เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2023 ระบบใบแจ้งหนี้ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ในประเทศญี่ปุ่น ระบบใบแจ้งหนี้เป็นระบบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเครดิตภาษีการซื้อสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องเสียภาษีการบริโภค
ธุรกิจในญี่ปุ่นที่ขอรับเครดิตภาษีการซื้อต้องให้ความสำคัญกับวิธีคำนวณภาษีการบริโภคภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้ บทความนี้จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระบบใบแจ้งหนี้กับภาษีการบริโภค การเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณภาษีการบริโภคภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้ และมาตรการที่ธุรกิจต้องดำเนินการ
เนื้อหาหลักในบทความ
- ระบบใบแจ้งหนี้คืออะไร
- ความสัมพันธ์ระหว่างระบบใบแจ้งหนี้กับภาษีการบริโภค
- ผลกระทบของระบบใบแจ้งหนี้ต่อการคำนวณภาษีการบริโภค
- วิธีการคำนวณภาษีการบริโภคที่ใช้ในระบบใบแจ้งหนี้
- ทำไมวิธีการคำนวณแบบสะสมยอดจึงเป็นประโยชน์มากกว่าภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้
- การคำนวณยอดภาษีที่ต้องชำระภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้
- Stripe Invoicing ช่วยอะไรได้บ้าง
ระบบใบแจ้งหนี้คืออะไร
ระบบใบแจ้งหนี้กำหนดให้ธุรกิจที่ต้องเสียภาษีต้องใช้มาตรการบางอย่างเมื่อคำนวณยอดภาษีการบริโภคที่ต้องชำระ ปัจจุบันอัตราภาษีการบริโภคในประเทศญี่ปุ่นมีอยู่สองอัตราคือ อัตราภาษีมาตรฐานที่ 10% และอัตราภาษีลดหย่อนที่ 8% ระบบใบแจ้งหนี้เริ่มใช้ในฐานะวิธีการหักเครดิตภาษีการซื้อ (หรือวิธีการหักภาษีจากยอดซื้อ) ซึ่งสอดคล้องกับอัตราภาษีการบริโภคที่มีอยู่หลายอัตรา โดยแทนที่วิธีการเก็บรักษาใบแจ้งหนี้แบบจำแนกตามอัตรา
รายการที่ต้องระบุในใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ (ซึ่งโดยทั่วไปมักเรียกว่า "ใบแจ้งหนี้") ที่ออกภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้ มีรายละเอียดมากกว่าที่กำหนดไว้สำหรับใบแจ้งหนี้แบบจำแนกตามอัตราที่มีผลบังคับใช้ก่อนเริ่มใช้ระบบใบแจ้งหนี้ หากข้อมูลที่บันทึกในใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ผู้ขายออกให้มีข้อผิดพลาด ผู้ซื้อจะไม่สามารถรับเครดิตภาษีการซื้อได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ขายที่ออกใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์จะต้องเข้าใจข้อกำหนดที่ระบุไว้ในระบบใบแจ้งหนี้อย่างถูกต้อง
คุณควรทราบไว้ว่า ตราบใดที่ข้อมูลที่จำเป็นได้รับการบันทึกอย่างถูกต้องและแม่นยำ จะไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับรูปแบบใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ แต่เพื่อให้สามารถใช้เครดิตภาษีการซื้อได้อย่างราบรื่นตามระบบใบแจ้งหนี้ ก็ควรใช้รูปแบบใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ซึ่งคำนึงถึงผู้ซื้อที่ได้รับใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์
ความสัมพันธ์ระหว่างระบบใบแจ้งหนี้กับภาษีการบริโภค
