บัตรเครดิตสําหรับธุรกิจช่วยคุณทบทวนการจัดการเงินของธุรกิจคุณได้ คุณสามารถบัตรเพื่อให้ได้เงินทุนระยะสั้น ติดตามค่าใช้จ่าย และเข้าถึงสิทธิพิเศษที่ช่วยประหยัดเวลาและเงิน บัตรเครดิตช่วยส่งเสริมกลยุทธ์ทางธุรกิจของคุณและช่วยคุณปรับปรุงกระแสเงินสด สร้างเครดิต และช่วยให้คุณได้สิทธิประโยชน์จากค่าใช้จ่ายทั่วไป ต่อไปนี้เราจะอธิบายวิธีการใช้บัตรเครดิตเพื่อกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจคุณ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- เหตุใดธุรกิจจึงควรใช้บัตรเครดิตเพื่อการใช้จ่าย
- จะเลือกบัตรเครดิตสําหรับธุรกิจที่เหมาะสมอย่างไร
- การใช้บัตรเครดิตเพื่อการใช้จ่ายทางธุรกิจมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง
- จะใช้กลวิธีใดให้ธุรกิจได้สิทธิประโยชน์บัตรเครดิตสูงสุด
เหตุใดธุรกิจจึงควรใช้บัตรเครดิตเพื่อการใช้จ่าย
การใช้บัตรเครดิตเพื่อการใช้จ่ายมีประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณหลายอย่าง
จัดการกระแสเงินสดได้ทันที: การใช้บัตรเครดิตคือการช่วยซื้อเวลาให้กับตัวคุณเอง เพราะแทนที่จะดึงเงินจากบัญชีธนาคารทันที คุณสามารถใช้ประโยชน์จากรอบการเรียกเก็บเงิน (ซึ่งมักเป็นเวลา 28-31 วัน) เพื่อชําระค่าใช้จ่าย และยังมีเวลาสร้างรายรับก่อนครบกําหนดชําระเงิน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในสถานการณ์ที่รายได้ไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายเสมอไป
การติดตามค่าใช้จ่ายที่ง่ายขึ้น: บัตรเครดิตสําหรับธุรกิจมักมีรายงานค่าใช้จ่ายแบบละเอียดซึ่งจำแนกหมวดหมู่การซื้อของคุณโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในช่วงยื่นภาษีหรือเมื่อกระทบยอดบัญชี บัตรจํานวนมากผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์บัญชีได้ ซึ่งช่วยให้ทําบัญชีได้ง่ายขึ้น
รางวัล: คุณอาจได้รับเงินคืนเมื่อซื้อสินค้าที่จําเป็น (เช่น การเดินทาง วัสดุ โฆษณา) บัตรเครดิตสําหรับธุรกิจหลายแห่งเสนอเงินคืน คะแนนท่องเที่ยว หรือส่วนลดสําหรับบริการทางธุรกิจบางอย่าง เมื่อเวลาผ่านไปรางวัลเหล่านี้อาจช่วยคุณประหยัดหรือได้ผลประโยชน์อย่างจริงจังที่เพิ่มกำไรให้คุณได้
โอกาสในการสร้างเครดิตทางธุรกิจ: เช่นเดียวกับเครดิตส่วนตัว การสร้างและรักษาประวัติเครดิตที่มั่นคงให้กับธุรกิจสร้างโอกาสให้คุณได้ คะแนนเครดิตที่ดีของธุรกิจช่วยให้ได้วงเงินสินเชื่อที่มากขึ้น หรือช่วยให้เจรจากับผู้ให้บริการเพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ดีขึ้นได้ โดยการใช้บัตรเครดิตของธุรกิจอย่างรับผิดชอบเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างเครดิต
