การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ในทางปฏิบัติ: ความสำคัญและวิธีปรับใช้

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์คืออะไร
  3. ประเภทของกลยุทธ์การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์
  4. คุณจะใช้รูปแบบการตั้งราคาตามสถานที่ตั้งได้อย่างไรบ้าง
    1. เริ่มต้นด้วยข้อมูล
    2. เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ
    3. คำนึงถึงต้นทุนที่แตกต่างกัน
    4. ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม
    5. ปรับประสบการณ์ให้เข้ากับท้องถิ่น
    6. ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมีความโปร่งใส
    7. ปรับต่อไป
  5. ประโยชน์ที่การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์มีต่อธุรกิจ
    1. รายรับต่อภูมิภาคสูงขึ้น
    2. เข้าถึงตลาดใหม่ๆ
    3. ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
    4. คืนต้นทุน
    5. ยืดหยุ่นมากขึ้น
  6. ความท้าทายอะไรบ้างที่มาพร้อมกับการตั้งราคาตามภูมิศาสตร์
    1. โครงสร้างพื้นฐาน
    2. โอกาสที่จะเกิดการฉ้อโกง
    3. ความขัดแย้งระหว่างช่องทาง
    4. ความโปร่งใสต่อลูกค้า
    5. ข้อจำกัดทางกฎหมาย
  7. การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ทำงานอย่างไรในอีคอมเมิร์ซ
    1. การตรวจหาตำแหน่งที่ตั้ง
    2. ราคาที่ปรับให้เหมาะกับท้องถิ่น
    3. การชำระเงินหลายสกุลเงิน
    4. การจัดการภาษี
    5. การป้องกันการฉ้อโกง
    6. UX ระดับภูมิภาค
    7. การเปรียบเทียบราคา
  8. ประโยชน์ของ Stripe Checkout

การตั้งราคาจะซับซ้อนมากขึ้นเมื่อธุรกิจของคุณเริ่มขายในตำแหน่งที่ตั้งมากกว่าหนึ่งแห่ง ราคาที่อาจเป็นธรรมสำหรับลูกค้าในเบอร์ลินอาจไม่เป็นเช่นนั้นในกรุงเทพฯ ราคาที่ช่วยเพิ่มอัตรากำไรในนิวยอร์กอาจทำให้อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าในเซาเปาโลลดลง การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์คือการที่บริษัทต่างๆ ปรับราคาให้ตรงกับสภาพจริงในแต่ละตลาดที่ตนให้บริการ ด้านล่างนี้ เราจะกล่าวถึงหลักการทำงาน กรณีที่ควรใช้ และวิธีใช้การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์คืออะไร
  • ประเภทของกลยุทธ์การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์
  • คุณจะใช้รูปแบบการตั้งราคาตามสถานที่ตั้งได้อย่างไรบ้าง
  • ประโยชน์ที่การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์มีต่อธุรกิจ
  • ความท้าทายอะไรบ้างที่มาพร้อมกับการตั้งราคาตามภูมิศาสตร์
  • การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ทำงานอย่างไรในอีคอมเมิร์ซ
  • ประโยชน์ของ Stripe Checkout

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์คืออะไร

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์หมายถึงการเรียกเก็บเงินแตกต่างกันในสถานที่ต่างๆ สำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการเดียวกัน เป็นวิธีที่คำนึงถึงปัจจัยที่อาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ได้แก่ อุปสงค์ ระดับรายได้ การแข่งขัน การจัดส่ง ค่าใช้จ่าย ภาษี กฎระเบียบ หรือความคาดหวังทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับราคา ด้วยวิธีนี้ ธุรกิจจะสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่แตกต่างกัน

บางครั้งการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การปรับค่าจัดส่งหรือภาษีท้องถิ่น แต่บางครั้งก็เด่นชัดกว่า เช่น การปรับราคาให้เหมาะกับความเสมอภาคของกำลังซื้อ (PPP) ในประเทศต่างๆ เปรียบเสมือนการแปลเนื้อหาให้เข้ากับท้องถิ่นที่จะเผยแพร่ แต่เนื้อหาในที่นี้คือราคา เป็นการเข้าถึงลูกค้าในที่ที่ลูกค้าอยู่ ทั้งโดยตัวผลิตภัณฑ์และโดยตัวเงิน

