อีคอมเมิร์ซและการชำระเงินแบบดิจิทัลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกรรมทุกแบบ ตั้งแต่การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคไปจนถึงการจัดซื้อมูลค่าสูง มูลค่าธุรกรรมของการชำระเงินแบบดิจิทัลทั่วโลกคาดว่าจะสูงถึง 20.09 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และเพิ่มเป็น 38.07 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ดังนั้น บริษัทและบุคคลทั่วไปต่างก็มองหาวิธีการชําระเงินที่ปลอดภัยมากขึ้นและไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียดธนาคารที่ละเอียดอ่อน ซึ่งโซลูชันหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นคือ การชําระเงินด้วยบัตรดิจิทัล
บัตรดิจิทัลสามารถลดความซับซ้อนในการทําบัญชีและลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงให้กับบริษัทที่ต้องติดตามรายรับอย่างต่อเนื่อง จัดประเภทใบแจ้งยอดบัตรองค์กร หรือออกบัตรของบริษัทให้แก่พนักงานจากระยะไกลเพื่อใช้จ่ายทางธุรกิจ ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้บัตรดิจิทัลเพื่อติดตามตรวจสอบการใช้จ่าย และมอบสิทธิ์ในการชําระเงินได้อย่างอิสระมากขึ้น และปิดใช้งานบัตรได้อย่างง่ายดายตั้งแต่ตอนที่เกิดปัญหาครั้งแรกโดยไม่ส่งผลกระทบต่อบัญชีอื่นๆ
ในบทความนี้ เราจะอธิบายว่าหมายเลขบัตรดิจิทัลคืออะไร ทํางานอย่างไร และธุรกิจของคุณจะขอหมายเลขนี้ได้อย่างไร
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- หมายเลขบัตรดิจิทัลคืออะไร
- เหตุใดหมายเลขบัตรดิจิทัลจึงมีประโยชน์
- คุณจะขอรับหมายเลขบัตรดิจิทัลได้อย่างไร
- แพลตฟอร์มใดบ้างที่ออกหมายเลขบัตรดิจิทัล
- บัตรดิจิทัลทํางานอย่างไรในการทําธุรกรรมทางธุรกิจ
- ข้อจํากัดของบัตรดิจิทัลมีอะไรบ้าง
- Stripe Issuing ช่วยให้ธุรกิจใช้บัตรดิจิทัลได้อย่างไร
หมายเลขบัตรดิจิทัลคืออะไร
หมายเลขบัตรดิจิทัลคือข้อมูลประจําตัวสำหรับการชําระเงินด้วยบัตรที่ไม่มีอยู่จริงในกระเป๋าเงินของคุณ และประกอบด้วยตัวเลขที่ออกตามลําดับ วันหมดอายุ และรหัสความปลอดภัย ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้สร้างขึ้นทางออนไลน์ หมายเลขเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เหมือนกับที่ปรากฏบนบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต โดยคุณสามารถใช้หมายเลขเหล่านี้ในการซื้อสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ รวมถึงการชําระเงินที่จุดขายได้
บัตรดิจิทัลมักจะออกโดยสถาบันการเงินและมาพร้อมกับมาตรการป้องกันที่เหมือนกับบัตรแบบดั้งเดิม เช่น การตรวจสอบการฉ้อโกง และในหลายๆ กรณี คุณสามารถกําหนดวงเงินและข้อจํากัดการใช้งานที่เฉพาะเจาะจงสําหรับบัตรดิจิทัลได้ รวมทั้งตรวจสอบว่ามีการใช้หมายเลขบัตรแต่ละใบอย่างไรและเมื่อใด
เหตุใดหมายเลขบัตรดิจิทัลจึงมีประโยชน์
