ตลาดอีคอมเมิร์ซของเยอรมนีกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่จริงแล้วสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งเยอรมนี (HDE) คาดการณ์ว่ายอดขายในปี 2025 จะสูงกว่า 9.2 หมื่นล้านยูโร ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด การเปิดร้านค้าออนไลน์เป็นวิธีหนึ่งที่ธุรกิจจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตนี้
ในบทความนี้ เราจะอธิบายวิธีการเปิดร้านค้าออนไลน์ในเยอรมนี รวมถึงข้อกำหนดทางกฎหมาย การตลาด และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับร้านค้าออนไลน์ในประเทศเยอรมนีมีอะไรบ้าง
- วิธีการเปิดร้านค้าออนไลน์
- วิธีการชำระเงินที่ผู้คนชื่นชอบและความคาดหวังในการจัดส่งในประเทศเยอรมนี
- คุณจะทำการตลาดร้านค้าออนไลน์ของคุณอย่างไร
- ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านค้าออนไลน์มีอะไรบ้าง
ข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับร้านค้าออนไลน์ในประเทศเยอรมนีมีอะไรบ้าง
ผู้ที่ต้องการเปิดร้านค้าออนไลน์ในเยอรมนีต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายบางประการดังต่อไปนี้
ข้อมูลสินค้าและราคาที่ถูกต้อง
ร้านค้าออนไลน์ที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องนำเสนอสินค้าอย่างชัดเจน ครบถ้วน และถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งรวมถึงคำอธิบายคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องแม่นยำ
- ข้อมูลผู้ผลิต
- ขนาด
- สี
- ฟังก์ชัน
- คุณภาพ
- สภาพ
โดยอาจจำเป็นต้องมีข้อมูลเพิ่มเติม เช่น วัสดุหรือรายละเอียดทางเทคนิค ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ลูกค้าที่สนใจสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ตรงนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าด้วย
รูปภาพสินค้าเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของการนำเสนอ ธุรกิจควรถ่ายภาพสินค้าอย่างชัดเจนและนำเสนอในหลายมุม หากรูปภาพแสดงสินค้าเพิ่มเติมที่ไม่ได้รวมอยู่ในข้อเสนอ คุณจะต้องระบุไว้อย่างชัดเจนด้วย นอกจากนี้ ควรสื่อสารถึงความคลาดเคลื่อนของสีหรือวัสดุที่อาจเกิดขึ้น (เช่น ในกรณีของผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ) เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
ธุรกิจควรแสดงราคารวมของสินค้า รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และส่วนประกอบราคาอื่นๆ (ดูมาตรา 3 ของกฎหมายว่าด้วยการระบุราคา [PAngV]) หากใช้หน่วยวัดที่แตกต่างกัน ธุรกิจควรระบุราคาพื้นฐานด้วย ข้อมูลค่าจัดส่งต้องมองเห็นได้ชัดเจนก่อนที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า โดยสามารถแสดงราคาได้โดยตรงบนหน้าสินค้าหรือค้นหาได้ง่ายอย่างง่ายดายจากที่อื่นในร้านค้า
ข้อมูลการจัดส่งที่เชื่อถือได้
ร้านค้าออนไลน์ในเยอรมนีต้องระบุข้อมูลการจัดส่งที่ชัดเจน ไม่อนุญาตให้ใช้คำที่คลุมเครือ เช่น คำว่า "คาดว่าจะจัดส่ง" หรือ "ปกติ" ควรใช้คำที่เจาะจงกว่า เช่น "จัดส่งภายในประมาณ 3-5 วันทำการ" ทั้งนี้ ต้องระบุตัวเลือกการจัดส่ง (เช่น แบบมาตรฐานหรือแบบด่วน) และพื้นที่หรือข้อจำกัดในการจัดส่งให้ชัดเจน
