หน้าการชำระเงินไม่ใช่แค่จุดทำธุรกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดที่คุณเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้ คุณสามารถคลายความลังเลได้ และเป็นจุดที่สานต่อหรือหยุดการชำระเงินได้เลย เทมเพลตที่เหมาะสมจะช่วยให้ลูกค้าดำเนินขั้นตอนการชำระเงินให้เสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็วและช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาทั่วไปได้ แต่จะเป็นเช่นนั้นก็ต่อเมื่อจัดทำเทมเพลตขึ้นอย่างรอบคอบ
ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายสิ่งที่ทำให้เทมเพลตหน้าการชำระเงินได้ผลดีและสิ่งที่อาจเป็นตัวขัดขวาง
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- เทมเพลตหน้าการชำระเงินคืออะไร
- เทมเพลตหน้าการชำระเงินทุกรายการควรมีองค์ประกอบพื้นฐานอะไรบ้าง
- เหตุใดการออกแบบหน้าการชำระเงินให้ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ
- ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการออกแบบเทมเพลตหน้าการชำระเงินมีอะไรบ้าง
เทมเพลตหน้าการชำระเงินคืออะไร
หน้าการชำระเงินคือหน้าเว็บที่ลูกค้าป้อนรายละเอียดส่วนตัวและรายละเอียดการชำระเงินและยืนยันธุรกรรม ซึ่งก็ไม่ต่างจากเคาน์เตอร์ชำระเงิน เพียงแต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เทมเพลตหน้าการชำระเงินคือเค้าโครงเริ่มต้นเพื่อมอบประสบการณ์นั้น และประกอบด้วยโครงสร้างหลัก ได้แก่ ช่องข้อมูล ปุ่ม และรูปแบบการออกแบบ การใช้เทมเพลตนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องสร้างเทมเพลตใหม่ตั้งแต่ต้นเพื่อรับชำระเงินทางออนไลน์
เทมเพลตอาจมีได้หลายรูปแบบ รวมถึงขั้นตอนการชำระเงินที่โฮสต์หรือบล็อกโค้ดที่คุณวางลงในเว็บไซต์ บางธุรกิจใช้เทมเพลตหน้าการชำระเงินฟรีจากไลบรารีโอเพนซอร์สหรือเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ บางธุรกิจก็ใช้แบบฟอร์มที่โฮสต์แบบสำเร็จรูป เช่น Stripe Checkout ซึ่งให้ความรวดเร็ว การรักษาความปลอดภัย และความพร้อมใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด เป้าหมายก็เหมือนกัน นั่นคือ ลดเวลาในการตั้งค่าและตรวจสอบว่าหน้าเว็บของคุณมีองค์ประกอบที่สำคัญ
เทมเพลตหน้าการชำระเงินทุกรายการควรมีองค์ประกอบพื้นฐานอะไรบ้าง
เทมเพลตที่มีประสิทธิภาพจะอยู่กึ่งกลางระหว่างความเรียบง่ายกับความจำเป็น ต่อไปนี้คือองค์ประกอบที่เทมเพลตควรมีอยู่เสมอ และเหตุผลเกี่ยวกับความสำคัญของแต่ละส่วน
ข้อมูลสรุปการสั่งซื้อที่โปร่งใส
ข้อมูลสรุปการสั่งซื้อเปรียบเสมือนตัวอย่างใบเสร็จ ซึ่งช่วยให้ลูกค้ามั่นใจว่าทุกอย่างตรงตามความคาดหวังของตน และป้องกันการโต้แย้งเกี่ยวกับรายการที่สั่งซื้อได้ ก่อนที่ลูกค้าจะยืนยันเพื่อชำระเงิน ก็จำเป็นต้องตรวจสอบว่าตนจ่ายเงินเป็นค่าอะไรบ้าง โดยเทมเพลตประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
