วิธีผสานการทํางานกลไกการชําระเงินกับระบบการเงินที่มีอยู่

Connect
Connect

แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก รวมทั้ง Shopify และ DoorDash ต่างก็ใช้ Stripe Connect ในการผสานรวมการชำระเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. กลไกการชําระเงินคืออะไรและทํางานอย่างไร
  3. ประโยชน์ของกลไกการชําระเงิน
  4. ความท้าทายในการเพิ่มกลไกการชําระเงินในระบบการเงินที่มีอยู่
  5. วิธีเลือกกลไกการชําระเงินที่เหมาะสม
    1. ประเมินความต้องการทางธุรกิจของคุณ
    2. ประเมินตัวเลือกกลไกการชําระเงิน
  6. การเตรียมพร้อมสําหรับการผสานการทํางาน
    1. การวางแผนโครงการ
    2. การรวมทีม
    3. การสํารองข้อมูลระบบ
    4. การฝึกอบรม
    5. การสื่อสาร
  7. กระบวนการการผสานการทํางานเป็นอย่างไร
    1. การผสานการทํางาน API
    2. การย้ายข้อมูล
    3. การกําหนดค่า
    4. การทดสอบ
    5. การปรับใช้
  8. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับหลังการผสานการทํางาน
    1. การตรวจสอบประสิทธิภาพ
    2. การตรวจสอบความปลอดภัย
    3. วงจรข้อเสนอแนะ
    4. การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
    5. การอัปเดตเป็นประจำ

กลไกการชําระเงินเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สําหรับสภาพแวดล้อมทางการเงินสมัยใหม่ ที่อํานวยความสะดวกในการโอนเงินทั้งสําหรับธุรกรรมการซื้อของลูกค้าและธุรกรรมจากธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) เนื่องจากปริมาณการชําระเงินแบบไร้เงินสดทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ล้านล้านธุรกรรมจนเกือบ 1.9 ล้านล้านธุรกรรมในช่วงปี 2020 ถึง 2025 ความต้องการด้านกลไกการชําระเงินที่น่าเชื่อถือจะยิ่งเพิ่มขึ้น

คู่มือนี้จะอธิบายถึงวิธีการทํางานของเครื่องมือการชําระเงิน ข้อดี และความท้าทาย รวมถึงวิธีผสานการทํางานเครื่องมือการชําระเงินกับระบบการเงินที่มีอยู่

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • กลไกการชําระเงินคืออะไรและทํางานอย่างไร
  • ประโยชน์ของกลไกการชําระเงิน
  • ความท้าทายที่มาพร้อมกับการเพิ่มกลไกการชําระเงินลงในระบบการเงินปัจจุบัน
  • วิธีเลือกกลไกการชําระเงินที่เหมาะสม
  • เตรียมความพร้อมสําหรับการผสานการทํางาน
  • ขั้นตอนการผสานการทํางานเป็นอย่างไร
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับขั้นตอนหลังการผสานการทํางาน

กลไกการชําระเงินคืออะไรและทํางานอย่างไร

กลไกการชําระเงินคือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อประมวลผลธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งเป็นกลไกส่วนกลางที่ธุรกิจใช้จัดการการชําระเงิน ไม่ว่าจะเป็นการรับหรือเบิกจ่ายเงินก็ตาม กลไกการชำระเงินช่วยดำเนินการในด้านต่อไปนี้:

  • การประมวลผลธุรกรรม: กลไกการชําระเงินสามารถจัดการธุรกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การซื้อที่ตรงไปตรงมาไปจนถึงการดำเนินการทางการเงินที่ซับซ้อนและประกอบด้วยหลายฝ่าย กลไกจะเริ่มต้น อนุมัติ และชําระเงินให้เสร็จสิ้น ซึ่งรวมถึงขั้นตอนต่างๆ เช่น การยืนยันข้อมูลการชําระเงิน การตรวจสอบจำนวนเงินที่ใช้ได้ และการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยรองรับวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย (เช่น บัตรเครดิต การโอนเงินผ่านธนาคาร กระเป๋าเงินดิจิทัล) และปรับตามเทคโนโลยีการชําระเงินต่างๆ

