ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรวมใบเรียกเก็บเงิน: สิ่งที่ธุรกิจต้องรู้

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การเรียกเก็บเงินแบบรวมมีหลักการทำงานอย่างไร
  3. ธุรกิจประเภทใดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเรียกเก็บเงินแบบรวม
  4. ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินแบบรวมสำหรับธุรกิจ
    1. ประโยชน์ของการใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวม
    2. ประโยชน์ของการเสนอการเรียกเก็บเงินแบบรวม
  5. กลยุทธ์สำหรับผู้ให้บริการการเรียกเก็บเงินแบบรวม
    1. ประสบการณ์ของลูกค้า
    2. การเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ
  6. สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนนำการเรียกเก็บเงินแบบรวมมาใช้

การเรียกเก็บเงินแบบรวมช่วยให้สามารถเรียกเก็บเงินหลายบัญชีได้ในใบแจ้งหนี้ฉบับเดียว ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจหรือองค์กรที่มีหลายแผนกหรือมีบริษัทย่อยหลายแห่ง เนื่องจากจะช่วยให้ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินง่ายขึ้นและทำให้ติดตามการใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น

ในส่วนต่อไป เราจะอธิบายวิธีการทำงานของการเรียกเก็บเงินแบบรวม, ประเภทธุรกิจที่เหมาะสมที่สุด, กลยุทธ์ในการปรับปรุงกระบวนการ และปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนนำการเรียกเก็บเงินแบบรวมมาใช้

เนื้อหาหลักในบทความ

  • การเรียกเก็บเงินแบบรวมทำงานอย่างไร
  • ธุรกิจประเภทใดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเรียกเก็บเงินแบบรวม
  • ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินแบบรวมสำหรับธุรกิจ
  • กลยุทธ์สำหรับผู้ให้บริการการเรียกเก็บเงินแบบรวม
  • สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนนำการเรียกเก็บเงินแบบรวมมาใช้

การเรียกเก็บเงินแบบรวมมีหลักการทำงานอย่างไร

การเรียกเก็บเงินแบบรวมจะทำงานโดยการรวบรวมยอดเงินจากหลายบัญชีหรือบริการไว้ในใบแจ้งหนี้ฉบับเดียว ซึ่งโดยปกติจะทำเป็นรายเดือน แต่รอบการเรียกเก็บเงินอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ โดยทั่วไปกระบวนการนี้จะประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้

  • การลงทะเบียน: ลูกค้าลงทะเบียนเพื่อใช้บริการเรียกเก็บเงินแบบรวมกับผู้ให้บริการ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงหลายบัญชีหรือบริการเข้าด้วยกัน

  • การติดตามการใช้งาน: ผู้ให้บริการจะติดตามการใช้งานของแต่ละบัญชีหรือบริการ

  • การรวบรวมยอด: เมื่อสิ้นสุดรอบการเรียกเก็บเงิน ผู้ให้บริการจะรวบรวมยอดเงินจากบัญชีหรือบริการที่เชื่อมโยงทั้งหมด

  • การสร้างใบแจ้งหนี้: ผู้ให้บริการจะสร้างใบแจ้งหนี้ฉบับเดียวที่ระบุรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากบัญชีหรือบริการแต่ละรายการ

  • การชำระเงิน: ลูกค้าชำระใบแจ้งหนี้แบบรวมสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากบัญชีหรือบริการที่เชื่อมโยงไว้

ธุรกิจประเภทใดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเรียกเก็บเงินแบบรวม

การเรียกเก็บเงินแบบรวมเป็นโซลูชันที่ยืดหยุ่นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจได้หลากหลายประเภท อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับองค์กรบางประเภทโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากโครงสร้างการดำเนินงานและความต้องการ

  • ธุรกิจที่มีหลายแผนกหรือบริษัทย่อย: องค์กรที่มีหลายแผนก, สาขา หรือบริษัทย่อยมักมีบัญชีจำนวนมากสำหรับบริการต่างๆ เช่น โทรคมนาคมและสาธารณูปโภค ธุรกิจเหล่านี้สามารถใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวมเพื่อทำให้การทำบัญชีง่ายขึ้นและลดภาระงานธุรการได้

