ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์จะเชื่อมโยงรายได้เข้ากับผลลัพธ์โดยตรง ซึ่งต่างจากรูปแบบการกำหนดราคาแบบอื่นๆ โดยอาจเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจที่พร้อมกำหนดความสำเร็จ วัดผลได้อย่างชัดเจน และทำสัญญาที่น่าเชื่อถือภายใต้การตรวจสอบ
ถึงแม้ผู้นำธุรกิจ 77% จะบอกว่าลูกค้ากำลังชื่นชอบค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มากขึ้น แต่มีธุรกิจเพียง 32% เท่านั้นที่ระบุว่านิยาม "การใช้งาน" ด้วยวิธีนี้ภายในรูปแบบการกำหนดราคาแบบผสมผสานหรือแบบอิงตามการใช้งาน เราจะอธิบายวิธีการทำงานของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ รวมถึงประโยชน์สูงสุด และวิธีนำไปใช้กับธุรกิจ
เนื้อหาหลักในบทความ
- ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร
- ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ทํางานอย่างไร
- องค์ประกอบหลักของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง
- ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีประโยชน์อะไรบ้าง
- ตัวอย่างรูปแบบค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง
- คุณนำกลยุทธ์ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ไปใช้อย่างไร
- คุณจะวัดความสำเร็จด้วยค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ได้อย่างไร
- อุปสรรคของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร
- Stripe Billing จะช่วยคุณได้อย่างไรบ้าง
ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร
ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์เป็นการเชื่อมโยงราคาสินค้าหรือบริการเข้ากับผลลัพธ์ที่ตกลงกันไว้ โดยลูกค้าจะได้รับใบเรียกเก็บเงินก็ต่อเมื่อมีผลลัพธ์ตามที่สัญญาไว้ เช่น คำขอรับการช่วยเหลือที่ได้รับการแก้ไขปัญหาแล้ว การสร้างลูกค้าเป้าหมายได้ตามคุณสมบัติที่กำหนด มีการบันทึกการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน หรืออุปกรณ์ทำงานได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็จะไม่มีการเรียกเก็บเงิน
การกำหนดค่าบริการแบบนี้ทำให้ผู้ขายไม่ต้องปรับแต่งค่าเมตริกการใช้งานที่ไม่ได้แปลงเป็นมูลค่า และมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากที่สุดแทน ซึ่งลูกค้าจะจ่ายเงินตามสัดส่วนของผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ใช่กิจกรรม
เพื่อให้รูปแบบนี้ใช้ได้จริง จะต้องมีผลลัพธ์ที่ชัดเจน วัดผลได้ และสอดคล้องกับเป้าหมายของลูกค้า โดยทั้งสองฝ่ายต้องมั่นใจว่ามีผลลัพธ์เกิดขึ้นจริงและรับรองได้ว่ามีผลิตภัณฑ์เป็นสาเหตุที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะหมายถึงการใช้เครื่องมือในผลิตภัณฑ์ การแบ่งปันข้อมูลกับลูกค้า และกฎเกณฑ์สำหรับกรณีพิเศษที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง
ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ทํางานอย่างไร
เนื่องจากค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์เป็นข้อตกลงการชำระเงินที่อิงตามผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง จึงต้องดำเนินการแต่ละขั้นตอนอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมั่นใจว่าการคำนวณมีความยุติธรรมและการนับยอดมีความน่าเชื่อถือ โดยมีวิธีการทำงานดังนี้
