การชําระเงินด้วยบัตรจากบัญชีค้ำประกันคือธุรกรรมที่ดําเนินการโดยใช้บัตรเครดิตที่มีเงินฝากเป็นประกัน เงินฝากดังกล่าว (ปกติแล้วจะเท่ากับวงเงินของบัตร) ทําหน้าที่เป็นหลักประกันให้กับบริษัทบัตรเครดิตและช่วยลดความเสี่ยง บุคคลที่ยังไม่ค่อยมีประวัติเครดิตหรือประวัติเครดิตไม่ดีมักจะทำบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันเพื่อจะได้สร้างหรือกู้คืนเครดิต เพราะเมื่อชําระเงินตรงเวลาและแสดงให้เห็นว่ามีความรับผิดชอบ เจ้าของบัตรก็จะสามารถพิสูจน์ความน่าเชื่อถือทางการเงินและปรับปรุงคะแนนเครดิตของตัวเองได้
จากข้อมูลในเดือนกันยายน 2023 สถาบันทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาออกบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันจํานวน 3.7 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่า 817 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อไปนี้เราจะอธิบายหลักการของการชําระเงินด้วยบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกัน รวมถึงข้อแตกต่างจากการชําระเงินด้วยบัตรแบบอื่นๆ และสิ่งที่ธุรกิจต้องทราบ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- บัญชีบัตรเครดิตแบบใช้เงินฝากค้ำประกันคืออะไร
- การชําระเงินด้วยบัตรจากบัญชีค้ำประกันทำงานอย่างไร
- การชําระเงินด้วยบัตรจากบัญชีค้ำประกันแตกต่างจากการชําระเงินด้วยบัตรแบบอื่นๆ อย่างไร
- ประโยชน์ของบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกัน
- สิ่งที่ธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับการชําระเงินด้วยบัตรจากบัญชีค้ำประกัน
บัญชีบัตรเครดิตแบบใช้เงินฝากค้ำประกันคืออะไร
บัญชีบัตรเครดิตแบบใช้เงินฝากค้ำประกันคือบัตรเครดิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบัตรต้องฝากเงินที่เรียกคืนได้เป็นหลักประกัน โดยปกติแล้ว เงินฝากจะเท่ากับวงเงินของบัตรเครดิต ตัวอย่างเช่น หากคุณฝากเงินจํานวน 500 ดอลลาร์สหรัฐ วงเงินลบัตรของคุณจะอยู่ที่ 500 ดอลลาร์สหรัฐ บัตรนี้ช่วยให้ผู้ที่มีประวัติเครดิตเพียงเล็กน้อยหรือประวัติไม่ดีสามารถสร้างหรือกู้คืนเครดิตได้
การชําระเงินด้วยบัตรจากบัญชีค้ำประกันทำงานอย่างไร
ต่อไปนี้คือวิธีเปิดและใช้บัญชีค้ำประกันสําหรับบัตรเครดิต
เมื่อคุณเปิดบัญชีบัตรเครดิตแบบใช้เงินฝากค้ำประกัน คุณจะต้องฝากเงิน ซึ่งปกติแล้วจะเท่ากับวงเงินของคุณ ตัวอย่างเช่น หากฝากเงินจํานวน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ระบบก็จะกำหนดวงเงิน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ
การใช้บัตรเครดิตแบบใช้เงินฝากค้ำประกันเหมือนบัตรเครดิตทั่วไปทุกประการ ไม่ว่าคุณจะซื้อสินค้า/บริการที่ร้านค้า ทางออนไลน์ หรือที่ใดก็ตามที่รับบัตรเครดิต
คุณจะได้รับใบแจ้งยอดรายเดือนพร้อมยอดคงเหลือ รวมถึงการซื้อ ค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ย (หากมี) และต้องชําระเงินขั้นต่ำภายในวันที่กําหนดและต้องชําระยอดคงค้างเต็มจํานวนเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกเก็บดอกเบี้ย บริษัทบัตรเครดิตจะรายงานประวัติการชําระเงินของคุณไปยังเครดิตบูโร หากคุณชําระเงินตรงเวลาสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเพิ่มคะแนนเครดิตของคุณไปเรื่อยๆ
