วิธีระดมทุนสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณ: คู่มือเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดหาเงินทุนและแหล่งเงินทุน

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ระยะการจัดหาเงินทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพมีอะไรบ้าง
  3. ความสําคัญของการระดมทุนในแต่ละระยะของธุรกิจสตาร์ทอัพ
  4. แหล่งที่มาของเงินทุนสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ
    1. การจัดหาเงินทุนด้วยตัวเองและการใช้เงินทุนของตัวเองหรือ Bootstrapping
    2. เพื่อนและครอบครัว
    3. นักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor):
    4. บริษัทร่วมลงทุน
    5. การระดมทุนสาธารณะ
    6. เงินช่วยเหลือและเงินอุดหนุนของรัฐบาล
    7. สินเชื่อธนาคารและวงเงินสินเชื่อ
  5. วิธีสร้างแผนการจัดหาเงินทุนสําหรับบริษัทสตาร์ทอัพ
  6. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

การระดมทุนสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพคือการจัดหาเงินทุนที่มั่นคงเพื่อสนับสนุนการเติบโตและการพัฒนาธุรกิจใหม่ เปลี่ยนแนวคิดเชิงนวัตกรรมให้กลายเป็นองค์กรที่ดําเนินงานได้จริง ธุรกิจสตาร์ทอัพมักต้องได้รับเงินทุนเป็นจํานวนมากเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้น เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวิจัยตลาดพนักงาน และการเติบโตด้านการดำเนินกิจการ

ต่อไป เราจะอธิบายถึงวิธีระดมทุนสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งรวมถึงระยะการระดมทุน แหล่งเงินทุนที่พบได้ทั่วไป และแผนการจัดหาเงินทุนที่เหมาะกับเป้าหมายและระยะการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณ

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ระยะการจัดหาเงินทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพมีอะไรบ้าง
  • ความสําคัญของการระดมทุนในแต่ละระยะของธุรกิจสตาร์ทอัพ
  • แหล่งที่มาของเงินทุนสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ
  • วิธีสร้างแผนการจัดหาเงินทุนสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ

ระยะการจัดหาเงินทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพมีอะไรบ้าง

ระยะการจัดหาเงินทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพประกอบด้วยช่วงต่างๆ ในวงจรการดําเนินงานของบริษัท ซึ่งธุรกิจแต่ละรายมีลักษณะเฉพาะ เป้าหมาย และประเภทนักลงทุนที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ แต่ละระยะยังมีการจัดหาเงินทุนในระดับที่แตกต่างกันด้วย ดังนี้ Crunchbase รายงานว่า ระยะเริ่มต้น (Seed round) โดยเฉลี่ยในไตรมาสแรกของปี 2023 สําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนระยะ Series A เฉลี่ยอยู่ที่ 18.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อไปนี้คือภาพรวมของระยะเหล่านี้

  • การจัดหาเงินทุนสําหรับก่อนระยะเริ่มต้น (Pre-seed funding)
    ระยะถือเป็นระยะการจัดหาเงินทุนที่เร็วที่สุด โดยทั่วไปแล้ว ผู้ก่อตั้งธุรกิจจะต้องใช้ทรัพยากรของตัวเองหรือเงินทุนจากเพื่อนและครอบครัวเพื่อเปิดตัวธุรกิจ การจัดหาเงินทุนสําหรับก่อนระยะเริ่มต้นมักเกิดขึ้นก่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์

  • การจัดหาเงินทุน
    การจัดหาเงินทุนคือระยะการจัดหาเงินทุนอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นหลังจากที่ธุรกิจสตาร์ทอัพมีการเติบโตในระดับหนึ่งแล้ว นักลงทุนในระยะนี้ ได้แก่ นักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (angel investor) บริษัทบ่มเพาะธุรกิจ และบริษัทร่วมลงทุนที่เชี่ยวชาญในการลงทุนในระยะเริ่มต้น

  • การจัดหาเงินทุนในระยะ Series A
    ในระยะนี้ ธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ ได้สร้างบันทึกธุรกิจหรือ Track record (ฐานผู้ใช้ที่เป็นที่ยอมรับ ตัวเลขรายรับที่สอดคล้องกัน หรือตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลักอื่นๆ บางส่วน) บริษัทร่วมลงทุนคือนักลงทุนหลักๆ ในระยะ Series A และบริษัทเหล่านี้คาดหวังจะได้เห็นโมเดลธุรกิจที่พัฒนาแล้วและกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการสร้างผลกำไร

  • การจัดหาเงินทุนในระยะ Series B
    บริษัทที่เข้าไปถึงระยะนี้ได้ถือเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงและแสวงหาทางขยายการเข้าสู่ตลาดมากขึ้น การจัดหาเงินทุนในระยะ Series B มักจะมาจากบริษัทร่วมลงทุน

  • การจัดหาเงินทุนในระยะ Series C และอื่นๆ
    ระยะการจัดหาเงินทุนเหล่านี้ (Series C, D และอื่นๆ) มักจะมีขนาดใหญ่กว่าเนื่องจากบริษัทมีผลงานที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ระยะเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับบริษัทหุ้นเอกชน ธนาคารเพื่อการลงทุน และในบางกรณีก็เป็นกองทุนบริหารความเสี่ยง เป้าหมายสุดท้ายของระยะการจัดหาเงินทุนเหล่านี้มักเป็นการเตรียมบริษัทให้พร้อมสำหรับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) หรือการเข้าซื้อกิจการ

