การเรียกเก็บเงินอาจดูซับซ้อนในตอนแรก ทั้งยังเป็นงานที่พนักงานต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก แต่การนําขั้นตอนการเรียกเก็บเงินที่สอดคล้องกันและออกแบบมาอย่างดีมาใช้นั้นอาจเป็นประโยชน์กับธุรกิจและลูกค้าของคุณ เพราะจะช่วยให้กระแสรายรับของคุณมีปัญหาน้อยลง และช่วยให้ทีมการเงินของคุณมีแนวทางที่น่าเชื่อถือ และในขณะเดียวกัน ลูกค้าก็จะได้รับใบแจ้งหนี้ที่ถูกต้องตามเวลาที่กำหนดและง่ายต่อการชําระเงิน
ต่อไปนี้คือคําแนะนําเกี่ยวกับขั้นตอนการเรียกเก็บเงิน พร้อมตอบคำถามว่าเหตุใดขั้นตอนการเรียกเก็บเงินจึงสำคัญ วิธีการสร้างขั้นตอนการเรียกเก็บเงินให้มีประสิทธิภาพ และ Stripe สนับสนุนคุณอย่างไร
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินคืออะไรและเพราะเหตุใดจึงสําคัญ
- คุณจะสร้างขั้นตอนการเรียกเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
- ข้อกําหนดการชําระเงินมีบทบาทอย่างไรในขั้นตอนการเรียกเก็บเงิน
- ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินแตกต่างกันไปอย่างไรในแต่ละอุตสาหกรรม
- อะไรคือความท้าทายในการจัดการขั้นตอนการเรียกเก็บเงิน
- Stripe ช่วยอะไรได้บ้างในการเรียกเก็บเงิน
ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินคืออะไรและเพราะเหตุใดจึงสําคัญ
ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินคือวิธีที่คุณใช้ส่งใบแจ้งหนี้ รับชําระเงิน และติดตามธุรกรรม โดยเป็นสิ่งที่กำหนดรอบรายรับของคุณ นับตั้งแต่วินาทีที่คุณตัดสินใจตั้งราคาให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ไปจนถึงตอนที่มีการชําระเงินในบัญชีของคุณโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าคุณจะส่งใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าทางอีเมลหรือเรียกเก็บเงินลูกค้าโดยอัตโนมัติด้วยการเรียกเก็บเงินตามรอบบิล ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินจะช่วยให้คุณทราบเวลาและวิธีเรียกเก็บเงิน
ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินที่น่าเชื่อถือมีประโยชน์ดังต่อไปนี้
กำหนดความคาดหวัง: ลูกค้าจะทราบว่าตนเองจะได้รับใบแจ้งหนี้เมื่อใด รวมถึงจํานวนเงินที่ลูกค้าต้องชําระ และกรอบเวลาในการชําระเงิน
เพิ่มความไว้วางใจ: กฎที่ชัดเจนจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความสับสน หากลูกค้าเห็นว่าคําขอชําระเงินของคุณเป็นไปตามกําหนดเวลาที่บันทึกไว้ ลูกค้าจะเข้าใจการแจ้งการชำระเงินเลยกำหนดหรือรอบการเรียกเก็บเงินได้ดียิ่งขึ้น
กระแสเงินสดมีความสม่ำเสมอ: เมื่อได้รับการชําระเงินตามกําหนดเวลา คุณจะคํานวณรายรับต่อเดือนได้ง่ายขึ้น
ลดความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาด: ระเบียนข้อมูลการเรียกเก็บเงินที่เป็นระบบจะช่วยให้ตรวจสอบสถานะการชําระเงินได้ง่ายขึ้น คุณจะแก้ไขข้อผิดพลาดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แทนที่จะค้นพบข้อผิดพลาดเหล่านั้นเมื่อกระทบยอดบัญชี
ระบบการเรียกเก็บเงินมีการบันทึกข้อมูลอย่างดีมีส่วนช่วยให้ธุรกิจของคุณมีเสถียรภาพโดยรวม แม้ว่าคุณจะมีระบบที่กําหนดไว้อย่างหลวมๆ เช่น บางครั้งคุณอาจส่งใบแจ้งหนี้ PDF การการจัดทำขั้นตอนอย่างเป็นทางการเป็นลายลักษณ์อักษรจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
คุณจะสร้างขั้นตอนการเรียกเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
การสร้างขั้นตอนการเรียกเก็บเงินจะเริ่มต้นจากการประเมินบริการหรือผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างรอบคอบ และปิดท้ายด้วยการทดสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจสอบว่ากระบวนการเป็นไปด้วยดีหรือไม่ ต่อไปนี้คือแนวทางที่จะช่วยคุณพัฒนาขั้นตอนที่เหมาะกับธุรกิจ
ระบุว่าใครต้องทำอะไร เมื่อใด และอย่างไร
ใครต้องทำอะไร: กําหนดผู้รับผิดชอบการส่งใบแจ้งหนี้หรือการเรียกเก็บเงินการชําระเงินตามรอบบิล ซึ่งอาจจะเป็นพนักงานในทีมการเงินของคุณหรือระบบอัตโนมัติที่จะสร้างใบแจ้งหนี้เมื่อดําเนินการตามคําสั่งซื้อเรียบร้อยแล้ว
เมื่อใด: ตั้งค่ากําหนดเวลา คุณจะเรียกเก็บเงินที่ระบบบันทึกการขายหรือส่งรายการเดินบัญชีรายเดือน ใบแจ้งหนี้จะออกในวันสุดท้ายของแต่ละเดือนหรือหลังจากที่คุณจัดส่งผลิตภัณฑ์ การกำหนดจังหวะเวลาอย่างเหมาะสมจะป้องกันการส่งคําขอชําระเงินแบบสุ่มและช่วยให้ลูกค้าทราบเวลาที่ต้องชําระเงิน
อย่างไร: ตัดสินใจว่าคุณจะใช้ใบแจ้งหนี้แบบกระดาษ ใบแจ้งหนี้ดิจิทัล หรือเครื่องมือการชําระเงินตามรอบบิลออนไลน์ เลือกรูปแบบที่ตรงกับวิธีที่ลูกค้าต้องการชําระเงิน
ออกแบบใบแจ้งหนี้
ลักษณะที่ปรากฏของใบแจ้งหนี้อาจส่งผลต่ออัตราการเรียกเก็บเงินได้ เพราะใบแจ้งหนี้ที่เรียบง่ายและอ่านง่ายช่วยให้ลูกค้ามองเห็นสิ่งที่ต้องชําระได้ง่ายขึ้น ใบแจ้งหนี้ควรมีรายละเอียดพื้นฐานดังนี้
ชื่อธุรกิจและข้อมูลติดต่อ: ช่วยให้ลูกค้าติดต่อคุณได้อย่างสะดวกหากมีข้อสงสัย
หมายเลขใบแจ้งหนี้ที่ไม่ซ้ำกัน: ใช้ระบบกําหนดหมายเลขที่สามารถติดตามได้ในสมุดบัญชีของคุณ
แจกแจงการเรียกเก็บเงินแยกเป็นรายการ: แสดงรายละเอียดสิ่งที่คุณกําลังเรียกเก็บเงินทั้งหมด โดยแยกเป็นบรรทัดรายการหากต้องการ
วันครบกําหนดชําระ: ระบุวันครบกําหนดและเงื่อนไขการชําระเงิน (เช่น 15 วันสุทธิ, 30 วันสุทธิ) หากมีการปรับค่าธรรมเนียมการชำระเงินล่าช้า โปรดอธิบายค่าธรรมเนียมดังกล่าวด้วย
วิธีการชําระเงินที่ยอมรับ: แจ้งให้ลูกค้าทราบว่าคุณรับบัตรเครดิต การโอนเงินผ่านธนาคาร หรือด้วยวิธีอื่นๆ หรือไม่
สร้างการทํางานอัตโนมัติเมื่อเป็นไปได้
การเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ อาจลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูลและเวลาที่ทีมของคุณใช้ไปกับการตามเก็บใบแจ้งหนี้ที่เลยกําหนด และยังช่วยคุณส่งการแจ้งเตือนตามกําหนดเวลาปกติได้ด้วย
สื่อสารอย่างชัดเจน
การแจ้งเตือนทางโทรศัพท์หรือทางอีเมลเมื่อใกล้ถึงวันครบกําหนดอาจป้องกันไม่ให้การชําระเงินตกหล่นสะสมกลายเป็นปัญหาใหญ่ แต่ควรใช้ภาษาที่เป็นมิตรและเป็นข้อเท็จจริง โดยอ้างอิงรายละเอียดใบแจ้งหนี้ และควรอำนวความสะดวกให้ลูกค้าชําระเงินได้ภายในคลิกเดียว
ติดตามตรวจสอบ แก้ไข และปรับเปลี่ยน
หลังจากสร้างขั้นตอนปฏฺิบัติขึ้นมาแล้ว คุณต้องคอยติดตามตรวจสอบกระบวนการดังกล่าวด้วย โดยสังเกตจํานวนลูกค้าที่ชําระเงินตรงเวลา ความถี่ที่คุณต้องส่งใบแจ้งหนี้อีกครั้ง หรือจุดที่ทำให้เกิดความสับสน จากนั้นปรับกระบวนการตามผลลัพธ์ที่ได้
ข้อกําหนดการชําระเงินมีบทบาทอย่างไรในขั้นตอนการเรียกเก็บเงิน
ข้อกําหนดการชําระเงินจะกําหนดระยะเวลาที่ลูกค้าต้องชําระหนี้ และระบุปัจจัยอื่นๆ เช่น ส่วนลดสําหรับการชําระเงินก่อนกําหนดและกําหนดบทลงโทษสําหรับการชําระเงินล่าช้า ข้อกําหนดการชําระเงินมีผลต่อระยะเวลาในการรับรายได้และประสบการณ์ของลูกค้า หากข้อกําหนดเข้มงวดเกินไป ก็อาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกค้าได้ แต่หละหลวมเกินไป ก็อาจสร้างความเสียหายให้กระแสเงินสดได้
ข้อกําหนดการชําระเงินที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ ลูกค้าทั่วไป และความสัมพันธ์กับลูกค้าของคุณ และเมื่อคุณตัดสินใจแล้ว ก็ควรทำตามข้อกำหนดเหล่านั้น ต่อไปนี้เป็นข้อกําหนดการชําระเงินทั่วไปที่คุณอาจพบ
สุทธิ 15, สุทธิ 30 หรือสุทธิ 60: ลูกค้ามีเวลา 15, 30 หรือ 60 วันในการชำระเงินตามลําดับ นับตั้งแต่วันที่ในใบแจ้งหนี้ไปจนถึงชําระเงิน
2/10 สุทธิ 30: ลูกค้าจะได้รับส่วนลด 2% หากธุรกิจได้รับชําระเงินภายใน 10 วัน หากลูกค้าไม่ชําระเงินก่อนกําหนดภายในกรอบเวลาดังกล่าว ใบแจ้งหนี้ทั้งฉบับจะครบกําหนดในวันที่ 30
การชําระเงินล่วงหน้า: ลูกค้าชําระเงินก่อนจัดส่งสินค้าหรือบริการ กรณีนี้มักเป็นข้อกําหนดสําหรับคําสั่งซื้อสินค้าคัสตอมหรือสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง
ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินแตกต่างกันไปอย่างไรในแต่ละอุตสาหกรรม
ธุรกิจต่างๆ ต้องมีวิธีเรียกเก็บเงินจากลูกค้า แต่วิธีการนั้นจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ธุรกิจหนึ่งอาจใช้การเรียกเก็บเงินรายเดือนตามแบบแผนล่วงหน้าในขณะที่ธุรกิจอื่นอาจส่งใบแจ้งหนี้ตามความคืบหน้า ซึ่งในแต่ละกรณี ลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือบริการ และระเบียบข้อบังคับในอุตสาหกรรมจะเป็นตัวกำหนดโครงสร้างของขั้นตอนการเรียกเก็บเงิน
ต่อไปนี้คือตัวอย่างกระบวนการเรียกเก็บเงินที่มักจะใช้กับอุตสาหกรรมหลักประเภทต่างๆ
บริการให้คําปรึกษาและบริการเฉพาะทาง: บริการให้คําปรึกษาและบริการเฉพาะทางมักต้องอาศัยการติดตามเวลา การเรียกเก็บเงินตามผลงาน หรือตามความคืบหน้า อัตราค่าธรรมเนียมเหล่านี้อาจผูกกับค่าธรรมเนียมรายชั่วโมงหรือค่าธรรมเนียมโครงการ หรือกําหนดเงื่อนไขให้ชําระเงินล่วงหน้า 50% ล่วงหน้า และชำระอีก 50% เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์
ร้านค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ: โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซจะรับชําระเงินทันทีที่จุดชําระเงิน แต่บางครั้งธุรกิจจะเสนอการชําระเงินตามรอบบิลสําหรับคําสั่งซื้อตามแบบแผนล่วงหน้า (เช่น แพ็กเกจการสมัครใช้บริการรายเดือน) ใบแจ้งหนี้และใบเสร็จอัตโนมัติมักจะมีการดําเนินการด้วยตนเองน้อยมาก
การผลิต: ธุรกิจการผลิตอาจเรียกเก็บเงินจากลูกค้าในระยะต่างๆ เช่น การชําระเงินบางส่วนเพื่อเริ่มการผลิต อีกงวดเมื่อผลิตไประยะหนึ่ง และชําระเงินงวดสุดท้ายเมื่อจัดส่งสินค้า ลําดับเวลาในการชําระเงินอาจนานกว่าในอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะในธุรกรรมแบบ B2B
การดูแลสุขภาพ: การเรียกเก็บเงินสําหรับค่ารักษาพยาบาลประกอบด้วยการเคลมประกันภัย การจ่ายเงินร่วม และการชําระเงินจากหลายแหล่ง ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินประกอบด้วยการอนุมัติล่วงหน้า ใบแสดงรายการของผู้ป่วย และการติดตามผลสําหรับยอดคงเหลือที่ค้างชําระ
อะไรคือความท้าทายในการจัดการขั้นตอนการเรียกเก็บเงิน
ความท้าทายอาจเกิดขึ้นในขั้นตอนการเรียกเก็บเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ธุรกิจขยายกิจการและปริมาณการชำระเงินมากขึ้น ปัญหาทั่วไปมีดังนี้
การชําระเงินล่าช้าและหนี้เสีย: เมื่อลูกค้าไม่ชําระเงินตรงเวลา ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจัดการค่าใช้จ่าย รวมถึงค่าเช่าและการจ่ายเงินเดือนได้ การเตือนความจําอย่างสม่ำเสมอและนโยบายค่าธรรมเนียมการชำระเงินล่าช้าช่วยได้ แต่อาจจะทำให้ลูกค้าหายไปหรือปฏิเสธที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมดังกล่าว โดยเฉลี่ยแล้ว ใบแจ้งหนี้ B2B 8%ในสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นหนี้เสีย บางครั้งการมีแผนแจ้งหนี้ที่มีประสิทธิภาพ (เช่น ติดต่อกับตัวแทนเรียกเก็บหนี้) อาจจําเป็น
ข้อผิดพลาดของมนุษย์และกระบวนการที่ไม่สอดคล้องกัน: หากคุณไม่ได้จัดทำขั้นตอนการเรียกเก็บเงินเป็นลายลักษณ์อักษร พนักงานอาจจะส่งใบแจ้งหนี้ของตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลให้บันทึกข้อมูลไม่สอดคล้องกันหรือเรียกเก็บเงินอย่างไม่ถูกต้องหากมีคนลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ การตรวจสอบซ้ำเพื่อความถูกต้องและการมีระบบสําหรับกำกับดูแลสามารถจํากัดความผิดพลาดได้
กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ: กฎหมายภาษีการขายสามารถมีการเปลี่ยนแปลง ข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวแบบใหม่อาจเกิดขึ้นมา และกฎการชําระเงินข้ามพรมแดนก็เปลี่ยนแปลงได้ ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินที่ใช้งานได้ดีเมื่อปีที่แล้วอาจต้องปรับปรุงใหม่หากกฎใหม่มีผลบังคับใช้ การติดตามการปฏิบัติตามข้อกําหนดนั้นสิ้นเปลืองเวลา แต่การเพิกเฉยไม่สนใจก็อาจทําให้ถูกลงโทษได้
การจัดการการชําระเงินที่ซับซ้อน: ธุรกิจบางแห่งมีตัวเลือกการชําระเงินแบบพิเศษ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าอาจจะชําระเงินหลังจากที่คุณดำเนินการตามเป้าหมายระหว่างทางของโปรเจ็กต์หนึ่งๆ หรืออาจใช้วิธีการชําระเงินหลายวิธีสําหรับใบแจ้งหนี้รายการเดียว (ส่วนหนึ่งเป็นเช็ค อีกส่วนหนึ่งเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร) การจัดการการชำระเงินเหล่านี้อาจจะซับซ้อนขึ้นเมื่อขั้นตอนของคุณออกแบบมาเพื่อการชำระเงินแบบเรียบง่าย
การเรียกเก็บเงินจํานวนมาก: เมื่อธุรกิจของคุณมีลูกค้ามากขึ้น จํานวนใบแจ้งหนี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การประมวลผลข้อมูลเหล่านี้อาจใช้เวลานานมาก และการติดตามยอดเงินที่เลยกําหนดก็ยากขึ้น ระบบอัตโนมัติและทีมการเงินที่แข็งแกร่งสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ธุรกิจของคุณมีงานล้นมือ
Stripe ช่วยอะไรได้บ้างในการเรียกเก็บเงิน
Stripe Billing คือผลิตภัณฑ์ที่รองรับโมเดลการชำระเงินประเภทรายรับตามแบบแผนล่วงหน้า ใบแจ้งหนี้แบบครั้งเดียว และโมเดลการชําระเงินอื่นๆ อีกมากมาย โดย Stripe จะช่วยคุณเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินด้วยวิธีต่อไปนี้