  • ฟังก์ชันการผสานการทํางาน: กลไกการชําระเงินสามารถผสานการทํางานกับระบบการเงินและธุรกิจอื่นๆ ได้ ซึ่งรวมถึทุกสิ่งตั้งแต่ซอฟต์แวร์การทําบัญชีไปจนถึงระบบจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM)

  • การรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด: ความปลอดภัยคือสิ่งที่มีความสําคัญสูงสุดสําหรับกลไกการชําระเงิน กลไกเหล่านี้ใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสและการปฏิบัติตามข้อกําหนดขั้นสูงเพื่อปกป้องข้อมูลและรายละเอียดธุรกรรมที่ละเอียดอ่อนจากการฉ้อโกงและการละเมิด

ประโยชน์ของกลไกการชําระเงิน

กลไกการชําระเงินมอบสิทธิประโยชน์มากมายให้แก่ธุรกิจต่างๆ ซึ่งสามารถปรับปรุงกระบวนการภายใน ประสบการณ์ของลูกค้า และมาตรการรักษาความปลอดภัยต่างๆ

  • ความเร็วและความถูกต้อง: กลไกการชําระเงินทําให้กระบวนการทําธุรกรรมเป็นอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยลดการดำเนินการด้วยตนเองและลดข้อผิดพลาดได้ ธุรกิจสามารถทําธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้นและลดค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน

  • การรักษาความปลอดภัย: กลไกการชําระเงินมีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยแบบในตัวที่ช่วยปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและธุรกรรมจากการฉ้อโกง ฟีเจอร์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ รักษาไว้ซึ่งความไว้วางใจของลูกค้าและการปฏิบัติตามมาตรฐานข้อบังคับ

  • ความพึงพอใจของลูกค้า: กลไกการชําระเงินให้บริการประมวลผลการชําระเงินที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ และรองรับตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลาย ซึ่งช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าโดยรวม

  • การปรับขนาด: กลไกการชําระเงินสามารถจัดการปริมาณธุรกรรมที่สูงขึ้นเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นได้โดยไม่มีอุปสรรคในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานหรือความปลอดภัย

  • ธุรกรรมข้ามพรมแดน: กลไกการชําระเงินสามารถประมวลผลได้หลากหลายสกุลเงินและรักษาความสอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับระหว่างประเทศที่แตกต่างกัน ธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงตลาดต่างประเทศสามารถทำธุรกรรมข้ามพรมแดนได้อย่างง่ายดาย

  • การผสานการทํางาน: กลไกการชําระเงินสามารถผสานการทํางานกับระบบธุรกิจอื่นๆ ได้ เช่น การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) จัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) และซอฟต์แวร์การทําบัญชี ซึ่งช่วยให้ข้อมูลสอดคล้องกันในทุกแพลตฟอร์ม ปรับปรุงการกํากับดูแลทางการเงิน และสนับสนุนการตัดสินใจที่ดีขึ้น

  • ค่าใช้จ่าย: การเปลี่ยนขั้นตอนการชําระเงินเป็นอัตโนมัติและลดความพึ่งพากระบวนการที่ต้องทําด้วยตัวเองและโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารแบบเดิม ทําให้กลไกการชําระเงินสามารถช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ลดค่าใช้จ่ายได้ เมื่อใช้กลไกการชําระเงิน ธุรกิจอาจลดค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมธุรกรรมให้ต่ำกว่าการใช้วิธีการชําระเงินแบบเดิม

ความท้าทายในการเพิ่มกลไกการชําระเงินในระบบการเงินที่มีอยู่

ต่อไปนี้คือความท้าทายบางข้อที่เกี่ยวข้องกับการผสานการทำงานกลไกการชําระเงินเข้ากับระบบการเงินที่มีอยู่