แต่ละระยะแสดงถึงแต่ละก้าวในการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ ตั้งแต่แนวคิดไปจนถึงการขยายตลาด ซึ่งต้องใช้เงินทุนและนักลงทุนประเภทต่างๆ ความคาดหวัง ความเสี่ยง และการมีส่วนร่วมของนักลงทุนจะแตกต่างกันอย่างมากในระยะเหล่านี้

ความสําคัญของการระดมทุนในแต่ละระยะของธุรกิจสตาร์ทอัพ

ความต้องการของธุรกิจสตาร์ทอัพจะเปลี่ยนไปในระยะต่างๆ และการระดมทุนใดๆ ควรพิจารณาถึงความพร้อมของธุรกิจ ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับระยะต่างๆ ของการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพ และผลกระทบของการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีต่อกระบวนการตัดสินใจด้านการระดมทุน

  • การจัดหาเงินทุนก่อนและในระยะเริ่มต้น
    ในระยะแรกๆ นี้ ธุรกิจสตาร์ทอัพมักไม่มีเงินทุนที่จะเปลี่ยนไอเดียให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จับต้องได้ การระดมทุนจะนำไปใช้ในกิจกรรมพื้นฐานต่างๆ เช่น การวิจัยตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และและการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติขั้นต่ำ (MVP) นอกจากนี้ ธุรกิจสตาร์ทอัพยังใช้เงินทุนเหล่านี้เพื่อว่าจ้างพนักงานหลักๆและสร้างโมเดลธุรกิจด้วย เงินทุนที่ได้จะช่วยตรวจสอบแนวคิดทางธุรกิจและเตรียมธุรกิจสตาร์ทอัพให้พร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต

  • การจัดหาเงินทุนในระยะ Series A
    เมื่อธุรกิจสตาร์ทอัพพัฒนา MVP ของตัวเองและได้รับการยอมรับมากขึ้น (แสดงให้เห็นผ่านจำนวนผู้ใช้ รายได้ หรือตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่สำคัญอื่นๆ) ธุรกิจสตาร์ทอัพจะใช้เงินทุนจากระยะ Series A เพื่อขยายธุรกิจ ระยะต่อไปของการระดมทุนนี้เน้นไปที่การปรับแต่งผลิตภัณฑ์หรือบริการ การขยายฐานลูกค้า และการพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ โดยจะให้เงินทุนในการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีแนวคิดที่ตรวจสอบแล้วไปเป็นบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจที่ปรับขนาดได้

  • การจัดหาเงินทุนในระยะ Series B
    ในระยะนี้ธุรกิจสตาร์ทอัพพร้อมที่จะขยายธุรกิจอย่างมีนัยสําคัญ การจัดหาเงินทุนระยะ Series B ช่วยให้บริษัทเหล่านี้สามารถขยายการเข้าถึงตลาด ลงทุนในการหาพนักงานที่มีความสามารถ ยกระดับเทคโนโลยีหรือโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งอาจขยายเข้าสู่ตลาดหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้ โดยสนับสนุนความพยายามของธุรกิจสตาร์ทอัพในการครองตลาดที่มีอยู่หรือจับตลาดใหม่ๆ นําหน้าคู่แข่ง

  • การจัดหาเงินทุนในระยะ Series C และอื่นๆ
    เมื่อธุรกิจสตาร์ทอัพก้าวหน้าสู่ Series C และระยะต่อๆ ไป ธุรกิจเหล่านี้มักจะเป็นที่รู้จักในตลาดของตน การรจัดหาเงินทุนในระยะ Series C จะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจเพิ่มเติม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือการแสวงหาโอกาสการเติบโตอื่นๆ เช่น การเข้าซื้อกิจการ ซึ่งขั้นตอนการจัดหาเงินทุนเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทมีตําแหน่งที่มั่นคงและขยายการเข้าถึงในขอบเขตที่กว้างขึ้น เช่น การเจาะตลาดโลกหรือการกระจายข้อเสนอต่างๆ

  • กลยุทธ์การออกจากการทำธุรกิจ (Exit strategies)
    ธุรกิจสตาร์ทอัพหลายแห่งมีเป้าหมายระยะยาวในออกจากการทำธุรกิจผ่านการทำ IPO หรือการเข้าซื้อกิจการ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีเงินทุนสนับสนุนจากการ่วมลงทุน การระดมทุนในระยะต่อๆ มาสามารถช่วยสร้างการประเมินค่าของบริษัทและทําให้มีความน่าสนใจสําหรับนักลงทุนในตลาดสาธารณะหรือผู้ที่อาจเข้าซื้อกิจการ