1. กําหนดผลลัพธ์และหน่วยที่คุณจะเรียกเก็บเงิน
เลือกผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น คำขอรับความช่วยเหลือได้รับการแก้ไขปัญหาแล้ว สร้างลูกค้าเป้าหมายได้ตามคุณสมบัติที่ต้องการ ชำระเงินเสร็จเรียบร้อย หรือมีระยะเวลาใช้งานจริงหนึ่งชั่วโมง จากนั้นระบุให้ชัดเจน โดยคำว่า "แก้ไขแล้ว" หมายความว่าลูกค้ายืนยันแล้วหรือไม่ ไม่มีการเปิดใหม่ภายใน 72 ชั่วโมงหรือไม่ และอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินนั้นนับจากอะไร หากผลลัพธ์คือการปรับปรุง (เช่น อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินเพิ่มขึ้น) ให้ตกลงกันเกี่ยวกับเกณฑ์พื้นฐานและกรอบเวลาสำหรับการวัดผลสิ่งที่เพิ่มขึ้น โดยระบุสิ่งที่ไม่นับรวม (เช่น คำขอที่ซ้ำกัน ธุรกรรมทดสอบ ลูกค้าเป้าหมายจากบอท) เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
2. วัดผลและระบุด้วยหลักฐาน
ใช้เครื่องมือวัดผลิตภัณฑ์ โดยที่บันทึกข้อมูล เหตุการณ์ หรือเซ็นเซอร์ต้องบันทึกหน่วยผลลัพธ์แต่ละหน่วยเมื่อเกิดขึ้น จากนั้นตั้งค่าการแชร์ข้อมูล อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) หรือการผสานการทำงานจะป้อนผลลัพธ์ไปยังมุมมองที่ใช้ร่วมกัน และลูกค้าสามารถตรวจสอบยืนยันจำนวนได้ เมื่อมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้ตัดสินใจว่าจะจัดสรรเครดิตอย่างไร จะมีการนับยอดหรือไม่หากเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นมนุษย์จบการสนทนาที่บอทเริ่มไว้ หากการขายเข้าถึงสามช่องทาง คำถามคือช่องทางใดที่ได้รับหน่วยนั้น เก็บเหตุการณ์และสรุปแบบข้อมูลดิบไว้ เพื่อที่จะสามารถแก้ไขการโต้แย้งการชำระเงินได้ง่ายที่สุด
3. ตั้งราคาหน่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์
กำหนดอัตราต่อผลลัพธ์ และยึดตามมูลค่าของลูกค้า ตัวอย่างเช่น หากการแก้ปัญหาอัตโนมัติช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 5 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับการแก้ปัญหาโดยมนุษย์ ก็อาจคิดค่าธรรมเนียมที่ 99 เซ็นต์ก็ได้ คุณอาจมีโครงสร้างแบบผสมผสาน เช่น ค่าธรรมเนียมพื้นฐานในราคาไม่แพง เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนคงที่ บวกกับค่าธรรมเนียมผันแปรต่อผลลัพธ์ เพื่อรักษาสมดุลในความเสี่ยงทั้งสองฝ่าย ส่วนลดตามปริมาณ วงเงินสูงสุดรายเดือน และภาระผูกพันขั้นต่ำ จะช่วยไม่ให้มีใบแจ้งหนี้ที่ไม่คาดคิดและช่วยในการวางแผนได้
4. ระบุกฎเกณฑ์ไว้ในสัญญา
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับหน่วย ข้อยกเว้น เกณฑ์พื้นฐาน ช่วงเวลา และการกำหนดแหล่งที่มา คือสิ่งที่ควรระบุไว้ในข้อตกลง ความถี่ในการเรียกเก็บเงินเป็นอย่างไร หลายทีมจะปรับยอดรายเดือน แต่รูปแบบที่มีปริมาณงานสูงอาจเรียกเก็บเงินบ่อยกว่า อย่าลืมระบุกรณีพิเศษด้วย เช่น จะเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ระบบหยุดทำงาน ช่วงที่มียอดการใช้จ่ายสูงตามฤดูกาล หรือเมื่อลูกค้าเปลี่ยนระบบของตนเอง เมื่อเกิดการโต้แย้งการชำระเงิน ใครเป็นผู้ตรวจสอบ ตรวจสอบข้อมูลใด และจะแสดงยอดที่ปรับแล้วในใบแจ้งหนี้ครั้งต่อไปอย่างไร
5. ปรับการจัดตำแหน่งภายในระบบใหม่