ความปลอดภัยและการป้องกันการฉ้อโกงที่ดีขึ้น: การใช้บัตรเครดิตเพิ่มการป้องกันระหว่างธุรกิจของคุณกับการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นได้อีกชั้นหนึ่ง บัตรส่วนใหญ่มีนโยบายปลอดความรับผิดและเครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกงเพื่อตรวจจับการเรียกเก็บเงินที่ไม่ได้รับอนุญาต ในทางตรงกันข้าม บัตรเดบิตจะดึงเงินทุนจากบัญชีของคุณโดยตรงและการโต้แย้งการชําระเงินอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์เพื่อแก้ไขปัญหา
การเข้าถึงสิทธิประโยชน์และความคุ้มครอง: บัตรเครดิตสําหรับธุรกิจหลายแห่งให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงประกันภัยการเดินทาง การขยายเวลารับประกัน และการคุ้มครองการซื้อ สิ่งเหล่านี้ช่วยคุณประหยัดได้ในกรณีที่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น ความเสียหายต่ออุปกรณ์หรือการยกเลิกเที่ยวบินสําหรับการเดินทางเพื่อไปทํางาน
การแยกเงินทุน: การใช้บัตรเครดิตเพื่อธุรกิจเท่านั้นช่วยแบ่งแยกการเงินส่วนบุคคลกับธุรกิจอย่างชัดเจน ซึ่งจําเป็นเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี การตรวจสอบ และจรรยาบรรณในวิชาชีพ นอกจากนี้ยังช่วยให้วางงบประมาณและอธิบายค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และแสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสําคัญกับการดําเนินธุรกิจ
จะเลือกบัตรเครดิตสําหรับธุรกิจที่เหมาะสมอย่างไร
การเลือกบัตรเครดิตสําหรับธุรกิจที่เหมาะสมไม่ใช่การเลือกใบที่ "ที่ดีที่สุด" บนกระดาษ แต่เป็นการหาใบที่ตรงกับพฤติกรรมการใช้จ่าย เป้าหมาย และความต้องการด้านการใช้จ่ายของธุรกิจคุณมากกว่า วิธีตัดสินใจเลือกบัตรมีดังนี้
วิเคราะห์รูปแบบการใช้จ่ายของคุณ
อันดับแรก ดูว่าธุรกิจของคุณใช้จ่ายกับอะไรมากที่สุด
หากมีค่าใช้จ่ายการเดินทางมาก ให้มองหาบัตรที่มีรางวัลการเดินทาง คะแนนสายการบิน หรือสิทธิพิเศษเกี่ยวกับการเดินทาง (เช่น การโหลดกระเป๋าฟรี สิทธิ์การเข้าห้องรับรอง)
หากคุณมีค่าใช้จ่ายของใช้ประจำวันเป็นจํานวนมาก (เช่น เชื้อเพลิง อุปกรณ์สํานักงาน) บัตรที่มอบเงินคืนจากการซื้อสินค้าหรือบริการในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องน่าจะเหมาะสมมากกว่า
หากการใช้จ่ายของคุณกระจายอยู่ในหมวดหมู่ต่างๆ คุณอาจพบว่าบัตรที่ให้เงินคืนในอัตราคงที่น่าจะคุ้มค่ากว่า
พิจารณาความต้องการด้านเวลาของคุณ
หากกระแสเงินสดของคุณมีความผันผวน บัตรที่มีระยะผ่อนผันนานหรือมีอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น (APR) 0% อาจช่วยคุณได้ เพราะให้เวลาคุณจ่ายยอดการใช้บัตรได้โดยไม่มีดอกเบี้ย แต่หากคุณชำระยอดครบถ้วนทุกเดือน ควรให้ความสำคัญกับรางวัลและสิทธิพิเศษมากกว่า APR
มองหารางวัลที่มีประโยชน์กับคุณ