- ชื่อและปริมาณสินค้า
- การตั้งราคา (รวมภาษี ค่าธรรมเนียม หรือค่าจัดส่ง)
- ยอดรวมสุดท้ายที่ปรากฏให้เห็น
ช่องป้อนข้อมูลที่กระชับและมีจุดมุ่งหมาย
ทำให้เรียบง่ายที่สุด ทุกครั้งที่มีช่องข้อมูลเพิ่มขึ้นมาให้ลูกค้ากรอกก็อาจเป็นเหตุผลให้ลูกค้าหยุดชำระเงินกลางคันได้ หากคุณกำลังเก็บข้อมูลที่ไม่ได้มีแผนจะใช้ในทันที ให้เก็บไว้ทำในภายหลัง หน้าส่วนใหญ่ประกอบด้วยข้อมูลดังนี้
- ชื่อและที่อยู่ในการเรียกเก็บเงิน
- รายละเอียดบัตรหรือวิธีการชำระเงิน
- ข้อมูลการจัดส่ง (หากเกี่ยวข้อง)
ตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย
ลูกค้าย่อมไม่ได้อยากจะชำระเงินด้วยวิธีเดียวกันทุกคน เทมเพลตของคุณจึงควรมีทางเลือกอีกอย่างน้อยหนึ่งทางนอกเหนือจากการชำระเงินด้วยบัตร เช่น
- กระเป๋าเงินดิจิทัล
- การโอนเงินผ่านธนาคาร
- ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง (BNPL)
- วิธีการชำระเงินในท้องถิ่นตามภูมิภาค (เช่น FPX ในมาเลเซีย, Boleto Bancário ในบราซิล)
ปุ่มชำระเงินที่มองเห็นได้ชัดเจน
ปุ่มนี้เป็นการดำเนินการหลักบนหน้า จึงควรมีลักษณะดังนี้
- ใช้ภาษาเฉพาะ (เช่น "ชำระเงินจำนวน 43.20 ดอลลาร์")
- ใช้สี การเว้นระยะห่าง และความหนาของแบบอักษรให้เกิดความโดดเด่น
- แสดงในจุดที่ลูกค้าคิดว่าจะพบปุ่มนี้ ซึ่งมักจะอยู่ด้านล่าง
ตัวบ่งชี้ความน่าเชื่อถือ
ลูกค้าอาจลังเลเมื่อหน้าการชำระเงินดูไม่คุ้นเคยหรือไม่ปลอดภัย สัญญาณบ่งชี้ความน่าเชื่อถือเล็กๆ น้อยๆ เช่น ป้าย Secure Sockets Layer (SSL) และ Transport Layer Security (TLS) โลโก้เครือข่ายบัตร และสำเนาการรับประกันความปลอดภัยสั้นๆ (เช่น “การชำระเงินของคุณได้รับการเข้ารหัสและปลอดภัย”) อาจมีประสิทธิภาพมากในหน้านี้ องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยตอกย้ำว่าลูกค้าสามารถป้อนข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้อย่างปลอดภัยและเชื่อถือได้ในหน้านี้ ซึ่งสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ซื้อครั้งแรกได้เป็นอย่างดี
การตรวจสอบข้อผิดพลาดและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์
การจัดการข้อผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX) การชำระเงินล้มเหลว มักเกิดจากความผิดพลาดในการป้อนข้อมูลผู้ใช้ เช่น การพิมพ์ผิด ตัวเลขขาดหายไป หรือบัตรหมดอายุ เทมเพลตจำเป็นต้องมีสิ่งต่อไปนี้
- การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ (แทนที่จะเป็น "ส่งและล้มเหลว")
- ข้อความแสดงข้อผิดพลาดแบบอินไลน์ ที่อยู่ถัดจากหรือภายในช่องข้อมูลเกี่ยวกับปัญหา
- คำแนะนำที่โปร่งใสเกี่ยวกับวิธีแก้ไขปัญหา
ช่องข้อมูลเสริมสำหรับรหัสโปรโมชันหรือส่วนลด
หากธุรกิจของคุณรองรับส่วนลด คุณจำเป็นต้องใส่ช่องข้อมูลให้ลูกค้าใช้ส่วนลดได้ แต่ช่องข้อมูลสำหรับรหัสโปรโมชันหรือส่วนลดของคุณไม่ควรเป็นจุดเด่นในเค้าโครงของหน้านี้ หรือทำให้ลูกค้าต้องเสียเวลาไปกับการหาตำแหน่งในการใช้รหัส