แต่ละทีมจะต้องใช้รูปแบบตั้งราคานี้แตกต่างกันเล็กน้อย อาจต้องปรับเปลี่ยนค่าตอบแทนการขายเนื่องจากรายได้มาพร้อมกับผลลัพธ์ ฝ่ายการเงินจะจำลองช่วงราคาและสถานการณ์จำลองแทนตัวเลขรายได้ประจำเดือน (MRR) การกำหนดปริมาณการขายสูงสุดและต่ำสุดจะช่วยให้แผนงานมีเสถียรภาพ โดยตามกฎมาตรฐาน จะมีการรับรู้รายได้เมื่อมีผลลัพธ์เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบการเรียกเก็บเงินและบัญชีแยกประเภททั่วไปต้องตกลงกัน
องค์ประกอบหลักของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง
องค์ประกอบหลักของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ ได้แก่ คำจำกัดความที่ชัดเจน การวัดผลที่สามารถป้องกันได้ อัตราค่าบริการที่เป็นธรรม ความชัดเจนตามสัญญา และการรายงานที่โปร่งใส ซึ่งถ้าไม่มีองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้ ระบบก็จะทำงานไม่ได้
ผลลัพธ์ที่กำหนด: ลูกค้าควรรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตนกำลังจ่ายเงินเพื่ออะไร และผู้ขายก็ควรรู้ว่าตนส่งมอบอะไรให้ลูกค้าด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น "คำขอที่ระบุว่าได้รับการแก้ไขแล้วและไม่ได้เปิดใหม่ภายใน 72 ชั่วโมง" หรือ "ยอดขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งระบุผ่าน CRM [ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์]"
การระบุแหล่งที่มาและการวัดผล: จะต้องสามารถตรวจสอบผลลัพธ์โดยย้อนกลับไปยังผลิตภัณฑ์ได้ ติดตั้งเครื่องมือวัดผลผลิตภัณฑ์เพื่อให้บันทึกเหตุการณ์แบบเรียลไทม์ ผสานการทำงานกับระบบของลูกค้าเมื่อข้อมูลอยู่ภายนอกองค์กร และตัดสินใจว่าจะให้เครดิตผลลัพธ์ที่ใช้ร่วมกันอย่างไร
โครงสร้างราคา: ค่าธรรมเนียมต่อผลลัพธ์ควรสอดคล้องกับมูลค่าของลูกค้า ในขณะเดียวกันก็รักษาความยั่งยืนของผู้ขาย ยึดตามการประหยัดหรือรายได้ที่เกิดจากผลลัพธ์ หากจำเป็น อาจลองดูรูปแบบไฮบริดได้ และใช้ส่วนลดแบบจำกัด ส่วนลดขั้นต่ำ หรือส่วนลดตามปริมาณ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องประหลาดใจกับราคาที่ตกลงกันไว้ทั้งสองฝ่าย
รายละเอียดสัญญา: สัญญาต้องรวบรวมกฎเกณฑ์ต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยคำจำกัดความ ข้อยกเว้น กรณีพิเศษ การระงับข้อพิพาท และการรับประกันผลการปฏิบัติงาน เอกสารเหล่านี้เป็นเสมือนเกราะป้องกันที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคง
การยอมรับจากองค์กร: ภายในองค์กรนั้น ฝ่ายขายมีหน้าที่ขาย ฝ่ายการเงินทำหน้าที่คาดการณ์ ฝ่ายผลิตภัณฑ์ต้องส่งมอบ และฝ่ายกฎหมายต้องทำหน้าที่บังคับใช้ ในขณะที่ภายนอกนั้น ลูกค้าต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเลข ซึ่งระบบการรายงานที่มีประสิทธิภาพ เช่น แดชบอร์ดที่ใช้ร่วมกัน หรือการกระทบยอดอย่างสม่ำเสมอคือสิ่งที่จะเข้ามาช่วยตรงนี้ได้
ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีประโยชน์อะไรบ้าง
เป็นที่ชัดเจนว่าค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์นั้นน่าสนใจ โดยลูกค้าจะจ่ายเมื่อได้ผลจริง แต่ประโยชน์ของรูปแบบการคิดค่าบริการแบบนี้อาจสำคัญต่อทั้งสองฝ่าย
