การชำระเงินในประเทศไทย: คู่มือเชิงลึก

Payments
Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. สถานะของตลาด
  3. วิธีการชำระเงิน
    1. การใช้งานในปัจจุบัน
    2. แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น
  4. ความง่ายและความยากในการเข้าสู่ตลาด
    1. ภาษี
    2. การดึงเงินคืนและการโต้แย้งการชำระเงิน
    3. การชำระเงินระหว่างประเทศ
    4. ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
  5. ปัจจัยหลักที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ
  6. ประเด็นสำคัญ
    1. การรวมวิธีการชำระเงินที่นิยมในแต่ละพื้นที่
    2. ก้าวข้ามช่องว่างทางดิจิทัล
    3. เน้นความปลอดภัยเพื่อสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า

ประเทศไทยมีภาคการเงินที่กำลังพัฒนาอย่างแข็งขันซึ่งผสมผสานวิธีการชำระเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับนวัตกรรมดิจิทัล ด้วยตำแหน่งที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศจึงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับการค้า การท่องเที่ยว และกิจกรรมทางการเงิน โดยเชื่อมโยงภูมิภาคนี้กับตลาดโลกในวงกว้าง จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปี 2024 มีธุรกรรมธนาคารบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในประเทศไทยเกือบ 35.7 พันล้านครั้ง นี่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงของประเทศไปสู่การธนาคารและวิธีการชำระเงินดิจิทัล

แต่ลูกค้าชาวไทยยังคงใช้การทำธุรกรรมด้วยเงินสด โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลและตลาดแบบดั้งเดิม พฤติกรรมการชำระเงินที่มีร่วมกันเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ

หน่วยงานกำกับดูแลภายใต้การนำของ ธปท. กำลังสร้างแนวทางป้องกันเพื่อผลักดันการพัฒนาควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพ การนำระบบต่างๆ เช่น พร้อมเพย์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการชำระเงินแบบเรียลไทม์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลมาใช้ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยต้องการยกระดับการชำระเงินให้ทันสมัยและเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน

ในคู่มือนี้ เราจะกล่าวถึงสิ่งที่ธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับการชำระเงินในประเทศไทย ซึ่งรวมถึง

  • การปรับตัวให้เข้ากับวิธีการชำระเงินในท้องถิ่น
  • การตระหนักถึงช่องว่างระหว่างในเมืองและชนบท
  • การให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยและสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า

สถานะของตลาด

ตลาดการชำระเงินของประเทศไทยเป็นการผสมผสานระหว่างแบบเก่าและใหม่ การชำระเงินดิจิทัลมักเป็นวิธีที่นิยมใช้ในเขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร แต่เงินสดกลับมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในพื้นที่ชนบทและสำหรับการทำธุรกรรมขนาดเล็กในแต่ละวัน จากข้อเท็จจริงที่ว่าการชำระเงินด้วยเงินสดคิดเป็น 56% ของมูลค่าธุรกรรมผ่านระบบบันทึกการขาย (POS) ในประเทศไทยในปี 2022 แต่ความนิยมของวิธีการชำระเงินอาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยปี 2022 Visa ได้รายงานว่า 89% ของผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยมีแผนที่จะใช้การชำระเงินแบบไร้เงินสดบ่อยขึ้น

โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศไทยหยั่งรากลึกในหน่วยงานธนาคารที่มีมาอย่างยาวนาน โดยมีธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นธนาคารชั้นนำของประเทศ ในปี 2024 ธนาคารกรุงเทพรายงานว่ามีสินทรัพย์รวมประมาณ 4.55 ล้านล้านบาทไทย (THB) ทำให้เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแง่ของสินทรัพย์ นอกเหนือจากการธนาคารแบบดั้งเดิมแล้ว ประเทศไทยยังมีสถาบันการเงินเฉพาะทาง เช่น ธนาคารออมสิน ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การออมและสินเชื่อรายย่อย และธนาคารกรุงไทยซึ่งรัฐบาลไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

ธปท. กำกับดูแลภาคการเงินของประเทศ รวมถึงยังรับผิดชอบการออกนโยบายการเงิน กฎระเบียบการเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และสภาวะโดยรวมของระบบการเงิน นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังกำกับดูแลกิจกรรมในตลาดทุน มุ่งมั่นในการสร้างความโปร่งใส เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ

วิธีการชำระเงิน

ลูกค้าชาวไทยใช้วิธีการชำระเงินทั้งแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ รายละเอียดวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยและวิธีที่ลูกค้าใช้งานมีดังนี้

การใช้งานในปัจจุบัน

การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์และบนอุปกรณ์เคลื่อนที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ในขณะที่เงินสดยังคงเป็นวิธีการชำระเงินหลักสำหรับการทำธุรกรรมรายวัน โดยที่วิธีการชำระเงินดิจิทัลกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ประชากรในเมือง โดยพร้อมเพย์ที่เป็นความร่วมมือระหว่างธปท. และสมาคมธนาคารไทย เป็นระบบโอนเงินแบบเรียลไทม์ที่ผู้ใช้บริการสามารถชำระเงินได้โดยใช้เพียงแค่หมายเลขโทรศัพท์มือถือหรือบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งในเดือนมีนาคม 2025 เพียงเดือนเดียว พร้อมเพย์ประมวลผลธุรกรรม 2.1 พันล้านรายการ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 4.43 ล้านล้านบาท ได้ช่วยตอกย้ำถึงความนิยมและการเปลี่ยนแปลงของประเทศไปสู่การชำระเงินดิจิทัล

การรับบัตรเครดิตก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหัวเมืองต่างๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ลูกค้าสามารถใช้บัตรในการซื้อสินค้าที่หน้าร้าน ไม่ว่าจะซื้อจากห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าริมถนนที่มีอุปกรณ์ POS แบบพกพา รวมถึงการเติบโตของอีคอมเมิร์ซยังช่วยกระตุ้นการใช้บัตรอีกด้วย โดยการสำรวจในปี 2022 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 12% ชอบใช้บัตรสำหรับการซื้อของออนไลน์ โดย 8% เลือกชำระเงินด้วยบัตรเครดิตและ 4% เลือกบัตรเดบิต

วิธีการชำระเงินแบบ B2C ยอดนิยมในประเทศไทย

  • เงินสดและการเก็บเงินปลายทาง (COD)
  • บัตรเครดิต
  • กระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น พร้อมเพย์)

วิธีการชำระเงินแบบ B2B ยอดนิยมในประเทศไทย

  • การโอนเงินระหว่างธนาคาร
  • บัตรเครดิต
  • กระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น พร้อมเพย์)

แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น

ตลาดการชำระเงินของประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันธนาคารบนอุปกรณ์เคลื่อนที่, การชำระเงินด้วยรหัส QR และกระเป๋าเงินดิจิทัล ส่วนแบ่งในตลาดของการชำระเงินดิจิทัลก็เติบโตขึ้นเช่นกัน เช่น พร้อมเพย์ ซึ่งเป็นระบบโอนเงินระหว่างธนาคารที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมีผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 77 ล้านคน จากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2023

ความแพร่หลายของการชำระเงินแบบไร้สัมผัสในประเทศไทยได้ตอกย้ำถึงแนวโน้มในภาพรวม นั่นคือการเปลี่ยนแปลงของประเทศไปสู่ระบบการรับชำระเงินดิจิทัลที่ก้าวหน้ามากขึ้น การศึกษาในปี 2022 โดย Visa พบว่าบัตรแบบไร้สัมผัสเป็นวิธีการชำระเงินที่ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย 12% ชอบใช้ ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสามประเทศชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นิยมวิธีการชำระเงินนี้ จึงเป็นข้อพิสูจน์ถึงการปรับตัวอย่างรวดเร็วของประเทศไทยให้เข้ากับรูปแบบการชำระเงินที่ทันสมัยมากขึ้น โดยธปท. มีส่วนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการชำระเงินแบบไร้สัมผัส และพระราชบัญญัติระบบการชำระเงินปี 2017 ได้ปรับปรุงระบบการชำระเงินของประเทศเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ลูกค้า

รัฐบาลไทยร่วมกับ ธปท. ได้ริเริ่มมาตรการมากมายเพื่อส่งเสริมธุรกรรมดิจิทัล แผนแม่บท e-Payment แห่งชาติ (NEMP) ซึ่งเปิดตัวในปี 2017 มีเป้าหมายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับการชำระเงินดิจิทัล และส่งเสริมให้ลูกค้าชาวไทยหันมาใช้การชำระเงินดิจิทัลแทนเงินสด รัฐบาลได้ปรับใช้กฎระเบียบเพื่อปกป้องธุรกรรมดิจิทัลและสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ตัวอย่างเช่น ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินต้องใช้การเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางสำหรับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดเพื่อความครบถ้วนและความปลอดภัยของข้อมูล อีกทั้งรัฐบาลยังมุ่งมั่นสนับสนุนการนำพร้อมเพย์มาใช้ด้วยการเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม

ความง่ายและความยากในการเข้าสู่ตลาด

การผสมผสานระหว่างค่าธรรมเนียมธนาคารที่มีมาอย่างยาวนาน ต้นทุนของธุรกรรมดิจิทัลที่เกิดขึ้นใหม่ และภาษีที่รัฐเรียกเก็บเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางของการชำระเงินในประเทศไทย โดยอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่คุณต้องพิจารณามีดังนี้

ภาษี

ทั้งธุรกิจและลูกค้าต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากข้อมูลในปี 2025 มาตรฐานอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยอยู่ที่ 7% ซึ่งลดลงชั่วคราวจากอัตราปกติที่ 10% ลูกค้าจะพบกับภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านราคาสินค้าและบริการที่ซื้อ ธุรกิจมีหน้าที่รับผิดชอบในการเก็บภาษีนี้และนำส่งไปยังกรมสรรพากร การจัดทำเอกสารภาษีมูลค่าเพิ่มที่เหมาะสมและการส่งให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือความไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่บทลงโทษสำหรับธุรกิจ โดยต้นทุนจะถูกส่งต่อไปยังลูกค้าทางอ้อม

การดึงเงินคืนและการโต้แย้งการชำระเงิน

ธปท. กำกับดูแลขั้นตอนการดึงเงินคืนและการโต้แย้งการชำระเงิน ในประเทศไทย เน้นไปที่การรักษาความมั่นใจของทั้งธุรกิจและลูกค้า โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศไทยนั้นได้ชี้แจงถึงสิทธิ์ของลูกค้าในกรณีของการโต้แย้งการชำระเงิน แม้ว่าพระราชบัญญัติจะไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดการดึงเงินคืนอย่างชัดเจน แต่ก็เป็นการกำหนดแนวทางทั่วไปสำหรับสิทธิ์ของลูกค้าในประเทศ บริษัทในไทยจำเป็นต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการ และการละเมิดใดๆ ก็ตามอาจนำไปสู่การโต้แย้งการชำระเงินได้

ในประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา การดึงเงินคืนมักจะเอื้อประโยชน์แก่ลูกค้า โดยบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องแสดงหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพื่อหักล้างการดึงเงินคืน แม้ว่าลูกค้าชาวไทยจะได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด แต่การดำเนินการนี้ก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางลูกค้ามากเท่ากับในประเทศอื่นๆ ทั้งธุรกิจและลูกค้ามักต้องแสดงหลักฐานที่ครบถ้วนในระหว่างการโต้แย้งการชำระเงิน

แต่ละธนาคารในประเทศไทยมีขั้นตอนและลำดับเวลาในการจัดการการดึงเงินคืนของตนเอง แต่แนวโน้มทั่วไปก็คือการรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า โดยธนาคารมักจะเอนเอียงไปทางลูกค้า เว้นแต่ธุรกิจจะสามารถให้หลักฐานที่ชัดเจนเพื่อหักล้างข้อโต้แย้งได้

การชำระเงินระหว่างประเทศ

จากเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตและสถานะที่แข็งแกร่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยจึงอยู่ในจุดที่มีอิทธิพลในตลาดการชำระเงินทั่วโลก โดยปัจจัยบางส่วนที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับการชำระเงินระหว่างประเทศในประเทศไทยมีดังนี้

  • ฟีเจอร์หลายสกุลเงิน
    ธุรกิจที่รองรับกลุ่มเป้าหมายจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น ภูเก็ตและกรุงเทพฯ มักจะมีตัวเลือกการชำระเงินหลายสกุลเงิน ลูกค้าสามารถเลือกชำระเงินเป็นสกุลเงินบาทหรือสกุลเงินในประเทศของตนก็ได้ แต่การชำระเงินด้วยวิธีหลังมักจะมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินที่อาจแตกต่างกันอย่างมาก โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 1%–3% สำหรับธุรกิจ ระบบการชำระเงินหลายสกุลเงินสามารถช่วยลดความซับซ้อนของขั้นตอนการกระทบยอดทางการเงินและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าต่างประเทศได้

  • การแปลงสกุลเงิน
    พลวัตของการแปลงสกุลเงินในไทยสะท้อนให้เห็นถึงสถานะของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำและความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นกับประชาคมโลก

  • ความร่วมมือกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)
    ในฐานะสมาชิก ASEAN ประเทศไทยมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจร่วมกับประเทศสมาชิกอื่นๆ โดยวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันของแต่ละประเทศในการบูรณาการทางการเงินได้สร้างระบบการชำระเงินที่สามารถอำนวยความสะดวกในธุรกรรมข้ามพรมแดนภายในภูมิภาคได้ ซึ่งคล้ายกันกับเขตพื้นที่การชำระเงินที่ใช้สกุลเงินยูโร (SEPA)

ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

ประเทศไทยสร้างสมดุลระหว่างการปรับปรุงทางการเงินดิจิทัลกับมาตรการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวด ระบบการกำกับดูแลของประเทศแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ปลอดภัยและโปร่งใส ซึ่งส่งเสริมความไว้วางใจระหว่างลูกค้าและธุรกิจ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ได้แก่

  • กฎหมายคุ้มครองข้อมูล
    เครื่องมือทางกฎหมายหลักของประเทศไทยสำหรับการคุ้มครองข้อมูลคือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) พระราชบัญญัตินี้ลงนามในปี 2019 ทำให้มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลของประเทศไทยสอดคล้องกับบรรทัดฐานสากล สร้างข้อกำหนดในการให้ความยินยอมที่เข้มงวดสำหรับการรวบรวมข้อมูล ชี้แจงสิทธิ์ของลูกค้า และกำหนดให้ผู้ควบคุมและผู้ประมวลผลข้อมูลต้องคงไว้ซึ่งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

  • มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS)
    สถาบันการเงินและผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการชำระเงินด้วยบัตรในประเทศไทยต้องปฏิบัติตาม PCI DSS ซึ่งมาตรฐานสากลนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลเจ้าของบัตรได้รับการจัดเก็บ ประมวลผล และส่งอย่างปลอดภัย

  • กฎระเบียบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
    พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ปี 2001 จะกำกับดูแลทุกแง่มุมของธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมีบทบาทพื้นฐานในการทำให้อีคอมเมิร์ซและการชำระเงินดิจิทัลถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย พระราชบัญญัตินี้ได้รับการปรับปรุงอยู่เป็นประจำ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งใหญ่ในปี 2017 ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อดูแลการพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชน

  • บทบาทของธปท.
    ธปท. มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของระบบการชำระเงินในประเทศไทย ซึ่งได้ออกกฎระเบียบเกี่ยวกับบริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์หลายประการ รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการจัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิตและธุรกรรมทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธปท. ได้ส่งเสริมการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และไร้เงินสดเพื่อให้บริการทางการเงินที่เป็นระเบียบและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ปัจจัยหลักที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ

ธุรกิจที่ต้องการเข้าสู่ตลาดในประเทศไทยควรพิจารณาปัจจัยเกี่ยวกับระบบการชำระเงินของประเทศดังนี้

  • ประเทศไทยอยู่ในตลาดการชำระเงินทั่วโลก
    ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนหลายล้านคนต่อปี ทำให้ต้องมีระบบการรับชำระเงินที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ การรองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกหมายถึงการรองรับวิธีการการชำระเงินที่หลากหลายตั้งแต่บัตรเครดิตไปจนถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับธุรกิจต่างๆ

  • ข้อกังวลเกี่ยวกับการฉ้อโกงและการรักษาความปลอดภัย
    ระบบการชำระเงินดิจิทัลอาจเสี่ยงต่อการฉ้อโกง หากการรักษาความปลอดภัยไม่ใช่เป้าหมายหลัก จากการสำรวจบริษัทในไทยพบว่าสัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอาชญากรรมไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2020 เป็น 24% ในปี 2022 ความกังวลที่เพิ่มขึ้นนี้บีบบังคับให้ต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีความปลอดภัย ซึ่งอาจใช้ทรัพยากรสูงมากสำหรับธุรกิจ

  • พื้นที่สำหรับเงินสด
    แม้ว่าการชำระเงินดิจิทัลจะกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีวัฒนธรรมเงินสดที่หยั่งรากลึกลงไป โดยในปี 2023 เงินสดยังคงคิดเป็น 46% ของการชำระเงินผ่าน POS ในประเทศไทย ความต้องการเงินที่จับต้องได้นี้อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับธุรกิจที่ดำเนินงานแบบมุ่งเน้นดิจิทัลเป็นหลักหรือธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้การดำเนินงานแบบไร้เงินสด

  • การเปลี่ยนแปลงของระเบียบข้อบังคับ
    สภาพแวดล้อมของระเบียบข้อบังคับในประเทศไทยยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยธปท. ได้ปรับปรุงแนวทางอย่างต่อเนื่องเพื่อสะท้อนถึงพื้นที่การชำระเงินที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าการปรับปรุงเหล่านี้จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบที่ปลอดภัยและทำงานได้ดี แต่ก็อาจสร้างความท้าทายให้กับธุรกิจได้ ตัวอย่างเช่น การบังคับใช้พระราชบัญญัติระบบการชำระเงินในปี 2017 กำหนดให้บางบริษัทต้องประเมินการดำเนินงานของตนเองใหม่เพื่อให้ปฏิบัติตามข้อกำหนด

ประเด็นสำคัญ

ระบบการชำระเงินของประเทศไทยบังคับให้ต้องมีแผนที่ครอบคลุมในการเข้าสู่ตลาด โดยการมุ่งเน้นไปที่ลักษณะเฉพาะของมุมมองด้านการชำระเงินของประเทศและการบูรณาการกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่งเคล็ดลับสำคัญของเราสำหรับการชำระเงินในประเทศไทยมีดังนี้

การรวมวิธีการชำระเงินที่นิยมในแต่ละพื้นที่

  • ทำความเข้าใจความซับซ้อนของการชำระเงินข้ามพรมแดน
    จากการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค ASEAN ธุรกิจต่างๆ จึงมักดำเนินธุรกรรมข้ามพรมแดน การลงทุนในระบบที่สามารถจัดการการแปลงสกุลเงินและการตรวจสอบยืนยันบัตรระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่นจะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นสำหรับลูกค้า

  • เปิดใช้งานการชำระเงินด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัล
    ประเทศไทยมีการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่พร้อมเพย์ (PromptPay) กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีผู้ใช้ที่ลงทะเบียนถึงเกือบ 80 ล้านราย จากข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2025 ทำให้ธุรกิจที่บูรณาการพร้อมเพย์ควบคู่ไปกับตัวเลือกบัตรเครดิตสามารถรองรับฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นเพื่อการทำธุรกรรมที่ราบรื่นยิ่งขึ้นได้

  • พิจารณาแนวทางที่เน้นอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นอันดับแรก
    ในปี 2023 ประเทศไทยมีผู้สมัครใช้บริการโทรศัพท์มือถือ 168.64 หมายเลขต่อประชากร 100 คน ซึ่งเป็นอัตราการสมัครใช้บริการโทรศัพท์มือถือที่สูงเป็นอันดับที่ 13 ของโลก เราจึงขอแนะนำให้ปรับแต่งพอร์ทัลการชำระเงินให้เหมาะกับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

ก้าวข้ามช่องว่างทางดิจิทัล

  • เรียนรู้ความนิยมของพื้นที่ในเมืองเทียบกับชนบท
    การใช้งานการชำระเงินดิจิทัลกำลังเพิ่มขึ้น โดยมีบัญชีธนาคารบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มากกว่า 126 ล้านบัญชี ตามข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2025 แต่การใช้งานในพื้นที่ชนบทกลับมีอัตราที่ช้ากว่า เนื่องจากการขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตและความรู้ทางการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำนี้ ซึ่งธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศอาจต้องทำการพิจารณา

  • มอบวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย
    ช่องว่างทางดิจิทัลที่ชัดเจนระหว่างพื้นที่ในเมืองและชนบท ทำให้การมีวิธีการชำระเงินที่หลากหลายสามารถช่วยให้ธุรกิจให้บริการกลุ่มประชากรทั้ง 2 กลุ่มได้ แม้ว่าลูกค้าในเมืองอาจเปิดรับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือโซลูชันที่ใช้รหัส QR มากกว่า แต่ลูกค้าในพื้นที่ชนบทอาจยังคงชอบเงินสดหรือการโอนเงินผ่านธนาคาร

  • ให้ความรู้ลูกค้า
    เมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนผ่านอย่างต่อเนื่องจากเงินสดไปสู่การชำระเงินดิจิทัล ทำให้การจัดหาทรัพยากรและคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้วิธีการชำระเงินดิจิทัลจึงมีประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบการชำระเงินดิจิทัลยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

เน้นความปลอดภัยเพื่อสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า

  • ทำให้การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยเป็นบรรทัดฐาน
    จากการที่มีคดีการฉ้อโกงดิจิทัลเพิ่มขึ้น จึงทำให้ลูกค้าชาวไทยตระหนักถึงความปลอดภัยมากขึ้น การใช้เทคโนโลยี เช่น การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (2FA) และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างความไว้วางใจได้

  • รู้จักบทบาทของ ETDA
    พันธกิจของ ETDA ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คือการพัฒนาและส่งเสริมการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ แม้ว่าสิ่งที่ให้ความสำคัญหลักจะไม่ได้อยู่ที่การดึงเงินคืน แต่แนวทางสำหรับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ก็ส่งผลทางอ้อมต่อวิธีการจัดการการโต้แย้งการชำระเงินดิจิทัลภายในประเทศ

  • ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส
    ธปท. ได้กำหนดแนวทางที่บังคับให้ต้องมีความโปร่งใสในค่าธรรมเนียมและการเรียกเก็บเงินที่เกี่ยวข้องกับบริการทางการเงิน โดยกำหนดให้สถาบันการเงินต้องเปิดเผยค่าธรรมเนียมทั้งหมดเพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนในการจัดการกับการร้องเรียนของลูกค้าเพื่อให้ได้รับการแก้ไขทันที

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe