ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์: คู่มือการเชื่อมโยงรายได้กับผลลัพธ์

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร
  3. ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ทํางานอย่างไร
    1. 1. กําหนดผลลัพธ์และหน่วยที่คุณจะเรียกเก็บเงิน
    2. 2. วัดผลและระบุด้วยหลักฐาน
    3. 3. ตั้งราคาหน่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์
    4. 4. ระบุกฎเกณฑ์ไว้ในสัญญา
    5. 5. ปรับการจัดตำแหน่งภายในระบบใหม่
  4. องค์ประกอบหลักของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง
  5. ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีประโยชน์อะไรบ้าง
  6. ตัวอย่างรูปแบบค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง
  7. คุณนำกลยุทธ์ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ไปใช้อย่างไร
    1. 1. เลือกหน่วยเมตริกที่เหมาะสม
    2. 2. กำหนดให้ชัดเจน
    3. 3. สร้างระบบการวัดผล
    4. 4. ทำให้ทีมเข้าใจตรงกัน
    5. 5. ทดลองแล้วใช้จริง
  8. คุณจะวัดความสำเร็จด้วยค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ได้อย่างไร
    1. ฝั่งลูกค้า
    2. ฝั่งผู้ขาย
  9. อุปสรรคของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร
  10. Stripe Billing ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร

ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์จะเชื่อมโยงรายได้เข้ากับผลลัพธ์โดยตรง ซึ่งต่างจากรูปแบบการกำหนดราคาแบบอื่นๆ โดยอาจเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจที่พร้อมกำหนดความสำเร็จ วัดผลได้อย่างชัดเจน และทำสัญญาที่น่าเชื่อถือภายใต้การตรวจสอบ

ถึงแม้ผู้นำธุรกิจ 77% จะบอกว่าลูกค้ากำลังชื่นชอบค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มากขึ้น แต่มีธุรกิจเพียง 32% เท่านั้นที่ระบุว่านิยาม "การใช้งาน" ด้วยวิธีนี้ภายในรูปแบบการกำหนดราคาแบบผสมผสานหรือแบบอิงตามการใช้งาน เราจะอธิบายวิธีการทำงานของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ รวมถึงประโยชน์สูงสุด และวิธีนำไปใช้กับธุรกิจ

เนื้อหาหลักในบทความ

  • ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร
  • ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ทํางานอย่างไร
  • องค์ประกอบหลักของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง
  • ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีประโยชน์อะไรบ้าง
  • ตัวอย่างรูปแบบค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง
  • คุณนำกลยุทธ์ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ไปใช้อย่างไร
  • คุณจะวัดความสำเร็จด้วยค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ได้อย่างไร
  • อุปสรรคของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร
  • Stripe Billing จะช่วยคุณได้อย่างไรบ้าง

ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร

ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์เป็นการเชื่อมโยงราคาสินค้าหรือบริการเข้ากับผลลัพธ์ที่ตกลงกันไว้ โดยลูกค้าจะได้รับใบเรียกเก็บเงินก็ต่อเมื่อมีผลลัพธ์ตามที่สัญญาไว้ เช่น คำขอรับการช่วยเหลือที่ได้รับการแก้ไขปัญหาแล้ว การสร้างลูกค้าเป้าหมายได้ตามคุณสมบัติที่กำหนด มีการบันทึกการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน หรืออุปกรณ์ทำงานได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็จะไม่มีการเรียกเก็บเงิน

การกำหนดค่าบริการแบบนี้ทำให้ผู้ขายไม่ต้องปรับแต่งค่าเมตริกการใช้งานที่ไม่ได้แปลงเป็นมูลค่า และมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากที่สุดแทน ซึ่งลูกค้าจะจ่ายเงินตามสัดส่วนของผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ใช่กิจกรรม

เพื่อให้รูปแบบนี้ใช้ได้จริง จะต้องมีผลลัพธ์ที่ชัดเจน วัดผลได้ และสอดคล้องกับเป้าหมายของลูกค้า โดยทั้งสองฝ่ายต้องมั่นใจว่ามีผลลัพธ์เกิดขึ้นจริงและรับรองได้ว่ามีผลิตภัณฑ์เป็นสาเหตุที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะหมายถึงการใช้เครื่องมือในผลิตภัณฑ์ การแบ่งปันข้อมูลกับลูกค้า และกฎเกณฑ์สำหรับกรณีพิเศษที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง

ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ทํางานอย่างไร

เนื่องจากค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์เป็นข้อตกลงการชำระเงินที่อิงตามผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง จึงต้องดำเนินการแต่ละขั้นตอนอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมั่นใจว่าการคำนวณมีความยุติธรรมและการนับยอดมีความน่าเชื่อถือ โดยมีวิธีการทำงานดังนี้

1. กําหนดผลลัพธ์และหน่วยที่คุณจะเรียกเก็บเงิน

เลือกผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น คำขอรับความช่วยเหลือได้รับการแก้ไขปัญหาแล้ว สร้างลูกค้าเป้าหมายได้ตามคุณสมบัติที่ต้องการ ชำระเงินเสร็จเรียบร้อย หรือมีระยะเวลาใช้งานจริงหนึ่งชั่วโมง จากนั้นระบุให้ชัดเจน โดยคำว่า "แก้ไขแล้ว" หมายความว่าลูกค้ายืนยันแล้วหรือไม่ ไม่มีการเปิดใหม่ภายใน 72 ชั่วโมงหรือไม่ และอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินนั้นนับจากอะไร หากผลลัพธ์คือการปรับปรุง (เช่น อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินเพิ่มขึ้น) ให้ตกลงกันเกี่ยวกับเกณฑ์พื้นฐานและกรอบเวลาสำหรับการวัดผลสิ่งที่เพิ่มขึ้น โดยระบุสิ่งที่ไม่นับรวม (เช่น คำขอที่ซ้ำกัน ธุรกรรมทดสอบ ลูกค้าเป้าหมายจากบอท) เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

2. วัดผลและระบุด้วยหลักฐาน

ใช้เครื่องมือวัดผลิตภัณฑ์ โดยที่บันทึกข้อมูล เหตุการณ์ หรือเซ็นเซอร์ต้องบันทึกหน่วยผลลัพธ์แต่ละหน่วยเมื่อเกิดขึ้น จากนั้นตั้งค่าการแชร์ข้อมูล อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) หรือการผสานการทำงานจะป้อนผลลัพธ์ไปยังมุมมองที่ใช้ร่วมกัน และลูกค้าสามารถตรวจสอบยืนยันจำนวนได้ เมื่อมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้ตัดสินใจว่าจะจัดสรรเครดิตอย่างไร จะมีการนับยอดหรือไม่หากเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นมนุษย์จบการสนทนาที่บอทเริ่มไว้ หากการขายเข้าถึงสามช่องทาง คำถามคือช่องทางใดที่ได้รับหน่วยนั้น เก็บเหตุการณ์และสรุปแบบข้อมูลดิบไว้ เพื่อที่จะสามารถแก้ไขการโต้แย้งการชำระเงินได้ง่ายที่สุด

3. ตั้งราคาหน่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์

กำหนดอัตราต่อผลลัพธ์ และยึดตามมูลค่าของลูกค้า ตัวอย่างเช่น หากการแก้ปัญหาอัตโนมัติช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 5 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับการแก้ปัญหาโดยมนุษย์ ก็อาจคิดค่าธรรมเนียมที่ 99 เซ็นต์ก็ได้ คุณอาจมีโครงสร้างแบบผสมผสาน เช่น ค่าธรรมเนียมพื้นฐานในราคาไม่แพง เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนคงที่ บวกกับค่าธรรมเนียมผันแปรต่อผลลัพธ์ เพื่อรักษาสมดุลในความเสี่ยงทั้งสองฝ่าย ส่วนลดตามปริมาณ วงเงินสูงสุดรายเดือน และภาระผูกพันขั้นต่ำ จะช่วยไม่ให้มีใบแจ้งหนี้ที่ไม่คาดคิดและช่วยในการวางแผนได้