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์สามารถช่วยให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในบางภูมิภาคและให้ผลกำไรมากขึ้นในบางภูมิภาคโดยที่ราคายังคงเป็นธรรม ในขณะที่ 56% ของธุรกิจสหรัฐอเมริกาและ 28% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรกำลังพิจารณาขยายธุรกิจออกสู่นอกประเทศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์สามารถช่วยให้การเปลี่ยนแปลงของบริษัทเหล่านี้มีความยั่งยืนมากขึ้น

ประเภทของกลยุทธ์การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์มีหลายวิธี การเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณขึ้นอยู่กับเป้าหมาย อัตรากำไร และความซับซ้อนที่คุณรับได้

ตัวเลือกหลักๆ มีดังนี้

  • การตั้งราคาแบบรับภาระค่าจัดส่ง: ราคายังคงเท่าเดิมสำหรับลูกค้าในทุกตำแหน่งที่ตั้ง แต่คุณต้องชำระค่าใช้จ่ายในการจัดส่งและการนำส่งในที่ห่างไกลขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถเข้าสู่ตลาดที่เข้าถึงได้ยาก ซึ่งหากค่าจัดส่งสูงขึ้น อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าอาจลดลง
  • การตั้งราคาตามโซน: คุณแบ่งพื้นที่ให้บริการของคุณออกเป็นภูมิภาคต่างๆ แล้วเรียกเก็บเงินในราคาที่แตกต่างกันสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการในแต่ละภูมิภาค ตัวอย่างเช่น โซนที่ใกล้กับศูนย์กระจายสินค้าของคุณอาจมีราคาต่ำกว่าโซนที่อยู่ห่างไกลออกไป เป็นวิธีที่พบเห็นบ่อยในหมู่ผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซและในอุตสาหกรรมที่ต้องมีลอจิสติกส์มาก เช่น เชื้อเพลิง
  • การตั้งราคาตามจุดฐาน: ราคาสินค้าสำหรับลูกค้าในทุกตำแหน่งที่ตั้งเท่ากันหมด แต่ค่าธรรมเนียมการจัดส่งจะเปลี่ยนไปตามระยะทางที่ต้องจัดส่งสินค้า อุตสาหกรรมที่มีต้นทุนการจัดส่งสูง เช่น เหล็กและไม้แปรรูป มักใช้วิธีนี้
  • การตั้งราคาตาม PPP: ราคาผลิตภัณฑ์ในแต่ละตลาดจะแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับระดับรายได้และค่าครองชีพในท้องถิ่น คุณกำหนดราคาป้ายให้ต่ำในภูมิภาคที่มีรายได้ต่ำ และราคาที่สูงขึ้นในภูมิภาคที่ลูกค้าจ่ายไหว การตั้งราคาที่ต่ำกว่าในตลาดเกิดใหม่อาจส่งผลให้เพิ่มผู้ใช้ได้โดยไม่ลดราคาพรีเมียมที่อื่น

หลายบริษัทใช้วิธีตั้งราคาหลายวิธีผสมกัน บ้างใช้การตั้งราคาตาม PPP สำหรับการสมัครใช้บริการซอฟต์แวร์ การตั้งราคาตามโซนสำหรับสินค้าที่จับต้องได้ หรือการตั้งราคาแบบรับภาระค่าจัดส่งเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ เลือกวิธีตั้งราคาตามสิ่งที่คุณขาย ผู้ซื้อ และสิ่งที่แต่ละภูมิภาคต้องการจริงๆ

คุณจะใช้รูปแบบการตั้งราคาตามสถานที่ตั้งได้อย่างไรบ้าง

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ต้องมีการวางแผน ด้านล่างนี้คือวิธีนำกลยุทธ์นี้ไปใช้ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณโดยไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่พอใจ