แหล่งที่มาของเงินทุนสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ

นอกเหนือจากการรักษาไว้ซึ่งเงินทุนแล้ว การระดมทุนยังช่วยให้ธุรกิจสตาร์ทอัพสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และได้รับข้อมูลเชิงลึกและคำปรึกษาอันมีค่าจากนักลงทุนที่มีประสบการณ์ สิ่งที่คุณสนใจมากที่สุดในการได้รับจากระยะการจัดหาเงินทุนหนึ่งๆ จะกำหนดว่าแหล่งเงินทุนใดเหมาะสมที่สุด สําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ มีตัวเลือกมากมาย ต่อไปนี้คือภาพรวมของแหล่งเงินทุนหลักๆ

การจัดหาเงินทุนด้วยตัวเองและการใช้เงินทุนของตัวเองหรือ Bootstrapping

  • สิ่งนี้คืออะไร: การจัดหาเงินทุนด้วยตัวเองและการใช้เงินทุนของตนเองหมายถึงแนวทางการเริ่มต้นบริษัทด้วยทรัพยากรทางการเงินของตนเอง แทนที่จะใช้เงินทุนจากภายนอก จากนั้น บริษัทจะนำรายได้เริ่มแรกกลับมาลงทุนใหม่ในธุรกิจเพื่อเติบโตต่อไป

ข้อดี

  • การควบคุมที่สมบูรณ์: ผู้ประกอบการยังคงมีกรรมสิทธิ์อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังสามารถควบคุมการตัดสินใจทางธุรกิจและทิศทางของตนโดยไม่ได้รับอิทธิพลจากนักลงทุนภายนอก

  • มุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืน: ธุรกิจที่ดําเนินธุรกิจด้วยการใชเงินทุนของตนเองมักจะมุ่งเน้นไปที่การเติบโตช้าๆ แต่มั่นคง ซึ่งอาจนําไปสู่การดําเนินธุรกิจในระยะยาวที่ยั่งยืนมากขึ้น

  • ไม่มีแรงกดดันในการชำระเงินคืน: หากไม่มีเงินกู้หรือนักลงทุนภายนอก ก็ไม่จําเป็นต้องกดดันที่จะปฏิบัติตามกําหนดเวลาการชำระเงินคืนหรือผลตอบแทนจากความคาดหวังด้านการลงทุน

  • สัญญาณที่แข็งแกร่งถึงนักลงทุน: เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการทําธุรกิจด้วยเงินทุนของตนเองที่ประสบความสําเร็จ ซึ่งเป็นสัญญาณอันแข็งแกร่งที่ส่งถึงนักลงทุนในอนาคตที่บ่งบอกถึงศักยภาพของบริษัทและความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการ

ข้อเสีย

  • แหล่งเงินทุนที่จํากัด: การจัดหาเงินทุนด้วยตัวเองอาจจํากัดจํานวนเงินที่ใช้ได้ ซึ่งอาจทําให้โอกาสในการเติบโตและการขยายธุรกิจช้าลง

  • ความเสี่ยงทางการเงินส่วนบุคคล: ผู้ประกอบการนำเงินทุนของตนเองไปอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งอาจเป็นภาระหนักหากธุรกิจล้มเหลว

  • ค่าใช้จ่ายด้านโอกาส: เงินและเวลาที่ลงทุนไปนั้นอาจนําไปใช้กับด้านอื่นๆ ที่อาจมีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นหรือมีความเสี่ยงน้อยกว่า

  • ศักยภาพในการเติบโตที่ช้า: การใช้เงินทุนของตนเองอาจนําไปสู่การเติบโตที่ช้าลง เนื่องจากการลงทุนซ้ำจะจำกัดอยู่แค่การสร้างรายได้ของธุรกิจเองเท่านั้น

การจัดหาแหล่งเงินทุนด้วยตัวเองและการใช้เงินทุนของตนเองจะมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่สามารถเปิดตัวและเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้เงินทุนล่วงหน้าจำนวนมาก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสําหรับผู้ประกอบการที่ต้องการรักษาการควบคุมไว้ และธุรกิจที่มีแนวทางที่ชัดเจนในการทํากําไร

การจัดหาเงินทุนด้วยตัวเองอาจมีประโยชน์สําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นบริการหรือธุรกิจที่มีความต้องการเงินทุนเริ่มแรกน้อยที่สุด เนื่องจากช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายการดําเนินงานได้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากหรือต้องเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด แนวทางนี้อาจมีประสิทธิผลน้อยกว่า

เพื่อนและครอบครัว

  • สิ่งนี้คืออะไร: การจัดหาเงินทุนจากเพื่อนและครอบครัวนั้นเป็นการขอการสนับสนุนทางการเงินโดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล แหล่งเงินทุนประเภทนี้มักเป็นแหล่งแรกๆ ที่ผู้ประกอบการพิจารณาเนื่องด้วยความไว้วางใจและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง

ข้อดี

  • ความเรียบง่ายและความรวดเร็ว: การจัดหาเงินทุนจากเพื่อนและครอบครัวอาจมีความซับซ้อนน้อยกว่าและรวดเร็วกว่าช่องทางการลงทุนอย่างเป็นทางการ ด้วยระเบียบการและข้อกําหนดทางกฎหมายที่น้อยกว่า

  • ข้อกําหนดที่ยืดหยุ่น: เงินกู้หรือการลงทุนจากเพื่อนและครอบครัวอาจมาพร้อมกับข้อกําหนดการชําระคืนที่ยืดหยุ่นกว่า และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเมื่อเทียบกับเงินกู้แบบเดิมๆ

