต่อปีหากแนวโน้มในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป ตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีรายรับ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 1 ไตรมาส อัตราการคาดการณ์รายรับต่อปีจะอยู่ที่ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทที่เติบโตเร็วมักจะใช้เมตริกนี้เพื่อคาดการณ์รายรับต่อปี โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจเติบโตหรือมีการเปลี่ยนแปลงล่าสุด นั่นหมายความว่าผลประกอบการทางการเงินในอดีตจะคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคตได้อย่างสมบูรณ์ บางครั้ง อัตรการคาดการณ์รายรับอาจเป็นการมองโลกในแง่ดีหรือเรียบง่ายเกินไป เนื่องจากถือว่ามีเงื่อนไขคงที่และละเว้นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล การเปลี่ยนแปลงของตลาด หรือการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์การดําเนินงาน
ต่อไปนี้เราจะอธิบายเหตุผลที่บริษัทต่างๆ ใช้อัตราการคาดการณ์รายรับ วิธีการคํานวณ ข้อจํากัดที่ควรทราบ รวมถึงการเปรียบเทียบกับรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าต่อปี (ARR) และรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าต่อเดือน (MRR)
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ทําไมบริษัทต่างๆ จึงใช้อัตราการคาดการณ์รายรับ
- วิธีคํานวณอัตราการคาดการณ์รายรับ
- ข้อจํากัดของอัตราการคาดการณ์รายรับ
- การเปรียบเทียบอัตราการคาดการณ์รายรับกับ ARR และ MRR
ทําไมบริษัทต่างๆ จึงใช้อัตราการคาดการณ์รายรับ
บริษัทต่างๆ ใช้อัตราการคาดการณ์รายรับ (RRR) เพื่อทําความเข้าใจถึงประสิทธิภาพทางการเงินของบริษัทและตัดสินใจทางธุรกิจอย่างมีข้อมูล สิ่งที่ RRR สามารถบอกได้เกี่ยวกับบริษัทของคุณ มีดังนี้
RRR ช่วยบริษัทประเมินรายรับต่อปีได้ ซึ่งช่วยให้บริษัทคาดการณ์รายรับในอนาคต กําหนดเป้าหมายทางการเงินที่สมเหตุสมผล ตลอดจนวางแผนงบประมาณให้สอดคล้องกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีประโยชน์สําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทที่มีการเติบโตสูง
อัตราการคาดการณ์รายรับจะให้ข้อมูลสถานะทางการเงินของบริษัทโดยสรุป ซึ่งสามารถใช้ประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การขายและการตลาด ระบุแนวโน้มการเติบโตของรายรับ และเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับเกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรมได้
วิธีนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจศักยภาพการสร้างรายได้ของบริษัท โดยนิยมใช้ในการนําเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุนและใช้ในรายงานทางการเงิน
อัตราการคาดการณ์รายรับนี้สามารถบ่งบอกถึงการตัดสินใจทางธุรกิจ รวมถึงกลยุทธ์ค่าบริการ แผนจ้างงาน และการจัดสรรเงินลงทุน ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มี RRR ที่แข็งแกร่งอาจรู้สึกมั่นใจที่จะลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ในขณะที่บริษัทที่มี RRR ที่ลดลงอาจต้องมุ่งเน้นไปที่มาตรการลดต้นทุน
สามารถกำหนดมูลค่าของบริษัทได้ในระหว่างรอบการระดมทุน RRR ที่สูงจะส่งสัญญาณถึงศักยภาพในการเติบโตที่มั่นคงและทําให้บริษัทดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น
การเปรียบเทียบ RRR กับค่าเฉลี่ยหรือคู่แข่งในอุตสาหกรรมสามารถช่วยให้บริษัทประเมินตำแหน่งทางการตลาดและระบุด้านที่ควรปรับปรุงได้
RRR ช่วยให้ทีมขายและพนักงานเข้าใจถึงผลลัพธ์ของความพยายามและความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายรายรับ ซึ่งอาจทําหน้าที่เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจได้ด้วย
วิธีคํานวณอัตราการคาดการณ์รายรับ
วิธีการคํานวณ RRR ขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูลรายรับที่มีอยู่ หากคุณมีข้อมูลรายรับต่อเดือน ให้ใช้ข้อมูลรายรับทั้งหมด 1 เดือน และคูณด้วย 12