เป้าหมายคือการรองรับส่วนลดโดยไม่ทำให้ลูกค้าเสียสมาธิ ให้ออกแบบช่องข้อมูลสำหรับรหัสโปรโมชันให้ไม่บดบังส่วนอื่นๆ แต่ต้องเข้าถึงได้ ยุบได้หากไม่ค่อยได้ใช้ และมีป้ายกำกับอย่างชัดเจน
ตัวบ่งชี้ความคืบหน้า (สำหรับการชำระเงินหลายขั้นตอน)
หากการชำระเงินของคุณแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน เช่น การจัดส่ง > การชำระเงิน > การตรวจสอบ ให้ลูกค้ามองเห็นโครงสร้างนั้นอย่างชัดเจน ใช้แถบความคืบหน้า ขั้นตอนที่มีหมายเลขกำกับ และหัวข้อของหน้าซึ่งบ่งชี้ถึงขั้นตอนปัจจุบัน การจัดระเบียบเช่นนี้จะช่วยจัดการกับความคาดหวังและลดการหยุดชำระเงินจากลูกค้าที่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ดำเนินการไปถึงขั้นตอนใดแล้ว
ลิงก์ไปยังนโยบายที่สำคัญ
ลูกค้าไม่ได้คลิกดูข้อกำหนดต่างๆ เสมอไป แต่นโยบายของคุณก็ควรจะค้นหาได้ง่ายอยู่ดี แม้ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง แต่การแสดงเอาไว้ให้เห็นก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้ เทมเพลตของคุณควรมีลิงก์ไปยังนโยบายความเป็นส่วนตัว ข้อกำหนดในการคืนสินค้าและการคืนเงิน และข้อกำหนดการให้บริการเอาไว้ในจุดที่ไม่เด่นชัด (วางไว้ที่ส่วนท้าย) นโยบายเหล่านี้ควรใช้ถ้อยคำที่เชื่อมโยงข้อตกลงกับการชำระเงิน (“การชำระเงินแสดงว่าคุณตกลง...”) เป็นอย่างดี
เส้นทางการติดต่อเพื่อขอรับการสนับสนุน
หากลูกค้ารู้สึกติดขัดและไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้หลังเกิดข้อผิดพลาด คุณก็เสี่ยงที่จะสูญเสียการชำระเงินทั้งหมดไป หน้าการชำระเงินของคุณควรมีช่องทางขอความช่วยเหลือ ได้แก่ บรรทัดที่มีข้อความแจ้งอีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์ในการสนับสนุน และตัวเลือกในการแชทสด (หากเป็นไปได้) และไม่ว่าคุณจะเลือกแบบใด ก็ควรวางไว้ใกล้ด้านล่างหรือในส่วนท้าย
ความสอดคล้องกับแบรนด์
การออกแบบที่ไม่สอดคล้องกันอาจส่งผลให้การเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว หากหน้าการชำระเงินดูเหมือนไม่ได้มาจากแบรนด์ของคุณ ลูกค้าอาจลังเลหรือหยุดดำเนินการโดยสิ้นเชิง ต่อให้คุณใช้หน้าการชำระเงินของบุคคลที่สามหรือแบบโฮสต์ อย่าลืมปรับแต่งหน้าการชำระเงินให้มากที่สุดให้สอดคล้องกับ UX ของคุณ
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเทมเพลตของคุณอนุญาตให้ทำดังนี้
- การจัดวางโลโก้
- การจับคู่สี แบบอักษร และฟอนต์
- การใช้ถ้อยคำที่คุ้นเคย
เหตุใดการออกแบบหน้าการชำระเงินให้ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ
หน้าการชำระเงินที่ออกแบบมาอย่างดีอาจส่งผลโดยตรงว่าลูกค้าจะดำเนินการซื้อจนเสร็จสิ้น มั่นใจในแบรนด์ของคุณ และกลับมาใช้บริการอีกครั้งหรือไม่ เหตุผลที่ทำให้การออกแบบมีความสำคัญมากมีดังนี้
มีผลต่ออัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน
ขั้นตอนการชำระเงินที่ซับซ้อนเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ของการละทิ้งรถเข็น หากหน้าการชำระเงินของคุณชวนให้สับสน ช้า หรือขอข้อมูลมากเกินไป ลูกค้าก็อาจหยุดชำระเงินได้
การออกแบบที่ดีจะขจัดความยุ่งยากบนหน้าด้วยวิธีดังนี้
- โหลดอย่างรวดเร็วและดูเป็นระเบียบ
- กำหนดให้มีเพียงองค์ประกอบที่สำคัญเท่านั้น
- ช่วยให้ลูกค้ามองเห็นและแก้ไขข้อผิดพลาดได้โดยไม่ต้องคาดเดา
- การแสดงวิธีการชำระเงินที่คุ้นเคยในเวลาที่เหมาะสม
กำหนดประสบการณ์ของลูกค้าทั้งหมด
ขั้นตอนการชำระเงินคือความประทับใจสุดท้ายที่ลูกค้ามีต่อสินค้าของคุณ และอาจคงอยู่ไปอีกนาน หากการชำระเงินมีความรวดเร็ว ง่ายดาย และเข้าใจง่าย ลูกค้าก็จะจากไปพร้อมความมั่นใจ แต่หากเป็นขั้นตอนที่ชวนหงุดหงิดหรือไม่ชัดเจน แม้แต่ลูกค้าประจำก็อาจลังเลได้
การออกแบบการชำระเงินที่ดีอาจนำมาซึ่งสิ่งต่อไปนี้
- รถเข็นที่ถูกละทิ้งน้อยลง
- รีวิวและการแนะนำในเชิงบวกมากขึ้น
- มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้าที่สูงขึ้น
ช่วยประหยัดเวลาของทีมในการจัดการการสนับสนุน
เมื่อออกแบบการชำระเงินไม่ดี ทีมสนับสนุนก็ย่อมรู้สึกได้ เค้าโครงที่ชวนสับสน ข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่คลุมเครือ และช่องข้อมูลในแบบฟอร์มที่น่าสับสนมักทำให้ลูกค้าขอความช่วยเหลือมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน การออกแบบที่รอบคอบสามารถช่วยป้องกันการป้อนข้อมูลผิดพลาด ความสับสนในเรื่องต้นทุนรวม ส่วนลด หรือการจัดส่ง และการชำระเงินไม่สำเร็จหลายครั้งจากลูกค้ารายเดียวกัน
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการออกแบบเทมเพลตหน้าการชำระเงินมีอะไรบ้าง
การออกแบบหน้าการชำระเงินอาจดูเหมือนไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ความผิดพลาดบางอย่างก็อาจทำให้แม้แต่ทีมที่มากประสบการณ์ต้องหยุดชะงักได้ นี่คือวิธีหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านั้น
ขอข้อมูลมากเกินไปและเร็วเกินไป
แบบฟอร์มที่ยาวยืดหรือยากเกินไปย่อมส่งผลให้สูญเสียลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทุกช่องข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมาอาจทำให้ลูกค้าหยุดดำเนินการได้ทั้งสิ้น
- ขอเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นจริงๆ ในการประมวลผลการชำระเงิน
- ข้ามการเก็บข้อมูลที่คุณไม่ได้มีแผนว่าจะใช้ในทันที
- หลีกเลี่ยงการบังคับให้สร้างบัญชีก่อนการชำระเงิน ลูกค้าหลายรายอาจอยากซื้อสินค้าในฐานะผู้ใช้ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบ
Stripe Checkout มาพร้อมค่าเริ่มต้นสำหรับช่องข้อมูลแบบอัจฉริยะและฟีเจอร์เสริมต่างๆ เช่น Link ซึ่งเป็นการชำระเงินด่วนของ Stripe เพื่อให้ลูกค้าชำระเงินครั้งต่อไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ค่าใช้จ่ายแอบแฝงจนถึงวินาทีสุดท้าย