  • การสนับสนุนทางอารมณ์: เพื่อนและครอบครัวสามารถให้การสนับสนุนทางอารมณ์และศีลธรรม ซึ่งอาจทรงคุณค่าในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจสตาร์ทอัพซึ่งเป็นระยะที่ท้าทาย

  • ความไว้วางใจที่เข้มแข็ง: นักลงทุนเหล่านี้รู้และเชื่อในผู้ประกอบการอยู่แล้ว ซึ่งสามารถนำไปสู่ความมุ่งมั่นร่วมกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อความสำเร็จของธุรกิจ

ข้อเสีย

  • ความสัมพันธ์ที่อาจเกิดความตึงเครียด: การนำความสัมพันธ์ส่วนบุคคลมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจอาจทําให้เกิดความตึงเครียดหรือความขัดแย้งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากธุรกิจสตาร์ทอัพประสบปัญหาหรือล้มเหลว

  • ศักยภาพในการให้เงินทุนที่จํากัด: เพื่อนและครอบครัวอาจจะไม่ได้มีเงินทุนจํานวนมาก ซึ่งอาจจํากัดศักยภาพการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ

  • ขาดความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ: เพื่อนและครอบครัวอาจไม่สามารถส่งมอบความเชี่ยวชาญทางธุรกิจที่มีคุณค่า หรือโอกาสในการสร้างเครือข่ายที่จําเป็นสําหรับการเติบโต ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนมืออาชีพ

  • การบริหารจัดการทุน: การยอมรับการลงทุนจากเครือข่ายส่วนบุคคลอาจทําให้การกระจายหุ้นและระยะการลงทุนในอนาคตมีความซับซ้อน

การจัดหาเงินทุนจากเพื่อนและครอบครัวมีประสิทธิผลสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพในช่วงเริ่มต้นที่ต้องการเงินทุนจำนวนไม่มากนักเพื่อให้เริ่มต้นได้หรือไปถึงจุดหมายถัดไป ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายส่วนตัวที่แข็งแกร่งและเป็นผู้เต็มใจที่จะลงทุนในวิสัยทัศน์ของตน วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือผู้ที่ต้องการความเชี่ยวชาญและเครือข่ายทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์

นักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor):

  • สิ่งนี้คืออะไร: การลงทุนของนักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีฐานะร่ำรวยที่ให้ทุนแก่ธุรกิจสตาร์อัพ โดยปกติจะแลกกับหนี้แปลงสภาพหรือส่วนของเจ้าของ กลุ่มนักลงทุน Angel Investor ลงทุนประมาณ 950 ล้านดอลลาร์ ในปี 2021 โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนเหล่านี้จะนําเสนอความเชี่ยวชาญ การให้คําปรึกษา และการเข้าถึงเครือข่ายของตน รวมถึงการสนับสนุนทางการเงิน

ข้อดี

  • คําแนะนําและแนวทาง: นักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) สําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพมักจะมีประสบการณ์ด้านการเป็นผู้ประกอบการ และสามารถให้คําปรึกษาและให้คําแนะนําที่มีคุณค่าเพื่อช่วยเหลือธุรกิจสตาร์ทอัพ

  • โอกาสในการสร้างเครือข่าย: พวกเขาสามารถแนะนำธุรกิจสตาร์ทอัพให้รู้จักกับพาร์ทเนอร์ ลูกค้า และนักลงทุนในอนาคตได้ผ่านเครือข่ายที่มั่นคงของตน

  • ความเป็นทางการน้อยลงและการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น: การลงทุนจากนักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) มักแตกต่างจากการจัดหาเงินทุนแบบเดิมๆ ทําให้สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและเป็นทางการน้อยลง ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสตาร์ทอัพเข้าถึงเงินทุนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  • โอกาสในระยะลงทุนเพิ่มเติม: การลงทุนจากนักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) ที่ประสบความสําเร็จสามารถนําไปสู่การจัดหาเงินทุนได้มากขึ้นและเพิ่มความน่าเชื่อถือในตลาด

ข้อเสีย

  • จํานวนการให้เงินทุนที่จํากัด: นักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) สําหรับบริษัทสตาร์ทอัพอาจไม่สามารถให้เงินก้อนใหญ่ได้ ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีความต้องการด้านเงินทุนสูง

  • ข้อกําหนดเรื่องหุ้น: ธุรกิจสตาร์ทอัพมักต้องสละหุ้นส่วนหนึ่ง ซึ่งหมายถึงการสูญเสียการควบคุมบางส่วนที่มีต่อบริษัท

  • ความสอดคล้องกันของผลประโยชน์: นักลงทุนและผู้ก่อตั้งต้องมีความสอดคล้องกันในด้านผลประโยชน์และความคาดหวังของตนอย่างมาก ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความขัดแย้ง

  • การลดสัดส่วนหุ้น: ระยะการลงทุนในอนาคตอาจทำให้ส่วนแบ่งของนักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) ลดลง เว้นแต่จะมีข้อตกลงที่เหมาะสม

การลงทุนจากนักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) จะมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในระยะแรกสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องการเงินทุนเพื่อพิสูจน์แนวคิดหรือบรรลุเป้าหมายที่สำคัญ ซึ่งเหมาะสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่สามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพนการสร้างผลตอบแทนสูงและเปิดกว้างต่อคำปรึกษา อย่างไรก็ดี วิธีนี้ไม่เหมาะสําหรับบริษัทร่วมลงทุนที่ต้องการเงินทุนหลายจำนวนในทันที หรือธุรกิจที่ต้องการควบคุมธุรกิจอย่างสมบูรณ์

บริษัทร่วมลงทุน

  • สิ่งนี้คืออะไร: บริษัทร่วมลงทุน (VC) คือนักลงทุนมืออาชีพหรือบริษัทที่นำเงินทุนรวมจากบุคคลทั่วไปที่มีสินทรัพย์สุทธิสูง บริษัท กองทุนบำเหน็จบำนาญ และแหล่งเงินทุนอื่นๆ มาลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพเติบโตสูง ในปี 2021 กลุ่ม VC ลงทุนจำนวน 671 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก โดยทั่วไปแล้ว บริษัทร่วมลงทุนจะจัดหาให้มากกว่าเงินทุน กล่าวคือ มีการให้คําปรึกษา คําแนะนําเชิงกลยุทธ์ และการเข้าถึงเครือข่ายของพาร์ทเนอร์ ลูกค้า และนักลงทุนในอนาคตที่กว้างขึ้นด้วย

ข้อดี

  • เงินทุนจํานวนมาก: บริษัทร่วมลงทุน (VC) มีความสามารถในการลงทุนเป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งมักจำเป็นสำหรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว

  • ความเชี่ยวชาญและการให้คําปรึกษา: ทั้งสองสิ่งนี้นำมาซึ่งประสบการณ์อุตสาหกรรมอันทรงคุณค่า ความเฉียบแหลมทางธุรกิจ และคำแนะนำด้านการดำเนินงาน

  • โอกาสในการสร้างเครือข่าย: การเข้าถึงเครือข่ายผู้ติดต่อที่กว้างขึ้นในแวดวงอุตสาหกรรม ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า และพาร์ทเนอร์สามารถสร้างคุณค่าทางการเติบโตได้

  • ความน่าเชื่อถือและสิทธิพิเศษ: การร่วมมือกับบริษัทร่วมลงทุน (VC) ที่มีชื่อเสียงจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพในสายตาของลูกค้า พาร์ทเนอร์ และนักลงทุนในอนาคต

ข้อเสีย

  • หุ้นและการควบคุม: บริษัทร่วมลงทุน (VC) มักต้องการส่วนแบ่งหุ้นเพื่อแลกกับการลงทุน โดยส่วนแบ่งหุ้นนี้อาจเป็นส่วนแบ่งจำนวนมาก ซึ่งอาจลดอำนาจการควบคุมของผู้ก่อตั้งที่มีต่อบริษัทได้

  • ความคาดหวังสูงต่อการเติบโตและผลตอบแทน: บริษัทร่วมลงทุน (VC) ลงทุนด้วยความคาดหวังที่จะได้รับผลตอบแทนสูง โดยมักคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนผ่านกลยุทธ์การออกจากธุรกิจ เช่น การทำ IPO หรือการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งอาจสร้างความกดดันให้ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องจัดลําดับความสําคัญเพื่อการเติบโตที่รวดเร็ว

  • กระบวนการตรวจสอบข้อมูลที่เข้มงวด: การจัดหาเงินทุนจากบริษัทร่วมลงทุนนั้นมีการแข่งขันสูง อีกทั้งยังต้องมีกระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน

  • ความสอดคล้องกันของผลประโยชน์: ผู้ก่อตั้งต้องตรวจสอบว่าวิสัยทัศน์ของพวกเขาสอดคล้องกับของนักลงทุนจากบริษัทร่วมลงทุน (VC) หรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

ธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีโมเดลธุรกิจที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีศักยภาพในการเติบโต และต้องการเงินทุนจํานวนมากในการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว เหมาะที่สุดสําหรับเงินทุนจากบริษัทร่วมลงทุน (VC) วิธีนี้เหมาะสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ เฮลท์เทค และฟินเทค ธุรกิจเหล่านี้มักจะต้องลงทุนในด้านการเติบโตและการพัฒนา โดยทั่วไปแล้ว บริษัทร่วมลงทุน (VC) จะไม่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีจุดมุ่งหมายด้านการเติบโตปานกลาง และธุรกิจในระยะเริ่มต้นของการพัฒนาโดยไม่มีแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสามารถในการทํากําไร

การระดมทุนสาธารณะ

  • สิ่งนี้คืออะไร: การระดมทุนเป็นการจัดหาเงินทุนจํานวนเล็กน้อยจากคนจํานวนมาก ซึ่งปกติแล้วมักผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มีการระดมทุนสาธาณะหลายประเภท ได้แก่ การระดมทุนแบบให้ผลตอบแทน การระดมทุนแบบให้หุ้น การระดมทุนแบบบริจาค และการระดมทุนในรูปแบบการออกหุ้นกู้

