ระบบบันทึกการขาย (POS) คือฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จำนวนหนึ่งที่ธุรกิจใช้ประมวลผลธุรกรรม ฮาร์ดแวร์อาจประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องบันทึกเงินสด เครื่องอ่านบัตร เครื่องสแกนบาร์โค้ด เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ และหน้าจอสัมผัส ในขณะที่ซอฟต์แวร์จะทำหน้าที่จัดการการขาย สินค้าคงคลัง ข้อมูลลูกค้า และรายงาน ตลาด POS ทั่วโลกมีมูลค่าถึง 29,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าภายในปี 2032
ระบบ POS ช่วยอํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง และช่วยธุรกิจวิเคราะห์แนวโน้มการขายและพฤติกรรมของลูกค้า ต่อไปในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงประเภทของระบบ POS วิธีการทํางาน ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับ ไปจนถึงวิธีแก้ไขปัญหาที่พบบ่อย
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ระบบ POS แบ่งออกเป็นประเภทใดบ้าง
- ระบบ POS ทํางานอย่างไร
- ฉันต้องใช้ระบบ POS อย่างไร
- ระบบ POS ที่เหมาะสมจะช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างไร
- ความท้าทายในการใช้ระบบ POS
- ค่าใช้จ่ายสำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ในระบบ POS
ระบบ POS แบ่งออกเป็นประเภทใดบ้าง
ระบบ POS ประเภทต่างๆ ออกแบบมาให้เหมาะกับอุตสาหกรรมและโมเดลธุรกิจที่แตกต่างกันไป โดยแต่ละประเภทต่างก็มีข้อดีเป็นของตนเอง
ระบบ POS แบบเดิม: พบได้ทั่วไปในร้านค้าแบบมีหน้าร้านและมักเป็นระบบที่ติดตั้งอยู่กับที่ ซึ่งประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องลงทะเบียนเงินสด เครื่องสแกนบาร์โค้ด เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ และเครื่องอ่านบัตร ระบบแบบนี้จำเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์อยู่ในสถานที่เดียวกันและอยู่ในเครือข่ายที่เชื่อมต่อกัน
ระบบ POS แบบเคลื่อนที่: ระบบเหล่านี้ใช้แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ POS ซึ่งมีความยืดหยุ่น พกพาสะดวก และมักจะใช้ระบบคลาวด์ ช่วยให้ธุรกิจทําธุรกรรมได้จากทุกที่ ระบบประเภทนี้ได้รับความนิยมในหมู่ธุรกิจขนาดเล็ก รถบรรทุกอาหาร และร้านป๊อบอัป ไปจนถึงการออกร้านกลางแจ้ง
ระบบ POS บนระบบคลาวด์: เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า POS แบบบริการซอฟต์แวร์ (SaaS) ซึ่งทํางานผ่านอินเทอร์เน็ตและจัดเก็บข้อมูลไว้ในระบบคลาวด์ ระบบประเภทนี้มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งน้อยกว่า รวมทั้งเข้าถึงและขยายระบบได้ง่าย จึงเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง
ระบบ POS แบบบริการตัวเอง: พบได้ทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด วยให้ลูกค้าสแกนและชําระเงินค่าสินค้าด้วยตัวเองได้ ระบบ POS แบบบริการตัวเองช่วยลดต้นทุนค่าแรงและเพิ่มความเร็วในการชําระเงินได้เป็นอย่างดี
ระบบ POS แบบคีออสก์: คีออสก์คือระบบแบบสแตนด์อโลนที่ลูกค้าใช้ส่งคําสั่งซื้อหรือทําการซื้อ คล้ายกับระบบ POS แบบบริการตัวเอง พบได้บ่อยในร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และสนามบิน
ระบบ POS แบบหลายช่องทาง: ระบบนี้จะเชื่อมต่อการขายภายในร้านกับทางออนไลน์เข้าด้วยกัน ช่วยให้ธุรกิจจัดการสินค้าคงคลัง ข้อมูลลูกค้า และการขายได้ในทุกช่องทาง เหมาะกับธุรกิจที่มีทั้งร้านค้าออนไลน์และหน้าร้าน
ระบบ POS ทํางานอย่างไร
ระบบ POS จัดการงานจํานวนมาก รวมถึงการประมวลผลการชําระเงินและรวบรวมข้อมูลลูกค้า การทำงานของระบบ POS มีดังต่อไปนี้
การเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการของลูกค้า: ลูกค้าเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการและเพิ่มลงในรถเข็นช็อปปิ้งออนไลน์ในระบบ POS โดยใช้วิธีสแกนบาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์ ป้อนข้อมูลผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง หรือใช้หน้าจอสัมผัส
การคํานวณต้นทุน: ระบบ POS จะคํานวณค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงภาษีและส่วนลดหรือโปรโมชันที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังสามารถนําคะแนนสะสมหรือค่าบริการแบบพิเศษมาคำนวณได้ด้วย
การประมวลผลการชําระเงิน: เมื่อลูกค้าพร้อมชําระเงินแล้ว ระบบ POS จะประมวลผลการชําระเงิน หากลูกค้าชําระเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ระบบจะเชื่อมต่อกับเกตเวย์การชําระเงินเพื่ออนุมัติธุรกรรมนั้น
การสร้างใบเสร็จ: หลังจากชําระเงิน ระบบจะสร้างใบเสร็จ ซึ่งสามารถพิมพ์หรือส่งให้ลูกค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ใบเสร็จจะแสดงรายการสินค้าและบริการที่ซื้อ รวมทั้งราคา ภาษี และวิธีการชําระเงินที่ใช้
การจัดการสินค้าคงคลัง: ระบบ POS จะอัปเดตสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ โดยหักสินค้าที่ขายแล้วออกจากสต็อก ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ติดตามระดับสินค้าคงคลังและสั่งซื้อใหม่ได้เมื่อจําเป็น
การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: ระบบ POS รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับยอดขาย ความต้องการของลูกค้า และแนวโน้มสินค้าคงคลัง ธุรกิจจะใช้ข้อมูลนี้มาสร้างรายงาน วิเคราะห์ประสิทธิภาพ และตัดสินใจอย่างมีข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง โปรโมชัน และพนักงาน
การผสานการทำงานของระบบ: ระบบ POS ที่ทันสมัยมักจะผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์ธุรกิจอื่นๆ เช่น การทําบัญชี การจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจแชร์ข้อมูลและจัดการการดำเนินงานของทุกแผนกได้ง่ายขึ้น
ฉันต้องใช้ระบบ POS อย่างไร
หากต้องการใช้ระบบ POS ธุรกิจจำเป็นต้องมีส่วนประกอบหลัก ตลอดจนฟีเจอร์เสริมที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจแต่ละประเภท
ส่วนประกอบหลัก
ระหว่างติดตั้งระบบ POS ตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนประกอบฮาร์ดแวร์ทั้งหมดของคุณเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์ POS ที่เลือก
ซอฟต์แวร์ POS: ซอฟต์แวร์ที่จัดการการขาย สินค้าคงคลัง และข้อมูลลูกค้า
ฮาร์ดแวร์ POS: อุปกรณ์ที่โต้ตอบกับระบบและประมวลผลธุรกรรม ระบบ POS แบบเคลื่อนที่มักใช้ส่วนประกอบฮาร์ดแวร์เพิ่มน้อยกว่าระบบ POS แบบอื่น
- คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต/สมาร์ทโฟน: เรียกใช้งานซอฟต์แวร์ POS
- ลิ้นชักเงินสด: จัดเก็บเงินสดอย่างปลอดภัยระหว่างทำธุรกรรม
- เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ: มอบเอกสารบันทึกการซื้อให้กับลูกค้า
- เครื่องอ่านบัตร: รับชําระเงินด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
- คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต/สมาร์ทโฟน: เรียกใช้งานซอฟต์แวร์ POS
สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เสถียร: สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เสถียรสําหรับใช้งานระบบ POS แบบคลาวด์และประมวลผลธุรกรรมผ่านบัตร
แหล่งจ่ายไฟและระบบสํารองข้อมูล: แหล่งจ่ายไฟที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับระบบ POS ได้อย่างเสถียร แนะนำให้ซื้อเครื่องสำรองไฟฟ้าและปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (UPS) เพื่อป้องกันกระแสไฟขัดข้องและไฟดับที่อาจทำให้ระบบหยุดทํางานได้
บัญชีประมวลผลการชําระเงิน: บัญชีผู้ค้าหรือเกตเวย์การชําระเงินสำหรับประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิตและบัตรเดบิต โดยปกติแล้วมักจะต้องทำสัญญากับผู้ประมวลผลการชําระเงินและอาจมีค่าธรรมเนียมธุรกรรมด้วย
มาตรการรักษาความปลอดภัย: แนวทางการรักษาความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลของลูกค้าและป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต (เช่น รหัสผ่านที่ปลอดภัย สิทธิ์เข้าถึงแบบจํากัดของผู้ใช้ การปฏิบัติตามมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูล เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน [PCI DSS])
ฟีเจอร์เสริม
ธุรกิจบางประเภทอาจต้องเพิ่มฟีเจอร์เสริมบางอย่างให้กับระบบ POS
ระบบแสดงผลในครัว (KDS): KDS พบได้บ่อยในร้านอาหาร และทำหน้าที่แจ้งคําสั่งซื้อกับพนักงานในครัว
เครื่องชั่ง: เครื่องชั่งแบบดิจิทัลเชื่อมต่อการทํางานกับ POS เพื่อให้คำนวณราคาได้อย่างถูกต้องหากคุณขายสินค้าตามน้ำหนัก
เครื่องพิมพ์ฉลาก: เครื่องพิมพ์จะช่วยให้คุณสร้างป้ายฉลาก บาร์โค้ด หรือป้ายราคาแบบกําหนดเองได้
ระบบติดตามชั่วโมงทำงานของพนักงาน: ระบบติดตามเวลาในตัวจะทำหน้าที่จัดการชั่วโมงทำงานของพนักงาน
แนวทางปฏิบัติแนะนำ
ฝึกอบรมพนักงาน: ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับวิธีการใช้ระบบ POS เพื่อประมวลผลธุรกรรม จัดการสินค้าคงคลัง และจัดการข้อมูลลูกค้า
เตรียมแผนสํารองกรณีระบบหยุดทํางาน: เตรียมแผนสำรองเผื่อไว้กรณีที่ระบบ POS ของคุณออฟไลน์ เช่น วิธีทำรายการด้วยตัวเองหรืออุปกรณ์สํารองที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น
ระบบ POS ที่เหมาะสมจะช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างไร
การเลือกระบบ POS ที่เหมาะสม ช่วยยกระดับการดําเนินธุรกิจ ความสัมพันธ์กับลูกค้า และการรักษาความปลอดภัยได้ โปรดดูตัวอย่างประโยชน์และข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้
การทำงานที่ง่ายขึ้น: ระบบ POS ที่ดีช่วยเร่งความเร็วในการทําธุรกรรมและลดข้อผิดพลาด จึงช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและลดความตึงเครียดของพนักงาน
การควบคุมสินค้าคงคลัง: ระบบ POS ช่วยติดตามสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณทราบว่าสินค้าใดขายดีและต้องเติมสินค้าเมื่อใด ข้อมูลนี้จะช่วยป้องกันเหตุการณ์ที่คุณไม่มีสินค้ายอดนิยมเหลืออยู่ในร้านหรือเติมสินค้าที่ขายไม่ได้เร็วเกินไป และสามารถลดการสูญเสียที่เกิดจากการขโมยหรือการจัดการผิดพลาดได้
ความยืดหยุ่นในการชําระเงิน: เมื่อใช้ระบบ POS ที่เหมาะสม คุณจะรับชำระเงินด้วยวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต การชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ และการชําระเงินแบบไร้สัมผัส ความยืดหยุ่นนี้จะทําให้ลูกค้าชําระเงินด้วยวิธีที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
ความสัมพันธ์กับลูกค้า: ระบบ POS บางระบบสามารถติดตามการซื้อของลูกค้าและช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายเฉพาะบุคคลหรือโปรแกรมสะสมคะแนน ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับลูกค้าและส่งเสริมให้พวกเขากลับมาซื้ออีกครั้ง
ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจ: ระบบ POS สามารถสร้างรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มยอดขาย ช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้งานสูง และผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดได้ ข้อมูลนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ทั้งในด้านการจัดสรรพนักงาน การจัดการคลังสินค้า และกลยุทธ์การตลาด
การเชื่อมต่อการทำงานกับระบบอื่นๆ: ระบบ POS ที่ทันสมัยจํานวนมากเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ธุรกิจอื่นๆ ได้ เช่น แพลตฟอร์มการทําบัญชีหรือการขายออนไลน์ จึงลดความจําเป็นในการป้อนข้อมูลด้วยตัวเอง ลดข้อผิดพลาด และช่วยให้จัดการธุรกิจแบบรวมศูนย์มากขึ้นได้
การรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด: ระบบ POS ที่เหมาะสมจะช่วยให้ประมวลผลการชําระเงินได้อย่างปลอดภัย ปกป้องข้อมูลลูกค้า และปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของอุตสาหกรรม จึงลดความเสี่ยงในการจ่ายค่าปรับ การละเมิดข้อมูล และสิ่งที่จะทำให้ชื่อเสียงของธุรกิจเสียหาย
เมื่อเลือกระบบ POS ให้พิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
การสนับสนุนลูกค้าและบริการบํารุงรักษา: เลือกระบบ POS ที่มีบริการสนับสนุนลูกค้าที่เชื่อถือได้เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทางเทคนิคหรือการอัปเดตซอฟต์แวร์ การบํารุงรักษาเป็นประจํา เช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์และการตรวจสอบฮาร์ดแวร์ จะช่วยให้ระบบทํางานได้อย่างราบรื่น
โปรแกรมสะสมคะแนนและเครดิตสะสม: หากธุรกิจของคุณมีโปรแกรมสะสมคะแนนหรือโปรแกรมเครดิตสะสม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบ POS ของคุณรองรับโปรแกรมเหล่านี้ได้ โดยคุณอาจจะต้องเชื่อมต่อการทํางานกับซอฟต์แวร์สะสมคะแนนของบริษัทอื่นหรือใช้ฟีเจอร์ที่มีมาให้ในตัว
การปฏิบัติตามกฎระเบียบ: คุณอาจจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบบางอย่าง ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมของคุณ ดังนั้นโปรดตรวจสอบว่าระบบ POS ของคุณเป็นไปตามกฎระเบียบเหล่านี้ ไม่ว่าจะกฎระเบียบดังกล่าวจะกำกับดูแลการคุ้มครองข้อมูล การปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษี หรือมาตรฐานเฉพาะอุตสาหกรรมหรือไม่ก็ตา
อุปกรณ์ที่ลูกค้าเห็น: หากคุณต้องการหน้าจอแสดงผลหรือคีออสก์แบบบริการตัวเองที่ให้ลูกค้าโต้ตอบด้วยตัวเอง ให้เลือกระบบ POS ที่รองรับฟีเจอร์เหล่านี้
ความท้าทายในการใช้ระบบ POS
ธุรกิจสามารถลดปัญหาที่พบได้บ่อยของระบบ POS ได้ด้วยการวางแผนและหาข้อมูลของผู้ให้บริการอย่างถี่ถ้วน รวมทั้งขอบริการสนับสนุนแบบต่อเนื่องเมื่อเลือกและติดตั้งระบบ POS ความท้าทายที่พบบ่อย ได้แก่
การเรียนรู้: การฝึกอบรมวิธีใช้ระบบแก่พนักงานอาจใช้เวลานานและต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติม หากระบบซับซ้อนเกินไป ก็อาจทําให้การปฏิบัติงานล่าช้าและเกิดข้อผิดพลาดได้
การเชื่อมต่อการทํางาน: ระบบ POS มักต้องเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์อื่น เช่น เครื่องมือการทําบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง หรือ CRM การเชื่อมต่อระบบเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาจากผู้ให้บริการหลายรายหรือทำงานเข้ากันไม่ได้ ปัญหาการเชื่อมต่ออาจทําให้ข้อมูลไม่สอดคล้องกันและเพิ่มภาระงานที่ต้องทําด้วยตัวเอง
ปัญหาทางเทคนิค: ระบบ POS อาจเกิดปัญหาทางเทคนิค เช่น ข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ทำงานล้มเหลว ปัญหาเหล่านี้อาจทําให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก สร้างความขัดข้องในการขาย และทําให้ลูกค้าเกิดความยุ่งยาก ปัญหาทางเทคนิคที่พบบ่อยยังอาจทำให้ต้นทุนค่าบํารุงรักษาเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของธุรกิจด้วย
การรักษาความปลอดภัยข้อมูล: ระบบ POS จะจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้า จึงช่วยให้ตรวจจับการโจมตีทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูลได้ การไม่ปกป้องข้อมูลของลูกค้าอาจทำให้ธุรกิจต้องเสียค่าปรับและสูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้าได้
ต้นทุน: การติดตั้งและบํารุงรักษาระบบ POS อาจมีราคาแพง เพราะนอกจากการซื้อในครั้งแรกแล้ว ยังมีค่าฮาร์ดแวร์ ใบอนุญาตใช้ซอฟต์แวร์ การฝึกอบรม และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องด้วย สําหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณจํากัด ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจรวมกันกลายเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้
การปรับแต่งและการขยายระบบ: ธุรกิจต่างก็ต้องการระบบ POS ที่สามารถปรับให้เหมาะกับความต้องการและขยายระบบเมื่อธุรกิจเติบโต บางระบบมีความยืดหยุ่นจํากัดหรือต้องอัปเกรดขยายระบบโดยเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ซึ่งขัดขวางการเติบโตของธุรกิจ
การสนับสนุนจากผู้ให้บริการ: ผู้ให้บริการ POS ทุกรายอาจไม่ได้ให้บริการสนับสนุนในระดับเดียวกัน การบริการลูกค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาตอบกลับยาวนาน หรือขาดความเชี่ยวชาญทางเทคนิค อาจทําให้ปัญหายิ่งลุกลามและส่งผลให้ระบบต้องหยุดทํางานเป็นเวลานาน
ประสบการณ์ของผู้ใช้: หากระบบ POS เข้าใจยากหรือมีอินเทอร์เฟซเทอะทะก็อาจทําให้พนักงานและลูกค้าหงุดหงิดและไม่ประทับใจ ทั้งยังทําให้การดําเนินธุรกิจเชื่องช้าลง
ความเข้ากันได้: ระบบ POS ต้องรองรับวิธีการชําระเงิน อุปกรณ์ และการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ได้ ซึ่งบางระบบอาจต้องเปลี่ยนใหม่หรือทำการอัปเกรดที่มีราคาแพง
ต้นทุนค่าซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ POS
ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ POS แต่ละตัวมาพร้อมกับค่าใช้จ่าย คุณจึงควรพิจารณาเรื่องนี้ด้วยในการวางแผนและจัดสรรงบประมาณของธุรกิจ
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับซอฟต์แวร์
แบบชําระเงินตามรอบบิล: ระบบ POS หลายระบบต้องชําระเงินตามรอบบิลต่อเทอร์มินัล ปกติแล้ว ค่าธรรมเนียมรายเดือนมักจะครอบคลุมการอัปเดตซอฟต์แวร์ การสนับสนุนลูกค้า และพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์อยู่แล้ว
การซื้อขาด: ระบบ POS บางระบบกําหนดให้ซื้อขาดในครั้งเดียว ซึ่งค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปตามฟีเจอร์และความสามารถในการขยายระบบ โดยมักจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสําหรับการอัปเดตและการสนับสนุน
ฟีเจอร์เสริมและการผสานการทํางาน: ฟีเจอร์เสริมต่างๆ เช่น โปรแกรมสะสมคะแนน การวิเคราะห์ขั้นสูง หรือการผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์อื่นอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์
เครื่องบันทึกเงินสดและเทอร์มินัล: ธุรกิจอาจต้องซื้อเครื่องบันทึกเงินระดับพื้นฐาน เทอร์มินัล POS ที่มีฟีเจอร์ครบถ้วน หรือฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจ
อุปกรณ์ต่อพ่วง: ธุรกิจอาจต้องใช้อุปกรณ์อีกหลายอย่าง เช่น เครื่องสแกนบาร์โค้ด เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ เครื่องอ่านบัตร ลิ้นชักเงินสด หรือแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนสําหรับใช้เป็นระบบ POS เคลื่อนที่
คีออสก์และระบบบริการตัวเอง: คีออสก์และระบบบริการตัวเองมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลายพันดอลลาร์ต่อเครื่อง โดยเฉพาะระบบที่สั่งทำเป็นพิเศษหรือใช้ฟีเจอร์เฉพาะทาง
ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
การติดตั้งและฝึกอบรม: ธุรกิจทุกแห่งจะต้องจ่ายค่าติดตั้งล่วงหน้า และบางธุรกิจอาจต้องจ่ายค่าฝึกอบรมพนักงานด้วย
การบํารุงรักษาและการสนับสนุน: ธุรกิจจะต้องชําระเงินค่าบริการสนับสนุนทางเทคนิคและการบํารุงรักษาอย่างต่อเนื่อง
ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: หากระบบ POS ต้องประมวลผลการชําระเงินด้วย ก็อาจมีค่าธรรมเนียมธุรกรรม ซึ่งเรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าธุรกรรมบวกด้วยค่าธรรมเนียมคงที่
การปรับแต่ง: การปรับแต่งระบบให้ตรงตามความต้องการเฉพาะอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นธุรกิจที่แตกต่างจากปกติทั่วไปด้วยแล้ว
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