  • ธุรกิจที่ใช้โมเดลการชำระเงินตามรอบบิล: ธุรกิจที่มีบริการแบบชำระเงินตามรอบบิล เช่น ซอฟต์แวร์, แพลตฟอร์มสตรีมมิง หรือบริการพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ สามารถใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวมเพื่อให้ลูกค้าได้รับใบแจ้งหนี้เพียงฉบับเดียวสำหรับการชำระเงินตามรอบบิลทั้งหมด ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและลดความเสี่ยงในการชำระเงินที่ไม่สำเร็จ

  • ธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมสูง: ธุรกิจที่จัดการธุรกรรมจำนวนมากในหลายบัญชีสามารถใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวมเพื่อประหยัดเวลาและทรัพยากรในการประมวลผลการชำระเงินและการกระทบยอด

  • ธุรกิจที่ใช้บริการหลายอย่างจากผู้ให้บริการรายเดียวกัน: องค์กรที่ใช้บริการหลายอย่างจากผู้ให้บริการรายเดียวสามารถใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวมเพื่อทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายง่ายขึ้นและอาจใช้ประโยชน์จากส่วนลดแบบแพ็กเกจได้

  • ผู้ให้บริการที่มีการจัดการ (MSP): MSP ที่จัดการบัญชีลูกค้าหลายบัญชีสามารถใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวมเพื่อให้ลูกค้าของตนมีจุดติดต่อเดียวสำหรับการเรียกเก็บเงินและการชำระเงิน ซึ่งทำให้การจัดการทางการเงินง่ายขึ้น

ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินแบบรวมสำหรับธุรกิจ

การใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวมสำหรับธุรกิจของคุณและการเสนอการเรียกเก็บเงินแบบรวมให้แก่ลูกค้ามีประโยชน์มากมาย ต่อไปนี้คือข้อมูลสรุปเกี่ยวกับประโยชน์ที่การจัดการแต่ละรูปแบบสามารถมอบให้ได้

ประโยชน์ของการใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวม

  • ส่วนลดตามปริมาณ: ผู้ให้บริการหลายราย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและคลาวด์คอมพิวติง มีค่าบริการแบบแบ่งระดับ การรวมการใช้งานจากหลายบัญชีหรือบริการเข้าด้วยกันจะช่วยให้ธุรกิจไปถึงขั้นที่สูงขึ้นได้ ซึ่งทำให้ได้รับส่วนลดตามปริมาณการใช้งานที่บัญชีรายบุคคลไม่สามารถทำได้

  • การจัดการสัญญา: การเรียกเก็บเงินแบบรวมมักอยู่ภายใต้ข้อตกลงการให้บริการหลักฉบับเดียว จึงไม่จำเป็นต้องติดตามสัญญาหลายฉบับที่มีข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างกัน ซึ่งจะช่วยลดภาระงานด้านการจัดการสัญญาและความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางกฎหมาย

  • การจัดการข้อโต้แย้ง: การรวมบริการไว้ภายใต้ผู้ให้บริการรายเดียวทำให้การจัดการข้อโต้แย้งตรงไปตรงมามากขึ้น ธุรกิจต่างๆ สามารถจัดการปัญหาผ่านจุดติดต่อเดียว แทนที่จะต้องติดต่อกับตัวแทนฝ่ายบริการลูกค้าหลายราย ซึ่งจะช่วยเร่งการแก้ไขและลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด

  • ความโปร่งใสของค่าใช้จ่าย: การเรียกเก็บเงินแบบรวมจะให้รายละเอียดค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจนในทุกบริการ ซึ่งช่วยให้วิเคราะห์รูปแบบการใช้จ่ายและระบุส่วนที่ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้น

  • การตรวจสอบบัญชีและการปฏิบัติตามข้อกำหนด: การมีใบแจ้งหนี้ฉบับเดียวช่วยให้การตรวจสอบบัญชีง่ายขึ้น และทำให้การปฏิบัติตามนโยบายภายในและข้อบังคับภายนอกสะดวกขึ้น เนื่องจากธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบริการจะรวมอยู่ในที่เดียว