ข้อดี

  • การตรวจสอบตลาดและการมีส่วนร่วมของลูกค้า: การระดมทุนสาธารณะช่วยให้ธุรกิจสตาร์ทอัพสามารถทดสอบความต้องการในตลาดสําหรับสินค้าหรือบริการของตนอเอง และสร้างฐานลูกค้าก่อนเปิดตัว

  • การตลาดและการมองเห็น: การเปิดตัวแคมเปญระดมทุนสามารถดึงดูดความสนใจจากสื่อและสาธารณชนได้อย่างมาก จึงเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ

  • ความยืดหยุ่นและการเข้าถึง: บริษัทสตาร์ทอัพสามารถระดมทุนได้สะดวกยิ่งขึ้นหากไม่มีนักลงทุนหรือผู้ให้กู้แบบเดิม

  • โอกาสในการระดมทุนเกินเป้าหมาย: แคมเปญที่ประสบความสําเร็จสามารถระดมทุนได้มากกว่าเป้าหมายที่กําหนด โดยได้รับเงินทุนเพิ่มเติม

ข้อเสีย

  • ไม่รับประกันความสําเร็จ: มีแคมเปญจํานวนมากที่ไม่ตรงตามเป้าหมายการให้เงินทุน

  • ต้องนําเสนอข้อมูลให้น่าสนใจ: ธุรกิจสตาร์ทอัพต้องสร้างการนำเสนอที่มีพลังโน้มน้าวใจ และนำเสนอสิ่งตอบแทนที่น่าดึงดูดใจเพื่อสร้างความโดดเด่น ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรมาก

  • ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของแพลตฟอร์ม: โดยทั่วไปแพลตฟอร์มการระดมทุนสาธารณะจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม และจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการทําการตลาดและการให้สิ่งตอบแทน

  • ความเสี่ยงในด้านทรัพย์สินทางปัญญา: การแชร์ไอเดียหรือผลิตภัณฑ์ต่อสาธารณะจะเพิ่มความเสี่ยงของการคัดลอกแนวคิดหรือผลิตภัณฑ์ของคุณ

การระดมทุนสาธารณะเหมาะสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมและต้องการตรวจสอบแนวคิดของพวกเขากับกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสตาร์ทอัพที่นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่เน้นผู้บริโภค แต่สําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่อยู่ในระยะความคิดโดยไม่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปธรรม หรือธุรกิจที่ต้องการเงินทุนจํานวนมากเพื่อการศึกษาวิจัยและพัฒนา วิธีนี้อาจไม่เหมาะสม

เงินช่วยเหลือและเงินอุดหนุนของรัฐบาล

  • สิ่งนี้คืออะไร: แหล่งที่มาของเงินทุนนี้นับเป็นการสนับสนุนทางการเงินจากหน่วยงานของรัฐบาล โดยทั่วไปแล้วโครงการเหล่านี้จะให้ทุนแก่โครงการ การวิจัย หรือโครงการริเริ่มที่เฉพาะเจาะจง และไม่จําเป็นต้องชําระคืน เงินอุดหนุนนี้อาจรวมถึงการลดหย่อนภาษีหรือผลประโยชน์ทางการเงินอื่นๆ เพื่อสนับสนุนธุรกิจในอุตสาหกรรมหรือภูมิภาคบางแห่ง

ข้อดี

  • การจัดหาเงินทุนแบบไม่ลดสัดส่วนหุ้น: เงินช่วยเหลือและเงินอุดหนุนไม่จำเป็นต้องมีส่วนแบ่งทุน ช่วยให้ผู้ก่อตั้งยังคงเป็นเจ้าของบริษัทสตาร์ทอัพของตนได้อย่างเต็มรูปแบบ

  • สนับสนุนนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนา: เงินช่วยเหลือหลายๆ โครงการที่มุ่งเน้นการส่งเสริมนวัตกรรม การวิจัย และการพัฒนา ซึ่งอาจมีประโยชน์เป็นพิเศษสําหรับเทคโนโลยีหรือธุรกิจสตาร์ทอัพที่เน้นวิทยาศาสตร์

  • ความน่าเชื่อถือและการตรวจสอบความถูกต้อง: การรับความช่วยเหลือของรัฐบาลจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของธุรกิจสตาร์ทอัพ ทําให้เป็นที่สนใจสําหรับนักลงทุนและพาร์ทเนอร์รายอื่นๆ มากขึ้น

  • การบรรเทาทางการเงิน: เงินอุดหนุน เช่น การลดหย่อนภาษี สามารถช่วยลดภาระทางการเงินของธุรกิจสตาร์ทอัพได้ ช่วยให้กระแสเงินสดและผลกำไรดีขึ้น

ข้อเสีย

  • แข่งขันสูง: เงินช่วยเหลือและเงินอุดหนุนมักจะมีการแข่งขันสูง ทำให้การได้รับเงินทุนนั้นเป็นเรื่องท้าทาย

  • กระบวนการสมัครที่ซับซ้อน: ขั้นตอนการสมัครอาจใช้เวลานานและซับซ้อน ต้องมีข้อเสนอโดยละเอียดและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เฉพาะ

  • ข้อจํากัดและความรับผิดชอบ: โดยทั่วไปแล้ว เงินทุนจะถูกจัดสรรไว้สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ และธุรกิจสตาร์ทอัพอาจต้องแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าและผลลัพธ์

