ในยุคที่ประเทศไทยเข้าใกล้สังคมไร้เงินสด (cashless society) บัตรเครดิตเป็นหนึ่งในวิธีการชำระเงินที่มีการใช้งานมากที่สุดทั้งในร้านค้าแบบมีหน้าร้านและบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจ การรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตไม่เพียงตอบโจทย์เรื่องการเข้าถึงและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายตลาดและสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมหาศาล แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือค่าธรรมเนียมต่างๆ ของการประมวลผลบัตรที่สามารถกระทบต่อกำไรของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ว่าการประมวลผลบัตรเครดิตคืออะไร ทำความเข้าใจค่าธรรมเนียมการประมวลผลบัตรเครดิตและการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตว่ามีอะไรบ้าง ตลอดจนแนวทางในการลดต้นทุนค่าธุรกรรมเหล่านี้ พร้อมแนะนำโครงสร้างค่าธรรมเนียมของโซลูชันชำระเงินชั้นนำอย่าง Stripe เพื่อช่วยให้คุณสามารถบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เนื้อหาหลักในบทความ
- การประมวลผลบัตรเครดิตคืออะไร
- ค่าธรรมเนียมการประมวลผลบัตรเครดิต
- ค่าธรรมเนียมการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตมีอะไรบ้าง
- แนวทางการลดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจ
- Stripe Payments ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร
การประมวลผลบัตรเครดิตคืออะไร
การประมวลผลบัตรเกิดขึ้นเมื่อมีการชำระเงินโดยการใช้บัตรเครดิตหรือเดบิต กระบวนการที่เกี่ยวข้องได้แก่การอนุมัติ ตรวจสอบ และโอนเงินจากบัญชีของผู้ถือบัตรไปยังร้านค้าเมื่อมีการใช้บัตรเครดิตในการชำระค่าสินค้าหรือบริการ โดยขั้นตอนนี้มักเกี่ยวข้องกับผู้ถือบัตร, ร้านค้า, ธนาคารผู้ออกบัตร, ธนาคารผู้รับชำระเงิน, ระบบรักษาความปลอดภัย และเครือข่ายบัตรเครดิตในประเทศไทย ซึ่งหลักๆ ได้แก่ Visa, Mastercard, American Express, JCB และ UnionPay
ขั้นตอนเริ่มต้นเมื่อผู้ถือบัตรใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระเงินที่ร้านค้า โดยการรูดบัตรผ่านเครื่อง EDC หรือป้อนข้อมูลบัตรผ่านระบบออนไลน์ เครื่องจะส่งข้อมูลการทำรายการไปยังธนาคารของร้านค้า ซึ่งจะส่งต่อคำขอไปยังเครือข่ายบัตรเครดิตเพื่อส่งต่อไปยังธนาคารผู้ออกบัตร โดยธนาคารจะตรวจสอบวงเงินและอนุมัติหรือปฏิเสธการทำรายการ หากอนุมัติ ระบบจะส่งผลตอบกลับไปยังร้านค้าและระบุว่าธุรกรรมได้รับการอนุมัติ จากนั้นยอดเงินจะถูกตัดจากวงเงินของผู้ถือบัตรและโอนให้กับร้านค้าหรือผู้ประกอบการ เมื่อมีการยืนยันการชำระเงิน ร้านค้าจะให้บริการหรือทำการส่งมอบสินค้าถือเป็นอันเสร็จสิ้นธุรกรรม
ทั้งนี้ ระบบการประมวลผลบัตรเครดิตในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล เช่น มาตรฐาน PCI-DSS และระบบป้องกันการฉ้อโกงต่างๆ เพื่อให้การชำระเงินด้วยบัตรเป็นไปอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
ค่าธรรมเนียมการประมวลผลบัตรเครดิต
ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลบัตรเครดิตที่ร้านค้าหรือผู้ประกอบการต้องจ่ายเมื่อรับชำระเงินผ่านบัตรประกอบด้วยค่าธรรมเนียมหลักๆ 3 ส่วน:
- ค่าธรรมเนียมประมวลผลบัตรเครดิต (Credit card processing fees): ค่าธรรมเนียมจะถูกเรียกเก็บโดยผู้ประมวลผลการชำระเงินหรือผู้ให้บริการสำหรับการอำนวยความสะดวกด้านธุรกรรม โดยค่าธรรมเนียมนี้อาจเป็นค่าธรรมเนียมคงที่ต่อธุรกรรม เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าธุรกรรม หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
- Visa: มีค่าธรรมเนียม ตั้งแต่ 1.15% + $0.05 ไปจนถึง 2.4% + $0.10 ต่อธุรกรรม
- Mastercard: มีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1.15% + $0.05 ไปจนถึง 2.5% + $0.10 ต่อธุรกรรม
- American Express: ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 1.43% + $0.10 ไปจนถึง 3.30% + $0.10 ต่อ ธุรกรรม
- ค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร (Interchange Fee): ค่าธรรมเนียมที่ธนาคารผู้ออกบัตรเรียกเก็บจากธนาคารของร้านค้า โดยทั่วไปค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าธุรกรรม และค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมแบบคงที่ โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเช่น ประเภทของบัตร (บัตรเครดิต/ บัตรเดบิต,) วิธีการทำธุรกรรม, (รูดบัตร/ เสียบบัตร/ ป้อนข้อมูลบัตร หรือทางออนไลน์) และอุตสาหกรรมของธุรกิจ
- Visa: มีค่าธรรมเนียม ตั้งแต่ 1.15% + $0.05 ไปจนถึง 2.4% + $0.10 ต่อธุรกรรม
- ค่าธรรมเนียมการประเมินหรือเครือข่ายบัตร (Assessment Fee): ค่าธรรมเนียมที่ธนาคารของร้านค้าต้องจ่ายให้กับเครือข่ายบัตร (เช่น Visa หรือ Mastercard) เพื่อครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายบัตร โดยปกติจะเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยของมูลค่าธุรกรรม
ค่าธรรมเนียมการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตมีอะไรบ้าง
ค่าธรรมเนียมบางประเภทที่มักเรียกเก็บเมื่อคุณรับและประมวลผลการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตมีดังนี้
- ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมประเภทนี้กับทุกธุรกรรมที่ทำผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ซึ่งมักจะอยู่ระหว่าง 1.5% ถึง 3.5% ต่อธุรกรรมโดยขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ออกบัตร (เช่น Visa, Mastercard, Amex) และระดับความเสี่ยงของธุรกิจ ธุรกิจที่มียอดขายรายเดือนสูงก็อาจเจรจาต่อรองเพื่อขอรับอัตราค่าธรรมเนียมที่ถูกลงได้ โดยผู้ให้บริการมักหักค่าธรรมเนียมธุรกรรมออกจากจำนวนเงินที่ฝากเข้าบัญชีของธุรกิจนั้นๆ
- ค่าธรรมเนียมรายเดือน: ผู้ให้บริการบางรายจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือน (หรือรายปี) เป็นค่าใช้บริการระบบการชำระเงิน ซึ่งครอบคลุมการให้บริการลูกค้า การดูแลระบบแบ็กเอนด์ เครื่องมือวิเคราะห์การขาย และการบำรุงรักษาบัญชี แม้ว่าจะไม่มีการทำธุรกรรมใดๆ เลยก็ตาม โดยอัตราปกติจะอยู่ที่ 200-1,000 บาทต่อเดือน หรือมากกว่านั้นหากมีบริการเพิ่มเติม
- ค่าธรรมเนียมเทอร์มินัลหรืออุปกรณ์: ธุรกิจอาจต้องซื้อหรือเช่าอุปกรณ์ประมวลผลการชำระเงิน เช่น EDC หรือระบบบันทึกการขาย (POS) ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายราวๆ 300-800 บาทต่อเดือน อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมด้วย เช่น ค่าธรรมเนียมการตั้งค่าหรือค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้อุปกรณ์ที่ไม่ใช้อุปกรณ์มาตรฐานหรือการรับชำระเงินหลายวิธี (เช่น การชำระเงินด้วยรหัส QR หรือเทคโนโลยีการสื่อสารในระยะใกล้ [NFC]) ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยรวม ผู้ให้บริการบางรายจะมีโปรโมชันการใช้งานฟรีหากมีการลงนามทำสัญญาระยะยาว
- ค่าธรรมเนียมเกตเวย์การชำระเงิน: ผู้ให้บริการเกตเวย์การชำระเงินจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้เป็นค่าอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยในการส่งข้อมูลการชำระเงิน โดยค่าธรรมเนียมอาจเป็นแบบคงที่ต่อธุรกรรมหรือเป็นเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าของธุรกรรมนั้นๆ (ซึ่งมักจะอยู่ที่ประมาณ 2%-3.5%) ผู้ให้บริการบางรายอาจการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตั้งค่าเบื้องต้น ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมบัตรระหว่างประเทศ หรือค่าบริการเพิ่มเติม เช่น รายงานการตลาดเชิงลึกหรือระบบป้องกันการฉ้อโกง
- ค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืน: ค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงินประเภทนี้จะเรียกเก็บจากธุรกิจเมื่อมีการขอเงินคืนผ่านบัตรเครดิตเนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น เจ้าของบัตรระบุว่าไม่ได้รับผลิตภัณฑ์หรือมีการใช้บัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเกิดการดึงเงินคืน ธุรกิจก็จะไม่ได้รับเงินจากธุรกรรมนั้นๆ และอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมให้กับธนาคารหรือเจ้าของบัตร โดยค่าธรรมเนียมเงินคืนในประเทศไทยจะอยู่ที่ระหว่าง 100-750 บาทต่อธุรกรรม
- ค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน: ความหมายก็ตรงตามชื่อเลย นั่นคือ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการแปลงสกุลเงิน เช่น เมื่อใช้บัตรเครดิตไทยในต่างประเทศ หรือซื้อสินค้าจากธุรกิจออนไลน์ของต่างประเทศ ซึ่งค่าธรรมเนียมประเภทนี้มักอยู่ที่ประมาณ 1% ของมูลค่าธุรกรรม หรือ 10 บาทต่อทุกๆ 1,000 บาทนั่นเอง
- ค่าธรรมเนียมเบ็ดเตล็ด: ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมการยกเลิกก่อนกำหนด ค่าธรรมเนียมการถอนเงินสด ค่าธรรมเนียมการตรวจสอบยืนยันบัญชี หรือค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนผู้รับเงิน ค่าธรรมเนียมเหล่านี้อาจไม่สูงนัก แต่เมื่อรวมกันก็อาจกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ และควรมีการตรวจสอบและจัดการอย่างรอบคอบ
เพื่อให้ได้ข้อมูลค่าธรรมเนียมการประมวลผลบัตรเครดิตที่ถูกต้องแม่นยำ คุณจำเป็นต้องศึกษาค่าธรรมเนียมของเครือข่ายบัตรแต่ละแห่ง ตลอดจนข้อกำหนดและเงื่อนไขเฉพาะของผู้ให้บริการชำระเงินแต่ละรายอย่างละเอียด
แนวทางการลดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจ
สามารถดำเนินการต่อไปนี้เพื่อลดต้นทุนค่าธรรมเนียมในการประมวลผลบัตรเครดิต
สำรวจตัวเลือกและเจรจาต่อรอง
เมื่อธุรกิจของคุณเริ่มขยับขยาย ความต้องการด้านการประมวลผลอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรทำการเปรียบเทียบผู้ประมวลผลการชำระเงินและโครงสร้างค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อค้นหาตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการชำระเงินของธุรกิจ ควรมีการนัดหมายรายปีเพื่อเจรจาและต่อรองอัตราค่าธรรมเนียมกับผู้ให้บริการเพื่อค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีปริมาณธุรกรรมสูง หรือมีประวัติดีพร้อมอัตราการขอคืนเงินที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง หรือลองเจรจาต่อรองให้ผู้ให้บริการยกเว้นขั้นต่ำในช่วงธุรกิจเปิดใหม่หรือโลว์ซีซัน
เลือกโมเดลค่าบริการที่เหมาะสม
เลือกผู้ให้บริการที่มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ โดยการวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรมและโมเดลค่าบริการที่ตอบโจทย์ เช่น อัตราคงที่ อัตราตามระดับ หรือค่าบริการแบบบวกธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร โดยค่าบริการแบบบวกธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารมักมีความโปร่งใสและประหยัดกว่าค่าบริการแบบตามระดับ เหมาะกับธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมสูง ส่วนค่าบริการแบบอัตราคงที่มักเหมาะกับธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมต่ำ
ลดความเสี่ยงในการฉ้อโกง
การใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบด้วยบริการยืนยันที่อยู่ (AVS) และค่าการยืนยันบัตร (CVV) สามารถลดความเสี่ยงต่อธุรกรรมฉ้อโกงและการขอคืนเงิน ซึ่งความเสี่ยงที่ต่ำลงนี้อาจนำไปสู่ค่าธรรมเนียมการประมวลผลที่ต่ำลงเช่นกัน เนื่องจากผู้ประมวลผลมักจะเรียกเก็บเงินน้อยกว่าจากธุรกรรมที่มีการประเมินว่ามีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนี้การใช้ AVS ยังช่วยลดการดึงเงินคืนได้ด้วย
แนะนำช่องทางการชำระเงินอื่นๆ
แนะนำให้ลูกค้าพิจารณาช่องทางชำระเงินอื่นๆ ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า เช่น บัตรเดบิต, กระเป๋าเงินดิจิทัล หรือการสแกนจ่ายผ่าน QR Code ซึ่งมีค่าธรรมเนียมการประมวลผลต่ำกว่าบัตรเครดิต สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าใช้ช่องทางอื่นๆ ได้โดยการติดป้ายโปรโมชันที่จุดขาย, สื่อสารบนหน้าเว็บ หรือโซเชียลมีเดีย กลยุทธ์นี้จะช่วยลดค่าธรรมเนียมการประมวลผลและเร่งกระบวนการทำธุรกรรมให้เร็วขึ้น
กำหนดยอดธุรกรรมขั้นต่ำ
การกำหนดยอดการซื้อขั้นต่ำสำหรับธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตสามารถช่วยลดค่าธรรมเนียมการประมวลผลจากการขายที่มียอดต่ำได้ ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เครือข่ายบัตรเครดิตและกฎหมายท้องถิ่นกำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น ร้าน 7-Eleven ในประเทศไทยได้กำหนดยอดซื้อขั้นต่ำที่ 200 บาทสำหรับการชำระด้วยบัตรเครดิต แต่บางร้านค้าก็อาจมียอดขั้นต่ำที่ 500 หรือ แม้แต่ 1,000 บาท ทั้งนี้ควรมีการแจ้งนโยบายยอดธุรกรรมขั้นต่ำให้ลูกค้าเข้าใจอย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือความไม่พึงพอใจได้