แม้ว่าบัตรจริงจะยังคงเป็นตัวเลือกที่มีคุณค่าสําหรับการทําธุรกรรมที่จุดขายและการซื้อในแต่ละวันของลูกค้า แต่ธุรกิจต่างๆ อาจได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการใช้บัตรดิจิทัลในบางสถานการณ์ หากคุณสมัครใช้บริการซอฟต์แวร์หรือได้รับใบแจ้งหนี้ของผู้ให้บริการบ่อยครั้ง หรือพบกับสถานการณ์ใดๆ ที่คุณไม่จําเป็นต้องรูดบัตรจริง คุณอาจเลือกใช้บัตรดิจิทัลด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- หมายเลขบัตรดิจิทัลสร้างและปิดใช้งานได้ง่าย คุณสามารถสร้างหมายเลขบัตรใหม่ได้ตามต้องการและปิดใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้ว บัตรดิจิทัลจะปิดใช้งานได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อบัญชีหลักของคุณ
- หมายเลขบัตรดิจิทัลช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น เพราะเมื่อใช้บัตรดิจิทัล คุณไม่จําเป็นต้องพิมพ์ จัดส่ง หรือจัดเก็บพลาสติกที่ใช้ทำบัตร
- บัตรดิจิทัลมักจะมีระดับการควบคุมที่สูงกว่าบัตรจริง ผู้ให้บริการหลายรายจะให้คุณกําหนดหมวดหมู่การใช้จ่ายหรือเกณฑ์การใช้จ่ายได้
- บัตรดิจิทัลอาจมีความเสี่ยงในการฉ้อโกงน้อยกว่าบัตรจริง โดยสามารถสร้างได้สําหรับธุรกรรมหรือผู้ให้บริการรายเดียว ซึ่งจะช่วยจํากัดการใช้งานในกรณีที่ข้อมูลของบัตรถูกละเมิด
- บัตรดิจิทัลอํานวยความสะดวกให้กับการทําบัญชีของคุณได้ โดยคุณจะสามารถกำหนดหมายเลขดิจิทัลเฉพาะให้กับโครงการหรือแผนกหนึ่งๆ เพื่อให้ขั้นตอนการอนุมัติภายในง่ายขึ้น ร่นเวลากระทบยอดให้เหลือน้อยที่สุด และให้รายละเอียดการใช้จ่ายที่เป็นระเบียบ
คุณจะขอรับหมายเลขบัตรดิจิทัลได้อย่างไร
หากต้องการรับหมายเลขบัตรดิจิทัล คุณจะต้องมีบัญชีธนาคารกับธนาคารที่ออกบัตรหรือแพลตฟอร์มฟินเทค สถาบันต่างๆ มีข้อกําหนดที่แตกต่างกัน และบางแห่งอาจขอเอกสารเกี่ยวกับนิติบุคคลของคุณหรือปริมาณธุรกรรมโดยประมาณ
เมื่อตั้งค่าบัญชีบัญชีธนาคารแล้ว คุณจะต้องส่งคําขอบริการบัตรดิจิทัล ธนาคารหลายแห่งมีส่วนคําขอหมายเลขบัตรดิจิทัลอยู่บนเว็บไซต์หรือแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ บางแห่งจะขอให้คุณโทรหาตัวแทนและมีบางส่วนที่ให้คุณจัดการทุกอย่างผ่านทางแดชบอร์ดออนไลน์
เมื่อคุณได้รับอนุมัติ ผู้ให้บริการจะสร้างหมายเลขบัตรดิจิทัลให้คุณทันที โดยปกติแล้ว คุณจะเห็นหมายเลข 16 หลัก วันหมดอายุ และค่าการยืนยันบัตร (CVV) หรือรหัสความปลอดภัย เมื่อคุณตั้งค่าบัตรดิจิทัล คุณสามารถตั้งค่าพารามิเตอร์การใช้งาน เช่น หมวดหมู่การใช้จ่าย วงเงิน และกรอบวันหมดอายุ หากต้องการใช้บัตรเหล่านี้ โปรดคัดลอกและวางรายละเอียดในแบบฟอร์มชำระเงิน พอร์ทัลการชําระเงินของผู้ให้บริการ หรือที่อื่นๆ ที่คุณจะใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
แพลตฟอร์มใดบ้างที่ออกหมายเลขบัตรดิจิทัล
ธนาคารแบบดั้งเดิม ธนาคารแบบออนไลน์เท่านั้น และบริษัทฟินเทคบางแห่งต่างก็มีตัวเลือกบัตรดิจิทัล ต่อไปนี้คือผู้ให้บริการบัตรดิจิทัลประเภทต่างๆ และสิ่งที่พวกเขานําเสนอ
- ธนาคารขนาดใหญ่: ธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งได้เริ่มเพิ่มฟีเจอร์ "บัตรดิจิทัล" ไปยังเว็บไซต์หรือแอปของตน ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้อาจถูกซ่อนไว้ในการตั้งค่าบัตรขั้นสูง
- ธนาคารออนไลน์เท่านั้น: ธนาคารที่เน้นระบบดิจิทัลมีแนวโน้มที่จะมีตัวเลือกบัตรดิจิทัลมากกว่า เนื่องจากเป็นธนาคารที่เน้นการทำธุรกรรมธนาคารผ่านแอปอยู่แล้ว