เงินฝากเบื้องต้นสามารถเรียกคืนได้ และโดยทั่วไปแล้วคุณจะได้รับเงินดังกล่าวคืนหลังจากอัปเกรดเป็นบัตรที่ไม่ต้องใช้เงินฝากค้ำประกันแล้ว หรือปิดบัญชีหลังจากชำระยอดคงค้างทั้งหมดแล้ว
การชําระเงินด้วยบัตรจากบัญชีค้ำประกันแตกต่างจากการชําระเงินด้วยบัตรแบบอื่นๆ อย่างไร
การชําระเงินด้วยบัตรจากบัญชีค้ำประกันมีหลักการเหมือนกับการชําระเงินผ่านบัตรเครดิตแบบอื่นๆ แต่คุณต้องฝากเงินเข้าบัญชีค้ำประกันในตอนแรกและมีการกำหนดวงเงิน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงให้กับบริษัทผู้ออกบัตร ความแตกต่างระหว่างบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันกับบัตรที่ไม่ใช้เงินฝากค้ำประกัน
ข้อกําหนดการฝากเงิน: บัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันต้องฝากเงินสดในบัญชีเพื่อเป็นหลักประกัน ซึ่งปกติแล้วเงินฝากจะเท่ากับวงเงินของบัตร ส่วนบัตรที่ไม่ใช้เงินฝากค้ำประกันไม่กำหนดให้ฝากเงินในบัญชีแต่อย่างใด
วงเงิน: วงเงินของบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันมักจะเท่ากับจํานวนเงินฝาก ส่วนบัตรแบบไม่ใช้เงินฝากค้ำประกัน วงเงินจะขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของเจ้าของบัตร โดยพิจารณาจากประวัติเครดิต รายได้ และปัจจัยทางการเงินอื่นๆ ซึ่งมักจะสูงกว่าวงเงินของบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกัน
เกณฑ์การอนุมัติ: การขอบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันทำได้ง่ายกว่า เนื่องจากเงินฝากช่วยลดความเสี่ยงของผู้ออกบัตร บัตรเหล่านี้ส่วนใหญ่จะออกให้กับบุคคลทั่วไปที่มีประวัติเครดิตเล็กน้อยหรือประวัติเครดิตไม่ดี ส่วนการออกบัตรแบบไม่ใช้เงินฝากค้ำประกัน เจ้าของบัตรต้องมีคะแนนเครดิตสูงกว่าและมีเกณฑ์การอนุมัติที่เข้มงวดกว่า
การสร้างเครดิต: แม้ว่าบัตรทั้งสองประเภทจะรายงานกิจกรรมการชําระเงินไปยังเครดิตบูโร แต่บัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันเป็นเครื่องมือสําหรับสร้างหรือกู้คืนเครดิตโดยเฉพาะ
ค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ย: บัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมมากกว่าบัตรแบบไม่ใช้เงินฝากค้ำประกัน ทั้งนี้เพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการให้บุคคลที่มีคะแนนเครดิตต่ำกู้ยืมเงิน
ความเสี่ยงของผู้ให้กู้: เงินฝากในบัญชีบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันช่วยลดความเสี่ยงให้กับบริษัทผู้ออกบัตรได้ เนื่องจากบริษัทผู้ออกบัตรจะใช้เงินดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บหนี้หากเจ้าของบัตรผิดนัดชำระ ในขณะที่บัตรแบบไม่ใช้เงินฝากค้ำประกันจะมีความเสี่ยงสูงกว่า บริษัทผู้ออกบัตรจึงกำหนดเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่าในการอนุมัติบัตรประเภทนี้
ประโยชน์ของบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกัน
ต่อไปนี้คือประโยชน์บางส่วนของการใช้บัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกัน
การเข้าถึงสินเชื่อ: บัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันเข้าถึงได้มากกว่าสำหรับผู้ที่มีคะแนนเครดิตต่ำหรือมีประวัติเครดิตไม่ดี จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่เคยขอสินเชื่อมาก่อนหรือผู้ที่ต้องการกู้คืนประวัติทางการเงิน