  • การจัดสรรทรัพยากร: การรวมการเรียกเก็บเงินและการชำระเงินเข้าด้วยกันจะช่วยลดภาระด้านทรัพยากรทางการเงินและแรงงาน ทำให้ธุรกิจสามารถจัดสรรทรัพยากรเหล่านี้ไปใช้ในการเติบโตหรือด้านอื่นๆ ได้

  • ความเสี่ยงในการชำระเงินล่าช้าลดลง: การมีใบแจ้งหนี้และวันครบกำหนดชำระเพียงฉบับเดียว ทำให้ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะชำระเงินพลาดน้อยลง จึงหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมล่าช้าและการหยุดชะงักของบริการที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือทางเครดิตของธุรกิจและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้ค้า

  • การรายงานภาษี: การเรียกเก็บเงินแบบรวมช่วยให้การรายงานภาษีง่ายขึ้นโดยการรวมภาษีที่เกี่ยวข้องกับบริการทั้งหมดไว้ในเอกสารฉบับเดียว ซึ่งจะทำให้การคำนวณภาษีง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น

  • การจัดทำงบประมาณและการคาดการณ์: ใบแจ้งหนี้แบบรวมให้มุมมองค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุม ทำให้การสร้างงบประมาณและการคาดการณ์ทางการเงินที่แม่นยำทำได้ง่ายขึ้น

ประโยชน์ของการเสนอการเรียกเก็บเงินแบบรวม

  • ประสบการณ์ของลูกค้า: การเรียกเก็บเงินแบบรวมช่วยให้ขั้นตอนการชำระเงินของลูกค้าง่ายขึ้น ทำให้สะดวกและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดน้อยลง

  • ลดอัตราการเลิกใช้บริการ: การเรียกเก็บเงินแบบรวมช่วยลดความไม่พอใจที่อาจทำให้ลูกค้ามองหาผู้ให้บริการรายอื่นโดยขจัดความยุ่งยากจากใบเรียกเก็บเงินหลายใบ ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเลิกใช้บริการและทำให้รายรับที่เกิดขึ้นประจำมีความเสถียรมากขึ้น

  • การชำระเงินที่ตรงต่อเวลา: การเรียกเก็บเงินแบบรวมมักจะส่งเสริมให้เกิดการชำระเงินที่ตรงต่อเวลา เนื่องจากลูกค้ามีแนวโน้มที่จะชำระใบเรียกเก็บเงินฉบับเดียวตรงเวลามากกว่าใบเรียกเก็บเงินหลายใบที่มีวันครบกำหนดชำระแตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงกระแสเงินสดและลดความจำเป็นในการติดตามทวงถามหนี้

  • การสร้างความแตกต่าง: การเรียกเก็บเงินแบบรวมอาจเป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกและความเรียบง่าย

  • ภาพลักษณ์ของแบรนด์: วิธีการเรียกเก็บเงินนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจของคุณให้ความสำคัญกับลูกค้า ซึ่งสามารถช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ได้

  • การคาดการณ์: รอบการเรียกเก็บเงินและไทม์ไลน์การชำระเงินที่คาดการณ์ได้ช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์รายรับได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งอำนวยความสะดวกในการวางแผนทางการเงินและการจัดสรรทรัพยากรที่ดีขึ้น

  • การเรียกเก็บเงินที่ง่ายขึ้น: การเรียกเก็บเงินแบบรวมทำให้ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินเป็นไปโดยอัตโนมัติและง่ายขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระงานธุรการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและประมวลผลใบแจ้งหนี้หลายใบ ซึ่งนำไปสู่การประหยัดต้นทุนได้อย่างมากในแง่ของเวลาทำงานของพนักงาน, ค่าไปรษณีย์ และทรัพยากรอื่นๆ

  • ข้อโต้แย้งน้อยลง: ใบแจ้งหนี้ฉบับเดียวที่ครอบคลุมจะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดและความคลาดเคลื่อนในการเรียกเก็บเงิน ซึ่งนำไปสู่ข้อโต้แย้งจากลูกค้าที่น้อยลงและลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

  • ข้อเสนอแบบแพ็กเกจ: การเรียกเก็บเงินแบบรวมสร้างโอกาสในการส่งเสริมข้อเสนอแบบแพ็กเกจ ซึ่งลูกค้าสามารถเพิ่มบริการหลายรายการลงในแผนบริการที่มีอยู่ได้ในอัตราส่วนลด ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายรับเฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU)และยอดขายโดยรวมให้สูงขึ้นได้