ตัวอย่างเช่น หากรายรับของบริษัทในเดือนมิถุนายนคือ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ การคํานวณอัตราการคาดการณ์รายรับก็จะเป็นดังนี้
รายรับ 50,000 มิถุนายน x 12 เดือน = 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ RRR
หากคุณมีข้อมูลรายรับรายไตรมาส ให้ใช้รายรับทั้งหมดสําหรับไตรมาสนั้น แล้วคูณด้วย 4
ตัวอย่างเช่น หากรายรับของบริษัทในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ การคํานวณอัตราการคาดการณ์รายรับก็จะเป็นดังนี้
รายรับ 150,000 Q2 x 4 ไตรมาส = 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ RRR
หากคุณมีข้อมูลรายรับในรอบเวลาอื่น (เช่น 1 สัปดาห์ หรือ 28 วัน) ให้นำรายรับรวมของรอบนั้นมาหารด้วยจํานวนวันในรอบนั้นเพื่อให้ได้รายรับต่อวันโดยเฉลี่ย จากนั้นคูณรายรับรายวันโดยเฉลี่ยด้วย 365 (จํานวนวันต่อปี)
ตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีรายรับ 21,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วง 28 วัน การคํานวณอัตราการคาดการณ์รายรับจะเป็นดังนี้
(รายรับ 21,000 ดอลาร์สหรัฐในรอบ ÷ 28 วัน) x 365 วัน = 273,750 ดอลาร์สหรัฐ RRR
ข้อจํากัดของอัตราการคาดการณ์รายรับ
RRR เป็นค่าประมาณรายรับในอนาคต ไม่ใช่การรับประกัน อัตราการคาดการณ์อาจให้มุมมองด้านการเงินของบริษัทในเชิงบวกหรือเชิงลบ ซึ่งอาจทําให้ผู้มีส่วนได้เสีย นักลงทุน หรือผู้ที่อาจกลายเป็นผู้ซื้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับประสิทธิภาพจริงและเสถียรภาพของธุรกิจ ธุรกิจอาจทําการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ตามการคาดการณ์เหล่านี้ เช่น การขยายการดําเนินงาน จ้างงาน หรือการกําหนดค่าใช้จ่ายด้านเงินทุน ซึ่งอาจพบว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืนหากรายรับที่คาดการณ์ไว้ไม่เกิดขึ้นจริง
ต่อไปนี้เป็นปัจจัยหลักๆ ที่จํากัดความแม่นยําของอัตราการคาดการณ์รายรับ
อัตราการคาดการณ์รายรับคำนวณจากสมมติฐานพื้นฐานที่ว่า เงื่อนไขทางธุรกิจและรายได้จะยังคงคงที่ตลอดทั้งปี โดยไม่ได้คำนึงถึงฤดูกาล ความผันผวนของตลาด หรือการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบต่างๆ การแข่งขันใหม่ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เมื่อคำนวณ RRR ธุรกิจควรใช้ข้อมูลจากหลายๆ เดือนหรือหลายๆ ไตรมาสเพื่อคำนึงถึงฤดูกาลและความผันผวน
การคํานวณอัตราการคาดการณ์มักจะไม่แยกระหว่างรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าและแบบครั้งเดียว หากรายรับจำนวนมากส่วนหนึ่งในรอบการคํานวณมาจากธุรกรรมแบบครั้งเดียว ตัวเลขรายปีจะไม่แสดงรายได้ในอนาคตอย่างถูกต้อง
สําหรับบริษัทที่ประสบปัญหาการเติบโตหรือการถดถอย อัตราดังกล่าวอาจคาดการณ์รายรับในอนาคตได้ไม่ถูกต้อง เพราะเมตริกนี้จะอิงตามข้อมูลภาพรวมในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจทําให้เกิดการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการตัดสินใจลงทุนได้
ดังนั้น ธุรกิจต่างๆ จึงต้องใช้อัตราการคาดการณ์รายรับร่วมกับเมตริกทางการเงินอื่นๆ เช่น ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ มูลค่าตลอดอายุการใช้งาน และอัตราการเลิกใช้บริการ เพื่อให้เข้าใจสถานะทางการเงินและผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น
การเปรียบเทียบอัตราการคาดการณ์รายรับกับ ARR และ MRR
อัตราการคาดการณ์รายรับ รายรับตามแบบแผนล่วงหน้าต่อปีและรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าต่อเดือนเป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องทั้งหมดซึ่งพิจารณาถึงด้านต่างๆ ของรายได้ของธุรกิจ ARR และ MRR จะจัดการกับรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าเท่านั้น ในขณะที่ RRR จะพิจารณารายรับทั้งหมด ARR และ RRR จะคาดการณ์รายรับในแต่ละปี ส่วน MRR เน้นไปที่รายรับต่อเดือน