เงื่อนไขการชำระเงินที่โปร่งใส
ร้านค้าออนไลน์ต้องให้ข้อมูลวิธีการชำระเงินอย่างชัดเจนและโปร่งใสเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงรายการวิธีการชำระเงินทั้งหมดที่ยอมรับและข้อมูลเกี่ยวกับวันครบกำหนดชำระเงิน ลูกค้าต้องเห็นได้ชัดเจนว่ากำลังยืนยันการชำระเงินโดยการคลิกปุ่มสั่งซื้อ ดังนั้น ปุ่มสั่งซื้อจึงต้องมีป้ายกำกับอย่างชัดเจน (เช่น "สั่งซื้อและชำระเงิน", "ซื้อ", หรือ "ซื้อเลย") ไม่อนุญาตให้ใช้วลีที่คลุมเครือ เช่น "สั่งซื้อ" หรือ "ดำเนินการต่อ" ตามมาตรา 312j แห่งประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน (BGB)
ต้องแสดงข้อมูลการชำระเงินที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้แก่ลูกค้าอย่างชัดเจนก่อนที่การสั่งซื้อจะเสร็จสมบูรณ์ มาตรา 246a ของพระราชบัญญัติเบื้องต้นของ BGB ที่ระบุข้อกำหนดต่อไปนี้ รวมถึงข้อกำหนดอื่นๆ
- คุณสมบัติที่สำคัญของผลิตภัณฑ์
- ราคารวมภาษีและค่าจัดส่ง
- ระยะเวลาและเงื่อนไขการสิ้นสุดสำหรับบริการแบบประจำ
- ระยะเวลาสัญญาขั้นต่ำ
ข้อมูลนี้จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้อย่างมีสติและยังช่วยไม่ให้เกิดข้อพิพาทกับผู้ค้าปลีกด้วย
หลังจากคลิกปุ่มสั่งซื้อ ผู้ค้าปลีกจะต้องส่งคำยืนยันการสั่งซื้อที่ครบถ้วนทางอีเมล ซึ่งต้องมีเนื้อหาสัญญาทั้งหมด รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขทั่วไป (GTC) และนโยบายการยกเลิก
นโยบายการยกเลิกที่เห็นได้ชัดเจน
ตามมาตรา 355 และ 356 ของ BGB ลูกค้ามีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาการซื้อภายใน 14 วันโดยไม่ต้องระบุเหตุผล ข้อมูลนี้ต้องปรากฏชัดเจนในร้านค้าออนไลน์และระบุในใบยืนยันการสั่งซื้อด้วย หากไม่ได้แจ้งนโยบายการยกเลิกหรือแจ้งไม่ถูกต้อง ระยะเวลาจะถูกขยายออกไปโดยอัตโนมัติเป็น 1 ปีเต็ม
แต่ทั้งนี้ ตามมาตรา 312g ของ BGB ยังมีข้อยกเว้นสำหรับสิทธิ์ในการยกเลิกด้วย ตัวอย่างเช่น ไม่มีสิทธิ์ในการยกเลิกสำหรับสินค้าที่มีการปิดผนึกเพื่อปกป้องสุขภาพหรือสุขอนามัยในกรณีที่ซีลของสินค้าถูกแกะออก ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเครื่องสำอางบางประเภท สิทธิ์ในการยกเลิกนี้ไม่ครอบคลุมถึงสินค้าที่ผลิตเป็นรายบุคคล สินค้าส่วนบุคคล หรือสินค้าที่เน่าเสียง่าย นอกจากนี้ โดยทั่วไปแล้ว จะไม่มีการเสนอสิทธิ์ในการยกเลิกสำหรับธุรกรรม B2B
ข้อกำหนดและเงื่อนไขทั่วไปที่ชัดเจน (GTC)
ธุรกิจในเยอรมนีที่ดำเนินธุรกิจเว็บไซต์จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น หนึ่งในนั้นคือ GTC ซึ่งต้องระบุไว้อย่างชัดเจนและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจรวมถึงการเปลี่ยนแปลงกฎหมายคุ้มครองลูกค้าหรือกฎหมายคุ้มครองข้อมูล นอกจากนี้ BGB ยังห้ามมิให้มีข้อกำหนดใดๆ ที่มีข้อเสียเปรียบที่ไม่สมเหตุสมผลต่อลูกค้า (ดูที่มาตรา 307 ของ BGB)
GTC บนเว็บไซต์จะต้องมองเห็นได้ง่าย ทั้งในหน้าแรกและในระหว่างขั้นตอนการชำระเงิน โดยก่อนตัดสินใจซื้อ ลูกค้าต้องมีโอกาสได้อ่าน GTC และยอมรับเงื่อนไขและข้อตกลงนี้ (เช่น โดยการให้ลูกค้าทำเครื่องหมายในช่อง) รวมถึง GTC ควรจัดเก็บได้และแสดงในรูปแบบข้อความเมื่อได้รับสินค้าอย่างช้าที่สุด
ประกาศทางกฎหมายฉบับสมบูรณ์
ผู้ที่เปิดร้านค้าออนไลน์หรือให้บริการดิจิทัลเพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ จะต้องแสดงประกาศทางกฎหมายตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติบริการดิจิทัล (DDG) โดยต้องสามารถมองเห็นได้จากทุกหน้าย่อยภายในคลิกเดียว และโดยปกติจะมองเห็นได้ในส่วนท้ายของเว็บไซต์
ประกาศทางกฎหมายจะต้องมีข้อมูลดังนี้
- ชื่อ
- ที่อยู่
- โครงสร้างธุรกิจ
- ตัวแทนที่ได้รับอนุญาต
- ข้อมูลติดต่อ
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT ID) (ถ้ามี)
- เลขทะเบียนพาณิชย์ (ถ้ามี)
นโยบายความเป็นส่วนตัวที่ครบถ้วน
กฎระเบียบการคุ้มครองข้อมูลทั่วไป (GDPR) บังคับให้เจ้าของร้านค้าออนไลน์ต้องมีนโยบายความเป็นส่วนตัว โดยนโยบายความเป็นส่วนตัวต้องเปิดเผยว่าธุรกิจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลอะไรบ้าง เหตุผลที่เก็บข้อมูลและวิธีใช้ข้อมูล และลูกค้ามีสิทธิ์อะไรบ้าง โดยต้องมองเห็นได้ง่ายและมีข้อมูลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 13 ของ GDPR เช่นเดียวกับประกาศกฎหมาย
วิธีการเปิดร้านค้าออนไลน์
หากคุณต้องการเปิดร้านค้าออนไลน์ คุณควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
พัฒนาแนวคิดทางธุรกิจ
ก่อนที่คุณจะเปิดร้านค้าออนไลน์ คุณต้องมีแนวคิดที่วางแผนไว้อย่างดี พิจารณาสิ่งที่คุณต้องการขาย ซึ่งอาจรวมถึงสินค้าที่จับต้องได้ สินค้าดิจิทัล หรือบริการต่างๆ กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าถึงและวิธีการเข้าถึงให้ดีที่สุด การวิจัยตลาดสามารถช่วยประเมินโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างสมเหตุสมผล นอกจากนี้ คุณยังสามารถตรวจสอบคู่แข่งเพื่อดูว่าผู้ให้บริการรายอื่นวางตำแหน่งตัวเองในตลาดไว้ที่ระดับใด
โดยหลักการแล้ว คุณควรจัดทำแผนธุรกิจที่ประกอบด้วยกลยุทธ์ด้านราคา ช่องทางการขาย และมาตรการทางการตลาด ข้อมูลอื่นๆ เช่น การคาดการณ์ยอดขาย ต้นทุนการลงทุน และการคำนวณผลกำไร ทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อแผนของคุณด้วยเช่นกัน และข้อมูลพวกนี้จำเป็นมากหากคุณขอเงินทุนหรือสินเชื่อจากธนาคาร
ชี้แจงรากฐานทางกฎหมาย
หากต้องการเปิดร้านค้าออนไลน์ คุณต้องจดทะเบียนธุรกิจกับสำนักงานการค้าที่เกี่ยวข้อง เลือกโครงสร้างธุรกิจ และขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจากสำนักงานภาษี แล้วตรวจสอบว่ากฎระเบียบสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กมีผลบังคับใช้กับคุณหรือไม่ (ดูที่มาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติภาษีมูลค่าเพิ่มแห่งเยอรมนี [UStG]](https://www.gesetze-im-internet.de/ustg1980/_19.html)) นอกจากนี้ คุณต้องเตรียมการที่จำเป็นเพื่อปฏิบัติตามข้อผูกพันทางกฎหมายที่กล่าวถึงข้างต้นด้วย
กําหนดกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์
หาวิธีนำส่งสินค้าไปถึงมือลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้มากที่สุด ซึ่งอาจส่งผลต่อผลกำไรของร้านค้าออนไลน์และความพึงพอใจของลูกค้า ร้านค้าขนาดเล็กมักเริ่มต้นด้วยการจัดส่งด้วยตนเองเมื่อปริมาณคำสั่งซื้ออยู่ในระดับที่จัดการได้ อีกทางเลือกหนึ่งคือผู้ให้บริการเฉพาะทางที่ดูแลเรื่องการจัดเก็บ การจัดส่ง และการดำเนินการคืนสินค้า การจ้างผู้ให้บริการภายนอกจะช่วยลดภาระงานได้ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มต้นทุนและทำให้คุณต้องพึ่งพาคุณภาพการบริการจากบุคคลที่สาม
เตรียมการด้านบัญชี
ร้านค้าขนาดใหญ่และขนาดเล็กอาจมีธุรกรรมจำนวนมากที่จำเป็นต้องบันทึกอย่างถูกต้อง ตรงนี้จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างธุรกิจและรายได้ คุณต้องใช้บัญชีเงินสด (ยูโร) หรือระบบบัญชีคู่ โดย Stripe Invoicing จะช่วยคุณในกระบวนการออกใบแจ้งหนี้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถสร้างระบบการออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติและส่งใบแจ้งหนี้ออนไลน์ได้ภายในไม่กี่คลิก หากคุณต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินแบบประจำและการจัดการเรื่องการสมัครสมาชิก คุณสามารถใช้ Stripe Billing ได้
นอกจากนี้ คุณควรตั้งค่าการประมวลผลการชำระเงินด้วยโซลูชันต่างๆ เช่น Stripe Payments หรือ Stripe Checkout โดย Checkout จะช่วยให้คุณผสานรวมแบบฟอร์มการชำระเงินที่สร้างไว้ล่วงหน้าไว้ในเว็บไซต์ของคุณ หรือนำลูกค้าไปยังหน้าเว็บที่โฮสต์โดย Stripe ได้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณรับการชำระเงินได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และปลอดภัย
เลือกระบบร้านค้า
ระบบร้านค้าคือหัวใจสำคัญของธุรกิจออนไลน์ของคุณ นี่คือพื้นฐาน 3 แบบที่คุณสามารถใช้ได้
ผู้ให้บริการ: นี่เป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุดเพราะไม่จำเป็นต้องอาศัยความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม ร้านค้าเหล่านี้ใช้งานง่าย แต่มีค่าใช้จ่าย และออกแบบได้อย่างจำกัด
ระบบโอเพนซอร์ส: ระบบเหล่านี้มีอิสระมากกว่า แต่การตั้งค่าก็จะซับซ้อนกว่า คุณจะต้องมีความรู้ด้านไอทีหรือมีนักพัฒนาคอยช่วย
โซลูชันเฉพาะบุคคล: ตัวเลือกนี้จะช่วยให้คุณสามารถเขียนโปรแกรมร้านค้าหรือจ้างคนอื่นมาทำก็ได้ คุณจะมีอิสระในการออกแบบได้มากที่สุด แต่ต้องรับต้นทุนที่สูงขึ้นให้ได้ด้วย คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบของคุณสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพเมื่อจำนวนผลิตภัณฑ์หรือจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มมากขึ้น เมื่อใช้วิธีนี้ การผสานการทำงานของผู้ให้บริการด้านการชำระเงิน ซอฟต์แวร์บัญชี และบริการด้านโลจิสติกส์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
หากคุณไม่ต้องการเปิดร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเอง คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มการขาย เช่น Amazon, eBay หรือ Etsy ได้ แพลตฟอร์มเหล่านี้เริ่มใช้งานได้ง่าย เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวาง และมีขั้นตอนการชำระเงินและการจัดส่งที่พร้อมใช้ แต่คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในแต่ละธุรกรรม และมีสิทธิ์ควบคุมการนำเสนอแบรนด์ของคุณต่อสาธารณะได้อย่างจำกัด นอกจากนี้ คุณยังต้องแข่งขันโดยตรงกับผู้ให้บริการรายอื่นบนแพลตฟอร์มเดียวกัน และต้องปฏิบัติตามนโยบายของแพลตฟอร์ม เช่น ข้อกำหนดและเงื่อนไข ประกาศทางกฎหมาย และนโยบายการยกเลิก
ผสานการทำงานระบบวางแผนทรัพยากรขององค์กร (ERP)
ระบบ ERP จะเชื่อมโยงกระบวนการทางธุรกิจหลักทั้งหมด ตั้งแต่การจัดซื้อ การจัดเก็บ และการขาย ไปจนถึงการบัญชีและการจัดการลูกค้า ระบบนี้ช่วยให้คุณติดตามทุกอย่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร้านค้ามีขนาดใหญ่ขึ้นและกระบวนการทำงานด้วยตนเองมีความซับซ้อนกว่าเดิม
สำหรับร้านค้าขนาดเล็ก โซลูชันการจัดการสินค้าคงคลังแบบพื้นฐานที่จัดการสินค้า สินค้าคงคลัง และคำสั่งซื้อนั้นก็เพียงพอแล้ว โซลูชันนี้สามารถเชื่อมต่อกับระบบร้านค้าและจัดการกระบวนการต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ สำหรับร้านค้าออนไลน์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ การติดตั้งระบบ ERP แบบครบวงจรถือเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด
นำสินค้าเข้าขายในร้านค้าออนไลน์
เมื่อคุณจัดเตรียมข้อมูลทางกฎหมายและทางเทคนิคเรียบร้อยแล้ว คุณก็สามารถใส่สินค้าต่างๆ ลงในร้านค้าออนไลน์ได้ ใช้รูปภาพสินค้าที่มีคุณภาพสูง มีคำอธิบายโดยละเอียด และโครงสร้างร้านค้าที่ใช้งานง่าย โดยควรใช้ตัวกรองและฟังก์ชันการค้นหา เพื่อให้ลูกค้าค้นหาสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วด้วย
ความต้องการการชำระเงินและความคาดหวังในการจัดส่งในประเทศเยอรมนี
หากคุณเปิดร้านค้าออนไลน์ คุณอาจต้องการตรวจสอบรูปแบบการซื้อของลูกค้าในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องวิธีการชำระเงินและความคาดหวังในการจัดส่งสามารถมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อความสำเร็จทางเศรษฐกิจของร้านค้าอีกด้วย
ตัวเลือกการชําระเงิน
จากการสำรวจลูกค้าชาวยุโรปในปี 2022 ผู้ตอบแบบสำรวจ 86% ระบุว่ามีแนวโน้มสูงที่จะยกเลิกคำสั่งซื้อออนไลน์หากไม่สามารถชำระเงินด้วยวิธีที่ต้องการได้ ดังนั้นร้านค้าออนไลน์จึงควรมีตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย โดยสองตัวเลือกการชำระเงินที่ได้รับความนิยมมากในเยอรมนีคือการชำระเงินผ่านใบแจ้งหนี้และการหักบัญชีอัตโนมัติ
จากการศึกษาของสถาบันค้าปลีก EHI เรื่อง “การชำระเงินออนไลน์ 2024” พบว่าวิธีการชำระเงินต่อไปนี้ถูกใช้บ่อยที่สุดสำหรับธุรกรรมอีคอมเมิร์ซในเยอรมนี
- การชำระเงินตามใบแจ้งหนี้: 26.7%
- การหักบัญชีอัตโนมัติ: 16.7%
- บัตรเครดิตและบัตรเดบิต: 11.4%
- การโอนเงินหรือเติมเงิน: 4.8%
- การชำระเงินแบบผ่อนชําระ: 3.9%
- การชำระเงินเมื่อรับสินค้า: 3.7%
Stripe Payments ช่วยให้คุณมีวิธีการชำระเงินให้กับลูกค้ากว่า 100 วิธี พร้อมบริการชำระเงินที่รวดเร็วในคลิกเดียว วิธีการชำระเงินจะแสดงแบบไดนามิกตามสถานที่ของลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกวิธีการชำระเงินที่ต้องการได้
ข้อกำหนดด้านการจัดส่ง
การจัดส่งก็เป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความพึงพอใจของลูกค้าและความสำเร็จของร้านค้าออนไลน์ ผู้ค้าปลีกรายใหญ่มักจัดส่งสินค้าภายใน 1-2 วัน บางรายมีบริการจัดส่งภายในวันเดียวกัน ผู้ค้าปลีกรายย่อยมักไม่มีทรัพยากรที่จำเป็นในการขนส่งสินค้าถึงลูกค้าภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทรัพยากรเหล่านี้รวมถึงคลังสินค้าและศูนย์โลจิสติกส์ที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศเยอรมนี ซึ่งทำให้เส้นทางการจัดส่งสั้นลง ในกรณีนี้ ผู้ค้าปลีกต้องพึ่งพาพันธมิตรด้านการจัดส่งจากภายนอกเพื่อให้มั่นใจว่าการจัดส่งจะรวดเร็วที่สุด
ผลการศึกษาระดับนานาชาติโดยบริษัทที่ปรึกษาด้านการค้าปลีก Retail Economics แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อ 57% คาดหวังว่าจะได้รับสินค้าภายในเวลาไม่เกิน 2 วัน จากผลการศึกษาของ EHI พบว่าระยะเวลาในการจัดส่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญสำหรับผู้ค้าปลีกในเยอรมนีจำนวน 3 ใน 4 รายในการเลือกผู้ให้บริการจัดส่ง นักวิจัยของการศึกษานี้ยังสรุปว่าบางครั้งก็มีความเชื่อมโยงระหว่างระยะเวลาในการจัดส่งและอัตราการคืนสินค้า ยิ่งลูกค้ารอสินค้าที่สั่งซื้อนานเท่าใด ความเสี่ยงที่จะปฏิเสธการรับสินค้าหรือส่งคืนสินค้าก็ยิ่งมีมากขึ้น
ไม่ว่าจะจัดส่งในเวลาใด ผู้ค้าปลีกควรให้ข้อมูลที่ครบถ้วนในเรื่องเวลาที่สินค้าจะมาถึงเสมอ ขอแนะนำให้เชื่อมโยงสินค้าคงคลังและพันธมิตรด้านการจัดส่งเข้ากับการสื่อสารกับลูกค้า โดยลูกค้าชาวเยอรมันเกือบ 1 ใน 4 มองว่าการขาดการติดตามการจัดส่งเป็นสาเหตุที่จะทำให้ไม่ซื้อสินค้าออนไลน์
คุณจะทำการตลาดร้านค้าออนไลน์ของคุณอย่างไร
การทำการตลาดร้านค้าออนไลน์ของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างการมองเห็นและความน่าเชื่อถือ โดยหลักการแล้ว ควรผสมผสานการการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา (SEO), การโฆษณาบนเครื่องมือค้นหา (SEA), การตลาดแบบพันธมิตร และโซเชียลมีเดียเข้าด้วยกัน
SEO และ SEA
การซื้อของจำนวนมากเริ่มต้นจากเครื่องมือค้นหา โดยธุรกิจที่ปรากฏบนหน้าแรกของผลการค้นหามีแนวโน้มที่จะดึงดูดลูกค้าได้มากกว่าธุรกิจที่ไม่ปรากฏ การให้ความสำคัญกับ SEO ตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ลูกค้าค้นพบธุรกิจของคุณได้ ควรใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องซึ่งกลุ่มเป้าหมายอาจใช้ค้นหาบนเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ควรดูเรื่องเวลาโหลดที่สั้นและเนื้อหาที่มีโครงสร้าง ให้ข้อมูล และอ่านง่าย ลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกที่เชื่อมโยงไปยังร้านค้าออนไลน์ของคุณก็มีประโยชน์ต่อการจัดอันดับที่ดีในเครื่องมือค้นหาด้วยเช่นกัน
การทำ SEO ต้องใช้เวลา แต่ SEA อาจให้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่า วิธีนี้ช่วยให้คุณจ่ายเงินเพื่อให้โฆษณาของคุณปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับร้านค้าใหม่ๆ ที่ต้องการดึงดูดลูกค้ากลุ่มแรก การทำเช่นนี้ควรศึกษาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและเขียนข้อความโฆษณาที่น่าสนใจและดึงดูดความสนใจของลูกค้า โปรดทราบว่าทุกครั้งที่ลูกค้าเป้าหมายคลิกโฆษณา คุณจะต้องเสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นต้องกำหนดงบประมาณ SEA รายเดือนไว้ด้วย
แบนเนอร์ การตลาดแบบพันธมิตร และโซเชียลมีเดีย
การโฆษณาแบบแบนเนอร์บนเว็บไซต์หรือบล็อกที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเป็นอีกหนึ่งทางเลือก วิธีนี้มักจะจ่ายแบบอัตราคงที่หรือค่าธรรมเนียมตามการแสดงผล
การตลาดแบบพันธมิตรช่วยให้คุณแสดงแบนเนอร์ ลิงก์ข้อความ หรือสื่อโฆษณาอื่นๆ ได้ และผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถรวมสิ่งเหล่านี้เข้ากับหน้าแรกได้ โดยทั่วไปแล้วผู้ดูแลเว็บไซต์จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อยจากยอดขายที่คุณทำได้จากผู้เข้าชมเว็บไซต์
สุดท้ายนี้ คุณยังสามารถใช้โซเชียลมีเดียเพื่อทำการตลาดร้านค้าออนไลน์ได้อีกด้วย การตลาดผ่านโซเชียลมีเดียจะช่วยดึงดูดความสนใจและปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับร้านค้าหรือสินค้าของคุณเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โซเชียลมีเดียอย่าง Instagram และ Pinterest เหมาะสำหรับสินค้าที่มีภาพลักษณ์โดดเด่น แอปอย่าง TikTok ช่วยให้คุณเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นได้ นอกจากนี้ คุณควรสร้างปฏิทินบทบรรณาธิการ โพสต์อย่างสม่ำเสมอ และตอบกลับความคิดเห็นหรือข้อความต่างๆ
ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านค้าออนไลน์มีอะไรบ้าง
ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านค้าออนไลน์นั้นจะต่างกันมาก ตรงนี้จะขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจ แพลตฟอร์มร้านค้า ฟังก์ชันที่ต้องการ ระดับการปรับแต่ง และการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ โดยจุดต้นทุนที่สำคัญที่สุดมีดังนี้
- ชื่อโดเมนและเว็บโฮสติ้ง
- ค่าธรรมเนียมซอฟต์แวร์ร้านค้าหรือแพลตฟอร์ม
- การออกแบบและเค้าโครง (เช่น เทมเพลต การออกแบบเว็บไซต์ส่วนบุคคล)
- การพัฒนาและดำเนินการทางเทคนิค
- การผสานการทำงานกับผู้ให้บริการชำระเงิน (เช่น ค่าธรรมเนียมธุรกรรม ค่าติดตั้ง)
- ใบรับรองด้านความปลอดภัย (เช่น ใบรับรอง Secure Sockets Layer [SSL])
- การคุ้มครองทางกฎหมาย (เช่น ข้อกำหนดและเงื่อนไข นโยบายความเป็นส่วนตัว ประกาศทางกฎหมาย คำแนะนำทางกฎหมาย)
- ภาพถ่ายและคำอธิบายผลิตภัณฑ์
- การตลาดและโฆษณา (เช่น SEO, SEA, การตลาดแบบพาร์ทเนอร์, โซเชียลมีเดีย)
- โลจิสติกส์และการขนส่ง (เช่น บรรจุภัณฑ์ ผู้ให้บริการขนส่ง การจัดเก็บสินค้า)
- การบำรุงรักษาและการสนับสนุนทางเทคนิค
- ที่ปรึกษาด้านบัญชีและภาษี
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