ลดอุปสรรคในการนำไปใช้: สัญญาแบบเดิมกำหนดให้ลูกค้าตกลงซื้อล่วงหน้าและหวังว่าจะเห็นคุณค่า ด้วยค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ ค่าใช้จ่ายจะติดตามผลโดยตรงกับผลลัพธ์ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดอุปสรรคทางจิตวิทยาและการเงินในแง่ของการนำไปใช้ โดยธุรกิจที่ไม่คิดจะเซ็นสัญญาการชำระเงินตามรอบบิลในมูลค่าสูงอาจยินดีที่จะลองใช้รูปแบบอิงผลลัพธ์
ต้นทุนที่ตรงกับมูลค่า: ทีมการเงินไม่จำเป็นต้องใช้สไลด์ประกอบเพื่อยืนยันรายการสินค้า ใบแจ้งหนี้ทุกใบจะเชื่อมโยงต้นทุนกับตัวชี้วัดทางธุรกิจ เช่น การแปลงเป็นยอดขาย ระยะเวลาการทำงาน หรือจำนวนเงินที่ประหยัดได้
ผู้ขายที่มุ่งมั่นในเป้าหมาย: ในรูปแบบนี้ คุณไม่สามารถขายดีลที่ปิดไปแล้วได้ ฝ่ายวิศวกรรมต้องการนำเสนอฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จ ทีมงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ต้องการให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมาย รายได้จะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อผลลัพธ์เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้นทุกคนจึงทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกัน
ข้อดีสำหรับประสิทธิภาพที่เหนือกว่า: ในรูปแบบการกำหนดราคาอื่นๆ ค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่ายจะจำกัดรายได้ ถึงแม้ผลิตภัณฑ์จะสร้างผลกำไรมหาศาลก็ตาม การกำหนดราคาตามผลลัพธ์จะปรับขนาดได้ หากเครื่องมือทำให้รายได้ของลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นสองหรือสามเท่า ผู้ขายจะได้รับประโยชน์มากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น: ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ให้ผลตอบแทนตามประสิทธิภาพ ไม่ใช่คำสัญญา ลูกค้าเห็นต้นทุนที่สอดคล้องกับมูลค่า และผู้ขายได้รับค่าตอบแทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หากทำได้ดี การกำหนดราคาแบบนี้จะสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและการเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นสำหรับทั้งสองฝ่าย
ตัวอย่างรูปแบบค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง
ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์เป็นตัวกำหนดว่าธุรกิจในด้านซอฟต์แวร์ การเงิน และอุตสาหกรรมหนักจะจัดโครงสร้างรายได้ตามผลลัพธ์อย่างไร
AI ฝ่ายบริการลูกค้า: ตัวแทน Fin AI ของ Intercom คิดค่าบริการที่ 99 เซ็นต์ต่อคำขอที่ได้รับการแก้ไข หากบอทไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้และตัวแทนที่เป็นมนุษย์เข้ามาทำแทน ธุรกิจจะไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เป็นหน่วยผลลัพธ์ที่ชัดเจน และลูกค้าได้รับประโยชน์จากการจ่ายเฉพาะเมื่อมีการประหยัดค่าแรงเท่านั้น
การชำระเงิน: รูปแบบการกำหนดราคาของ Stripe จะอิงตามผลลัพธ์เป็นพื้นฐาน โดยลูกค้าจะจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยสำหรับทุกธุรกรรมที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่สำหรับระยะเวลาหยุดทำงานหรือกำลังการทำงานที่ไม่ได้ใช้ การเติบโตของ Stripe เชื่อมโยงกับการเติบโตของธุรกิจโดยตรง