หากมีการเรียกเก็บค่าจัดส่ง ค่าบริการ หรือภาษีในช่วงท้ายของการชำระเงินโดยที่ลูกค้าไม่ได้คาดการณ์ไว้ ก็อาจทำให้ลูกค้าสูญเสียความมั่นใจได้ ให้แสดงค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ และมีความโปร่งใส
- แสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างชัดเจนในสรุปคำสั่งซื้อ
- อัปเดตยอดรวมแบบเรียลไทม์ไปตามการเลือกของลูกค้า
- หลีกเลี่ยงการใช้คำที่คลุมเครือ เช่น “อาจมีค่าธรรมเนียม”
การมีวิธีการชำระเงินให้ใช้ไม่กี่วิธี
การเปิดให้ใช้ได้เพียงบัตรเครดิตและบัตรเดบิตอาจส่งผลให้เสียลูกค้าที่จะชำระเงินด้วยวิธีอื่นได้ Stripe Checkout และ Stripe Elements จะแสดงตัวเลือกการชำระเงินที่เกี่ยวข้องที่สุดโดยอัตโนมัติโดยใช้โมเดล AI
การมอบประสบการณ์การใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ไม่ดี
ในยุคนี้ การชอปปิงออนไลน์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟน ด้วยเหตุนี้ หน้าการชำระเงินที่ดูดีบนเดสก์ท็อป แต่กลับใช้งานได้ไม่ดีกับอุปกรณ์เคลื่อนที่จึงเป็นความผิดพลาดที่ทำให้สูญเสียรายได้เป็นอย่างมาก ให้ใช้เทมเพลตที่ปรับเปลี่ยนไปตามอุปกรณ์ตั้งแต่แรก และทดสอบกับอุปกรณ์จริงหลายๆ อย่าง การออกแบบที่พร้อมใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ของ Stripe สามารถช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ได้โดยอัตโนมัติ แต่คุณก็ควรตรวจสอบขั้นตอนทั้งหมดจากโทรศัพท์อยู่ดี
เมื่อออกแบบหน้าการชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ให้หลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ เช่น
- จุดโต้ตอบที่มีขนาดเล็กมาก
- ช่องข้อมูลไม่ตรงแนวหรือทับซ้อนกัน
- แบบฟอร์มที่เลื่อนไม่ถูกต้องบนหน้าจอขนาดเล็ก
นำเสนอการออกแบบที่ไม่มีแบรนด์หรือแบบทั่วไป
เมื่อหน้าการชำระเงินตัดขาดจากส่วนที่เหลือของเว็บไซต์ ลูกค้าก็อาจตั้งคำถามว่าหน้าดังกล่าวปลอดภัยหรือไม่ คุณสามารถปรับแต่งหน้าการชำระเงินที่โฮสต์กับ Stripe ให้เข้ากับเนื้อหาของแบรนด์ได้ ดังนั้น แม้ว่าคุณจะไม่ได้สร้างทุกอย่างขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่ประสบการณ์ของลูกค้าก็ยังเชื่อมโยงกับธุรกิจของคุณอยู่
เพิ่มองค์ประกอบที่เบี่ยงเบนความสนใจจากขั้นตอนสุดท้าย
การชำระเงินไม่ใช่เวลาสำหรับการขายต่อยอด ป๊อปอัปที่ปรากฏเมื่อลูกค้าจะออกจากหน้า หรือเมนูการนำทางอย่างเต็มรูปแบบที่ส่งผลให้ลูกค้าหยุดการชำระเงิน หน้าที่ดูเรียบง่ายจะสร้างผู้ใช้แบบชำระเงินได้ดีกว่า การอัปเดตของคุณควรมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้จดจ่ออยู่กับธุรกรรมตรงหน้า ตัวอย่างเช่น คุณอาจลบคำกระตุ้นให้ดำเนินการที่มีจุดมุ่งหมายขัดกัน (เช่น “ซื้อสินค้าต่อ”) ลบแบนเนอร์หรือแถบด้านข้างที่ไม่เกี่ยวข้อง และอื่นๆ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