4. ระบุกฎเกณฑ์ไว้ในสัญญา

กฎเกณฑ์เกี่ยวกับหน่วย ข้อยกเว้น เกณฑ์พื้นฐาน ช่วงเวลา และการกำหนดแหล่งที่มา คือสิ่งที่ควรระบุไว้ในข้อตกลง ความถี่ในการเรียกเก็บเงินเป็นอย่างไร หลายทีมจะปรับยอดรายเดือน แต่รูปแบบที่มีปริมาณงานสูงอาจเรียกเก็บเงินบ่อยกว่า อย่าลืมระบุกรณีพิเศษด้วย เช่น จะเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ระบบหยุดทำงาน ช่วงที่มียอดการใช้จ่ายสูงตามฤดูกาล หรือเมื่อลูกค้าเปลี่ยนระบบของตนเอง เมื่อเกิดการโต้แย้งการชำระเงิน ใครเป็นผู้ตรวจสอบ ตรวจสอบข้อมูลใด และจะแสดงยอดที่ปรับแล้วในใบแจ้งหนี้ครั้งต่อไปอย่างไร

5. ปรับการจัดตำแหน่งภายในระบบใหม่

แต่ละทีมจะต้องใช้รูปแบบตั้งราคานี้แตกต่างกันเล็กน้อย อาจต้องปรับเปลี่ยนค่าตอบแทนการขายเนื่องจากรายได้มาพร้อมกับผลลัพธ์ ฝ่ายการเงินจะจำลองช่วงราคาและสถานการณ์จำลองแทนตัวเลขรายได้ประจำเดือน (MRR) การกำหนดปริมาณการขายสูงสุดและต่ำสุดจะช่วยให้แผนงานมีเสถียรภาพ โดยตามกฎมาตรฐาน จะมีการรับรู้รายได้เมื่อมีผลลัพธ์เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบการเรียกเก็บเงินและบัญชีแยกประเภททั่วไปต้องตกลงกัน

องค์ประกอบหลักของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง

องค์ประกอบหลักของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ ได้แก่ คำจำกัดความที่ชัดเจน การวัดผลที่สามารถป้องกันได้ อัตราค่าบริการที่เป็นธรรม ความชัดเจนตามสัญญา และการรายงานที่โปร่งใส ซึ่งถ้าไม่มีองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้ ระบบก็จะทำงานไม่ได้

  • ผลลัพธ์ที่กำหนด: ลูกค้าควรรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตนกำลังจ่ายเงินเพื่ออะไร และผู้ขายก็ควรรู้ว่าตนส่งมอบอะไรให้ลูกค้าด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น "คำขอที่ระบุว่าได้รับการแก้ไขแล้วและไม่ได้เปิดใหม่ภายใน 72 ชั่วโมง" หรือ "ยอดขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งระบุผ่าน CRM [ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์]"

  • การระบุแหล่งที่มาและการวัดผล: จะต้องสามารถตรวจสอบผลลัพธ์โดยย้อนกลับไปยังผลิตภัณฑ์ได้ ติดตั้งเครื่องมือวัดผลผลิตภัณฑ์เพื่อให้บันทึกเหตุการณ์แบบเรียลไทม์ ผสานการทำงานกับระบบของลูกค้าเมื่อข้อมูลอยู่ภายนอกองค์กร และตัดสินใจว่าจะให้เครดิตผลลัพธ์ที่ใช้ร่วมกันอย่างไร

  • โครงสร้างราคา: ค่าธรรมเนียมต่อผลลัพธ์ควรสอดคล้องกับมูลค่าของลูกค้า ในขณะเดียวกันก็รักษาความยั่งยืนของผู้ขาย ยึดตามการประหยัดหรือรายได้ที่เกิดจากผลลัพธ์ หากจำเป็น อาจลองดูรูปแบบไฮบริดได้ และใช้ส่วนลดแบบจำกัด ส่วนลดขั้นต่ำ หรือส่วนลดตามปริมาณ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องประหลาดใจกับราคาที่ตกลงกันไว้ทั้งสองฝ่าย

  • รายละเอียดสัญญา: สัญญาต้องรวบรวมกฎเกณฑ์ต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยคำจำกัดความ ข้อยกเว้น กรณีพิเศษ การระงับข้อพิพาท และการรับประกันผลการปฏิบัติงาน เอกสารเหล่านี้เป็นเสมือนเกราะป้องกันที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคง

  • การยอมรับจากองค์กร: ภายในองค์กรนั้น ฝ่ายขายมีหน้าที่ขาย ฝ่ายการเงินทำหน้าที่คาดการณ์ ฝ่ายผลิตภัณฑ์ต้องส่งมอบ และฝ่ายกฎหมายต้องทำหน้าที่บังคับใช้ ในขณะที่ภายนอกนั้น ลูกค้าต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเลข ซึ่งระบบการรายงานที่มีประสิทธิภาพ เช่น แดชบอร์ดที่ใช้ร่วมกัน หรือการกระทบยอดอย่างสม่ำเสมอคือสิ่งที่จะเข้ามาช่วยตรงนี้ได้

ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีประโยชน์อะไรบ้าง

เป็นที่ชัดเจนว่าค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์นั้นน่าสนใจ โดยลูกค้าจะจ่ายเมื่อได้ผลจริง แต่ประโยชน์ของรูปแบบการคิดค่าบริการแบบนี้อาจสำคัญต่อทั้งสองฝ่าย

  • ลดอุปสรรคในการนำไปใช้: สัญญาแบบเดิมกำหนดให้ลูกค้าตกลงซื้อล่วงหน้าและหวังว่าจะเห็นคุณค่า ด้วยค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ ค่าใช้จ่ายจะติดตามผลโดยตรงกับผลลัพธ์ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดอุปสรรคทางจิตวิทยาและการเงินในแง่ของการนำไปใช้ โดยธุรกิจที่ไม่คิดจะเซ็นสัญญาการชำระเงินตามรอบบิลในมูลค่าสูงอาจยินดีที่จะลองใช้รูปแบบอิงผลลัพธ์

  • ต้นทุนที่ตรงกับมูลค่า: ทีมการเงินไม่จำเป็นต้องใช้สไลด์ประกอบเพื่อยืนยันรายการสินค้า ใบแจ้งหนี้ทุกใบจะเชื่อมโยงต้นทุนกับตัวชี้วัดทางธุรกิจ เช่น การแปลงเป็นยอดขาย ระยะเวลาการทำงาน หรือจำนวนเงินที่ประหยัดได้

  • ผู้ขายที่มุ่งมั่นในเป้าหมาย: ในรูปแบบนี้ คุณไม่สามารถขายดีลที่ปิดไปแล้วได้ ฝ่ายวิศวกรรมต้องการนำเสนอฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จ ทีมงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ต้องการให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมาย รายได้จะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อผลลัพธ์เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้นทุกคนจึงทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกัน

  • ข้อดีสำหรับประสิทธิภาพที่เหนือกว่า: ในรูปแบบการกำหนดราคาอื่นๆ ค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่ายจะจำกัดรายได้ ถึงแม้ผลิตภัณฑ์จะสร้างผลกำไรมหาศาลก็ตาม การกำหนดราคาตามผลลัพธ์จะปรับขนาดได้ หากเครื่องมือทำให้รายได้ของลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นสองหรือสามเท่า ผู้ขายจะได้รับประโยชน์มากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

  • ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น: ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ให้ผลตอบแทนตามประสิทธิภาพ ไม่ใช่คำสัญญา ลูกค้าเห็นต้นทุนที่สอดคล้องกับมูลค่า และผู้ขายได้รับค่าตอบแทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หากทำได้ดี การกำหนดราคาแบบนี้จะสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและการเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นสำหรับทั้งสองฝ่าย

ตัวอย่างรูปแบบค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์มีอะไรบ้าง

ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์เป็นตัวกำหนดว่าธุรกิจในด้านซอฟต์แวร์ การเงิน และอุตสาหกรรมหนักจะจัดโครงสร้างรายได้ตามผลลัพธ์อย่างไร

  • AI ฝ่ายบริการลูกค้า: ตัวแทน Fin AI ของ Intercom คิดค่าบริการที่ 99 เซ็นต์ต่อคำขอที่ได้รับการแก้ไข หากบอทไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้และตัวแทนที่เป็นมนุษย์เข้ามาทำแทน ธุรกิจจะไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เป็นหน่วยผลลัพธ์ที่ชัดเจน และลูกค้าได้รับประโยชน์จากการจ่ายเฉพาะเมื่อมีการประหยัดค่าแรงเท่านั้น

  • การชำระเงิน: รูปแบบการกำหนดราคาของ Stripe จะอิงตามผลลัพธ์เป็นพื้นฐาน โดยลูกค้าจะจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยสำหรับทุกธุรกรรมที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่สำหรับระยะเวลาหยุดทำงานหรือกำลังการทำงานที่ไม่ได้ใช้ การเติบโตของ Stripe เชื่อมโยงกับการเติบโตของธุรกิจโดยตรง