การจัดการการชําระเงินตามรอบบิล: Stripe ให้บริการเครื่องมือการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าสําหรับธุรกิจแบบสมัครใช้บริการ คุณจะปรับแต่งรอบการเรียกเก็บเงิน กําหนดช่วงทดลองใช้ และจัดการระดับการชําระเงินตามรอบบิลได้ ระบบจะส่งใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าตามรอบเวลาที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ และจัดเก็บรักษาวิธีการชําระเงินไว้ในระบบ
ใบแจ้งหนี้แบบครั้งเดียว: Stripe ให้คุณส่งใบแจ้งหนี้แก่ลูกค้าทางอีเมล และให้ลูกค้าชําระเงินออนไลน์ได้โดยใช้วิธีการชําระเงินที่หลากหลาย คุณจะปรับแต่งดีไซน์ของใบแจ้งหนี้ เพิ่มรูปลักษณ์ของแบรนด์ และจัดการงานของคุณได้อย่างเป็นระเบียบภายในแดชบอร์ด Stripe นอกจากนี้ยังกําหนดเวลาแจ้งเตือนอัตโนมัติสําหรับลูกค้าที่ยังไม่ได้ชําระเงินตรงเวลาได้อีกด้วย คุณจึงไม่ต้องติดตามการชำระเงินด้วยตัวเอง
การคํานวณภาษีอัตโนมัติ: กฎภาษีอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะในกรณีที่คุณขายสินค้าในหลายสถานที่ Stripe Tax นําความซับซ้อนดังกล่าวออกโดยการคํานวณและเรียกเก็บภาษีที่ถูกต้องตามตําแหน่งที่ตั้งของลูกค้า สิ่งนี้สามารถลดการคาดเดาและข้อกังวลเรื่องการปฏิบัติตามข้อกําหนดที่อาจเกิดขึ้น คุณสามารถเพิ่มฟีเจอร์นี้ในขั้นตอนการทํางาน Stripe Billing ได้ เพื่อให้ใบแจ้งหนี้แต่ละรายการมียอดภาษีที่ถูกต้อง
วิธีการชําระเงินที่หลากหลาย: Stripe รองรับบัตร การโอนเงินผ่านธนาคาร วิธีการชําระเงินในท้องถิ่น และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจได้รับเงินอย่างรวดเร็ว เนื่องจากลูกค้าจะเลือกวิธีการชําระเงินที่ต้องการได้
การผสานการทํางานและการรายงาน Stripe เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มการทําบัญชีหลายๆ แพลตฟอร์มเพื่อให้คุณซิงค์สมุดบัญชีได้โดยไม่ต้องป้อนข้อมูลเพิ่ม แดชบอร์ดช่วยให้คุณดูกระบวนการจัดการรายรับได้อย่างรวดเร็ว พร้อมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับใบแจ้งหนี้ที่ชําระแล้ว ใบแจ้งหนี้ที่ยังไม่ได้ชําระ และใบแจ้งหนี้ที่เลยกําหนดชําระ ส่วนการวิเคราะห์ในตัวจะช่วยให้คุณเห็นรูปแบบการชําระเงินที่ล่าช้าหรือระบุการเลิกใช้บริการ ซึ่งจะช่วยคุณปรับปรุงกระบวนการเรียกเก็บเงิน
การป้องกันการฉ้อโกง: เครื่องมือจัดการความเสี่ยงของ Stripe จะช่วยกรองธุรกรรมที่น่าสงสัยและลดความเสี่ยงจากธุรกรรมของมิจฉาชีพได้ คุณสามารถใช้กฎที่กําหนดเองหรือใช้ข้อมูลสําเร็จรูปของ Stripe ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากคุณดําเนินธุรกิจในหลายประเทศหรือจัดการธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง
การปรับแต่ง: อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ของ Stripe ช่วยให้คุณปรับประสบการณ์การเรียกเก็บเงินให้เข้ากับความต้องการของคุณได้ โดยคุณสามารถผสานการทํางานกับเว็บไซต์หรือแอปที่คุณมีอยู่เพื่อสร้างขั้นตอนการชําระเงินที่เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือใช้แบบฟอร์มสําเร็จรูปเพื่อการเปิดตัวที่รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้คุณยังจัดการสิทธิ์อนุญาตของผู้ใช้ได้ด้วย เพื่อให้สมาชิกทีมบางคนเห็นเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องในแดชบอร์ด
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