ตั้งค่า Payment Gateway ให้ถูกต้อง
การกำหนดค่าใช้งาน Payment Gateway ให้ถูกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การตั้งค่าที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้ธุรกรรมถูกดาวน์เกรด ถูกปรับชั้นค่าธรรมเนียมการประมวลผลเป็นอัตราที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ควรมีการตรวจสอบการตั้งค่า Payment Gateway เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบ Payment Gateway มีการส่งข้อมูลธุรกรรมที่ถูกต้องทั้งหมดโดยอัตโนมัติ เพื่อให้มีสิทธิ์รับชำระเงินในอัตราที่ต่ำที่สุด
อัปเดตอุปกรณ์และซอฟต์แวร์เป็นประจำ
อุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธุรกรรมจะถูกประมวลผลในอัตราที่มีราคาสูงกว่า หากเป็นไปได้ควรมีการลงทุนในเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ ช่วยเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยให้ธุรกรรม และยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลโดยรวม
ใช้โปรแกรมเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรม
เครือข่ายบัตรบางเจ้าเสนอโปรแกรมที่ปรับให้เหมาะกับองค์กรบางแห่ง เช่น องค์กรไม่แสวงผลกำไรและองค์กรการศึกษาบางประเภท ซึ่งจะคิดอัตราค่าประมวลผลลดลง โปรดตรวจสอบว่าธุรกิจของคุณมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์โปรแกรมเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมหรือไม่
ตรวจสอบค่าธรรมเนียมเป็นประจำ
ตรวจสอบค่าธรรมเนียมและใบแจ้งยอดการประมวลผลการชำระเงินเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นหรืออัตราที่สูงกว่าที่ตกลงกันไว้ในตอนแรก ติดตามดูการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าธรรมเนียมหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมที่ผู้ประมวลผลของคุณอาจปรับใช้โดยที่คุณไม่ทราบ
Stripe Payments ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร
Stripe Payments มอบโซลูชันการชำระเงินระดับโลกแบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจใดๆ ตั้งแต่สตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตไปจนถึงองค์กรระดับโลกรับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกได้
Stripe Payments สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพให้ประสบการณ์การชำระเงินของคุณ: สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าและประหยัดเวลาในการทำงานวิศวกรรมได้หลายพันชั่วโมงด้วย UI การชำระเงินที่สร้างไว้ให้แล้ว, สิทธิ์เข้าถึงวิธีการชำระเงินมากกว่า 125 วิธี และ Link ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่สร้างโดย Stripe
- ขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น: เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกและลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการจัดการหลายสกุลเงินด้วยตัวเลือกการชำระเงินข้ามพรมแดนที่มีให้บริการใน 195 ประเทศและกว่า 135 สกุลเงิน
- รวมการชำระเงินที่จุดขายและทางออนไลน์ไว้ด้วยกัน: สร้างประสบการณ์การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมในช่องทางออนไลน์และที่จุดขายเพื่อปรับแต่งการโต้ตอบ ตอบแทนความภักดี และเพิ่มรายได้
- ปรับปรุงประสิทธิภาพการชำระเงิน: เพิ่มรายรับด้วยเครื่องมือการชำระเงินที่กำหนดเองได้และปรับแต่งได้ง่ายๆ ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันการฉ้อโกงแบบไม่ต้องเขียนโค้ดและความสามารถขั้นสูงเพื่อเพิ่มอัตราการอนุมัติ
- เดินหน้าได้เร็วขึ้นด้วยแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและเชื่อถือได้เพื่อการเติบโต: สร้างบนแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อขยับขยายไปพร้อมกับคุณ โดยมีระยะเวลาให้บริการที่แทบจะไม่หยุดทำงานเลย และมีความน่าเชื่อถือระดับแนวหน้าของวงการ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe Payments สามารถช่วยให้คุณรับการชำระเงินออนไลน์และที่จุดขายได้ หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