เนื่องจากทั้ง ARR และ RRR เป็นการคาดการณ์ ดังนั้นจึงถูกจํากัดด้วยข้อสันนิษฐานว่าแนวโน้มรายรับในปัจจุบันจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง MRR คือข้อมูลสรุปรายรับต่อเดือนที่ใช้สําหรับการจัดการและการวางแผนทางการเงินแบบทันที ส่วน ARR ช่วยให้สามารถคงความเสถียรของกระแสรายได้ประจำ และ RRR นั้นใช้สำหรับการคาดการณ์ทางการเงินในวงกว้างและการประมาณการเติบโต
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมตริกเหล่านี้มีดังนี้
อัตราการคาดการณ์รายรับ
RRR เป็นเมตริกที่ใช้วัดการประมาณรายได้ต่อปีโดยอ้างอิงจากรายได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยทั่วไปคือหนึ่งเดือนหรือหนึ่งไตรมาส วิธีนี้จะครอบคลุมรายได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบบตามรอบหรือครั้งเดียว และจะคาดการณ์ว่ารายได้รวมต่อปีจะเป็นเท่าใด หากเงื่อนไขและผลการดำเนินงานปัจจุบันยังคงเป็นเช่นเดิมตลอดทั้งปี
RRR มักใช้ในบริษัทที่ไม่เพียงแต่มีรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าเพียงอย่างเดียว หรือบริษัทที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นและต้องการคาดการณ์รายได้ประจำปีโดยอิงจากผลลัพธ์เริ่มต้นหรือในระยะสั้น เมตริกนี้ไม่ได้พิจารณาความผันผวนอันเนื่องมาจากฤดูกาล การเปลี่ยนแปลงของตลาด หรือการขายที่ไม่เกิดขึ้นจริง และยึดว่ารายได้มีเสถียรภาพ ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นจริง
- การคํานวณ: คูณรายรับของเดือนหนึ่งหรือไตรมาสด้วย 12 หรือ 4 ตามลําดับ เพื่อคาดการณ์ในแต่ละปี
รายรับตามแบบแผนล่วงหน้าต่อปี
ARR จะวัดรายรับที่คาดการณ์ได้และมีความเสถียร ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเรียกเก็บซ้ําเป็นประจําทุกปีจากการเรียกเก็บเงินตามรอบบิลหรือสัญญาที่ดําเนินอยู่ บริษัทที่มีโมเดลธุรกิจเป็นแบบสมัครใช้บริการหรือสัญญาที่สร้างรายรับอย่างสม่ําเสมอและเกิดขึ้นเป็นประจํา เช่น บริษัทที่ให้การบริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) บริการสมาชิก ฯลฯ
ARR มีภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับรายรับที่เสถียรและคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญสําหรับการประเมินสถานะทางการเงินของบริษัทที่มีโมเดลรายรับตามแบบแผนล่วงหน้า แต่เนื่องจากวิธีนี้ไม่รวมการชําระเงินแบบครั้งเดียวและรายรับที่ไม่เกิดขึ้นจริง ข้อมูลก็อาจแสดงภาพรวมรายรับรวมของบริษัทได้ไม่ครบถ้วน และวิธีนี้ก็ไม่ได้พิจารณาความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากฤดูกาลหรือการเปลี่ยนแปลงของตลาดด้วย
- การคํานวณ: รวมรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าทั้งหมดและคำนวณเป็นรายปี โดยมักจะคูณรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าต่อเดือนด้วย 12
รายรับตามแบบแผนล่วงหน้าต่อเดือน
MRR คือตัวชี้วัดรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าที่บริษัทที่คาดการณ์ได้ซึ่งได้รับจากผู้สมัครใช้บริการหรือลูกค้าในแต่ละเดือน ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่ดำเนินการในรูปแบบสมัครสมาชิกหรือสัญญาต่อเนื่อง
MRR จะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับสถานะทางการเงินและการคาดการณ์รายรับต่อเดือน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจที่เรียกเก็บเงินตามรอบบิลมีการจัดงบประมาณ การคาดการณ์ และการวางแผนการปฏิบัติงาน
- การคํานวณ: คูณจํานวนลูกค้าที่ชําระเงินรายเดือนทั้งหมดด้วยรายรับเฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ซึ่งอาจรวมถึงการปรับเปลี่ยนสําหรับการอัปเกรด การดาวน์เกรด และการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าด้วย
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