บัตรเครดิตถ้ามีรางวัลที่ึคุณไม่ได้ใช้ก็ไร้ประโยชน์ เน้นบัตรที่ให้คะแนนสะสมหรือเงินคืนในหมวดหมู่ต่างๆ ที่คุณใช้จ่ายมากที่สุดและของรางวัลที่แลกได้ (ในหลากหลายหมวดหมู่ถ้าเป็นไปได้ เช่น เงินสด เครดิตในรายการเดินบัญชี และสิทธิประโยชน์ทางธุรกิจบางอย่าง) รวมทั้งโบนัสจากการสมัครซึ่งคุณน่าจะทำได้เมื่อพิจารณาจากยอดที่คุณคาดว่าจะใช้จ่าย
พิจารณาค่าธรรมเนียมในบริบทของสิทธิประโยชน์
บัตรเครดิตสําหรับธุรกิจที่ดีที่สุดบางส่วนมีค่าธรรมเนียมรายปี แต่ค่าธรรมเนียมเหล่านี้สามารถจ่ายให้ตัวเองได้ในตัวถ้าสิทธิประโยชน์มีมากกว่าค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น บัตรอาจเสนอสิทธิพิเศษที่ปกติคุณจะต้องชําระแยกต่างหากเช่น ประกันภัยการเดินทาง การคุ้มครองการซื้อ และการขยายเวลารับประกัน แต่หากคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีการใช้น้อย ให้พิจารณาบัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียมเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น
พิจารณาความจำเป็นในการใช้บัตรของพนักงาน
หากคุณมีพนักงานที่ต้องการอํานาจการใช้จ่ายด้วย ให้หาบัตรที่ทำบัตรให้พนักงานได้ฟรีและกำหนดวงเงินเองได้ ซึ่งจะช่วยให้ติดตามและจัดการค่าใช้จ่ายของทีมได้ง่ายขึ้น
อย่ามองข้ามข้อกําหนดด้านเครดิต
คะแนนเครดิตส่วนบุคคลและของธุรกิจคุณมักจะเป็นตัวกําหนดว่าบัตรใดที่คุณมีสิทธิ์สมัครใช้ บัตรพรีเมียมบางใบกำหนดว่าต้องมีเครดิตที่ยอดเยี่ยมในขณะบัตรอื่นๆ อาจผ่อนปรนกว่า หากคุณเริ่มดําเนินการแล้ว ให้ลองพิจารณาบัตรที่ออกแบบมาสําหรับธุรกิจใหม่หรือธุรกิจที่มีประวัติด้านเครดิตที่จำกัด
เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม
สิทธิพิเศษทำให้บัตรสองใบที่คล้ายกันแตกต่างกันได้ ให้มองหาคุณสมบัติเหล่านี้
เครื่องมือจัดการค่าใช้จ่าย เช่น การผสานการทํางานกับ QuickBooks หรือ Expensify
การป้องกันการฉ้อโกงและคุ้มครองการซื้อ
สิทธิประโยชน์ด้านประกันภัย เช่น ประกันอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง และความคุ้มครองการเช่ารถยนต์
บริการผู้ช่วยส่วนตัวหรือสิทธิ์เข้าถึงกิจกรรมสุดพิเศษ
อ่านรายละเอียดอย่างรอบคอบ
APR: หากคุณวางแผนที่จะค้างชำระ ให้เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่คาดคิด
ค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่างประเทศ: หากคุณดําเนินธุรกิจระหว่างประเทศหรือเดินทางบ่อย ให้หาบัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่างประเทศ
การจำกัดยอดและวันหมดอายุในการแลกรางวัล บัตรบางใบจำกัดยอดรางวัลที่ได้รับหรือกำหนดให้คุณแลกใช้รางวัลภายในกรอบเวลาที่กําหนด
อย่าตกลงใจกับแค่บัตรเดียว
บางครั้งการใช้บัตรคู่กันเพื่อให้ได้รางวัลสูงสุดก็เป็นตัวเลือกที่ฉลาด ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้บัตรใบหนึ่งเพื่อสะสมรางวัลการเดินทาง และใช้อีกใบที่ให้เงินคืนในอัตราที่สูงสําหรับการใช้จ่ายในแต่ละวัน
การใช้บัตรเครดิตเพื่อการใช้จ่ายทางธุรกิจมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง
บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการชำระค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ แต่ก็อาจมีความเสี่ยง ต่อไปนี้คือข้อเสียและวิธีการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น:
การสะสมหนี้และค่าดอกเบี้ย
บัตรเครดิต อาจกลายเป็นหนี้สินได้อย่างรวดเร็วหากคุณไม่ชําระยอดเต็มจํานวนในแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยที่สูงอาจเปลี่ยนยอดคงเหลือเพียงเล็กน้อยให้กลายเป็นหนี้จํานวนมากเมื่อเวลาผ่านไป ในช่วงปลายปี 2024 บัตรเครดิตในสหรัฐอเมริกามีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 21.47%
วิธีลดความเสี่ยงนี้
ใช้บัตรเครดิตกับค่าใช้จ่ายที่คุณมั่นใจว่าจะชําระเงินได้ในแต่ละเดือนเท่านั้น
ใช้การแจ้งเตือนหรือการชําระเงินอัตโนมัติเพื่อไม่ให้พลาดวันครบกําหนดชําระ
ผลกระทบต่อคะแนนเครดิต
การผิดนัดชําระเงินหรือยอดการใช้ที่สูงเมื่อเทียบกับวงเงิน (หมายถึงการใช้เครดิตสูง) อาจส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตส่วนบุคคลและของธุรกิจ ซึ่งอาจทําให้กู้เงินหรือเจรจาต่อรองเงื่อนไขดีๆ ได้ยาก
วิธีลดความเสี่ยงนี้
ใช้เครดิตไม่เกิน30% ของวงเงิน
ตรวจสอบเครดิตของคุณเป็นประจําเพื่อให้มั่นใจว่ากิจกรรมของคุณได้รับการรายงานอย่างถูกต้อง
การใช้จ่ายมากเกินไป
การเข้าถึงเครดิตอาจทำให้มีความเข้าใจความยืดหยุ่นทางการเงินที่ผิดพลาด นําไปสู่การใช้จ่ายกับสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือสิ่งที่มีความสำคัญต่ำมากเกินไป ซึ่งจะทำให้เสี่ยง โดยเฉพาะหากคุณพึ่งพารายได้ในอนาคตในการชําระยอดบัตร
วิธีลดความเสี่ยงนี้
กําหนดงบประมาณที่เข้มงวดและใช้บัตรเครดิตกับค่าใช้จ่ายทางธุรกิจที่วางแผนไว้แล้วเท่านั้น
ตรวจสอบรายการเดินบัญชีของคุณเป็นประจําเพื่อให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ
การใช้เงินส่วนตัวกับเงินของธุรกิจปนกัน
เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กอาจใช้บัตรเครดิตสำหรับธุรกิจใช้จ่ายส่วนตัว หรือใช้บัตรเครดิตส่วนตัวกับค่าใช้จ่ายทางธุรกิจโดยไม่ตั้งใจได้ง่าย ซึ่งจะทำให้การทําบัญชียุ่งยาก อาจนําไปสู่ปัญหาด้านภาษี และทําให้เจ้าของบริษัทสูญเสียการจำกัดความรับผิด
วิธีลดความเสี่ยงนี้
กำหนดบัตรเครดิตหนึ่งใบสำหรับการใช้จ่ายทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว
ใช้เครื่องมือติดตามค่าใช้จ่ายหรือแอปที่แยกการซื้อส่วนบุคคลและธุรกิจออกจากกัน
ค่าธรรมเนียมและบทลงโทษ
บัตรเครดิตสําหรับธุรกิจมักมีค่าธรรมเนียม เช่น ค่าธรรมเนียมสมาชิกรายปี ค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่างประเทศ และบทลงโทษสําหรับการชําระเงินที่ล่าช้า การไม่เข้าใจเงื่อนไขบัตรอย่างถ่องแท้ อาจลดทอนผลกำไรของคุณได้
วิธีลดความเสี่ยงนี้
เลือกบัตรที่มีค่าธรรมเนียมซึ่งตรงกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณ หากคุณทำธุรกิจกับต่างประเทศ ให้หลีกเลี่ยงบัตรที่มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่างประเทศสูง
อ่านข้อกําหนดและเงื่อนไขอย่างละเอียดก่อนสมัครใช้งาน
ความเสี่ยงด้านการฉ้อโกงและความปลอดภัย
แม้ว่าบัตรเครดิตมักจะมีการป้องกันการฉ้อโกงที่แข็งแกร่ง แต่ธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตก็ยังเป็นปัญหาต่อการดําเนินธุรกิจของคุณได้
วิธีลดความเสี่ยงนี้
ตรวจสอบรายการเดินบัญชีของคุณเป็นประจําเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัย
ใช้บัตรที่มีการตรวจจับการฉ้อโกงที่รัดกุมและคุ้มครองความรับผิด
เลือกใช้บัตรเสมือนหรือคุณสมบัติความปลอดภัยขั้นสูงสําหรับทำธุรกรรมออนไลน์
มีโอกาสที่จะพึ่งการใช้บัตรมากเกินไป
การใช้บัตรเครดิตมากเกินไปอาจทำให้ไม่เห็นปัญหาเกี่ยวกับกระแสเงินสดที่ซ่อนอยู่ หรืออาจทำให้คิดว่ามีเสถียรภาพทางการเงินในเวลาที่รายรับไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจทําให้เกิดปัญหาด้านการเงินที่ใหญ่ขึ้นได้
วิธีลดความเสี่ยงนี้
ใช้บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือสํารอง ไม่ใช่แหล่งเงินทุนหลัก
สำรองเงินสดไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน
ความคุ้มครองที่จำกัดสำหรับการรับประกันโดยบุคคล
บัตรเครดิตสําหรับธุรกิจส่วนใหญ่ต้องมีการค้ำประกันโดยบุคคล ซึ่งหมายความว่าคุณเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สิน หากธุรกิจของคุณอยู่ในสภาวะลำบากหรือปิดตัวลง สินทรัพย์ส่วนบุคคลของคุณอาจมีความเสี่ยง
วิธีลดความเสี่ยงนี้
เป็นหนี้ในจำนวนที่มั่นใจว่าธุรกิจของคุณจะรับมือได้
มองหาบัตรแบบองค์กรที่ไม่ต้องรับประกันโดยบุคคล หากธุรกิจของคุณสามารถสมัครได้
รางวัลที่ไม่สอดคล้อง
แม้ว่าโปรแกรมรางวัลจะน่าดึงดูด แต่ก็อาจกระตุ้นการใช้จ่ายในแบบที่ไม่เป็นประโยชน์กับธุรกิจของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้จ่ายมากเกินไปเพื่อให้ได้โบนัสจากการสมัคร หรือใช้บัตรกับการซื้อที่ไม่ช่วยให้ได้รางวัลสูงสุด
วิธีลดความเสี่ยงนี้
เน้นการรับรางวัลจากการใช้จ่ายตามแผน
เลือกโครงสร้างรางวัลที่ตอบสนองพฤติกรรมการใช้จ่ายของธุรกิจคุณ
จะใช้กลวิธีใดให้ธุรกิจได้สิทธิประโยชน์บัตรเครดิตสูงสุด
การใช้บัตรเครดิตอย่างมีกลยุทธ์จะช่วยเพิ่มผลกําไรและปกป้องคุณจากข้อผิดพลาดทางการเงิน ต่อไปนี้คือวิธีการใช้ประโยชน์สูงสุดจากบัตรเครดิตของธุรกิจคุณ
กำหนดเวลาการซื้อมูลค่ามากเพื่อรับโบนัส: โบนัสจากการสมัครมักกำหนดให้คุณมียอดใช้จ่ายตามกำหนดเร็วๆ ดังนั้น ให้วางแผนใช้บัตรใบใหม่กับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ เช่น สินค้าคงคลังและอุปกรณ์เพื่อทำยอด หากยอดยังขาดอยู่เล็กน้อย ให้ใช้วิธีชำระค่าใช้จ่ายตามแบบแผนล่วงหน้า เช่น การชําระค่าซอฟต์แวร์ตามรอบบิลเพื่อปิดยอดให้ครบ
ใช้สิทธิพิเศษที่ช่วยประหยัดเงิน: บัตรหลายใบให้เครดิตสำหรับสิ่งที่คุณใช้จ่ายอยู่แล้ว (เช่น การโฆษณา การจัดส่งสินค้า ซอฟต์แวร์ธุรกิจ) และอาจให้เครดิตการเดินทางประจำปีหรือค่าสมาชิกฟรีด้วย สิทธิพิเศษเหล่านี้เป็นส่วนลดที่คุณไม่ต้องต่อรอง
รับรางวัลจากการใช้จ่ายของพนักงาน: หากทีมของคุณมีการเดินทาง เลี้ยงลูกค้า หรือซื้อวัสดุอุปกรณ์ ให้ทีมของคุณใข้บัตรเครดิตพนักงานที่ผูกกับบัญชีของคุณ การใช้จ่ายจากบัตรเหล่านั้นช่วยสะสมรางวัลได้ และคุณสามารถควบคุมการใช้จ่ายด้วยการกำหนดวงเงินและติดตามค่าใข้จ่าย
หลีกเลี่ยงการค้างชำระ รางวัลบัตรเครดิตจะหมดความหมายหากคุณต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย แนะนำให้ชําระยอดใข้จ่ายเต็มจำนวนในแต่ละเดือน หากคุณทราบว่าค่าใข้จ่ายก้อนใหญ่จะใช้เวลานานในการชำระเงินคืน ให้พิจารณาใช้บัตรที่มี APR เริ่มต้น 0% และวางแผนชำระหนี้ให้หมดก่อนที่จะมีการคิดดอกเบี้ย
อย่าปล่อยให้รางวัลหมดอายุ ตรวจสอบวันหมดอายุของคะแนนหรือไมล์เพื่อไม่ให้เสียเปล่า หากคุณไม่ได้เดินทางบ่อย ให้มองหาตัวเลือกการแลกรางวัลที่ยืดหยุ่น เช่น เครดิตเงินคืนและเครดิตในรายการเดินบัญชี
รับความคุ้มครอง: ใช้บัตรของคุณจ่ายค่าเดินทางหรือใช้กับการซื้อของมูลค่าสูงเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองต่างๆ เช่น ประกันภัย การขยายระยะเวลารับประกัน และการคุ้มครองการซื้อ สิทธิพิเศษเหล่านี้ช่วยคุณประหยัดได้หลายพันดอลลาร์หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณรู้วิธีใช้มัน
ซิงก์กับเครื่องมือทําบัญชีของคุณ: บัตรเครดิตของธุรกิจส่วนใหญ่จะผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์ เช่น QuickBooks หรือ Xero ซึ่งช่วยให้ทำบัญชีไเร็วขึ้นและช่วยให้คุณเห็นแนวโน้มการใช้จ่ายเพื่อปรับงบประมาณหรือสลับการใช้บัตรได้หากจําเป็น
แลกรางวัลอย่างมีกลยุทธ์: รางวัลแต่ละอย่างมีค่าไม่เท่ากัน การจองโรงแรมและเที่ยวบินมักจะให้มูลค่าต่อคะแนนดีที่สุด ให้หาข้อมูลว่าจะใช้คะแนนให้ได้ประโยชน์สูงสุดไอย่างไร
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