กลยุทธ์สำหรับผู้ให้บริการการเรียกเก็บเงินแบบรวม

ในฝั่งของผู้ให้บริการ มีแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดหลายอย่างที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าของคุณได้ ต่อไปนี้คือกลยุทธ์สำหรับธุรกิจที่ให้บริการออกใบแจ้งหนี้แบบรวม

ประสบการณ์ของลูกค้า

  • อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย: พัฒนาแพลตฟอร์มการออกใบแจ้งหนี้แบบรวมที่ใช้งานง่าย ซึ่งลูกค้าสามารถดูและจัดการใบเรียกเก็บเงินของตนเองได้

  • ตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย: ผสานการทำงานของวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย (เช่น บัตรเครดิตและเดบิต, การโอนเงินแบบ ACH, กระเป๋าเงินดิจิทัล) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า จัดเตรียมตัวเลือกการชำระเงินอัตโนมัติเพื่อทำให้ขั้นตอนการชำระเงินง่ายขึ้นและอำนวยความสะดวกในการชำระเงินที่ตรงต่อเวลา

  • ใบแจ้งยอดการเรียกเก็บเงินที่ชัดเจน: นำเสนอใบเรียกเก็บเงินในรูปแบบที่ชัดเจนและรัดกุม โดยมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงภาษีหรือค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนและลดข้อโต้แย้ง

  • การอัปเดตและการแจ้งเตือนอย่างสม่ำเสมอ: แจ้งให้ลูกค้าทราบอยู่เสมอเกี่ยวกับรอบการเรียกเก็บเงินและการเปลี่ยนแปลงราคาหรือข้อเสนอบริการผ่านการแจ้งเตือนทางอีเมลหรือข้อความในแอป ส่งการแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีก่อนวันครบกำหนดเพื่อลดความเสี่ยงของการชำระเงินล่าช้าและค่าธรรมเนียม

  • การสนับสนุนที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว: จัดหาช่องทางการสนับสนุนลูกค้าที่พร้อมให้บริการ (เช่น โทรศัพท์, อีเมล, ไลฟ์แชท) เพื่อตอบข้อซักถามหรือข้อกังวลเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงิน

  • โปรแกรมสะสมคะแนน: ใช้โปรแกรมรางวัลเพื่อตอบแทนลูกค้าสำหรับความภักดีด้วยส่วนลดพิเศษ, สิทธิ์ในการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ ก่อนใคร หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ

  • เครื่องมือจัดทำงบประมาณ: จัดหาเครื่องมือจัดทำงบประมาณหรือเครื่องมือติดตามการใช้จ่ายที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบการใช้งานและกำหนดวงเงินการใช้จ่ายของตนเองได้ เพื่อส่งเสริมการควบคุมและความพึงพอใจ

การเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ

  • การกำหนดราคาแบบไดนามิก: พิจารณาใช้โมเดลการกำหนดราคาแบบไดนามิกที่เสนอส่วนลดหรือสิ่งจูงใจตามปริมาณการใช้งานหรือความภักดีเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและรายรับ

  • รวบรวมความคิดเห็น: สอบถามความคิดเห็นจากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียกเก็บเงินเพื่อระบุส่วนที่ควรปรับปรุง

  • การติดตามประสิทธิภาพ: ติดตามเมตริกหลักๆ เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า, อัตราการผิดนัดชำระเงิน และรายรับต่อลูกค้า เพื่อประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การออกใบแจ้งหนี้แบบรวมของคุณ

  • การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: ปรับปรุงกระบวนการ, เทคโนโลยี และกลยุทธ์การสื่อสารของคุณอย่างต่อเนื่องโดยอิงจากความคิดเห็นและข้อมูลประสิทธิภาพเพื่อมอบประสบการณ์การเรียกเก็บเงินที่ยอดเยี่ยม

สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนนำการเรียกเก็บเงินแบบรวมมาใช้

การตัดสินใจว่าจะใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวมหรือไม่ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ต่อไปนี้คือปัจจัยบางประการที่ธุรกิจควรพิจารณาก่อนทำการเปลี่ยนแปลง

  • การผสานการทำงานของระบบ: ประเมินว่าระบบการเรียกเก็บเงินและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ปัจจุบันของคุณสามารถรองรับการเรียกเก็บเงินแบบรวมได้หรือไม่ การผสานการทำงานอาจเป็นเรื่องท้าทาย และระบบรุ่นเก่าอาจไม่สามารถเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์การเรียกเก็บเงินแบบรวมที่ทันสมัย

  • ประสบการณ์ของลูกค้า: ประเมินว่าการเปลี่ยนไปใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวมจะส่งผลต่อประสบการณ์ของลูกค้าอย่างไร บางรายอาจต้องการรายละเอียดค่าใช้จ่ายแยกตามบริการ ในขณะที่บางรายอาจชื่นชอบใบแจ้งหนี้ฉบับเดียวที่ดูง่าย แนวทางการเรียกเก็บเงินของคุณควรสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเพื่อเพิ่มความพึงพอใจและลดอัตราการเลิกใช้บริการ ลองพิจารณาใช้โปรแกรมนำร่องหรือขอความคิดเห็นโดยตรงเพื่อวัดปฏิกิริยาของลูกค้าก่อนนำไปใช้งานเต็มรูปแบบ

  • การปฏิบัติตามข้อบังคับ: ตรวจสอบผลกระทบทางกฎหมายของการรวมใบเรียกเก็บเงิน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอย่างการดูแลสุขภาพ, การเงิน หรือโทรคมนาคม ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรฐานการกำกับดูแลที่เข้มงวดสำหรับแนวทางการเรียกเก็บเงิน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแนวทางการเรียกเก็บเงินแบบรวมสอดคล้องกับกฎระเบียบด้านการคุ้มครองข้อมูล เช่น ระเบียบการคุ้มครองข้อมูลทั่วไป (GDPR) หรือ กฎหมาย HIPAA โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้า

  • ผลกระทบทางการเงิน: วิเคราะห์ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนไปใช้ระบบการเรียกเก็บเงินแบบรวมเทียบกับเงินที่คาดว่าจะประหยัดได้และผลประโยชน์ที่จะได้รับ พิจารณาต้นทุนทางตรง (เช่น ซอฟต์แวร์, การฝึกอบรม และการนำไปใช้) และผลประโยชน์ทางอ้อม (เช่น การรักษาลูกค้า และภาระงานธุรการที่ลดลง) ทำความเข้าใจว่าการเรียกเก็บเงินแบบรวมอาจส่งผลต่อจังหวะเวลาและการรับรู้รายรับอย่างไร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการรายงานทางการเงินและกระแสเงินสดได้

  • การเปลี่ยนแปลงด้านการดำเนินงาน: วางแผนการฝึกอบรมและการสนับสนุนที่เพียงพอสำหรับพนักงานที่จะจัดการระบบการเรียกเก็บเงินแบบรวม พนักงานจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการใหม่อย่างถ่องแท้เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านและการดำเนินงานต่อเนื่องเป็นไปอย่างราบรื่น และคุณจะต้องมีกลยุทธ์การจัดการการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพเพื่อรับมือกับกระบวนการและจัดการกับแรงต้านที่อาจเกิดขึ้น

  • การสนับสนุนและการบำรุงรักษาทางเทคนิค: การมีระบบสนับสนุนด้านไอทีเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบการเรียกเก็บเงินใหม่ ซึ่งรวมถึงการแก้ไขปัญหาและการบำรุงรักษาตามปกติ ลองพิจารณาว่าระบบการเรียกเก็บเงินแบบรวมมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตหรือการเปลี่ยนแปลงในการให้บริการหรือไม่

  • การตลาดและการสื่อสาร: พัฒนาแผนการสื่อสารเพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปใช้การเรียกเก็บเงินแบบรวม ความโปร่งใสเกี่ยวกับประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถช่วยลดแรงต้านในช่วงแรกได้ สร้างกลไกเพื่อรวบรวมความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับระบบการเรียกเก็บเงินใหม่ และเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามความคิดเห็นเหล่านั้น

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้