การสร้างเครดิต: บัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันจะรายงานข้อมูลไปยังเครดิตบูโรรายใหญ่ (เช่น Experian, Equifax และ TransUnion ในสหรัฐอเมริกา) และสามารถเพิ่มคะแนนเครดิตให้กับเจ้าของบัตรได้หากชําระเงินตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ
การใช้จ่ายอย่างมีความรับผิดชอบ: ปกติแล้ว วงเงินบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันจะเท่ากับเงินฝากของเจ้าของบัตร จึงช่วยสร้างวินัยทางการเงินเนื่องจากเป็นการจํากัดค่าใช้จ่ายเท่ากับจํานวนเงินที่เจ้าของบัตรสามารถวางเป็นหลักประกันเท่านั้น
โอกาสในการอัปเกรดบัตร: บริษัทผู้ออกบัตรหลายรายเสนอทางเลือกให้เจ้าของบัตรอัปเกรดเป็นบัตรที่ไม่ต้องใช้เงินฝากค้ำประกันหลังจากพิสูจน์ได้ว่าเจ้าของบัตรใช้บัตรอย่างมีรับผิดชอบเป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากอัปเกรดบัตร เจ้าของบัตรมักจะได้รับเงินคืน ได้รับอนุมัติวงเงินสูงขึ้น รวมทั้งได้รับเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ดีกว่าเดิม
ฟีเจอร์ป้องกัน: บัตรเครดิตแบบใช้เงินฝากค้ำประกันมีสิทธิประโยชน์ด้านการคุ้มครองเหมือนกับบัตรเครดิต เช่น การป้องกันการฉ้อโกงภายใต้กฎหมายว่าด้วยการเรียกเก็บเงินบัตรเครดิตอย่างเป็นธรรม ซึ่งแตกต่างจากบัตรเดบิตหรือบัตรเติมเงิน
แหล่งข้อมูลให้ความรู้: บริษัทผู้ออกบัตรหลายรายจัดเตรียมเครื่องมือให้ความรู้คู่กับบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเรื่องสินเชื่อและจัดการการเงินของตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ที่ไม่เคยต้องจัดการกับสินเชื่อมาก่อน
สิ่งที่ธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับการชําระเงินด้วยบัตรจากบัญชีค้ำประกัน
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ธุรกิจต้องรู้เมื่อรับชําระเงินจากบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกัน
ขั้นตอนการทําธุรกรรม: ขั้นตอนการทำธุรกรรมของบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันและบัตรแบบไม่ใช้เงินฝากค้ำประกันไม่แตกต่างกัน ธุรกิจสามารถประมวลผลบัตรทั้งสองประเภทด้วยวิธีเดียวกันผ่านเกตเวย์การชําระเงิน
การจำกัดวงเงิน: ลูกค้าที่ใช้บัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันมักจะมีวงเงินต่ำกว่า ซึ่งอาจส่งผลต่อประเภทการซื้อที่ทำได้ หรือความสามารถในการทําธุรกรรมมูลค่าสูง ธุรกิจควรทราบข้อมูลนี้ด้วยเมื่อคิดจะขายต่อยอดหรือส่งเสริมการขาย
อัตราการอนุมัติ: บางครั้งบัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันอาจมีอัตราการอนุมัติสูงกว่าบัตรแบบไม่ใช้เงินฝากค้ำประกัน หากเป็นธุรกรรมที่อยู่ภายในวงเงินที่จํากัดไว้ เนื่องจากมีการใช้เงินฝากค้ำประกันไว้แล้ว ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการปฏิเสธการชําระเงินเนื่องจากการไม่มีเงินทุนหรือปัญหาด้านเครดิต
พฤติกรรมของลูกค้า: ผู้ใช้บัตรแบบใช้เงินฝากค้ำประกันจะระมัดระวังการใช้จ่ายมากกว่าเพราะมีความปรารถนาที่จะสร้างเครดิต ธุรกิจสามารถสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายนี้ได้ด้วยการกำหนดค่าบริการล่วงหน้าที่ชัดเจนและบริการลูกค้าที่เยี่ยม เพื่อหลีกเลี่ยงการโต้แย้งการชําระเงินและกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