อุปกรณ์อุตสาหกรรม: Rolls-Royce เป็นผู้บุกเบิกรูปแบบที่เรียกว่า "Power by the Hour" สำหรับเครื่องยนต์เจ็ท ซึ่งสายการบินจะจ่ายค่าเวลาที่เครื่องยนต์ทำงานเป็นรายชั่วโมง ไม่ใช่ค่าฮาร์ดแวร์ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้งาน และผู้ขายจะได้รับรางวัลจากความน่าเชื่อถือ
การดูแลสุขภาพ: ผู้ผลิตยาบางรายทดลองใช้สัญญาที่การจ่ายเงินขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของผู้ป่วย หากการรักษาไม่ได้ผล ค่าใช้จ่ายก็จะลดลงหรือได้รับการยกเว้น ถึงแม้การวัดผลและการระบุแหล่งที่มาจะยากกว่าในด้านซอฟต์แวร์ก็ตาม
รูปแบบนี้จะเหมือนกันในทุกอุตสาหกรรม โดยรายได้ของผู้ขายจะเปลี่ยนตามสัดส่วนกับตัวชี้วัดความสำเร็จของลูกค้าโดยตรง
คุณนำกลยุทธ์ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ไปใช้อย่างไร
การเปลี่ยนมาใช้ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คือการออกแบบใหม่ทั้งธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการขาย การวัดผล และการเรียกเก็บเงิน การนำมาใช้จริงจะได้ผลดีที่สุดเมื่อแบ่งออกเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน
1. เลือกหน่วยเมตริกที่เหมาะสม
เริ่มจากการถามว่าผลลัพธ์หลักที่ผลิตภัณฑ์ของเราสร้างขึ้นคืออะไร สำหรับบอทช่วยเหลือ นี่คือคำขอที่ได้รับการแก้ไข สำหรับโลจิสติกส์ นี่คือการจัดส่งตรงเวลา ในขณะที่สำหรับแพลตฟอร์มการชำระเงิน นี่คือธุรกรรมที่เสร็จสมบูรณ์ โดยตัวชี้วัดต้องสามารถวัดผลได้ ระบุแหล่งที่มาได้ และมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกเก็บเงินจากตัวชี้วัดนั้น ให้พิจารณาเลือกสิ่งที่ CFO มองว่ามีผลเชิงบวกต่อธุรกิจ
2. กำหนดให้ชัดเจน
ตกลงกับลูกค้าให้ชัดเจนว่าจะนับผลลัพธ์อย่างไร อะไรคือสิ่งที่นับเป็น "การเปลี่ยนให้เป็นลูกค้าแบบชำระเงิน" การปรับปรุงวัดจากเกณฑ์พื้นฐานใด จะต้องเขียนกฎเหล่านี้ให้เป็นลายลักษณ์อักษร คำจำกัดความที่ถูกต้องชัดเจนจะทำให้เกิดการโต้แย้งน้อยลงได้
3. สร้างระบบการวัดผล
บันทึกข้อมูลของผลิตภัณฑ์, การผสานการทำงาน API, หรือเซ็นเซอร์ Internet of Things (IoT) จะต้องบันทึกผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ โดยการรายงานควรมีความโปร่งใส เช่น แดชบอร์ด หรือการกระทบยอดเป็นประจำที่ให้ลูกค้าตรวจสอบความถูกต้องได้ด้วยตนเอง
4. ทำให้ทีมเข้าใจตรงกัน
ฝ่ายขายจำเป็นต้องมีการนำเสนอเชิงปรึกษา ฝ่ายการเงินต้องวางแผนรายได้ที่มีความผันผวน กำหนดเพดานหรือขั้นต่ำ และปรับแบบจำลองการคาดการณ์ ฝ่ายผลิตภัณฑ์และวิศวกรรมควรมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มอัตราผลลัพธ์ เพราะสำหรับทุกวันนี้แล้วตรงนี้คือรายได้ ฝ่ายกฎหมายต้องร่างสัญญาที่รวบรวมนิยาม การระงับการโต้แย้งการชำระเงิน และกรณีเฉพาะบางอย่าง
5. ทดลองแล้วใช้จริง
ทดสอบรูปแบบกับกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียว แนวทางแบบผสมผสาน เช่น ค่าธรรมเนียมคงที่แบบราคาไม่แพง เมื่อบวกกับค่าธรรมเนียมผลลัพธ์จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่านได้ ทำการทดลองใช้เพื่อรวบรวมข้อมูล ปรับแต่งราคา และสร้างความเชื่อมั่นภายในองค์กรก่อนที่จะต่อยอดไปใช้จริง
คุณจะวัดความสำเร็จด้วยค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ได้อย่างไร
หากต้องการวัดผลความสำเร็จ คุณต้องพิสูจน์ว่าสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้จริง และรูปแบบธุรกิจนั้นสามารถทำเงินได้อย่างต่อเนื่อง
นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นในฝั่งลูกค้าและฝั่งธุรกิจ
ฝั่งลูกค้า
การบรรลุผลลัพธ์: ผลลัพธ์ที่สัญญาไว้เกิดขึ้นในอัตราที่คาดหวังหรือไม่ หากปัญหาได้รับการแก้ไข การเปลี่ยนเป้นลูกค้าแบบชำระเงินหยุดลง หรือชั่วโมงการทำงานไม่เพียงพอ แสดงว่ารูปแบบนี้ไม่ได้ผล
ความพึงพอใจและความโปร่งใส: พวกเขาจ่ายเงินอย่างยุติธรรมต่อมูลค่าที่มองเห็นได้หรือไม่ คะแนนความคิดเห็น การต่ออายุ และส่วนที่เพิ่มขึ้น เป็นตัวบ่งชี้ที่รวดเร็ว
ฝั่งผู้ขาย
สถานภาพของรายได้: รายได้จะเพิ่มตามผลลัพธ์ที่มีอัตรากำไรที่ยั่งยืนหรือไม่ ทีมการเงินควรติดตามอัตรากำไรขั้นต้นต่อผลลัพธ์ รวมถึงความผันผวนเมื่อเวลาผ่านไป
การรักษาและขยายตัว: การรักษารายได้สุทธิ (NRR) กำลังดีขึ้นหรือไม่ ลูกค้ามักจะใช้บริการนานขึ้นและใช้งานมากขึ้นเมื่อต้นทุนกับผลลัพธ์สอดคล้องกัน
ความเหมาะสมในการปฏิบัติงาน: ภายในองค์กร สามารถคาดการณ์ช่วงการขายได้หรือไม่ การเงินสามารถจัดการความแปรปรวนได้หรือไม่ และผลิตภัณฑ์สามารถขับเคลื่อนตัวชี้วัดความสำเร็จได้หรือไม่
ความสำเร็จวัดกันแบบคู่ขนาน ลูกค้ามองเห็นผลสำเร็จที่จับต้องได้ และผู้ขายก็เปลี่ยนผลสำเร็จให้กลายเป็นรายได้ที่เติบโตอย่างยั่งยืน
อุปสรรคของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร
จุดเด่นของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์นั้นชัดเจน แต่รูปแบบนี้ต้องอาศัยความเข้มงวด หากไม่เข้มงวด ข้อตกลงก็อาจล้มเหลวได้เนื่องจากความคลุมเครือ ข้อโต้แย้ง หรือความผันผวน นี่คืออุปสรรคที่ชัดเจนที่สุด
การกำหนดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง: การเลือกตัวชี้วัดที่คุ้มค่าและวัดผลได้อาจเป็นเรื่องยาก ตัวชี้วัดที่กว้างเกินไป (เช่น "ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น") จะไม่สามารถติดตามผลได้ ตัวชี้วัดที่แคบเกินไป (เช่น "ยอดการกรอกแบบฟอร์ม") จะทำให้ประเมินผลได้ต่ำเกินไป
การพิจารณาการระบุแหล่งที่มา: ผลลัพธ์ทางธุรกิจมักไม่มีสาเหตุเดียว การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดจากการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ แคมเปญการตลาด หรือฤดูกาล เว้นแต่กฎการระบุแหล่งที่มาจะระบุไว้อย่างชัดเจน ลูกค้าอาจโต้แย้งว่าผลลัพธ์นั้นเป็นของคุณหรือไม่ ผู้ขายจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ตรวจสอบได้ เช่น เครื่องมือชี้วัด บันทึกข้อมูล และข้อยกเว้นที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
การกำหนดราคาผลลัพธ์อย่างยุติธรรม: การเรียกเก็บเงินตามผลลัพธ์ดูเหมือนจะดีจนกว่าปริมาณการใช้งานจะเพิ่มขึ้น ลูกค้าอาจเห็นยอดบิลที่สูงกว่าการสมัครใช้บริการที่พวกเขาได้สมัครไว้ หรือผู้ขายอาจพบว่าพวกเขาตั้งราคาผลลัพธ์ต่ำเกินไปและไม่สามารถครอบคลุมค่าจัดส่งได้ การกำหนดเพดานราคา การกำหนดราคาขั้นต่ำ และการกำหนดราคาแบบขั้นบันไดช่วยได้ แต่ก็ทำให้สัญญามีความซับซ้อนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
การรอวงจรการขายที่ยาวนานขึ้น: ข้อตกลงผลลัพธ์จำเป็นต้องมีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จร่วมกัน การกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน และการเจรจาสัญญาอย่างละเอียด การทำเช่นนี้จะเพิ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในด้านการเงิน กฎหมาย และการจัดซื้อจัดจ้าง และทำให้ระยะเวลาดำเนินการยาวนานขึ้น บ่อยครั้งที่จำเป็นต้องมีโครงการนำร่องสำหรับการพิสูจน์ไอเดียเพื่อพิสูจน์การระบุแหล่งที่มาก่อนที่จะต่อยอดการใช้จริง
การจัดการกับรายได้ที่คาดเดาไม่ได้: รายได้ที่อิงตามผลลัพธ์จะผันผวนตามประสิทธิภาพของลูกค้า ฤดูกาล ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือแม้แต่การดำเนินการที่ผิดพลาดของลูกค้า ตรงนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อรายได้และไม่เหมือนกับระบบสมัครสมาชิกแบบต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้การคาดการณ์ผิดพลาดและทำให้นักลงทุนตกใจ บางธุรกิจเพิ่มภาระผูกพันขั้นต่ำเพื่อรักษาเสถียรภาพของรายได้ แต่นั่นก็ทำให้รูปแบบการจ่ายตามผลลัพธ์แบบ "จ่ายตามผลลัพธ์" ไร้ประสิทธิภาพ
ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์จะทำงานได้ดีเมื่อผลลัพธ์สามารถกำหนด วัดผล และระบุแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน หากปราศจากวินัยตรงนี้ รูปแบบนี้ก็อาจล้มเหลวได้ ความท้าทายอยู่ที่วิธีการดำเนินการให้สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจและลูกค้าของคุณ
Stripe Billing ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร
Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและบริหารจัดการลูกค้าได้ตามที่คุณต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าง่ายๆ ไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานและสัญญาที่ตกลงกันทางการขาย เริ่มรับชำระเงินแบบตามแผนล่วงหน้าจากทั่วโลกได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ด หรือใช้วิธีสร้างการผสานการทำงานแบบกำหนดเองโดยใช้ API
Stripe Billing ช่วยคุณในเรื่องต่างๆ ได้ดังนี้
- เสนอการตั้งราคาที่ยืดหยุ่น: ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้เร็วขึ้นด้วยโมเดลการตั้งราคาที่ยืดหยุ่น ซึ่งมีทั้งแบบตามการใช้งาน แบ่งระดับ ค่าธรรมเนียมคงที่บวกค่าธรรมเนียมส่วนเกิน และอีกมากมาย ทั้งยังรองรับคูปอง การทดลองใช้งานฟรี การแบ่งชำระตามสัดส่วน และส่วนเสริมอีกด้วย
- ขยายไปทั่วโลก: เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินด้วยการเสนอวิธีการชำระเงินที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้ Stripe ยังรองรับวิธีการชำระเงินในแต่ละประเทศมากกว่า 100 วิธีและกว่า 130 สกุลเงิน
- เพิ่มรายได้และลดอัตราการเลิกใช้บริการ: ให้คุณเก็บรายรับได้มากขึ้นและลดการเลิกใช้บริการโดยไม่สมัครใจด้วย Smart Retries และระบบอัตโนมัติสำหรับกระบวนการกู้คืน เครื่องมือการกู้คืนของ Stripe ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนรายรับกว่า 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ใช้เครื่องมือการรายงานรายรับ ข้อมูล และภาษีแบบโมดูลาร์ของ Stripe เพื่อรวมระบบรายรับหลายระบบให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์ภายนอกได้อย่างง่ายดาย
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Billing หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