ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือภาษีการบริโภคที่ใช้กับสินค้าและบริการส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร เมื่อคุณเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายความว่าคุณเป็นผู้ทำหน้าที่เก็บภาษีให้กับรัฐบาล โดยเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าหรือบริการที่คุณขาย (ภาษีขาย) ซึ่งคุณสามารถเรียกคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณชําระไปกับค่าใช้จ่ายของธุรกิจ (ภาษีซื้อ) ได้
ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายความหมายของการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในสหราชอาณาจักร วิธีการจดทะเบียนออนไลน์ และความรับผิดชอบของธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในสหราชอาณาจักรหมายความว่าอย่างไร
- เกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในสหราชอาณาจักรมีอะไรบ้าง
- คุณจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์กับ HMRC ได้อย่างไร
- แผนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับธุรกิจในสหราชอาณาจักรมีแบบไหนบ้าง
- หน้าที่ความรับผิดชอบของธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีอะไรบ้าง
- จะทำให้ขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มง่ายขึ้นได้อย่างไร
การเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในสหราชอาณาจักรหมายความว่าอย่างไร
แม้ว่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามข้อกําหนด แต่ก็อาจช่วยกําหนดตำแหน่งทางธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ให้กับคุณได้
ลูกค้าหลายราย โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ชอบร่วมงานกับธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมากกว่า เนื่องจากการจดทะเบียนเป็นสิ่งที่แสดงถึงวุฒิภาวะและความเป็นมืออาชีพ
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะช่วยให้คุณเคลมภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าใช้จ่ายต่างๆ คืนได้ เช่น อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ ซึ่งจะเพิ่มผลกําไรของคุณได้โดยตรง
หากคุณทําการค้าระหว่างประเทศ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะทําให้กระบวนการศุลกากรราบรื่นขึ้น
หากคุณวางแผนว่าจะขยายธุรกิจการจดทะเบียนตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยให้คุณไม่ต้องเร่งดําเนินการตามข้อกำหนดจนต้องเสี่ยงกับบทลงโทษเมื่อกิจการเริ่มเติบโต
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกำหนดให้คุณเก็บบันทึกทางการเงินอย่างละเอียด ซึ่งช่วยให้คุณเห็นสถานะทางการเงินของธุรกิจตนเองได้ชัดเจน
เกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในสหราชอาณาจักรมีอะไรบ้าง
ในสหราชอาณาจักร ธุรกิจที่มีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีถึงระดับหนึ่งจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้กําหนดเกณฑ์ต่อปีของกิจการที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ยอดขายที่ต้องเสียภาษี 90,000 ปอนด์ในรอบ 12 เดือน ยอดขายที่ต้องเสียภาษีได้แก่รายรับทั้งหมดจากสินค้าและบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่รวมรายรับจากรายการที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การให้บริการทางการเงินหรือการขายประกันภัย ตรวจทานว่ามีอะไรบ้างที่ต้องเสียภาษีในอุตสาหกรรมของคุณ เพื่อที่คุณจะได้ทราบว่าอะไรบ้างที่ต้องนับในยอดรวม
เมื่อยอดรวมเกินเกณฑ์ที่กำหนด คุณต้องจดทะเบียนภายใน 30 วันหลังจากวันสิ้นเดือนเพื่อที่จะไม่ต้องถูกปรับหรือรับบทลงโทษ หากเกิดความล่าช้า คุณยังคงต้องชําระภาษีมูลค่าเพิ่มนับตั้งแต่วันที่คุณควรต้องจดทะเบียน นอกจากนี้คุณยังสามารถลงทะเบียนได้โดยสมัครใจแม้ว่ายอดขายของคุณจะต่ํากว่าเกณฑ์
คุณจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์กับ HMRC ได้อย่างไร
ในบางสถานการณ์ คุณจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทางไปรษณีย์ เช่น หากคุณเข้าร่วมโครงการอัตราค่าคงที่สําหรับภาคเกษตรหรือสมัครขอจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนต่างประเทศ หากไม่เข้ากรณีดังกล่าว คุณสามารถใช้ใบสมัครออนไลน์ที่อยู่ในหน้าเว็บเกตเวย์รัฐบาลของสำนักงานพระราชสรรพากรและศุลกากร (HMRC) อันดับแรก คุณจะต้องสร้างบัญชีหากยังไม่มี ขั้นตอนต่อไป คุณจะต้องรวบรวมเอกสารที่จําเป็น
สําหรับบริษัทจำกัด คุณจะต้องใช้สิ่งต่อไปนี้
หมายเลขทะเบียนบริษัท
รายละเอียดบัญชีธนาคารของธุรกิจ
หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (UTR)
รายละเอียดยอดขายต่อปีของคุณ
ข้อมูลแบบประเมินภาษีด้วยตนเองของคุณ
ข้อมูลเกี่ยวกับภาษีบริษัทของคุณ
ข้อมูลเกี่ยวกับการนำส่งภาษีเงินเดือนและเงินสมทบระบบประกันแห่งชาติ (Pay As You Earn: PAYE)
สําหรับบุคคลทั่วไปหรือห้างหุ้นส่วน คุณจะต้องใช้สิ่งต่อไปนี้
เลขที่ประกันแห่งชาติ
เอกสารประจําตัว เช่น หนังสือเดินทางหรือใบอนุญาตขับขี่
รายละเอียดบัญชีธนาคาร
หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ถ้ามี
รายละเอียดยอดขายต่อปีของคุณ
ข้อมูลแบบประเมินภาษีด้วยตนเองของคุณ
ข้อมูลเกี่ยวกับสลิปเงินเดือนของคุณ
ข้อมูลเกี่ยวกับแบบฟอร์ม P60
เมื่อคุณเอกสารครบแล้ว ให้กรอกใบสมัครขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างธุรกิจและกิจกรรมของคุณ แล้วระบุว่าคุณจะจดทะเบียนภายใต้แผนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ตรวจทานรายละเอียดก่อนส่ง โดยเฉพาะตัวเลขประเมินยอดขายและประเภทธุรกิจ เนื่องจากข้อผิดพลาดอาจทําให้การจดทะเบียนล่าช้า หลังจากที่ส่งแบบฟอร์มแล้ว HMRC จะส่งหมายเลขจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 9 หลักและยืนยันวันที่จดทะเบียนให้คุณทางไปรษณีย์
แผนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับธุรกิจในสหราชอาณาจักรมีแบบไหนบ้าง
ในสหราชอาณาจักร ธุรกิจสามารถเลือกแผนภาษีมูลค่าเพิ่มได้หลายแบบตามขนาดและการดําเนินงาน แผนเหล่านั้นออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนในการคํานวณและลงบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
แผนอัตราคงที่
แผนอัตราคงที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มได้ง่ายขึ้น โดยมีไว้สำหรับธุรกิจที่มียอดขายที่ต้องเสียภาษี 150,000 ปอนด์หรือน้อยกว่า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ธุรกิจสามารถจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ตามยอดขายขั้นต้นแทนที่จะต้องคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในธุรกรรมทุกรายการ โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรม ภายใต้แผนนี้ ธุรกิจมักจะเรียกคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อไม่ได้ ยกเว้นสินค้าทุนบางอย่างที่มีมูลค่ามากกว่า 2,000 ปอนด์
แผนบัญชีแบบเกณฑ์เงินสด
แผนบัญชีแบบเกณฑ์เงินสดเหมาะสําหรับธุรกิจที่มียอดขายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เกิน 1.35 ล้านปอนด์ เมื่อใช้แผนนี้ ธุรกิจจะคิดภาษีมูลค่าเพิ่มจากการชําระเงินจริงที่ได้รับและจ่ายออก ซึ่งหมายความว่าธุรกิจเหล่านี้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มให้ HMRC เมื่อลูกค้าชําระเงิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการจัดการกระแสเงินสด
แผนบัญชีรายปี
แผนบัญชีรายปีอนุญาตให้ธุรกิจที่มียอดขายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.35 ล้านปอนด์หรือน้อยกว่ายื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มแบบรายปีแทนที่จะต้องยื่นรายไตรมาส ตลอดทั้งปี ธุรกิจจะชําระภาษีมูลค่าเพิ่มล่วงหน้า ซึ่งสามารถช่วยในการจัดทํางบประมาณได้
แผนค้าปลีก
แผนค้าปลีกช่วยลดความซับซ้อนในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับธุรกิจค้าปลีก โดยอนุญาตให้ธุรกิจคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มครั้งเดียวในตอนยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ละครั้ง แทนที่จะต้องคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายแต่ละครั้ง แผนการค้าปลีกมี 3 แบบ ได้แก่
แผนคำนวณ ณ จุดขาย: ธุรกิจจะคำนวณและบันทึกภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ขณะขาย
แผนคำนวณตามสัดส่วน: ธุรกิจคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยเปรียบเทียบมูลค่าของสินค้าที่ซื้อมาเพื่อขายต่อในอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ละอัตรากับยอดขายรวม
แผนการคํานวณโดยตรง: ธุรกิจคํานวณอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหลายอัตราในงวดการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มในคราวเดียว ในกรณีที่ยอดขายจำนวนน้อยใช้อัตราภาษีหนึ่งและยอดขายส่วนใหญ่เป็นอีกอัตราหนึ่ง
รูปแบบนี้จะมีประโยชน์เป็นพิเศษหากคุณขายสินค้ามูลค่าต่ำในปริมาณมาก
แผนส่วนต่าง
แผนส่วนต่างช่วยให้ธุรกิจที่ขายของมือสอง ชิ้นงานศิลปะ วัตถุโบราณ หรือของสะสม สามารถจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและขายได้ แทนที่จะคิดถาษีจากราคาขายเต็มจำนวน ซึ่งอาจทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่ายลดลง
หน้าที่ความรับผิดชอบของธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีอะไรบ้าง
คุณมีหน้าที่รับผิดชอบจำนวนหนึ่งหากธุรกิจของคุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
บวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปกับราคาสินค้าหรือบริการที่คุณขาย เว้นแต่คุณจะอยู่ภายใต้แผนพิเศษที่ไม่มีการบวกภาษีมูลค่าเพิ่มในราคา
การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราที่ถูกต้อง
ออกใบกํากับภาษีให้ลูกค้า (เว้นแต่คุณจะอยู่ภายใต้แผนพิเศษที่ไม่มีการบวกภาษีมูลค่าเพิ่มในราคา) ซึ่งระบุยอดภาษีมูลค่าเพิ่มและหมายเลขทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของคุณ
ทำบันทึกภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บทั้งหมดเพื่อใช้ยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (โดยปกติต้องยื่นทุก 3 เดือน)
ชําระภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระภายในกําหนดหลังจากยื่นแบบภาษี
Making Tax Digital (MTD)
Making Tax Digital (MTD) เป็นโครงการของรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่ต้องการปรับปรุงระบบภาษีให้ทันสมัยขึ้น โดยกําหนดให้ธุรกิจต้องจัดทำบันทึกข้อมูลดิจิทัลและยื่นแบบภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ MTD กำหนดให้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมด ไม่ว่าจะมียอดขายเท่าใด ต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านดิจิทัลต่อไปนี้
บันทึกข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล: ธุรกิจต้องใช้ซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกันได้เพื่อจัดทำบันทึกรายการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดในรูปแบบดิจิทัล
การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มทางดิจิทัล: การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มต้องส่งให้กับ HMRC โดยตรงโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่รองรับ MTD โดยไม่รับยื่นแบบด้วยตนเองทางพอร์ทัลออนไลน์ของ HMRC อีกต่อไป
ลิงก์ดิจิทัล: หากมีการใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์หรือสเปรดชีตหลายโปรแกรมเพื่อจัดการรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม โปรแกรมเหล่านั้นจะต้อง "เชื่อมโยงกันแบบดิจิทัล" ซึ่งหมายความว่าการโอนข้อมูลระหว่างโปรแกรมต่างๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ควรทำได้โดยไม่ต้องใช้คนทำ ซึ่งช่วยรับประกันความสมบูรณ์และและความถูกต้องของบันทึกรายการ
จะทำให้ขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มง่ายขึ้นได้อย่างไร
หากคุณต้องการให้การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มยุ่งยากน้อยลง มีเคล็ดลับที่ใช้ได้จริงดังนี้
รู้เวลาที่คุณต้องจดทะเบียนจริงๆ: แม้ว่าการจดทะเบียนก่อนที่จะถึงเกณฑ์อาจจะเป็นประโยชน์ แต่ก็ทำให้ธุรกิจของคุณมีงานที่ต้องทำมากขึ้น พิจารณายอดขายของคุณอย่างรอบคอบแล้วดูว่าคุณถึงเกณฑ์จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (หรือใกล้) ถึงเกณฑ์หรือยัง ด้วยวิธีนี้คุณสามารถวางแผนว่าจะจดทะเบียนเมื่อไหร่ได้อย่างมีกลยุทธ์และสามารถลดงานธุรการที่ไม่จำเป็นได้
ใช้บริการของผู้ให้บริการเพื่อจัดระเบียบสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ ผู้ให้บริการอย่าง Stripe มีเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย Stripe ซึ่งรวมถึง
- Stripe Tax: ฟีเจอร์นี้คํานวณและเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแบบอัตโนมัติ โดยจะกําหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกต้องตามที่ตั้งของลูกค้าและประเภทผลิตภัณฑ์ และช่วยให้มั่นใจว่าธุรกรรมแต่ละรายการมียอดภาษีที่ถูกต้อง
- ระบบรหัสภาษี: Stripe มีระบบรหัสภาษีที่เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งจับคู่กับประมวลกฎหมายด้านภาษีทั่วโลก Stripe นำกฎระเบียบและอัตราภาษีที่ถูกต้องมาใช้โดยอัตโนมัติ ด้วยการเลือกรหัสภาษีที่เหมาะสมสําหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
- Stripe Invoicing: Stripe ช่วยให้คุณสร้างใบแจ้งหนี้ที่เป็นไปตามข้อกำหนดเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมีรายละเอียดที่จําเป็น เช่น หมายเลขทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของคุณและจํานวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บ ช่วยให้แน่ใจว่าใบกำกับภาษีของคุณเป็นไปตามข้อกําหนดทางกฎหมาย
- การกําหนดที่ตั้งของลูกค้า: Stripe ใช้ข้อมูลตําแหน่งที่ตั้ง เช่น สกุลเงินและรหัสไปรษณีย์ เพื่อกําหนดที่ตั้งของลูกค้า ข้อมูลนี้ช่วยให้ใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับด้านภาษี
- ความช่วยเหลือด้านการรายงานและการยื่นภาษี: Stripe ยังเป็นพันธมิตรกับบริการยื่นภาษีทั่วโลกเพื่อช่วยด้านการยื่นภาษีอีกด้วย
- Stripe Tax: ฟีเจอร์นี้คํานวณและเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแบบอัตโนมัติ โดยจะกําหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกต้องตามที่ตั้งของลูกค้าและประเภทผลิตภัณฑ์ และช่วยให้มั่นใจว่าธุรกรรมแต่ละรายการมียอดภาษีที่ถูกต้อง
ทําความเข้าใจว่าคุณจะขอคืนอะไรได้บ้าง: ข้อดีอีกอย่างของการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคือการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าใช้จ่ายของธุรกิจ ศึกษาว่าอะไรที่ขอคืนได้ เพื่อที่คุณจะได้ขอคืนเงินได้ตามสิทธิ์ที่มี
ทำให้เป็นระเบียบตั้งแต่ต้น: ทันทีที่จดทะเบียน คุณจะต้องเริ่มเก็บบันทึกเกี่ยวกับการขายและค่าใช้จ่ายของคุณอย่างละเอียด ดังนั้น อย่าลืมเตรียมระบบไว้ทันที
วางแผนรองรับการเปลี่ยนผ่าน: หากคุณจดทะเบียนหลังจากทําธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว คุณจะต้องปรับการคิดราคาผลิตภัณฑ์หรือบริการเพื่อให้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ด้วย สื่อสารกับลูกค้าของคุณอย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้พวกเขาประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