ระบบใบแจ้งหนี้และภาษีการบริโภคมีความเชื่อมโยงกัน ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายว่าระบบใบแจ้งหนี้และภาษีการบริโภคมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร โดยคุณจะต้องทำความเข้าใจระบบภาษีการบริโภคก่อน จึงจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์นี้
ภาษีการบริโภค คือภาษีที่เรียกเก็บจากการซื้อสินค้าและบริการที่ลูกค้าเป็นผู้จ่าย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าแต่ละรายไม่ได้จ่ายภาษีการบริโภคให้กับรัฐบาลโดยตรง แต่ภาษีดังกล่าวจะถูกเพิ่มเข้ามาในราคาสินค้า และลูกค้าจ่ายให้กับธุรกิจไปพร้อมกับราคาสินค้า หลังจากนั้นจะมีกลไกทางอ้อมที่ธุรกิจจะต้องจ่ายภาษีการบริโภคที่เก็บจากลูกค้าให้กับสำนักงานภาษีที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมค้าปลีก ก่อนที่สินค้าจะถูกส่งไปที่ร้านค้าจะต้องผ่านกระบวนการต่างๆ มากมาย โดยเริ่มจากการจัดหาวัตถุดิบ ตามด้วยการผลิตและบรรจุหีบห่อ และสุดท้ายจะมาถึงร้านค้าในรูปแบบผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ซึ่งภาษีการบริโภคจะเกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของธุรกรรมแบบ B2B เหล่านี้
นอกจากนี้ยังควรตระหนักถึงการเก็บภาษีซ้ำซ้อนด้วย ระบบใบแจ้งหนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อน โดยช่วยให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการสามารถรับเครดิตภาษีการซื้อที่เหมาะสมได้
ยอดภาษีการบริโภคสามารถคำนวณได้ง่ายๆ โดยใช้สูตรต่อไปนี้
ภาษีการบริโภคที่ต้องชำระ = ภาษีการบริโภคจากราคาสินค้า (ยอดขาย) (ภาษีการบริโภคเบื้องต้น) - ภาษีการบริโภคที่ชำระจากยอดซื้อ (ภาษีซื้อ)
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้ค้าปลีก A ซึ่งเก็บภาษีการบริโภคจากลูกค้า จะจ่ายภาษีการบริโภคให้กับซัพพลายเออร์ B เมื่อซื้อสินค้า ผู้ค้าปลีก A จะหักยอดภาษีการบริโภคที่จ่ายให้กับซัพพลายเออร์ B ออกจากยอดภาษีการบริโภคที่ได้รับจากลูกค้า และชำระส่วนต่างนี้ให้กับสำนักงานภาษีที่เกี่ยวข้อง การหักภาษีในลักษณะนี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของระบบใบแจ้งหนี้ และมักเรียกว่าเครดิตภาษีการซื้อ
ลูกค้าจะจ่ายภาษีการบริโภคให้กับธุรกิจ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสินค้าจะคำนวณยอดภาษีการบริโภคที่ลูกค้าควรจ่าย จากนั้นยอดเงินดังกล่าวจะถูกจ่ายให้กับหน่วยงานด้านภาษี อย่างไรก็ตาม หากมีธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการ ก็จะต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ โดยหลักการแล้ว ธุรกิจที่ซื้อสินค้าจากธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีจะไม่มีสิทธิ์รับเครดิตภาษีการซื้อ
ตัวอย่างเช่น ผู้ซื้อสินค้าคือผู้ค้าปลีก ในกรณีนี้ เนื่องจากผู้ขายเป็นธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษี ดังนั้นจะไม่มีการเรียกเก็บภาษีการบริโภคจากการซื้อ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เนื่องจากยอดภาษีการบริโภคที่หักได้เท่ากับ "0" ผู้ค้าปลีกที่ซื้อสินค้าจากธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีจะต้องรับผิดชอบในการจ่ายภาษีการบริโภคเต็มจำนวนจากการขายสินค้าเหล่านั้น
เมื่อมองเผินๆ อาจดูไม่ยุ่งยากอะไร แต่ลองเปรียบเทียบการทำธุรกรรมมูลค่า ¥500,000 กับธุรกิจที่ต้องเสียภาษี กับการทำธุรกรรมมูลค่าเดียวกันนี้กับธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษี การทำธุรกรรมกับธุรกิจที่ต้องเสียภาษีจะสามารถขอรับเครดิตภาษีการซื้อในภายหลังได้ ซึ่งส่งผลให้ภาระทางภาษีลดลง ในทางกลับกัน การทำธุรกรรมกับธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีจะไม่สามารถขอรับเครดิตภาษีการซื้อได้ ดังนั้นเมื่อมองในมุมของผู้ซื้อ ท้ายที่สุดแล้วการทำธุรกรรมกับธุรกิจที่ต้องเสียภาษีจะส่งผลให้ต้องชำระภาษีน้อยกว่า และได้รับกำไรมากกว่า
ประเด็นที่ว่าจะสามารถขอรับเครดิตภาษีการซื้อได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ยิ่งธุรกรรมมีมูลค่ามากเท่าใด ก็จะยิ่งส่งผลต่อผลกำไรและขาดทุนของบริษัทมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าธุรกิจจะได้รับการยกเว้นภาษีหรือต้องเสียภาษีก็ตาม ทุกธุรกิจควรทำการจำลองสถานการณ์เพื่อระบุปัญหาที่ระบบใบแจ้งหนี้ปัจจุบันอาจส่งผลต่อการดำเนินงาน และควรดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อจัดการความเสี่ยงล่วงหน้า
ผลกระทบของระบบใบแจ้งหนี้ต่อการคำนวณภาษีการบริโภค
ระบบใบแจ้งหนี้จะส่งผลต่อธุรกิจอย่างไรบ้างเมื่อต้องคำนวณภาษีการบริโภค ในส่วนนี้ เราจะอธิบายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการคำนวณภาษีการบริโภคอันเป็นผลมาจากการนำระบบใบแจ้งหนี้มาใช้
ตรวจสอบสิทธิ์ในการขอรับเครดิตภาษีการซื้อล่วงหน้า
ภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้ปัจจุบัน ประเด็นสำคัญในการพิจารณาว่าธุรกรรมมีสิทธิ์ขอรับเครดิตภาษีการซื้อหรือไม่นั้น อยู่ที่ว่าธุรกรรมดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขต่อไปนี้หรือไม่
- ผู้ออกใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ต้องเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องเสียภาษี และมีหมายเลขลงทะเบียนระบบใบแจ้งหนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้ออกใบแจ้งหนี้ต้องเป็นผู้ออกใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ แม้ว่าผู้ออกใบแจ้งหนี้จะเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องลงทะเบียนในระบบใบแจ้งหนี้เพื่อให้สามารถออกใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ได้
- เอกสารต้องมีการบันทึกรายการที่จำเป็นสำหรับใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน ตามที่ระบุไว้ภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้
ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่บัญชีฝ่ายผู้ซื้อที่เป็นผู้รับเอกสารต้องให้ความสำคัญกับประเด็นข้างต้น เช่น ประเภทธุรกิจของผู้ขาย และตรวจสอบว่าผู้ขายปฏิบัติตามข้อกำหนดของระบบใบแจ้งหนี้อย่างครบถ้วนหรือไม่
ปัดเศษแต่ละอัตราภาษีหนึ่งครั้งต่อใบแจ้งหนี้
"การปัดเศษ" เป็นวิธีการจัดการยอดเงินที่ต่ำกว่า 1 เยนเมื่อคำนวณภาษีการบริโภค ก่อนที่จะมีการระบบใบแจ้งหนี้มาใช้ (ภายใต้วิธีการเก็บรักษาใบแจ้งหนี้แบบจำแนกตามอัตรา) จะใช้วิธีปัดเศษภาษีการบริโภคของสินค้าหรือบริการแต่ละรายการ แต่ภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้ปัจจุบัน ยอดเงินที่มีเศษจะถูกปัดขึ้นหรือลงเพียงครั้งเดียวสำหรับแต่ละอัตราภาษีต่อใบแจ้งหนี้ที่มีสิทธิ์เท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ธุรกิจไม่ควรคำนวณภาษีการบริโภคของสินค้าแต่ละรายการแยกกันแล้วนำมาบวกเข้าด้วยกันอีกต่อไป แต่ควรคำนวณยอดรวมของภาษีการบริโภคในแต่ละอัตราภาษี (ได้แก่ 8% และ 10%) จากนั้นจึงปัดเศษจากยอดรวมนั้นแทน
ตัวอย่างเช่น ผู้ซื้อทำการซื้อสินค้า A และสินค้า B ซึ่งทั้งสองชนิดต้องเสียภาษีการบริโภคในอัตรา 8% นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังซื้อสินค้า C และสินค้า D ซึ่งต้องเสียภาษีการบริโภคในอัตรา 10% ในกรณีนี้ ให้คำนวณยอดรวมที่ไม่รวมภาษีของสินค้าที่มีอัตราภาษี 8% และยอดรวมที่ไม่รวมภาษีของสินค้าที่มีอัตราภาษี 10% จากนั้นจึงคำนวณยอดรวมของภาษีการบริโภคในแต่ละอัตราภาษี
|
วันที่ทำธุรกรรม |
ชื่อผลิตภัณฑ์ |
จำนวน |
ราคาต่อหน่วย |
ยอดเงินไม่รวมภาษี |
ยอดภาษีการบริโภค |
|---|---|---|---|---|---|
|
8/2 |
สินค้า A* |
63 |
187 |
11,781 |
ー |
|
8/2 |
สินค้า B* |
177 |
77 |
13,629 |
ー |
|
8/10 |
สินค้า C |
47 |
57 |
2,679 |
ー |
|
8/10 |
สินค้า D |
47 |
427 |
20,069 |
ー |
|
ยอดรวมที่ต้องเสียภาษี 8% (*) |
25,410 |
2,032 |
|||
|
ยอดรวมที่ต้องเสียภาษี 10% |
22,748 |
2,274 |
ในตัวอย่างนี้ เมื่อคำนวณภาษีการบริโภคของสินค้าที่มีอัตราภาษี 8% ผลลัพธ์ที่ได้คือ ¥2,032.80 หลังจากปัดเศษแล้ว ภาษีการบริโภคจะกลายเป็น ¥2,032 ในทำนองเดียวกัน สำหรับอัตราภาษี 10% ผลลัพธ์ที่ได้คือ ¥2,274.80 ซึ่งเมื่อปัดเศษแล้วจะกลายเป็น ¥2,274
เลือกวิธีการคำนวณ
เมื่อมีการนำระบบใบแจ้งหนี้มาใช้ ก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้การคำนวณแบบหักยอดตามวิธีดั้งเดิมหรือการคำนวณแบบสะสมยอด เพื่อคำนวณยอดภาษีการบริโภคที่ต้องชำระ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการคำนวณทั้งสองวิธีอย่างถ่องแท้ และเลือกวิธีที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทของคุณ ในส่วนถัดไป เราจะอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการคำนวณทั้งแบบหักยอดและแบบสะสมยอด
วิธีการคำนวณภาษีการบริโภคที่ใช้ในระบบใบแจ้งหนี้
ภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้ ธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะคำนวณแบบสะสมยอดหรือจะคำนวณแบบหักยอด ต่อไปนี้คือรายละเอียดของการคำนวณแต่ละวิธี
การคำนวณแบบสะสมยอด
การคำนวณแบบสะสมยอดมีความหมายตรงตัว คือการสะสมยอดภาษีการบริโภคที่ระบุไว้ในใบแจ้งหนี้ที่มีสิทธิ์ โดยยอดภาษีจะคำนวณโดยการรวมยอดภาษีการบริโภคที่เกิดขึ้นในธุรกรรมแต่ละรายการ
ยอดภาษีการบริโภคแบบสะสมยอดคือยอดภาษีหลังจากที่ได้ปัดเศษใบแจ้งหนี้ที่มีสิทธิ์แต่ละฉบับแล้ว ทั้งนี้ โปรดทราบว่าผู้ที่สามารถเลือกใช้วิธีการคำนวณแบบสะสมยอดได้จะต้องเป็นผู้ออกใบแจ้งหนี้ที่มีสิทธิ์เท่านั้น
ตัวอย่างการคำนวณแบบสะสมยอด
สินค้า 10,000 หน่วยที่มีราคาหน่วยละ ¥300 (รวมภาษีแล้ว ในอัตราภาษี 10%)
- ยอดภาษีการบริโภคต่อชิ้น:
¥300 × 100/110 × 10% = ¥27
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ¥27.27 และปัดเศษลง
- การคำนวณยอดภาษีแบบสะสมยอดจากสินค้า 10,000 หน่วยที่ขาย:
¥27 × 10,000 หน่วย = ¥270,000
ยอดภาษีการบริโภค: ¥270,000
การคำนวณแบบหักยอด
การคำนวณแบบหักยอดเป็นวิธีที่ใช้มาตั้งแต่ก่อนที่จะนำระบบใบแจ้งหนี้มาใช้ โดยจะคำนวณยอดภาษีการบริโภคตามยอดขายทั้งหมดในช่วง 1 ปี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยอดภาษีการบริโภคจะคำนวณโดยการแปลงยอดเงินรวม (รวมภาษีระยะเวลา 1 ปี) กลับไปเป็นยอดเงินรวมที่ไม่รวมภาษี นอกจากนี้จะมีการปัดเศษในขั้นตอนนี้ด้วย
สำหรับวิธีการคำนวณแบบหักยอด คุณไม่จำเป็นต้องรวมยอดภาษีการบริโภคที่ระบุไว้ในใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์แต่ละฉบับ เช่นเดียวกับกรณีของการคำนวณแบบสะสมยอด ดังนั้นภาระด้านการทำบัญชีจึงค่อนข้างน้อย
ตัวอย่างการคำนวณแบบหักยอด
สินค้า 10,000 หน่วยที่มีราคาหน่วยละ ¥300 (รวมภาษีแล้ว ในอัตราภาษี 10%)
- ยอดขายรวมภาษี:
¥300 × 10,000 หน่วย = ¥3,000,000
- ยอดเงินไม่รวมภาษี:
¥3,000,000 × 100/110 = ¥2,727,000
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ¥2,727,272 และถูกปัดเศษลงให้เป็นหลักพันเยนที่ใกล้ที่สุด
- ยอดภาษีจากยอดขาย:
¥2,727,000 × 10% = ¥272,700
- ยอดภาษีการบริโภค: ¥272,700
โปรดทราบว่า เมื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีการบริโภคจริง ภาษีระดับประเทศและภาษีท้องถิ่นจะคำนวณแยกกัน สำหรับวัตถุประสงค์ของตัวอย่างเหล่านี้ อัตราภาษีที่ใช้ในการคำนวณเป็นอัตรารวมของภาษีระดับประเทศและภาษีท้องถิ่น
วิธีการคำนวณยอดภาษีการบริโภคที่ต้องชำระ
วิธีการคำนวณภาษีการบริโภคที่ต้องชำระมีดังนี้
ยอดภาษีการบริโภคจากยอดขาย – ยอดภาษีการบริโภคจากยอดซื้อ
ดังนั้น ขั้นแรกคุณจะต้องเลือกวิธีการแบบสะสมยอดหรือวิธีการแบบหักยอดเพื่อคำนวณ “ยอดภาษีการบริโภคจากยอดขาย” และ “ยอดภาษีบริโภคจากยอดซื้อ” จากนั้นจึงคำนวณแต่ละยอด
ธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะคำนวณภาษีการบริโภคจากยอดขายโดยใช้วิธีการคำนวณแบบสะสมยอดหรือวิธีการคำนวณแบบหักยอด โปรดทราบว่า หากคุณใช้วิธีการคำนวณแบบสะสมยอดในการคำนวณภาษีการบริโภคจากยอดขาย คุณจะต้องใช้วิธีการคำนวณแบบสะสมยอดในการคำนวณภาษีการบริโภคจากยอดซื้อด้วย คุณไม่สามารถเลือกวิธีการคำนวณแบบหักยอดได้ ในทางกลับกัน เมื่อคำนวณภาษีการบริโภคจากยอดขายโดยใช้วิธีการคำนวณแบบหักยอด คุณสามารถเลือกใช้วิธีการคำนวณแบบสะสมยอดหรือวิธีการคำนวณแบบหักยอดเพื่อคำนวณภาษีการบริโภคจากยอดซื้อได้
ทำไมวิธีการคำนวณแบบสะสมยอดจึงเป็นประโยชน์มากกว่าภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้
เราได้นำเสนอตัวอย่างวิธีการคำนวณแต่ละวิธีในส่วนก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการคำนวณแบบสะสมยอดจะส่งผลให้ยอดภาษีที่ต่ำกว่าการคำนวณแบบหักยอด ซึ่งสาเหตุเกิดจากช่วงเวลาที่ปัดเศษแตกต่างกัน
การปัดเศษยอดภาษีการบริโภคที่บันทึกในใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถปัดเศษให้เป็นจำนวนเต็มที่ใกล้ที่สุด โดยปัดขึ้นหรือปัดลงได้ตามดุลยพินิจของผู้ออกใบแจ้งหนี้ หากยอดภาษีการบริโภคจากยอดขายในใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ถูกปัดเศษลง ยอดภาษีการบริโภคที่ต่ำกว่า 1 เยนจะถูกปัดเศษลงทุกครั้งที่ออกใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ดังเช่นในวิธีการคำนวณแบบสะสมยอด ดังนั้นยอดภาษีการบริโภคจากยอดขายจึงลดลง ยอดภาษีการบริโภคที่ต้องชำระก็จะลดลงตามสูตรคำนวณดังกล่าวด้วย วิธีการคำนวณแบบสะสมยอดจึงเป็นประโยชน์มากกว่า
สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ค้าปลีก ซึ่งลักษณะของธุรกิจต้องมีการออกใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์อยู่บ่อยครั้ง วิธีการคำนวณแบบสะสมยอดจะช่วยลดภาษีการบริโภคที่ต้องชำระได้เป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับวิธีการคำนวณแบบหักยอด
การคำนวณยอดภาษีที่ต้องชำระภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้
ในบทความนี้ เราได้อธิบายวิธีการคำนวณภาษีการบริโภคที่ธุรกิจจำเป็นต้องทราบภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้ใหม่ ภาษีการบริโภคที่เก็บจากลูกค้าเมื่อขายสินค้าหรือบริการเป็นภาษีที่ธุรกิจทุกแห่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการชำระให้กับรัฐบาล
เพื่อให้ธุรกิจที่ต้องเสียภาษีชำระภาษีการบริโภคอย่างถูกต้อง ธุรกิจต้องคำนวณยอดภาษีที่ต้องชำระและนำส่งให้สำนักงานภาษี ดังนั้นเมื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษี คุณควรเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีการบริโภคอย่างถ่องแท้และดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้องแม่นยำ ภายใต้ระบบใบแจ้งหนี้ ธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะคำนวณแบบสะสมยอดหรือจะคำนวณแบบหักยอด สิ่งสำคัญจะต้องเลือกวิธีการที่เหมาะกับบริษัทของคุณมากที่สุด
นอกจากนี้ เมื่อผู้ขายสร้างใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของระบบใบแจ้งหนี้ สิ่งสำคัญคือต้องเตรียมสภาพแวดล้อมที่รองรับระบบใบแจ้งหนี้เอาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ดำเนินงานได้อย่างราบรื่น เราขอแนะนำให้ใช้เครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น ฟังก์ชันคำนวณภาษีการบริโภคอัตโนมัติและซอฟต์แวร์การทำบัญชี เนื่องจากเครื่องมือเหล่านี้มีประโยชน์ต่อการสร้างใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ Stripe Invoicing รองรับระบบใบแจ้งหนี้ ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกและจัดเก็บใบแจ้งหนี้ได้อย่างเหมาะสมโดยใช้การสร้างด้วยระบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ ด้วยฟังก์ชันทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บเงิน เช่น การจัดการลูกหนี้การค้า การเรียกเก็บเงิน และการกระทบยอดธุรกรรม ธุรกิจจึงสามารถปรับปรุงการทำงานด้านธุรการให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้
การออกใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์มีข้อกำหนดต่างๆ มากมาย และจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้า เช่น การนำระบบที่เข้ากันได้กับใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์มาใช้ และการลงทะเบียนระบบใบแจ้งหนี้ แต่ทั้งนี้ เมื่อเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้ว งานในขั้นตอนต่อมาที่เกี่ยวข้องกับใบแจ้งหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์จะมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
Stripe Invoicing ช่วยอะไรได้บ้าง
Stripe Invoicing ทำให้กระบวนการบัญชีลูกหนี้ (AR) ของคุณง่ายขึ้น ตั้งแต่การสร้างใบแจ้งหนี้ไปจนถึงการเรียกเก็บเงิน ไม่ว่าคุณจะจัดการการเรียกเก็บเงินแบบครั้งเดียวหรือการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า Stripe ช่วยให้ธุรกิจได้รับเงินเร็วขึ้นและปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้
- ทำให้การจัดการลูกหนี้การค้าเป็นไปโดยอัตโนมัติ: สร้าง ปรับแต่ง และส่งใบแจ้งหนี้แบบมืออาชีพได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเขียนโค้ด Stripe จะติดตามสถานะใบแจ้งหนี้ ส่งการแจ้งเตือนให้ชำระเงิน และดำเนินการคืนเงินโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้คุณดูแลกระแสเงินสดได้ดีอยู่เสมอ
- เร่งกระแสเงินสด: ลดระยะเวลาในการเก็บหนี้ถัวเฉลี่ย (Days Sales Outstanding หรือ DSO) และได้รับเงินเร็วขึ้นด้วยการชำระเงินทั่วโลกแบบครบวงจร การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และเครื่องมือติดตามหนี้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ช่วยให้คุณกู้คืนรายรับได้มากขึ้น
- ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า: มอบประสบการณ์การชำระเงินที่ทันสมัยด้วยการรองรับภาษามากกว่า 25 ภาษา, สกุลเงินมากกว่า 135 สกุล และวิธีการชำระเงินมากกว่า 100 วิธี โดยสามารถเข้าถึงและชำระใบแจ้งหนี้ได้ง่ายผ่านพอร์ทัลลูกค้าแบบสำเร็จรูป
- ลดภาระงานในสำนักงาน: สร้างใบแจ้งหนี้ในไม่กี่นาทีและลดเวลาที่ใช้ในการเรียกเก็บเงินผ่านการแจ้งเตือนอัตโนมัติ และหน้าชำระใบแจ้งหนี้ในระบบ Stripe
- ผสานการทำงานกับระบบที่มีอยู่: Stripe Invoicing สามารถผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์บัญชีและการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) ที่เป็นที่นิยมได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณรักษาระบบให้ซิงค์กันและลดการป้อนข้อมูลด้วยตนเอง
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe สามารถทำให้ขั้นตอนการจัดการลูกหนี้การค้าของคุณง่ายขึ้นได้ หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