  • ความเข้ากันได้: การสร้างความเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ของธุรกิจกับกลไกการชําระเงินแบบใหม่อาจต้องใช้การเขียนโค้ดแบบกําหนดเอง การทดสอบที่ครอบคลุม หรือแม้แต่การอัปเกรดไปใช้ระบบในปัจจุบัน ซึ่งอาจใช้เวลานานและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย

  • การย้ายข้อมูล: การย้ายข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนจากระบบเดิมไปใช้กลไกแบบใหม่จะเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูล การหยุดชะงัก หรือการรั่วไหล กระบวนการนี้ต้องใช้การวางแผนที่พิถีพิถัน การทดสอบในขอบเขตที่กว้าง และมีกลยุทธ์การสํารองข้อมูลที่รอบคอบเพื่อลดความเสี่ยง

  • การรักษาความปลอดภัย: การประมวลผลการชําระเงินเกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้า และการผสานการทํางานกับกลไกใหม่อาจทําให้เกิดช่องโหว่ ธุรกิจต่างๆ ต้องดําเนินการประเมินความปลอดภัยอย่างละเอียด ใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสที่รัดกุม และปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนด: เมื่อผสานการทํางานกับกลไกใหม่ ธุรกิจต่างๆ จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับข้อควรพิจารณาทางกฎหมายและทางเทคนิคที่ซับซ้อน

  • การหยุดชะงักในการปฏิบัติงาน: ในระหว่างขั้นตอนการผสานการทํางาน ธุรกิจอาจต้องเผชิญกับการหยุดชะงักในการดําเนินงานทั่วไปชั่วคราว ซึ่งรวมถึงระยะเวลาหยุดทํางาน ข้อบกพร่อง หรือความล่าช้าในการประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งอาจสร้างความติดขัดให้กับลูกค้าและส่งผลกระทบต่อรายรับ

  • ค่าใช้จ่าย: การผสานการทํางานกับกลไกการชําระเงินต้องมีการลงทุนทางการเงินในซอฟต์แวร์เอง การอัปเกรดฮาร์ดแวร์ที่อาจต้องใช้ ความเชี่ยวชาญของนักพัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย และผู้จัดการโครงการ

วิธีเลือกกลไกการชําระเงินที่เหมาะสม

กลไกการชําระเงินแต่ละตัวมีชุดฟีเจอร์ ฟังก์ชันการทำงาน และค่าใช้จ่ายเป็นของตัวเอง เมื่อเลือกว่าประเภทใดเหมาะกับธุรกิจของคุณ คุณจะต้องประเมินทั้งความต้องการทางธุรกิจและตัวเลือกทั้งหมดที่มี ต่อไปนี้คือคําแนะนําแบบทีละขั้นตอน

ประเมินความต้องการทางธุรกิจของคุณ

ประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่คุณมีอยู่ก่อนทําการเปลี่ยนแปลง อันดับแรก โปรดระบุความท้าทายของระบบการชําระเงินปัจจุบันของคุณ ซึ่งอาจประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • เวลาประมวลผลช้า: ระยะเวลาธุรกรรมที่ล่าช้าอาจทําให้เกิดการละทิ้งตะกร้าสินค้าและความไม่พึงพอใจของลูกค้า

  • ค่าธรรมเนียมธุรกรรมสูง: ค่าธรรมเนียมผู้ให้บริการชำระเงินที่สูงเกินควรอาจลดผลกำไรของคุณและทำให้ธุรกิจของคุณมีการแข่งขันน้อยลง

  • ตัวเลือกการชําระเงินที่จํากัด: วิธีชำระเงินที่มีจำกัดอาจทำให้คุณสูญเสียยอดขายได้

  • ข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องที่พบบ่อย: ปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือความล้มเหลวในการชำระเงินอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของคุณและทำลายความไว้วางใจของลูกค้า

  • ไม่มีข้อมูลเชิงลึก: หากไม่มีการวิเคราะห์โดยละเอียด คุณจะระบุแนวโน้ม ปรับค่าบริการ หรือข้อเสนอเฉพาะบุคคลได้ยาก

เมื่อคุณระบุความท้าทายของคุณได้แล้ว ให้กำหนดเป้าหมายของคุณ โดยอาจประกอบด้วยข้อมูลต่อไปนี้

  • การขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ: กลไกการชำระเงินที่รองรับหลายสกุลเงินและวิธีการชำระเงินที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่สามารถเปิดโอกาสใหม่ๆ เพื่อการขยายตัวในระดับนานาชาติได้

  • ประสบการณ์ที่ดีขึ้นของลูกค้า: กลไกการชําระเงินที่มีฟีเจอร์อย่างการชําระเงินในคลิกเดียว และขั้นตอนการชําระเงินของผู้ใช้ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบบัญชีจะสร้างกระบวนการชําระเงินที่ราบรื่นและสะดวกสบายมากขึ้น

  • ค่าใช้จ่ายที่ลดลง: กลไกการชําระเงินที่มีการทำงานอัตโนมัติและค่าบริการที่แข่งขันได้จะช่วยให้คุณประหยัดเงิน

  • การรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น: กลไกการชําระเงินที่มีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งจะช่วยปกป้องธุรกิจของคุณและข้อมูลของลูกค้าจากการฉ้อโกงและการละเมิดข้อมูล

  • ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม: กลไกการชําระเงินที่มีการวิเคราะห์ขั้นสูงจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจของคุณ

ถัดไป มาดูประวัติธุรกรรมเพื่อทําความเข้าใจความต้องการด้านการชําระเงินของคุณ ประเมินปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ปริมาณธุรกรรม: คุณประมวลผลธุรกรรมเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนเป็นจํานวนเท่าใด เลือกกลไกที่สามารถจัดการโหลดธุรกรรมในปัจจุบันและที่คาดการณ์ได้

  • มูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย: ยอดโดยเฉลี่ยต่อธุรกรรมคิดเป็นจํานวนเท่าไหร่ ซึ่งจำนวนนี้อาจส่งผลต่อโครงสร้างค่าบริการที่คุณเลือก

  • วิธีการชําระเงินที่ต้องการ: ลูกค้าของคุณใช้วิธีการชําระเงินใดบ่อยมากที่สุด

  • อัตราการดึงเงินคืน: คุณมีการดึงเงินคืนหรือการโต้แย้งการชําระเงินในระดับสูงหรือไม่ สิ่งนี้อาจบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการป้องกันการฉ้อโกงที่ดีขึ้น

ประเมินตัวเลือกกลไกการชําระเงิน

เมื่อคุณระบุเป้าหมายและฟีเจอร์ที่จําเป็นแล้ว ต่อไปนี้คือวิธีประเมินตัวเลือกที่พร้อมใช้งาน

ฟีเจอร์ที่พร้อมใช้งาน

  • วิธีการชําระเงิน: โปรดพิจารณากลไกที่รองรับวิธีการชําระเงินที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ (เช่น บัตรเครดิต กระเป๋าเงินดิจิทัล และการโอนเงินผ่านธนาคาร)

  • การเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า: หากคุณมีบริการการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าหรือการชําระเงินปกติ ให้หากลไกที่มีฟังก์ชันการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าเพื่อทําให้กระบวนการนี้เป็นอัตโนมัติ

  • การป้องกันการฉ้อโกง: มองหาเครื่องมือขั้นสูงในการตรวจจับการฉ้อโกง เช่น อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิงและระบบยืนยันที่อยู่

  • การปรับแต่ง: ค้นหาตัวเลือกที่ให้คุณปรับแต่งประสบการณ์การชําระเงินให้เหมาะกับแบรนด์ของคุณ และมอบตัวเลือกการชําระเงินที่เหมาะกับลูกค้าโดยเฉพาะ

การปรับขนาด

  • ปริมาณธุรกรรม: หากลไกที่ช่วยจัดการปริมาณธุรกรรมในปัจจุบันและมีความสามารถในการปรับขนาด ขณะที่ธุรกิจของคุณขยายออกไป

  • ทราฟฟิกสูงสุด: พิจารณากลไกที่สามารถรับมือกับปริมาณการเข้าชมที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงลดราคาหรือกิจกรรมส่งเสริมการขายได้

  • รองรับหลายสกุลเงิน: หากคุณวางแผนที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศหรือมีลูกค้าอยู่ในหลายประเทศ ให้หาการสนับสนุนในหลายสกุลเงิน

การผสานการทํางาน

  • ความพร้อมให้บริการของ API: พิจารณากลไกที่มีอินเทอร์เฟซสําหรับการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ที่ครอบคลุม ซึ่งช่วยให้ผสานการทํางานกับระบบและแพลตฟอร์มที่คุณมีอยู่ได้อย่างง่ายดาย

  • การสนับสนุนทางเทคนิค: ค้นหาผู้ให้บริการที่มีการสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่งและมีแหล่งข้อมูลเพื่อช่วยในกระบวนการผสานการทํางาน

  • กรอบเวลาในการผสานการทํางาน: ประเมินเวลาการผสานการทํางานโดยประมาณและผลกระทบที่อาจมีต่อลําดับเวลาและงบประมาณของโครงการ

การรักษาความปลอดภัย

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS: ตรวจสอบว่าเครื่องมือของคุณเป็นไปตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS)

  • การเข้ารหัสข้อมูล: ตรวจสอบว่ากลไกของคุณใช้วิธีการเข้ารหัสแบบรัดกุมเพื่อป้องกันข้อมูลลูกค้าที่ละเอียดอ่อนหรือไม่

  • การติดตามตรวจสอบการฉ้อโกง: ตรวจสอบยืนยันว่ากลไกของคุณมีระบบตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงที่รัดกุมหรือไม่

ค่าบริการ

  • ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: กําหนดว่าค่าธรรมเนียมเป็นแบบต่อธุรกรรม เปอร์เซ็นต์ของยอดธุรกรรม หรือทั้งสองอย่างผสมกัน

  • ค่าธรรมเนียมรายเดือน: ศึกษาค่าธรรมเนียมการสมัครใช้บริการหรือการบํารุงรักษารายเดือน

  • ค่าธรรมเนียมเตรียมการ: ประเมินค่าธรรมเนียมการจัดตั้งเบื้องต้น

  • ค่าธรรมเนียมแอบแฝง: พิจารณาค่าธรรมเนียมหรือการเรียกเก็บเงินแอบแฝงที่อาจเพิ่มเข้ามาเมื่อเวลาผ่านไป

การสนับสนุนลูกค้า

  • การสนับสนุนทางเทคนิค: ค้นหาผู้ให้บริการที่มีการสนับสนุนทางเทคนิคตลอด 24 ชม.

  • เอกสารประกอบ: ค้นหากลไกที่มีเอกสารประกอบที่ครอบคลุมและคู่มือการผสานการทำงาน

  • การฝึกอบรม: ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีเซสชันการฝึกอบรมหรือการสัมมนาผ่านเว็บเพื่อช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากกลไกดังกล่าว

การเตรียมพร้อมสําหรับการผสานการทํางาน

ต่อไปนี้คือวิธีเตรียมธุรกิจของคุณให้พร้อมเพื่อผสานการทํางานกับกลไกการชําระเงิน

การวางแผนโครงการ

  • วัตถุประสงค์: ระบุอย่างชัดเจนว่าคุณมีมุ่งที่จะบรรลุเป้าหมายอะไรในการผสานการทํางาน (เช่น ธุรกรรมที่รวดเร็วขึ้น การรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น)

  • เป้าหมายสำคัญระหว่างทาง: แบ่งโครงการออกเป็นระยะที่สามารถจัดการได้พร้อมเป้าหมายสำคัญระหว่างทางและวันครบกําหนดเฉพาะ

  • แหล่งข้อมูล: ระบุทรัพยากรที่จําเป็นสําหรับการผสานการทํางาน รวมทั้งบุคลากร งบประมาณ และเทคโนโลยี ยืนยันว่าคุณมีการสนับสนุนที่จําเป็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักและแผนกต่างๆ

  • ความเสี่ยง: ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและพัฒนาแผนการตอบสนองเพื่อบรรเทาความเสี่ยง เตรียมพร้อมสําหรับปัญหาทางเทคนิค ความท้าทายในการย้ายข้อมูล และปัญหาในการดําเนินงานที่หยุดชะงักชั่วคราว

การรวมทีม

  • ผู้จัดการโครงการ: แต่งตั้งผู้จัดการโครงการให้ดูแลการผสานการทํางาน ประสานงานระหว่างทีม และดูแลให้โครงการเป็นไปตามแนวทาง

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที: แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่สามารถจัดการแง่มุมต่างๆ ทางเทคนิคของการผสานการทํางาน เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ การกําหนดค่าระบบ และการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย

  • การเงินและการบัญชี จัดให้บุคลากรด้านการเงินและบัญชีมีส่วนร่วมเพื่อปรับการผสานการทํางานของกลไกการชําระเงินแบบใหม่ให้สอดคล้องกับกระบวนการรายงานทางการเงินและการกระทบยอดของคุณ

  • การปฏิบัติงานและบริการลูกค้า: ให้ทีมปฏิบัติงานและฝ่ายบริการลูกค้ามีส่วนร่วมในการจัดการกบผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมถึงการโต้ตอบกับลูกค้า

  • กฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกําหนด ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกําหนดมีส่วนร่วมเพื่อสํารวจข้อกําหนดทางกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรม

การสํารองข้อมูลระบบ

  • การสํารองข้อมูล: ทําการสํารองข้อมูลทั้งหมดสําหรับข้อมูลทางการเงินปัจจุบันของคุณ ซึ่งรวมถึงประวัติธุรกรรม ข้อมูลลูกค้า และบันทึกการทําบัญชี

  • การสํารองข้อมูลระบบ: สํารองข้อมูลของระบบและการกําหนดค่าที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อกู้คืนข้อมูลในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการผสานการทํางาน

  • การทดสอบ: ทดสอบการสํารองข้อมูลของคุณเป็นประจําเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถกู้คืนข้อมูลเหล่านั้นได้ ขั้นตอนนี้เป็นการยืนยันว่าข้อมูลของคุณปลอดภัยและสามารถกู้คืนได้ในกรณีฉุกเฉิน

การฝึกอบรม

  • เนื้อหาการฝึกอบรม: พัฒนาเนื้อหาการฝึกอบรมที่ครอบคลุม รวมถึงคู่มือผู้ใช้ วิดีโอสอน และคู่มืออ้างอิงฉบับย่อที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับบทบาทต่างๆ ภายในองค์กรของคุณ

  • เซสชันการฝึกอบรม: จัดเซสชันการฝึกอบรมสําหรับพนักงานที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยมุ่งเน้นที่วิธีใช้กลไกการชําระเงินใหม่ จัดการปัญหาทั่วไป และทําความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของขั้นตอนการทํางาน

  • การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง: สร้างระบบสนับสนุนเพื่อตอบข้อสงสัยและข้อกังวลของพนักงาน ทั้งในระหว่างและหลังจากกระบวนการผสานการทํางาน ซึ่งอาจรวมถึงบุคลากรฝ่ายสนับสนุนโดยเฉพาะ ทีมช่วยเหลือ หรือฟอรัมออนไลน์

การสื่อสาร

  • การสื่อสารภายใน: อัปเดตผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดเกี่ยวกับความคืบหน้าในการผสานการทํางาน เป้าหมายสําคัญ และการเปลี่ยนแปลงลําดับเวลา การประชุมปกติและการรายงานสถานะจะช่วยให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน

  • การสื่อสารกับลูกค้า: แจ้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อลูกค้า เช่น ตัวเลือกการชําระเงินใหม่และการหยุดชะงักของบริการชั่วคราว การสื่อสารที่ชัดเจนจะช่วยจัดการความคาดหวังและรักษาความเชื่อมั่นได้

กระบวนการการผสานการทํางานเป็นอย่างไร

ต่อไปนี้คือวิธีผสานการทํางานกลไกการชําระเงินเข้ากับระบบการเงินของคุณ

การผสานการทํางาน API

เชื่อมต่อเว็บไซต์ แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์อื่นๆ เข้ากับ API ของกลไก คุณสามารถผสานการทํางานโดยตรงด้วยการเขียนโค้ดที่กำหนดเเองเพื่อเชื่อมต่อระบบของคุณไปยัง API ของกลไกโดยตรง หรือผ่านแพลตฟอร์มการผสานการทำงานหรือปลั๊กอินของกลไกดังกล่าว การผสานการทํางานโดยตรงนั้นมีความยืดหยุ่นมากที่สุด แต่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ส่วนแพลตฟอร์มและปลั๊กอินก็ทําให้กระบวนการง่ายขึ้นเนื่องจากมีตัวเชื่อมต่อและเครื่องมือสําเร็จรูป

การย้ายข้อมูล

ย้ายข้อมูลลูกค้าและธุรกรรมที่มีอยู่ไปยังกลไกใหม่

  • การจับคู่ข้อมูล: จับคู่ฟิลด์ในข้อมูลที่มีอยู่ของคุณกับฟิลด์ที่สอดคล้องกันในฐานข้อมูลของกลไกชำระเงิน

  • การจัดระเบียบข้อมูล: จัดระเบียบและสร้างมาตรฐานข้อมูลของคุณเพื่อให้เข้ากันได้กับกลไกใหม่

  • การโอนข้อมูล: โอนข้อมูลเป็นกลุ่มหรือแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณและความละเอียดอ่อนของข้อมูล

การกําหนดค่า

กําหนดค่ากลไกการชําระเงินให้ตรงกับกฎและค่ากําหนดของธุรกิจที่ต้องการ

  • วิธีการชําระเงิน: เปิดใช้วิธีการชําระเงินที่คุณเลือก

  • สกุลเงิน: ใช้สกุลเงินที่คุณต้องการรับ

  • กฎการฉ้อโกง: กําหนดพารามิเตอร์สําหรับการตรวจจับและการป้องกันการฉ้อโกง

  • การแจ้งเตือน: กําหนดค่าอีเมลหรือการแจ้งเตือนทาง SMS สําหรับธุรกรรมที่ดำเนินการสําเร็จ การชําระเงินที่ไม่สําเร็จ หรือกิจกรรมที่น่าสงสัย

การทดสอบ

ก่อนที่จะใช้การผสานการทำงานในระบบจริง ให้ทําการทดสอบอย่างละเอียดในสภาพแวดล้อมแบบแซนด์บ็อกซ์ก่อน

  • ขั้นตอนการชําระเงิน: ทดสอบขั้นตอนการชําระเงินทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการชําระเงินไปจนถึงการยืนยันสําหรับวิธีการชําระเงินที่รองรับทั้งหมด

  • การจัดการกับข้อผิดพลาด: จําลองสถานการณ์ข้อผิดพลาดต่างๆ เช่น การชําระเงินที่ถูกปฏิเสธหรือความล้มเหลวในการเชื่อมต่อ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบจะจัดการปัญหาได้อย่างราบรื่น

  • การรักษาความปลอดภัย: ทําการทดสอบความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ต่างๆ

การปรับใช้

เมื่อคุณมั่นใจว่าทุกอย่างทํางานได้อย่างราบรื่น ให้ติดตั้งใช้งานการผสานการทํางานกับสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง ควรทําเช่นนี้ในช่วงเวลาทราฟฟิกต่ำเพื่อลดการหยุดชะงักที่อาจเกิดขึ้น

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับหลังการผสานการทํางาน

ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดหลังการผสานการทํางานเพื่อให้กลไกการชําระเงินของคุณทํางานได้อย่างราบรื่น

การตรวจสอบประสิทธิภาพ

จับตาดูตัวชี้วัดต่อไปนี้

  • อัตราธุรกรรมที่สําเร็จ: ควรมีธุรกรรมที่สําเร็จในเปอร์เซ็นต์สูง การลดลงอย่างมากอาจบ่งบอกถึงปัญหาทางเทคนิคหรือการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นได้

  • ระยะเวลาการประมวลผล: ติดตามระยะเวลาในการประมวลผลธุรกรรม ความล่าช้าอาจสร้างความติดขัดให้ลูกค้าและส่งผลต่อรายรับของคุณ

  • อัตราข้อผิดพลาด: ตรวจสอบข้อผิดพลาดหรือความล้มเหลวในกระบวนการชําระเงิน สาเหตุเหล่านี้อาจเกิดจากข้อบกพร่องทางเทคนิค การกําหนดค่าที่ไม่ถูกต้อง หรือปัจจัยภายนอก

  • ความผิดปกติ: มองหารูปแบบที่น่าสงสัยหรือความผิดปกติใดๆ ที่อาจบ่งบอกถึงกิจกรรมการฉ้อโกง

การตรวจสอบความปลอดภัย

ทําการตรวจสอบความปลอดภัยอยู่เป็นประจําโดยทําตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • การตรวจหาช่องโหว่: ใช้เครื่องมืออัตโนมัติเพื่อสแกนระบบเพื่อหาจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น

  • การทดสอบการเจาะ: จ้างแฮกเกอร์ที่มีจริยธรรมเพื่อทดสอบการพยายามเจาะระบบของคุณและค้นหาจุดอ่อนต่างๆ

  • ตรวจสอบโค้ด: ตรวจสอบโค้ดของคุณเป็นประจําเพื่อหาข้อบกพร่องหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

  • การฝึกอบรมพนักงาน: ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการรักษาความปลอดภัยและความสําคัญของการคุ้มครองข้อมูล

วงจรข้อเสนอแนะ

รวบรวมข้อเสนอแนะจากทั้งลูกค้าและทีมภายใน

  • ประสบการณ์ของลูกค้า: ลูกค้าของคุณพึงพอใจกับกระบวนการชําระเงินใหม่หรือไม่ มีปัญหาหรือด้านที่ต้องการการปรับปรุงหรือไม่

  • ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน: ทีมภายในของคุณค้นหาระบบใหม่ที่ใช้งานง่ายหรือไม่ มีปัญหาคอขวดหรือความไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่

การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการกําหนดค่าและการตั้งค่าของกลไกชําระเงินของคุณอย่างต่อเนื่อง อิงตามข้อมูลและข้อเสนอแนะที่คุณรวบรวม

  • การตรวจจับการฉ้อโกง: ปรับแต่งกฎการตรวจจับการฉ้อโกงของคุณอย่างละเอียดตามรูปแบบและแนวโน้มที่พบ

  • ขั้นตอนการชําระเงิน: ทดลองขั้นตอนการชําระเงินแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน

  • ข้อเสนอเฉพาะบุคคล: ใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับแต่งตัวเลือกการชําระเงินและข้อเสนอให้เหมาะกับแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ

  • กระบวนการที่ต้องทําด้วยตัวเอง: ทําให้กระบวนการที่ต้องทําเองทํางานโดยอัตโนมัติหากเป็นไปได้

การอัปเดตเป็นประจำ

เทคโนโลยีการชําระเงิน ข้อบังคับ และภัยคุกคามด้านความปลอดภัยใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นประจํา ติดตามข้อมูลและอัปเดตตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • การอัปเดตซอฟต์แวร์: ติดตั้งการอัปเดตและแพตช์ซอฟต์แวร์ล่าสุดเพื่อให้กลไกของคุณปลอดภัยและเป็นปัจจุบัน

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนด: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือการชําระเงินของคุณเป็นไปตามข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมดขณะที่พัฒนาขึ้น

  • ฟีเจอร์ใหม่: สํารวจฟีเจอร์และการผสานการทํางานใหม่ๆ จากผู้ให้บริการกลไกการชําระเงินเพื่อปรับปรุงฟังก์ชันการชําระเงินของคุณ

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Connect

Connect

ใช้งานจริงภายในไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะต้องเสียเวลาหลายไตรมาส สร้างธุรกิจการชำระเงินที่สร้างผลกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Connect

ดูวิธีกำหนดเส้นทางการชำระเงินระหว่างหลายฝ่าย