  • ความพร้อมให้บริการที่ไม่สม่ำเสมอ: ความพร้อมของเงินช่วยเหลือและเงินอุดหนุนออาจขึ้นอยู่กับลำดับความสําคัญของภาครัฐและงบประมาณ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป

ธุรกิจสตาร์ทอัพที่เน้นภาคธุรกิจต่างๆ เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ การศึกษา ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และองค์กรทางสังคมมักจะได้รับเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐ โดยมีประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับธุรกิจที่ดำเนินโครงการที่เน้นการวิจัยหรือธุรกิจที่สนับสนุนเป้าหมายทางสังคม สตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมที่กำหนดหรือภูมิภาคที่เป็นเป้าหมายสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจอาจเข้าถึงเงินอุดหนุนได้ง่ายขึ้น

สินเชื่อธนาคารและวงเงินสินเชื่อ

  • สิ่งนี้คืออะไร: วิธีนี้เกี่ยวข้องการกู้ยืมเงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน สินเชื่อธนาคารคือเงินทุนจำนวนคงที่ที่ต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า วงเงินสินเชื่อคือวงเงินกู้ยืมที่ยืดหยุ่นซึ่งใช้ได้ตามต้องการ และมักจะใช้สําหรับข้อกําหนดเกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น

ข้อดี

  • โครงสร้างการชําระเงินที่คาดเดาได้: เงินกู้มีกําหนดเวลาชําระคืนแบบคงที่ ทําให้วางแผนทางการเงินได้ง่ายขึ้น

  • ไม่มีการลดสัดส่วนหุ้น: สินเชื่อไม่จำเป็นต้องสละส่วนแบ่งหุ้นในธุรกิจ ไม่เหมือนกับการระดมทุนด้วยการขายหุ้น

  • สร้างเครดิต: การชําระคืนเงินกู้ตามเวลาสามารถสร้างความน่าเชื่อถือทางเครดิตของธุรกิจได้

ข้อเสีย

  • ข้อกําหนดหลักประกัน: เงินกู้มักต้องมีหลักประกัน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงหากธุรกิจดําเนินการไม่สําเร็จ

  • เกณฑ์การมีสิทธิ์ที่เข้มงวด: โดยทั่วไปธนาคารจะมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับประวัติเครดิตและความสามารถในการดำเนินธุรกิจ

  • ภาระหนี้: การจ่ายดอกเบี้ยและภาระในการชำระเงินต้นอาจเป็นภาระที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีรายได้ไม่แน่นอน

ธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีกระแสเงินสดคงที่หรือสินทรัพย์ที่มีอยู่เพื่อใช้เป็นหลักประกันนั้นเหมาะกับเงินกู้ธนาคารมากกว่า วงเงินสินเชื่อมีประโยชน์สําหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงเงินทุนที่ยืดหยุ่นสําหรับค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน แหล่งเงินทุนประเภทนี้เหมาะสําหรับผู้ก่อตั้งที่ต้องการรักษากรรมสิทธิ์และควบคุมบริษัทไว้อย่างสมบูรณ์ แต่มีความมั่นใจในการสร้างรายได้เพื่อชำระคืนเงินกู้ เงินกู้ธนาคารและวงเงินสินเชื่อมีความเหมาะสมกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งซึ่งไม่มีรายรับหรือสินทรัพย์ที่จะใช้ประโยชน์

วิธีสร้างแผนการจัดหาเงินทุนสําหรับบริษัทสตาร์ทอัพ

การสร้างกลยุทธ์การจัดหาเงินทุนสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณเกี่ยวข้องกับการพัฒนาแนวทางที่ครอบคลุม ซึ่งตรงกับความทะเยอทะยานของธุรกิจ ความอยากเสี่ยง และเส้นทางการเติบโต แผนที่สร้างขึ้นอย่างรอบคอบจะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทาง ซึ่งจะช่วยแนะนำว่าธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณจะรับและใช้ทรัพยากรทางการเงินอย่างไรเพื่อบรรลุเป้าหมายเฉพาะหน้าและบรรลุเป้าหมายในระยะยาว วิธีการมีดังนี้

  • ทําความเข้าใจความต้องการด้านการจัดหาเงินทุน
    ขั้นแรก คุณต้องมีภาพที่ชัดเจนว่าคุณกำลังระดมทุนอะไร เริ่มต้นด้วยการสร้างงบประมาณโดยละเอียดที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายการจัดตั้งตั้งแต่เริ่มต้น ดําเนินงาน และเส้นทางที่ขยายความครอบคลุมจนกว่าคุณจะคาดการณ์ว่าธุรกิจจะสร้างรายรับที่ยั่งยืนต่อไป วางงบประมาณนี้ไว้สำหรับการวิจัยตลาดที่เข้มงวดและสมมติฐานที่สมจริงเกี่ยวกับอัตราการเติบโตและยอดขาย

  • ทำแมประยะการจัดหาเงินทุน
    จากนั้น พิจารณาระยะการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณและความต้องการด้านการจัดหาเงินทุนที่ตรงกัน ระยะแรกอาจเป็นเรื่องของทุนเริ่มต้นจากเงินออมส่วนบุคคล เพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มนักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) เงินทุนนี้มักจะครอบคลุมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเข้าสู่ตลาดขั้นต้น เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น อาจขอเงินทุนจากบริษัทร่วมลงทุน (VC) ได้ โดยมุ่งเป้าไปที่การขยายและปรับขนาดที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนี้ การจัดหาเงินทุนสามารถเปลี่ยนไปสู่การลงทุนเชิงกลยุทธ์ หุ้นส่วนตัว หรือแม้กระทั่งตลาดสาธารณะผ่าน IPO ได้

  • การกระจายแหล่งเงินทุน
    การพึ่งพาแหล่งเงินทุนแหล่งเดียวอาจมีความเสี่ยง กกลยุทธ์การจัดหาเงินทุนที่ชาญฉลาดนั้นเป็นเรื่องของการกระจายความเสี่ยง ผสมผสานการระดมทุนจากการขายหุ้นแบบดั้งเดิมเข้ากับเงินช่วยเหลือ เงินกู้ หรือแม้แต่การจัดหาเงินทุนตามรายได้ โดยที่การชำระเงินคืนจะสอดคล้องกับกระแสรายได้ วิธีนี้จะลดการพึ่งพานักลงทุนหรือผู้ให้กู้รายเดียวและสามารถลดต้นทุนของเงินทุนได้ด้วย

  • สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ
    แผนของคุณจะต้องเชื่อมโยงระยะการระดมทุนเข้ากับเหตุการณ์สำคัญทางธุรกิจที่สำคัญ นักลงทุนต้องการดูว่าธุรกิจสตาร์ทอัพจะนำเงินทุนของพวกเขาไปสู่การสร้างมูลค่าได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เป้าหมายการเข้าถึงผู้ใช้ หรือเป้าหมายด้านผลกำไร นอกจากนี้ เหตุการณ์สำคัญทางธุรกิจยังเป็นกรอบการทำงานให้กับการประเมินผลการดำเนินงานและการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การระดมทุนของคุณ

  • เตรียมพร้อมสําหรับการตรวจสอบ
    นักลงทุนดําเนินการตรวจสอบข้อมูลก่อนให้เงินทุน จัดทํางบการเงิน แผนธุรกิจ การวิเคราะห์ตลาด และเอกสารทางกฎหมายเพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการตรวจสอบดังกล่าว ความโปร่งใสและการเตรียมความพร้อมจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอุทธรณ์ของสร้างความน่าดึงดูดใจต่อผู้ให้ทุนของบริษัทสตาร์ทอัพได้อย่างมาก

  • เจรจาเกี่ยวกับข้อกําหนด
    ข้อกําหนดควรช่วยปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจสตาร์ทอัพ ในขณะเดียวกันก็เสนอสิ่งจูงใจให้แก่นักลงทุนด้วย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาเรื่องราคาในการแปลงสภาพ สิทธิในการลงคะแนนเสียง หรือความต้องการในการชำระบัญชี เตรียมพร้อมที่จะเดินออกไปหากเงื่อนไขจะทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพเสียเปรียบ

  • ติดตามตรวจสอบและปรับอย่างต่อเนื่อง
    หมั่นตรวจสอบผลประกอบการทางการเงินและปรับแผนการจัดหาเงินทุนของคุณอย่างสม่ําเสมอ สภาพตลาดจะเปลี่ยนแปลงไป และความต้องการทางการเงินของธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณจะเปลี่ยนไป ความยืดหยุ่นช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากโอกาสและบรรเทาความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

  • ส่งเสริมนักลงทุนสัมพันธ์
    ความสัมพันธ์ด้านการจัดหาเงินทุนเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนาน สื่อสารกับนักลงทุนอย่างเปิดเผยเพื่อให้ข้อมูลอัปเดตเป็นประจํา และส่งเสริมให้เกิดการเป็นพาร์ทเนอร์ ซึ่งจะนําไปสู่การให้เงินทุนเพิ่มเติมตามสายงานและคําแนะนําเชิงกลยุทธ์ที่มีคุณค่า

  • พิจารณากลยุทธ์การออกจากธุรกิจ
    สุดท้ายนี้ ลองพิจารณากลยุทธ์การออกจากธุรกิจโดยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดหาเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) หรือรูปแบบการออกจากธุรกิจแบบอื่น ๆ กลยุทธ์ดังกล่าวจะมีอิทธิพลต่อประเภทของแหล่งเงินทุนที่คุณต้องการและนักลงทุนที่คุณร่วมงานด้วย

เมื่อจัดหาเงินทุนแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพ โปรดปรับกลยุทธ์ทางการเงินให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในระยะยาว เป้าหมายทางธุรกิจ และแผนการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินทุนของตนเอง นักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ (Angel Investor) หรือบริษัทร่วมลงทุน แต่ละทางเลือกเหล่านี้จะมีประโยชน์และข้อดีของตัวเอง สตาร์ทอัพของคุณจะสามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตและความสำเร็จในอนาคตได้ ด้วยแนวทางการระดมทุนที่รอบคอบ

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

เข้าร่วมกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง รวมถึงส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe รวมถึงการประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas