เศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการชำระเงินแบบดั้งเดิมด้วยเงินสดหรือเช็คที่การใช้งานลดลงมาเรื่อยๆ มาสู่ยุคของการชำระเงินแบบดิจิทัลที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลที่สูงถึงเกือบ 400 ล้านล้านบาทต่อปี จากการรวบรวมข้อมูลโดย Thai Publica ถึงภาพรวมปริมาณธุรกรรมของระบบการชำระเงินในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารหรือการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลซึ่งทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่
นอกจากนี้แรงกระตุ้นจากภาครัฐ ภาคเอกชน และตลาดฟินเทค ยังส่งผลรวมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมแบบไร้เงินสดมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้ เราจะทำความรู้จักวิธีการชำระเงินในประเทศไทย รวมถึงการเปรียบเทียบและแนวโน้มการใช้งานในอนาคต
เนื้อหาหลักในบทความ
- ภาพรวมของวิธีการชำระเงินในประเทศไทย
- วิธีการชำระเงินในประเทศไทยมีอะไรบ้าง
- เปรียบเทียบการชำระเงินแบบดั้งเดิมและแบบดิจิทัล
- แนวโน้มของการชำระเงินในประเทศไทย
- บทสรุปของวิธีการชำระเงินในประเทศไทย
ภาพรวมของวิธีการชำระเงินในประเทศไทย
วิธีการชำระเงินในประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากการชำระเงินด้วยเงินสดและเช็ค ซึ่งเคยเป็นวิธีหลักในการซื้อขายสินค้าและบริการ แต่เมื่อเทคโนโลยีได้มีการพัฒนาไปข้างหน้า การโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารและการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตก็กลายมาเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และตามเมืองใหญ่ๆ Thai Publica ได้รวบรวมข้อมูลธุรกรรมย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2010-2016 พบว่าการใช้เช็คทยอยลดลงจาก 9.24% เหลือเพียง 3% นอกจากนี้ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ยังมีบริการอินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้งและโมบายแบงก์กิ้ง ที่สามารถทำธุรกรรมผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วิธีการชำระเงินแบบดิจิทัลด้วย QR Code หรือการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างมาก สอดคล้องกับการเติบโตของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ทำให้การชำระเงินดิจิทัลกลายเป็นทางเลือกที่สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็วกว่าวิธีแบบดั้งเดิม อีกทั้งกระบวนการชำระเงินยังมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมีการยืนยันตัวตนผ่านระบบความปลอดภัยที่เข้มงวด นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้สนับสนุนโครงการส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้บริโภคในประเทศหันมาใช้ระบบการชำระเงินดิจิทัลมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะก้าวไปสู่สังคมไร้เงินสดในอนาคต
วิธีการชําระเงินใดบ้างที่ใช้ในไทย
ต่อไปนี้คือวิธีการชําระเงินแบบดั้งเดิมและแบบดิจิทัลหลักๆ ที่ใช้ในไทย
วิธีการชําระเงินแบบดั้งเดิม
- เงินสด: ประกอบด้วยเหรียญหรือธนบัตรที่ใช้ชําระค่าสินค้าหรือบริการ
- เช็ค: เป็นคำสั่งจ่ายเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายไปยังผู้รับเงิน ผู้รับเงินสามารถนําเช็คไปขึ้นเงินตามจํานวนที่ระบุได้
- การโอนเงินผ่านธนาคาร: โดยการโอนเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงินไปยังบัญชีธนาคารของผู้รับเงิน
- ดราฟต์ธนาคาร: ในเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรนี้ ผู้จ่ายเงินตกลงว่าจะชําระเงินตามจํานวนที่ระบุให้แก่ผู้รับเงินในเวลาที่กําหนด
- ใบสั่งจ่ายเงิน: นี่เป็นคำสั่งซื้อที่ออกโดยธนาคารหรือที่ทําการไปรษณีย์เพื่อส่งเงินข้ามภูมิภาคหรือประเทศ ผู้รับสามารถเบิกเงินเป็นจำนวนที่กำหนดได้ ซึ่งหมายความว่าวิธีการชำระเงินนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งหากผู้รับไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบัญชีธนาคาร
วิธีการชําระเงินแบบดิจิทัล
- บริการธนาคารบนอุปกรณ์เคลื่อนที่: แอปพลิเคชันธนาคารเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อโอนเงิน ตรวจสอบยอดคงเหลือ และทําธุรกรรมอื่นๆ ได้
- พร้อมเพย์: ซึ่งเป็นระบบการโอนเงินที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถรับและโอนเงินโดยใช้หมายเลขโทรศัพท์หรือหมายเลขประจําตัวประชาชนที่ตรงกับบัญชีธนาคาร ธุรกรรมเหล่านี้จะไม่มีค่าธรรมเนียมหากต่ำกว่าเกณฑ์ที่กําหนดไว้
- กระเป๋าเงินดิจิทัล: บัญชีออนไลน์นี้ช่วยให้ลูกค้าเติมเงินในกระเป๋าเงินได้หลากหลายวิธี รวมถึงการโอนเงินผ่านธนาคาร เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และบริษัทต่างๆ เช่น TrueMoney, LINE Pay และ ShopeePay กระเป๋าเงินดิจิทัลใช้ชําระเงินออนไลน์หรือออฟไลน์ได้
- รหัส QR: ลูกค้าสแกนรหัส QR ของผู้ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันธนาคารหรือกระเป๋าเงินดิจิทัลบนโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็ป้อนจํานวนเงินและยืนยันการชําระเงิน
- ลิงก์ชําระเงิน: มีการสร้างลิงก์ชําระเงินและส่งให้ลูกค้าผ่านช่องทางการสื่อสารที่ใช้สําหรับธุรกรรมนั้น การคลิกลิงก์นี้จะทําให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงหน้าการชําระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัยได้ นอกจากนี้ยังรองรับวิธีการชําระเงินต่างๆ เช่น บัตรเครดิต พร้อมเพย์ และกระเป๋าเงินดิจิทัลด้วย
- บัตรเครดิตและบัตรเดบิต: บัตรเหล่านี้สามารถใช้สําหรับการชําระเงินออนไลน์และออฟไลน์ สําหรับการชําระเงินออนไลน์ เจ้าของบัตรจะต้องป้อนหมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัสยืนยันบัตร (CVV) บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเพื่อยืนยันการชําระเงิน สําหรับการชําระเงินแบบออฟไลน์ ลูกค้าจะต้องรูดหรือแตะบัตรที่เทอร์มินัลการบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ของธุรกิจ จากนั้นเซ็นชื่อหรือป้อนหมายเลขประจําตัวส่วนบุคคล (PIN) เพื่อยืนยันการชําระเงิน
- ซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL): ระบบการชําระเงินนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าหรือบริการตอนนี้แล้วผ่อนชําระในภายหลัง ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีดอกเบี้ยหรืออัตราดอกเบี้ยต่ํา
- บัตรเติมเงิน: คุณสามารถเติมเงินเข้าบัตรใบนี้และใช้เพื่อชําระค่าสินค้าหรือบริการได้โดยไม่ต้องเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคาร ตัวอย่างเช่น บัตรแรบบิทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) บัตรรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (MRT) สําหรับรถไฟใต้ดิน หรือบัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือ
- เกตเวย์การชําระเงิน: เกตเวย์การชําระเงินรวมถึงการชําระเงินไปยังเว็บไซต์หรือแอปอีคอมเมิร์ซผ่าน Stripe และแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่นๆ
เปรียบเทียบการชำระเงินแบบดั้งเดิมและแบบดิจิทัล
เมื่อเปรียบเทียบบริการการชำระเงินแบบดั้งเดิมกับแบบดิจิทัล จะพบว่ามีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนในแง่ของความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรม การชำระเงินแบบดั้งเดิมใช้เวลาในการดำเนินการนานกว่า ในขณะที่การชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลสามารถทำได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที นอกจากนี้ การชำระเงินแบบดิจิทัลยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการเงินสด เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามธนาคารที่ลดลง หรือบางบริการที่ไม่มีค่าธรรมเนียม เช่น PromptPay
ความง่ายในการใช้งาน
การชำระเงินด้วยเงินสดหรือเช็คมักทำได้เฉพาะเมื่อเดินทางไปที่ร้านค้า ธนาคาร หรือจุดชำระเงิน ซึ่งต้องเสียเวลาเดินทางและอาจต้องเสี่ยงพกเงินสดจำนวนมาก ส่วนในแบบดิจิทัลนั้น สามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ ไม่ต้องพกเงินสด สามารถชำระเงินด้วยการสแกน QR Code หรือโอนเงินผ่านแอปได้อย่างง่ายดาย
ความรวดเร็วของธุรกรรม
ธุรกรรมแบบดั้งเดิมบางประเภท เช่น การโอนเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารหรือการชำระด้วยเช็ค อาจใช้เวลาหลายวันทำการ โดยเฉพาะในกรณีของการทำธุรกรรมข้ามประเทศ ส่วนการชำระเงินแบบดิจิทัลนั้น ทำได้ทันที (เรียลไทม์) หรือภายในไม่กี่นาที เช่น การโอนเงินผ่านพร้อมเพย์หรือโมบายแบงก์กิ้ง
ความปลอดภัยและความมั่นคงของข้อมูล
การใช้เงินสดมีความเสี่ยงในการสูญหายหรือถูกโจรกรรม หรือในกรณีเช็ค ก็อาจมีความเสี่ยงด้านการปลอมแปลง ส่วนการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลนั้นมีมาตรการความปลอดภัยที่สูงกว่ามาก เช่น การตรวจสอบสิทธิ์แบบสองปัจจัย (Two-Factor Authentication) และการเข้ารหัสข้อมูล (encryption) โดยธนาคารหรือผู้ให้บริการเกตเวย์การชำระเงินต่างๆ มีการพัฒนาเพื่อยกระดับความปลอดภัยอยู่เสมอ
Stripe Radar ตรวจจับและบล็อคการฉ้อโกงด้วย Machine Learning ช่วยให้คุณคัดแยกมิจฉาชีพออกจากกลุ่มลูกค้าได้ง่ายๆ อัลกอริทึมของ Radar สามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับรูปแบบการฉ้อโกงที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ พร้อมด้วยระบบ Dynamic 3D Secure ที่มีไว้คัดกรองและบล็อค ธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงได้โดยอัตโนมัติ ตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงก่อนที่จะกระทบกับธุรกิจของคุณ
ต้นทุนและค่าธรรมเนียม
การชำระเงินแบบดั้งเดิมอาจมีค่าธรรมเนียมในบางกรณี เช่น ค่าธรรมเนียมการออกเช็คหรือค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามประเทศ ส่วนการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล เช่น พร้อมเพย์ มักไม่มีค่าธรรมเนียมหากอยู่ในวงเงินที่กำหนด ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
โอกาสในการขยายตลาด
ร้านค้าหรือธุรกิจที่ทำธุรกรรมแบบดั้งเดิมมักมีข้อจำกัดต่างๆ ในด้านการเข้าถึงและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ส่วนการชำระเงินแบบดิจิทัลนั้น สามารถช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถเพิ่มยอดขายด้วยการเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลา เจาะตลาดได้ในวงกว้าง รวมไปถึงตลาดในต่างประเทศ
ระบบ Payment Gateway อย่าง Stripe Payments สามารถรองรับได้หลายสกุลเงิน ช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายไปได้ทั่วโลกและรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศได้อย่างง่ายดาย ผู้ประกอบการสามารถรับชำระในสกุลเงินท้องถิ่นหรือเลือกแปลงสกุลเงินได้โดยอัตโนมัติ ส่งเสริมการซื้อ - ขายได้อย่างครอบคลุม
เทรนด์การชําระเงินดิจิทัลในประเทศไทย
วิธีการชําระเงินในไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผู้คนหลีกเลี่ยงการสัมผัสเงินสด ผลที่ตามมาจึงทำให้การชําระเงินแบบดิจิทัลมีความแพร่หลายมากขึ้น รัฐบาล ภาคเอกชน และบริษัทฟินเทค ตลอดจนความร่วมมือและการแข่งขันระหว่างบริษัทฟินเทคและธนาคาร ยังช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาการชําระเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้การใช้งานการชําระเงินดิจิทัลในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ รวมถึงแนวโน้มการเปลี่ยนไปสู่สังคมไร้เงินสดอย่างรวดเร็วอีกด้วย
โครงการส่งเสริมการชําระเงินแบบดิจิทัลของรัฐบาลไทย
รัฐบาลไทยได้ริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการชําระเงินแบบดิจิทัลและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่วิธีการแบบปลอดเงินสด ตัวอย่างเช่น โครงการ Taste, Shop, Use (Chim Shop Chai) ที่ให้ประชาชนรับการแจกเงินสดเมื่อชําระเงินด้วยแอปพลิเคชันเป๋าตัง ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมทั่วประเทศ โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและสนับสนุนการใช้จ่ายแบบดิจิทัล ไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมการรับรู้และความคุ้นเคยกับการชําระเงินแบบดิจิทัลของสาธารณชน
PromptPay ที่เปิดตัวโดยรัฐบาลร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการสําคัญ PromptPay ช่วยให้ลูกค้าโอนเงินโดยใช้หมายเลขโทรศัพท์หรือหมายเลขประจําตัวประชาชนได้ วิธีนี้ช่วยให้การโอนเงินรวดเร็วและปลอดภัยโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมหากจํานวนเงินต่ํากว่าเกณฑ์ที่กําหนด
โซลูชันการชําระเงินแบบดิจิทัลที่ให้บริการโดยภาคเอกชนและบริษัทฟินเทค
ภาคเอกชนและบริษัทฟินเทคกําลังแข่งขันกันเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มการชําระเงินที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของนักช็อปในปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น Stripe Payments เป็นระบบการชําระเงินออนไลน์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ซึ่งรองรับการชําระเงินออนไลน์ ณ จุดขายทั่วโลกและเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด แอปพลิเคชันอื่นๆ รวมบริการทางการเงินและโปรโมชั่นเข้ากับข้อเสนอพิเศษและส่วนลด จึงทําให้กระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นวิธีการชําระเงินที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐานในประเทศไทย
เทคโนโลยีฟินเทคยังส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินสําหรับลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล โดยการช่วยให้การชําระเงินแบบดิจิทัลเป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ความร่วมมือของภาคเอกชนและการแข่งขันระหว่างธนาคารและบริษัทฟินเทคยังผลักดันให้เกิดการพัฒนาการชําระเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการเข้ารหัสมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไว้วางใจในหมู่ลูกค้าและส่งผลให้มีการชําระเงินแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้น
บทสรุปวิธีการชำระเงินในประเทศไทย
การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลช่วยให้ธุรกรรมการเงินในประเทศไทยมีความปลอดภัยและทันสมัยมากยิ่งขึ้น การชำระเงินแบบดิจิทัลเพิ่มความรวดเร็วในการจับจ่ายใช้สอย ลดภาระในการจัดการและพกพาเงินสด และยังเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้าและร้านค้าที่ต้องการความสะดวกและความปลอดภัยในการชำระเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการใช้สมาร์ทโฟน
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการชำระเงินแบบดั้งเดิมและแบบดิจิทัลก็จะเห็นถึงข้อได้เปรียบของระบบดิจิทัลที่มีต่อทั้งผู้บริโภคและเจ้าของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดต้นทุน หรือความสามารถในการขยายตลาดได้ในวงกว้าง นอกจากนี้การส่งเสริมของทางภาครัฐ ภาคเอกชน และฟินเทค ยิ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่ต่อเนื่องและยั่งยืนของธุรกรรมการเงินดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม การชำระเงินแบบดั้งเดิม เช่น เงินสด หรือการใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตในลักษณะออฟไลน์ ยังคงมีบทบาทสำคัญในธุรกรรมรายย่อยหรือการใช้จ่ายทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่อาจเข้าถึงเทคโนโลยีได้ยากกว่า โดยปัจจุบันการชำระเงินดิจิทัลคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40-50% ของธุรกรรมการเงินทั้งหมดในประเทศไทย จากผลการศึกษาล่าสุดของ ACI Worldwide และแน่นอนว่าแนวโน้มนี้จะมีแต่เพิ่มขึ้น ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 รวมถึงการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่พัฒนาควบคู่ไปกับแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัล
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