- Stripe: Stripe Issuing ช่วยให้คุณสร้างและจัดการบัตรดิจิทัลจํานวนมากได้ด้วยการควบคุมอย่างละเอียด หากทีมของคุณดําเนินงานทั่วโลกหรือทํางานร่วมกับผู้ทํางานอิสระจํานวนมาก นี่เป็นวิธีที่ดีในการรวมการใช้จ่ายไว้ในที่เดียว
- แอปฟินเทค: แอปฟินเทคบางแอปเป็นพาร์ทเนอร์กับธนาคารเพื่อเสนอบัตรดิจิทัลที่ปรับแต่งตามฐานผู้ใช้ของตน
เมื่อคุณค้นหาผู้ให้บริการ ให้คิดถึงวิธีที่คุณจะใช้บัตรเหล่านี้ ถามตัวเองว่าคุณจําเป็นต้องสร้างบัตรสําหรับการชําระเงินตามรอบบิลรายเดือนหรือไม่ คุณให้สิทธิ์แก่พนักงานในการใช้จ่ายรายวันหรือไม่ คุณคาดการณ์ว่าจะมียอดใช้จ่ายเท่าใด คําตอบสําหรับคําถามเหล่านี้จะเป็นแนวทางในการค้นหาผู้ให้บริการ
บัตรดิจิทัลทํางานอย่างไรในการทําธุรกรรมทางธุรกิจ
จากมุมมองของผู้ใช้ การใช้หมายเลขบัตรดิจิทัลไม่แตกต่างจากการพิมพ์หมายเลขบัตรปกติ คุณก็แค่ป้อนหมายเลขของบัตรดิจิทัลระหว่างการซื้อทางออนไลน์ และขั้นตอนการชําระเงินจะดําเนินไปตามปกติ
จากมุมมองของผู้จัดการบัตร หมายเลขบัตรดิจิทัลช่วยให้สามารถควบคุมได้มากขึ้นว่าบัตรจะถูกนำไปใช้อย่างไร ที่ไหน และบ่อยแค่ไหน ลองนึกภาพว่าหน่วยงานต้องการออกบัตรบริษัทให้กับนักออกแบบและนักพัฒนาเพื่อซื้อใบอนุญาตซอฟต์แวร์ จ่ายค่ารูปภาพ หรือใช้จ่ายในแคมเปญการตลาด แทนที่จะให้สิทธิ์แก่สมาชิกแต่ละคนในการเข้าถึงบัตรธุรกิจหลักของบริษัท (ซึ่งสร้างความเสี่ยงและสร้างปัญหามากขึ้นหากบัตรสูญหายหรือถูกบุกรุก) หน่วยงานก็อาจสร้างบัตรดิจิทัลเฉพาะสําหรับแต่ละบุคคลหรือโครงการแทน ตัวอย่างเช่น
- บัตรที่ 1 อาจมอบให้กับนักพัฒนาหลักสําหรับการสมัครใช้บริการซอฟต์แวร์รายเดือน
- บัตรที่ 2 อาจมอบให้กับนักออกแบบเพื่อซื้อภาพ
- บัตรที่ 3 อาจให้ทีมการตลาดใช้จ่ายสําหรับการทำโฆษณาออนไลน์
ในกรณีนี้ บัตรดิจิทัลแต่ละใบจะมีวงเงินการใช้จ่ายรายวันหรือรายเดือนของตนเอง โดยหน่วยงานสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนว่ามีการเรียกเก็บเงินเท่าใด รวมทั้งสามารถระงับหรือปิดใช้งานบัตรได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนที่เหลือของบัญชี ทั้งนี้ การติดตามประวัติธุรกรรมยังง่ายขึ้นเนื่องจากแต่ละใบมีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง เช่น ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสําหรับรูปถ่ายสต็อกจะเป็นยอดคงเหลือทั้งหมดของบัตรใบที่ 2
ผู้ให้บริการอย่าง Stripe Issuing ช่วยให้คุณสร้างหรือจัดการบัตรเหล่านี้ผ่านระบบต่างๆ ตัวอย่างเช่น ระบบ HR ที่จะสร้างบัตรใหม่สําหรับพนักงานแต่ละคน หรือเครื่องมือการทําบัญชีที่ล็อกบัตรโดยอัตโนมัติหากงบประมาณรายเดือนหมด
ข้อจํากัดของบัตรดิจิทัลมีอะไรบ้าง
บัตรดิจิทัลมีประโยชน์ แต่ไม่ใช่โซลูชันที่ครอบคลุมสําหรับทุกสถานการณ์การชําระเงิน แม้ว่าธุรกิจหลายแห่งยอมรับการชําระเงินแบบไร้สัมผัสสําหรับการซื้อที่จุดขาย แต่ธุรกิจบางแห่งก็ยังคงพึ่งพาการรูดบัตรจริงและไม่ยอมรับบัตรดิจิทัล บางคนต้องการใช้บัตรใบจริง ซึ่งบางครั้งก็สามารถรวมกับบัตรดิจิทัลได้ แพลตฟอร์มบางแห่ง รวมถึง Stripe Issuing สามารถออกบัตรใบจริงและบัตรดิจิทัลด้วยกันได้
นอกเหนือจากข้อจํากัดในการใช้งานและความชอบส่วนบุคคลแล้ว ต่อไปนี้คือข้อจํากัดที่อาจเกิดขึ้นกับบัตรดิจิทัลด้วย