เริ่มต้นด้วยข้อมูล

ประเมินตลาดที่เป็นเป้าหมายของคุณอย่างใกล้ชิด ด้วยคำถามต่อไปนี้

  • แนวโน้มอุปสงค์เป็นอย่างไร
  • คู่แข่งในท้องถิ่นเรียกเก็บเงินเท่าไร
  • รายได้เฉลี่ยเป็นเท่าไร
  • ราคาที่ผู้คนคาดหวังจะจ่ายสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นเท่าไร

ใช้ข้อมูลเพื่อวัดทั้งความเต็มใจที่จะจ่ายเงินและเม็ดเงินคุณจะต้องใช้จ่ายเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าเหล่านั้น

เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ

คุณกำลังพยายามขยายไปสู่ภูมิภาคใหม่ รักษาอัตรากำไรในพื้นที่ที่มีต้นทุนสูง หรือทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถเข้าถึงได้ทั่วโลกกันแน่ คำตอบของคุณจะเป็นตัวกำหนดวิธีการตั้งราคาของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้การตั้งราคาตาม PPP ในตลาดเกิดใหม่หรือการตั้งราคาตามโซนเพื่อชดเชยต้นทุนด้านลอจิสติกส์ หากคุณกำลังพยายามเจาะตลาดเกิดใหม่ คุณอาจต้องรับภาระค่าจัดส่งชั่วคราว

คำนึงถึงต้นทุนที่แตกต่างกัน

พิจารณาว่าคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใดในการส่งผลิตภัณฑ์ไปยังลูกค้าแต่ละกลุ่ม คำนึงถึงปัจจัยอย่างการจัดส่ง ภาษีในท้องถิ่น แรงงาน คลังสินค้า ภาษีศุลกากร และการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน หากต้นทุนการดำเนินงานของคุณแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ราคาที่คุณตั้งก็ควรต่างกัน ในแง่นี้ การตั้งราคาตามโซนสามารถจะช่วยให้จัดการการตั้งราคาได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะจัดกลุ่มพื้นที่ที่มีโปรไฟล์ต้นทุนที่คล้ายคลึงกันเข้าด้วยกัน

ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม

หากต้องการรองรับราคาที่แตกต่างกันตามสกุลเงินและภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างน่าเชื่อถือ คุณจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและผู้ให้บริการชำระเงินอย่าง Stripe ช่วยคุณได้ ตัวอย่างเช่น Stripe สามารถแสดงสกุลเงินท้องถิ่น แปลงราคาโดยอัตโนมัติ และจัดการตรรกะการตั้งราคาในระดับภูมิภาคได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องดำเนินการอะไรมากมาย การมีโครงสร้างพื้นฐานนี้สามารถช่วยให้จัดการการตั้งราคาในตลาดต่างๆ ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องสร้างระบบใหม่ทุกครั้งที่คุณขยายธุรกิจออกไป

ปรับประสบการณ์ให้เข้ากับท้องถิ่น

แสดงราคาในสกุลเงินและรูปแบบท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น หากคุณเรียกเก็บเงินจากลูกค้าในอินเดีย อย่าแสดงราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐให้ลูกค้า ควรแสดงตัวเลขและการนำเสนอในแบบที่ลูกค้าในแต่ละตลาดคุ้นเคย การแปลภาษาของเนื้อหาและคำรับรองจากลูกค้าก็สามารถช่วยได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกำลังพยายามสร้างฐานลูกค้าในภูมิภาคใหม่

ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมีความโปร่งใส

ภูมิภาคต่างๆ มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป บางประเทศกำหนดให้ต้องรวมภาษีในราคาที่แสดง บางประเทศมีกฎหมายที่เข้มงวดเกี่ยวกับความเป็นธรรมในการตั้งราคา ขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายหากจำเป็น และทีมสนับสนุนลูกค้าก็ต้องรู้วิธีอธิบายความแตกต่างของราคาอย่างถูกต้องและตรงไปตรงมา

ปรับต่อไป

คุณไม่ได้คงราคาเหล่านี้ไว้ตลอดไป คอยติดตามประสิทธิภาพในแต่ละภูมิภาค ดูว่าอะไรขายดีและที่ใดที่อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าลดลง และฟังความคิดเห็นลูกค้า การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์จะได้ผลดีที่สุดเมื่อมีความยืดหยุ่น หมั่นปรับเมื่อคุณเข้าใจตลาดมากขึ้น

ประโยชน์ที่การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์มีต่อธุรกิจ

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์สามารถทำให้โมเดลการตั้งราคาในแต่ละภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากขึ้นดังนี้

รายรับต่อภูมิภาคสูงขึ้น

คุณสามารถตั้งราคาสำหรับเงื่อนไขเฉพาะในภูมิภาคนั้นๆ ได้ โดยขึ้นอยู่กับแนวทางทำโมเดลการตั้งราคาตามตำแหน่งที่ตั้งของคุณ ซึ่งอาจหมายถึงการเรียกเก็บเงินมากขึ้นในตลาดที่ลูกค้าเต็มใจที่จะจ่ายสูงกว่า หรือเรียกเก็บเงินน้อยลงในภูมิภาคที่อ่อนไหวต่อราคาซึ่งปริมาณมีความสำคัญมากกว่า ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด คุณสามารถเก็บเกี่ยวคุณค่าที่มีอยู่แล้วได้มากขึ้น แทนที่จะพลาดไปเพราะตั้งราคาเดียวในทุกตลาด

เข้าถึงตลาดใหม่ๆ

บางตลาดอาจดูยากจะประสบความสำเร็จได้ด้วยการตั้งราคามาตรฐานของคุณเนื่องจากรายได้ในท้องถิ่น ค่าครองชีพ หรือความผันผวนของสกุลเงิน แต่ลูกค้าในตลาดนั้นอาจยังต้องการผลิตภัณฑ์ของคุณ การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์สามารถเปิดทางเข้าสู่ตลาดเหล่านั้นได้โดยไม่กระทบต่อโมเดลธุรกิจทั้งหมดของคุณ

ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน

ในตลาดที่มีรายได้ต่ำ ราคาปลีกทั่วโลกของคุณอาจสูงเกินเอื้อมเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นๆ ในท้องถิ่น การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ช่วยให้คุณปรับราคาให้เหมาะสมกับความคาดหวังในท้องถิ่นได้โดยไม่ลดทอนสถานะของแบรนด์โดยรวม คุณสามารถแข่งขันราคาในตลาดที่จำเป็นได้โดยไม่ลดอัตรากำไรในตลาดที่ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร

คืนต้นทุน

ผลกระทบจากการกระจาย ภาษี ลอจิสติกส์ และภาษีศุลกากรไม่ได้เท่ากันไปหมดในทุกตลาด การตั้งราคาคงที่เท่ากับอนุมานว่าต้นทุนคงที่ไปด้วย ซึ่งการดำเนินงานระหว่างประเทศไม่ได้เป็นเช่นนั้น การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ช่วยให้คุณสามารถพิจารณารวมค่าใช้จ่ายระดับภูมิภาคร่วมกับราคาได้ คุณจึงไม่สูญเสียเงินในโซนที่มีต้นทุนสูงหรือเรียกเก็บเงินมากเกินไปในโซนที่คุณเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่า

ยืดหยุ่นมากขึ้น

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ส่งผลต่อการดำเนินงานด้านการขาย สิ่งจูงใจ ข้อตกลงกับผู้จัดจำหน่าย การตลาด และการคาดการณ์ เมื่อคุณปรับแต่งการตั้งราคาสำหรับภูมิภาคแล้ว คุณสามารถเชื่อมโยงเป้าหมายประสิทธิภาพและกลยุทธ์การส่งเสริมการขายกับสภาพความเป็นจริงในตลาดนั้นได้ กลยุทธ์การตั้งราคาคือสิ่งที่จะกำหนดรูปแบบการดำเนินงานส่วนอื่นๆ

ความท้าทายอะไรบ้างที่มาพร้อมกับการตั้งราคาตามภูมิศาสตร์

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์สามารถช่วยให้คุณตั้งราคาได้แม่นยำมากขึ้น แต่ก็อาจเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด ความตึงเครียด และค่าใช้จ่ายทางเทคนิคมากขึ้น

สิ่งที่คุณต้องรับมือให้ได้มีดังนี้

โครงสร้างพื้นฐาน

การตั้งราคาไว้ราคาเดียวนั้นตรงไปตรงมา ต่างจากการตั้งราคาหลายราคาในต่างสกุลเงิน ต่างระบบภาษี และต่างโครงสร้างต้นทุน คุณจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับงานนี้ เป็นเครื่องมือสำหรับจัดการรายการราคาระดับภูมิภาค ระบบที่รู้ว่าควรแสดงราคาใดแก่ลูกค้ารายใด และแพลตฟอร์มการชำระเงินที่พร้อมจัดการธุรกรรมหลายสกุลเงินโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหากรณีพิเศษ

โอกาสที่จะเกิดการฉ้อโกง

หากมีช่องว่างมากพอระหว่างราคาในภูมิภาคต่างๆ อาจมีคนพยายามใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้โดยใช้เครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งของตนและจ่ายในอัตราที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สินค้าและซอฟต์แวร์ดิจิทัลมีช่องโหว่เป็นพิเศษเนื่องจากไม่ต้องระบุที่อยู่สำหรับจัดส่ง คุณสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาตามตำแหน่งที่ตั้ง ใช้การตรวจสอบที่อยู่ในการเรียกเก็บเงิน หรือผูกบัญชีกับวิธีการชำระเงินในท้องถิ่น แต่การป้องกันการฉ้อโกงก็อาจกลายเป็นการต่อสู้ไม่รู้จบอยู่ดี

ความขัดแย้งระหว่างช่องทาง

ผู้จัดจำหน่ายต่างก็สื่อสารกัน หากพาร์ทเนอร์ระดับภูมิภาคของคุณทราบว่าตลาดอื่นได้ราคาดีกว่าหรือมีเป้าที่ต้องทำให้ได้ไม่สูงเท่าตน ความเป็นพาร์ทเนอร์ของคุณอาจยุติลงได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับทีมขายตรงที่รับผิดชอบพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน หากคุณใช้การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ คุณต้องมีตรรกะที่แน่นอนว่าใครได้อะไรและทำไม ตลอดจนสัญญาที่สะท้อนถึงตรรกะนั้น มิฉะนั้น คุณจะจบลงด้วยความขัดแย้งระหว่างช่องทางหรือการบังคับใช้ที่ไม่สม่ำเสมอกัน

ความโปร่งใสต่อลูกค้า

หน้าการตั้งราคาสำหรับทั่วโลกนั้นสร้างง่าย แต่การสร้างโมเดลที่ปรับให้เข้ากับท้องถิ่นมักไม่ง่ายเช่นนั้น คุณอาจลงเอยด้วยการแสดงราคาที่แตกต่างกันให้กับผู้ใช้ที่แตกต่างกัน (และเสี่ยงที่จะโดนบันทึกภาพหน้าจอมาเทียบกันบนโซเชียลมีเดีย) หรือต้องคอยบริหารจัดการเว็บไซต์ระดับภูมิภาคแยกกัน ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกต่อหนึ่ง ลูกค้าจะเปรียบเทียบราคาและไม่ได้มีเจตนาที่ดีเสมอไป คุณจะต้องมีคู่มือว่าควรตอบรับอย่างไรเมื่อมีคนถามว่าทำไมพวกเขาถึงจ่ายเงินมากกว่าหรือน้อยกว่าลูกค้ารายอื่น

ข้อจำกัดทางกฎหมาย

บางภูมิภาคมีกฎเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติด้านราคา การรวมภาษี หรือความเสมอภาคของราคาระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปจะคอยจับตาดูบริษัทที่พยายามแบ่งกลุ่มลูกค้าในตลาดที่ควรจะเป็นหนึ่งเดียวนี้ คุณจะต้องผ่านการตรวจสอบทางกฎหมายก่อนปรับการตั้งราคาให้เข้ากับท้องถิ่นวงกว้าง

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ทำงานอย่างไรในอีคอมเมิร์ซ

ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสแต็กเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงิน, ประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX), การปฏิบัติตามข้อกำหนด, การป้องกันการฉ้อโกง และการดำเนินงานด้านลูกค้า สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังมีดังนี้

การตรวจหาตำแหน่งที่ตั้ง

ในการตั้งราคาตามภูมิภาค ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่าผู้ซื้ออยู่ที่ใด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นผ่านการตรวจหา IP, ประเทศที่ผู้ใช้เลือก หรือที่อยู่จัดส่งหรือที่อยู่ในการเรียกเก็บเงิน ธุรกิจบางแห่งตรวจหาตำแหน่งที่ตั้งอย่างเห็นได้ชัด โดยแจ้งให้ลูกค้ายืนยันภูมิภาคของตนหรือเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าร้านที่ได้รับการแปลภาษา ธุรกิจอีกส่วนหนึ่งเปลี่ยนเพียงการแสดงราคาขณะโหลดหน้าเว็บ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด คุณต้องมีสัญญาณที่เชื่อถือได้เพื่อนำเสนอราคาที่เหมาะสม

ราคาที่ปรับให้เหมาะกับท้องถิ่น

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีสองระดับ ได้แก่

  • แสดงราคาในสกุลเงินท้องถิ่น โดยปกติจะแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนแบบเรียลไทม์
  • ตั้งราคาให้แตกต่างกันจริงๆ ในแต่ละภูมิภาค

การตั้งราคาระดับแรกช่วยปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงิน ส่วนระดับหลังจะปรับราคาให้เหมาะสมกับเงื่อนไขในภูมิภาคนั้นๆ (เช่น ลดราคาในตลาดที่มีกำลังซื้อต่ำกว่า ขึ้นราคาในตลาดที่มีต้นทุนสูงกว่าในการได้มาซึ่งลูกค้า)

การชำระเงินหลายสกุลเงิน

คุณต้องสามารถยอมรับ ชำระเงิน และรายงานในสกุลเงินท้องถิ่นได้ กล่าวคือต้องซิงค์ตรรกะการตั้งราคากับสแต็กการชำระเงินที่คุณใช้ ตัวอย่างเช่น Stripe ให้คุณเรียกเก็บเงินลูกค้าในมากกว่า 135 สกุลเงิน แสดงราคาที่แปลงให้เข้ากับท้องถิ่นแล้ว และแปลงเงินทุนที่แบ็กเอนด์ วิธีนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องคอยดูแลจัดการบัญชีตัวกลางจำนวนมากหรือสร้างเวิร์กโฟลว์การแปลงของคุณเอง

การจัดการภาษี

ในบางประเทศ (เช่น สหรัฐอเมริกา) มักมีคิดภาษีเพิ่มที่ขั้นตอนการชำระเงิน ในประเทศอื่นๆ (เช่น สหภาพยุโรป) ภาษีมักจะรวมอยู่ในราคาที่ระบุไว้แล้ว นั่นหมายความว่าเครื่องมือการตั้งราคาของคุณต้องทราบตำแหน่งที่ตั้งของลูกค้าก่อนจะแสดงผลราคา เมื่อคุณขยายธุรกิจไปยังหลายภูมิภาค การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในระบบ

การป้องกันการฉ้อโกง

หากคุณเรียกเก็บเงินในภูมิภาคหนึ่งน้อยกว่าในอีกภูมิภาคหนึ่ง ผู้คนมักพยายามเล่นกับระบบด้วย VPN, ที่อยู่ในการเรียกเก็บเงินตัวแทน หรือข้อมูลการจัดส่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกงช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่จำเป็นต้องผสานการทำงานกับกฎการตั้งราคาของคุณอย่างละเอียด บางบริษัทตั้งราคาไว้ตามประเทศที่มีการเรียกเก็บเงิน ในขณะที่บางบริษัทต้องใช้วิธีการชำระเงินในท้องถิ่น Stripe Radar สามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งและการชำระเงินที่ไม่ตรงกันได้ ตลอดจนตรวจจับรูปแบบที่อาจบ่งชี้ว่ามีคนใช้ลูกเล่นกับระดับการตั้งราคาในแต่ละภูมิภาค

UX ระดับภูมิภาค

การใช้สัญลักษณ์และรูปแบบสกุลเงินท้องถิ่นและการแสดงวิธีการชำระเงินที่เหมาะสมเปลี่ยนประสบการณ์ชำระเงินไปได้มาก ตัวอย่างเช่น ลูกค้าในเนเธอร์แลนด์อาจคาดหวังที่จะชำระเงินด้วย iDEAL ในขณะที่ลูกค้าชาวบราซิลอาจเลือกใช้ Boleto ก่อนวิธีอื่นใด หากลูกค้าไม่คุ้นเคยการชำระเงิน อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าก็อาจลดลงได้

การเปรียบเทียบราคา

ในอีคอมเมิร์ซ ลูกค้าสามารถบันทึกภาพหน้าจอได้ทุกเมื่อ หากคุณเสนอราคาที่แตกต่างกันในต่างตำแหน่งที่ตั้ง อาจมีคนเปรียบเทียบและโพสต์เกี่ยวกับราคาเหล่านั้นจนได้ คุณจึงต้องตกลงกันเป็นการภายในเกี่ยวกับวิธีการตอบสนอง ความแปรปรวนของราคาในระดับใดที่ยังพอแก้ต่างได้ และกรอบจำกัดทางเทคนิคใดที่คุณมี (เช่น การจำกัดการสร้างบัญชีไว้ที่หน้าร้านในภูมิภาคหนึ่ง หรือกำหนดให้ต้องใช้วิธีการชำระเงินที่ผูกกับภูมิภาคนั้นๆ)

การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ในอีคอมเมิร์ซอยู่ในจุดที่การเงิน, UX, การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการฉ้อโกงมาบรรจบกัน Stripe สามารถช่วยได้ด้วยการสนับสนุนการตั้งราคาหลายสกุลเงิน ตรวจหาตำแหน่งที่ตั้งของลูกค้าโดยอัตโนมัติ จัดการเปลี่ยนเป็นลูกค้า และผสานการทำงานกับเครื่องมือระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และตรวจจับการฉ้อโกง นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณตั้งราคาได้แบบไดนามิกและดำเนินการทดสอบโดยไม่จำเป็นต้องสร้างขั้นตอนการชำระเงินขึ้นมาใหม่ทั้งหมด การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดได้มากขึ้นโดยที่ยังรักษาอัตรากำไรไว้ได้

ประโยชน์ของ Stripe Checkout

Stripe Checkout คือแบบฟอร์มการชำระเงินที่ปรับแต่งได้อย่างเต็มที่และสร้างไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการใช้การตั้งราคาและรับชำระเงินออนไลน์ตามหลักทางภูมิศาสตร์

ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจาก Stripe Checkout:

  • ขยายไปทั่วโลก: Stripe Checkout สามารถปรับการตั้งราคาให้เข้ากับท้องถิ่น เป็นสกุลเงินมากกว่า 100 สกุลเงินด้วย Adaptive Pricing ซึ่งรองรับมากกว่า 30 ภาษาและแสดงวิธีการชำระเงินที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้มากที่สุดโดยอัตโนมัติ
  • เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า: การออกแบบที่เหมาะกับมือถือและขั้นตอนการชำระเงินแบบคลิกเดียวของ Stripe Checkout ทำให้ลูกค้าสามารถกรอกและใช้ข้อมูลการชำระเงินของตนได้อย่างง่ายดาย
  • ลดเวลาในการพัฒนา: ผสาน Checkout ลงในเว็บไซต์ของคุณโดยตรง หรือส่งลูกค้าไปยังหน้าเว็บที่โฮสต์โดย Stripe ด้วยโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด
  • ปรับปรุงความปลอดภัย: Stripe Checkout จะจัดการข้อมูลบัตรที่ละเอียดอ่อน ทำให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI ได้ง่ายขึ้น
  • ใช้ฟีเจอร์ขั้นสูง: ผสานการทำงานของ Checkout กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Stripe เช่น Billing สำหรับการเรียกเก็บเงินตามรอบบิล, Radar สำหรับการป้องกันการฉ้อโกง และอื่นๆ อีกมากมาย
  • ควบคุมได้: ปรับแต่งประสบการณ์การชำระเงินได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการบันทึกวิธีการชำระเงินและการตั้งค่าการดำเนินการหลังการซื้อ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Checkout จะช่วยปรับแต่งขั้นตอนการชำระเงิน หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้