  • อุปกรณ์อุตสาหกรรม: Rolls-Royce เป็นผู้บุกเบิกรูปแบบที่เรียกว่า "Power by the Hour" สำหรับเครื่องยนต์เจ็ท ซึ่งสายการบินจะจ่ายค่าเวลาที่เครื่องยนต์ทำงานเป็นรายชั่วโมง ไม่ใช่ค่าฮาร์ดแวร์ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้งาน และผู้ขายจะได้รับรางวัลจากความน่าเชื่อถือ

  • การดูแลสุขภาพ: ผู้ผลิตยาบางรายทดลองใช้สัญญาที่การจ่ายเงินขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของผู้ป่วย หากการรักษาไม่ได้ผล ค่าใช้จ่ายก็จะลดลงหรือได้รับการยกเว้น ถึงแม้การวัดผลและการระบุแหล่งที่มาจะยากกว่าในด้านซอฟต์แวร์ก็ตาม

รูปแบบนี้จะเหมือนกันในทุกอุตสาหกรรม โดยรายได้ของผู้ขายจะเปลี่ยนตามสัดส่วนกับตัวชี้วัดความสำเร็จของลูกค้าโดยตรง

คุณนำกลยุทธ์ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ไปใช้อย่างไร

การเปลี่ยนมาใช้ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คือการออกแบบใหม่ทั้งธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการขาย การวัดผล และการเรียกเก็บเงิน การนำมาใช้จริงจะได้ผลดีที่สุดเมื่อแบ่งออกเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน

1. เลือกหน่วยเมตริกที่เหมาะสม

เริ่มจากการถามว่าผลลัพธ์หลักที่ผลิตภัณฑ์ของเราสร้างขึ้นคืออะไร สำหรับบอทช่วยเหลือ นี่คือคำขอที่ได้รับการแก้ไข สำหรับโลจิสติกส์ นี่คือการจัดส่งตรงเวลา ในขณะที่สำหรับแพลตฟอร์มการชำระเงิน นี่คือธุรกรรมที่เสร็จสมบูรณ์ โดยตัวชี้วัดต้องสามารถวัดผลได้ ระบุแหล่งที่มาได้ และมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกเก็บเงินจากตัวชี้วัดนั้น ให้พิจารณาเลือกสิ่งที่ CFO มองว่ามีผลเชิงบวกต่อธุรกิจ

2. กำหนดให้ชัดเจน

ตกลงกับลูกค้าให้ชัดเจนว่าจะนับผลลัพธ์อย่างไร อะไรคือสิ่งที่นับเป็น "การเปลี่ยนให้เป็นลูกค้าแบบชำระเงิน" การปรับปรุงวัดจากเกณฑ์พื้นฐานใด จะต้องเขียนกฎเหล่านี้ให้เป็นลายลักษณ์อักษร คำจำกัดความที่ถูกต้องชัดเจนจะทำให้เกิดการโต้แย้งน้อยลงได้

3. สร้างระบบการวัดผล

บันทึกข้อมูลของผลิตภัณฑ์, การผสานการทำงาน API, หรือเซ็นเซอร์ Internet of Things (IoT) จะต้องบันทึกผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ โดยการรายงานควรมีความโปร่งใส เช่น แดชบอร์ด หรือการกระทบยอดเป็นประจำที่ให้ลูกค้าตรวจสอบความถูกต้องได้ด้วยตนเอง

4. ทำให้ทีมเข้าใจตรงกัน

ฝ่ายขายจำเป็นต้องมีการนำเสนอเชิงปรึกษา ฝ่ายการเงินต้องวางแผนรายได้ที่มีความผันผวน กำหนดเพดานหรือขั้นต่ำ และปรับแบบจำลองการคาดการณ์ ฝ่ายผลิตภัณฑ์และวิศวกรรมควรมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มอัตราผลลัพธ์ เพราะสำหรับทุกวันนี้แล้วตรงนี้คือรายได้ ฝ่ายกฎหมายต้องร่างสัญญาที่รวบรวมนิยาม การระงับการโต้แย้งการชำระเงิน และกรณีเฉพาะบางอย่าง

5. ทดลองแล้วใช้จริง

ทดสอบรูปแบบกับกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียว แนวทางแบบผสมผสาน เช่น ค่าธรรมเนียมคงที่แบบราคาไม่แพง เมื่อบวกกับค่าธรรมเนียมผลลัพธ์จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่านได้ ทำการทดลองใช้เพื่อรวบรวมข้อมูล ปรับแต่งราคา และสร้างความเชื่อมั่นภายในองค์กรก่อนที่จะต่อยอดไปใช้จริง

คุณจะวัดความสำเร็จด้วยค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์ได้อย่างไร

หากต้องการวัดผลความสำเร็จ คุณต้องพิสูจน์ว่าสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้จริง และรูปแบบธุรกิจนั้นสามารถทำเงินได้อย่างต่อเนื่อง

นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นในฝั่งลูกค้าและฝั่งธุรกิจ

ฝั่งลูกค้า

  • การบรรลุผลลัพธ์: ผลลัพธ์ที่สัญญาไว้เกิดขึ้นในอัตราที่คาดหวังหรือไม่ หากปัญหาได้รับการแก้ไข การเปลี่ยนเป้นลูกค้าแบบชำระเงินหยุดลง หรือชั่วโมงการทำงานไม่เพียงพอ แสดงว่ารูปแบบนี้ไม่ได้ผล

  • ความพึงพอใจและความโปร่งใส: พวกเขาจ่ายเงินอย่างยุติธรรมต่อมูลค่าที่มองเห็นได้หรือไม่ คะแนนความคิดเห็น การต่ออายุ และส่วนที่เพิ่มขึ้น เป็นตัวบ่งชี้ที่รวดเร็ว

ฝั่งผู้ขาย

  • สถานภาพของรายได้: รายได้จะเพิ่มตามผลลัพธ์ที่มีอัตรากำไรที่ยั่งยืนหรือไม่ ทีมการเงินควรติดตามอัตรากำไรขั้นต้นต่อผลลัพธ์ รวมถึงความผันผวนเมื่อเวลาผ่านไป

  • การรักษาและขยายตัว: การรักษารายได้สุทธิ (NRR) กำลังดีขึ้นหรือไม่ ลูกค้ามักจะใช้บริการนานขึ้นและใช้งานมากขึ้นเมื่อต้นทุนกับผลลัพธ์สอดคล้องกัน

  • ความเหมาะสมในการปฏิบัติงาน: ภายในองค์กร สามารถคาดการณ์ช่วงการขายได้หรือไม่ การเงินสามารถจัดการความแปรปรวนได้หรือไม่ และผลิตภัณฑ์สามารถขับเคลื่อนตัวชี้วัดความสำเร็จได้หรือไม่

ความสำเร็จวัดกันแบบคู่ขนาน ลูกค้ามองเห็นผลสำเร็จที่จับต้องได้ และผู้ขายก็เปลี่ยนผลสำเร็จให้กลายเป็นรายได้ที่เติบโตอย่างยั่งยืน

อุปสรรคของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์คืออะไร

จุดเด่นของค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์นั้นชัดเจน แต่รูปแบบนี้ต้องอาศัยความเข้มงวด หากไม่เข้มงวด ข้อตกลงก็อาจล้มเหลวได้เนื่องจากความคลุมเครือ ข้อโต้แย้ง หรือความผันผวน นี่คืออุปสรรคที่ชัดเจนที่สุด

  • การกำหนดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง: การเลือกตัวชี้วัดที่คุ้มค่าและวัดผลได้อาจเป็นเรื่องยาก ตัวชี้วัดที่กว้างเกินไป (เช่น "ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น") จะไม่สามารถติดตามผลได้ ตัวชี้วัดที่แคบเกินไป (เช่น "ยอดการกรอกแบบฟอร์ม") จะทำให้ประเมินผลได้ต่ำเกินไป

  • การพิจารณาการระบุแหล่งที่มา: ผลลัพธ์ทางธุรกิจมักไม่มีสาเหตุเดียว การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดจากการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ แคมเปญการตลาด หรือฤดูกาล เว้นแต่กฎการระบุแหล่งที่มาจะระบุไว้อย่างชัดเจน ลูกค้าอาจโต้แย้งว่าผลลัพธ์นั้นเป็นของคุณหรือไม่ ผู้ขายจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ตรวจสอบได้ เช่น เครื่องมือชี้วัด บันทึกข้อมูล และข้อยกเว้นที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ

  • การกำหนดราคาผลลัพธ์อย่างยุติธรรม: การเรียกเก็บเงินตามผลลัพธ์ดูเหมือนจะดีจนกว่าปริมาณการใช้งานจะเพิ่มขึ้น ลูกค้าอาจเห็นยอดบิลที่สูงกว่าการสมัครใช้บริการที่พวกเขาได้สมัครไว้ หรือผู้ขายอาจพบว่าพวกเขาตั้งราคาผลลัพธ์ต่ำเกินไปและไม่สามารถครอบคลุมค่าจัดส่งได้ การกำหนดเพดานราคา การกำหนดราคาขั้นต่ำ และการกำหนดราคาแบบขั้นบันไดช่วยได้ แต่ก็ทำให้สัญญามีความซับซ้อนมากขึ้นด้วยเช่นกัน

  • การรอวงจรการขายที่ยาวนานขึ้น: ข้อตกลงผลลัพธ์จำเป็นต้องมีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จร่วมกัน การกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน และการเจรจาสัญญาอย่างละเอียด การทำเช่นนี้จะเพิ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในด้านการเงิน กฎหมาย และการจัดซื้อจัดจ้าง และทำให้ระยะเวลาดำเนินการยาวนานขึ้น บ่อยครั้งที่จำเป็นต้องมีโครงการนำร่องสำหรับการพิสูจน์ไอเดียเพื่อพิสูจน์การระบุแหล่งที่มาก่อนที่จะต่อยอดการใช้จริง

  • การจัดการกับรายได้ที่คาดเดาไม่ได้: รายได้ที่อิงตามผลลัพธ์จะผันผวนตามประสิทธิภาพของลูกค้า ฤดูกาล ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือแม้แต่การดำเนินการที่ผิดพลาดของลูกค้า ตรงนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อรายได้และไม่เหมือนกับระบบสมัครสมาชิกแบบต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้การคาดการณ์ผิดพลาดและทำให้นักลงทุนตกใจ บางธุรกิจเพิ่มภาระผูกพันขั้นต่ำเพื่อรักษาเสถียรภาพของรายได้ แต่นั่นก็ทำให้รูปแบบการจ่ายตามผลลัพธ์แบบ "จ่ายตามผลลัพธ์" ไร้ประสิทธิภาพ

ค่าบริการแบบอิงผลลัพธ์จะทำงานได้ดีเมื่อผลลัพธ์สามารถกำหนด วัดผล และระบุแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน หากปราศจากวินัยตรงนี้ รูปแบบนี้ก็อาจล้มเหลวได้ ความท้าทายอยู่ที่วิธีการดำเนินการให้สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจและลูกค้าของคุณ

Stripe Billing ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและบริหารจัดการลูกค้าได้ตามที่คุณต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าง่ายๆ ไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานและสัญญาที่ตกลงกันทางการขาย เริ่มรับชำระเงินแบบตามแผนล่วงหน้าจากทั่วโลกได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ด หรือใช้วิธีสร้างการผสานการทำงานแบบกำหนดเองโดยใช้ API

Stripe Billing ช่วยคุณในเรื่องต่างๆ ได้ดังนี้

  • เสนอการตั้งราคาที่ยืดหยุ่น: ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้เร็วขึ้นด้วยโมเดลการตั้งราคาที่ยืดหยุ่น ซึ่งมีทั้งแบบตามการใช้งาน แบ่งระดับ ค่าธรรมเนียมคงที่บวกค่าธรรมเนียมส่วนเกิน และอีกมากมาย ทั้งยังรองรับคูปอง การทดลองใช้งานฟรี การแบ่งชำระตามสัดส่วน และส่วนเสริมอีกด้วย
  • ขยายไปทั่วโลก: เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินด้วยการเสนอวิธีการชำระเงินที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้ Stripe ยังรองรับวิธีการชำระเงินในแต่ละประเทศมากกว่า 100 วิธีและกว่า 130 สกุลเงิน
  • เพิ่มรายได้และลดอัตราการเลิกใช้บริการ: ให้คุณเก็บรายรับได้มากขึ้นและลดการเลิกใช้บริการโดยไม่สมัครใจด้วย Smart Retries และระบบอัตโนมัติสำหรับกระบวนการกู้คืน เครื่องมือการกู้คืนของ Stripe ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนรายรับกว่า 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ใช้เครื่องมือการรายงานรายรับ ข้อมูล และภาษีแบบโมดูลาร์ของ Stripe เพื่อรวมระบบรายรับหลายระบบให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์ภายนอกได้อย่างง่ายดาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Billing หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้