ภาระในการจัดการมากเกินไป
การสร้างบัตรดิจิทัลจํานวนมากเป็นฟีเจอร์ที่สะดวก แต่หากคุณสร้างบัตรจํานวนมากเกินไปโดยไม่ใช้ระบบตั้งชื่อหรือจัดหมวดหมู่ ก็อาจจัดการบัตรได้ยาก ดังนั้น คุณต้องมีแดชบอร์ดหรือขั้นตอนที่ดีในการตรวจสอบ อัปเดต หรือยกเลิกบัตรเหล่านั้น
ค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้น
ผู้ให้บริการบางรายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือค่าธรรมเนียมธุรกรรมสําหรับฟีเจอร์แบบพรีเมียม ซึ่งอาจรวมถึงการสร้างหรือใช้หมายเลขบัตรดิจิทัล ก่อนที่จะทําสัญญา โปรดอ่านฉบับละเอียด โดยตรวจสอบว่าคุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสําหรับแต่ละบัตรแต่ละใบที่สร้างขึ้นหรือไม่ คุณจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการไม่ได้ใช้งานหรือไม่
ข้อกังวลด้านความปลอดภัย
แม้ว่าบัตรดิจิทัลจะมีความปลอดภัยมากกว่าบัตรจริง แต่คุณยังต้องระมัดระวังเกี่ยวกับวิธีแชร์หรือจัดเก็บหมายเลขบัตร เพราะหากหมายเลขเหล่านี้ไปปรากฏในเอกสารที่ไม่ได้รับการปกป้อง บัตรดิจิทัลก็ยังคงเสี่ยงต่อการเกิดข้อมูลรั่วไหวหรือการใช้งานในทางที่ผิดเสมอ โปรดดูแลให้บัญชีหลักของคุณปลอดภัยโดยใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยหรือมาตรการป้องกันอื่นๆ
Stripe Issuing ช่วยให้ธุรกิจใช้บัตรดิจิทัลได้อย่างไร
แม้ว่า Stripe จะเป็นที่รู้จักกันดีในด้านการประมวลผลการชําระเงินออนไลน์ แต่ Stripe Issuing เป็นชุดเครื่องมือแยกต่างหากที่ช่วยให้คุณสร้าง จัดการ และติดตามบัตรจำนวนมาก ทั้งบัตรดิจิทัลและบัตรจริง ซึ่งมอบอำนาจในการซื้อให้กับทีมงานหรือลูกค้าของคุณภายใต้แบรนด์ของคุณเอง โดยอาจมาพร้อมกับข้อดีมากมาย ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มการแชร์การเดินทางอาจออกบัตรดิจิทัลให้แก่ผู้ขับเพื่อจ่ายค่าเชื้อเพลิงหรือค่าบำรุงรักษา บริษัทสามารถกําหนดวงเงินการใช้จ่ายรายสัปดาห์สําหรับบัตรแต่ละใบ หรือจำกัดการใช้งานของพวกเขาเฉพาะในสถานีน้ำมัน และเนื่องจากเป็นบัตรดิจิทัล บัตรเหล่านั้นจะไม่มีวันถูกขโมยหรือสูญหาย
Stripe Issuing มีวิธีการทำงานดังต่อไปนี้
- การสร้างบัตรตามความต้องการ: สร้างบัตรได้ทันทีผ่านแดชบอร์ด Stripe หรือผ่านอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ของ Stripe โดย Stripe สามารถสร้างบัตรทั้งแบบดิจิทัลและบัตรจริงได้ และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับโลโก้และสีของแบรนด์ได้ด้วย
- ปรับแต่งบัตร: กําหนดวงเงินการใช้จ่าย กําหนดหมวดหมู่การใช้จ่ายที่อนุญาต และตัดสินใจว่าคุณต้องการให้บัตรเหล่านี้หมดอายุในวันที่กําหนดหรือยังคงใช้งานได้แบบไม่จํากัด
- การรายงานด้านการเงินโดยละเอียด: ดูว่าใครใช้จ่ายเงิน ใช้จ่ายเงินที่ไหน และใช้จ่ายเท่าใดด้วยการติดตามธุรกรรมแบบเรียลไทม์
- การผสานการทํางานกับระบบที่มีอยู่: รวมการเบิกจ่ายและค่าใช้จ่ายของคุณไว้ในที่เดียวโดยใช้ Stripe เพื่อรับชําระเงินจากลูกค้าและเรียกเก็บเงินด้วยตัวเอง หรือรวม Issuing เข้ากับซอฟต์แวร์ของคุณเองเพื่อการทํางานแบบผสานการทํางาน
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