การเปรียบเทียบระหว่างเงินทุนดำเนินงานกับเงินทุนหมุนเวียน ความหมายและเวลาที่ต้องให้ความสำคัญกับแต่ละประเภท

Capital
Capital

Stripe Capital ให้คุณเข้าถึงการจัดหาเงินทุนที่ยืดหยุ่นและรวดเร็วเพื่อการจัดการกระแสเงินสดและลงทุนกับการเติบโต

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. เงินทุนหมุนเวียนคืออะไร
  3. เงินทุนดำเนินงานคืออะไร
  4. ความแตกต่างระหว่างเงินทุนดำเนินงานกับเงินทุนหมุนเวียนคืออะไร
    1. ขอบเขต
    2. จุดประสงค์
    3. การใช้งานทางธุรกิจ
  5. ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับเงินทุนดำเนินงานเมื่อใด
    1. คุณกำลังขยายหรือเพิ่มขนาดธุรกิจ
    2. คุณกำลังปรับปรุงเครื่องมือทางธุรกิจ
  6. ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับเงินทุนหมุนเวียนเมื่อใด
    1. กระแสเงินสดเริ่มติดขัด
    2. ธุรกิจกำลังเข้าสู่ช่วงขาลงหรือช่วงซบเซา
    3. ยอดขายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผกผันกับเงินสด
    4. การจัดหาเงินทุนมีราคาสูงหรือหาได้ยาก
    5. เกิดโอกาสเชิงกลยุทธ์ขึ้น
  7. วิธีที่ธุรกิจสามารถปรับปรุงเงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนดำเนินงาน

เงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนดำเนินงานถือเป็นศูนย์กลางของธุรกิจที่ดำเนินไปได้ ซึ่งรวมถึงวิธีการเคลื่อนย้ายเงิน การจัดการความเสี่ยง และมีผลต่อการเติบโตหรือการหยุดชะงัก แม้ว่าเงินทุนทั้งสองรูปแบบนี้จะสะท้อนถึงส่วนที่แตกต่างกันในกลยุทธ์ทางการเงินของธุรกิจ แต่ก็มักจะถูกเข้าใจผิดหรือจำสับสนกัน การทำความเข้าใจว่าสิ่งดังกล่าวทำงานอย่างไร แตกต่างกันอย่างไร และเมื่อใดจึงควรให้ความสนใจถือเป็นสิ่งสำคัญ ด้านล่างนี้ คุณจะพบการเปรียบเทียบที่ชัดเจนระหว่างเงินทุนหมุนเวียนกับเงินทุนดำเนินงาน อีกทั้งจะได้เรียนรู้ว่าแต่ละอย่างส่งผลต่อวิธีการดำเนินธุรกิจ การปฏิบัติงาน และการขยายธุรกิจอย่างไร

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • เงินทุนหมุนเวียนคืออะไร
  • เงินทุนดำเนินงานคืออะไร
  • ความแตกต่างระหว่างเงินทุนดำเนินงานกับเงินทุนหมุนเวียนคืออะไร
  • ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับเงินทุนดำเนินงานเมื่อใด
  • ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับเงินทุนหมุนเวียนเมื่อใด
  • วิธีที่ธุรกิจสามารถปรับปรุงเงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนดำเนินงาน

เงินทุนหมุนเวียนคืออะไร

เงินทุนหมุนเวียนคือเงินที่ธุรกิจมีไว้เพื่อใช้ในการดำเนินการในแต่ละวัน โดยครอบคลุมสิ่งพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินให้กับพนักงานและซัพพลายเออร์ การเติมสินค้าคงคลัง และการจัดการเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในระยะสั้น เงินทุนหมุนเวียนจะแสดงข้อมูลว่าคุณมีทรัพยากรสภาพคล่องเพียงพอสำหรับจัดการกับภาระผูกพันในระยะสั้นและใช้ประโยชน์จากโอกาสได้หรือไม่ หรือคุณมีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน หากคุณมีเงินทุนมากเกินไป คุณอาจจะเก็บเงินทุนที่ไม่ได้ใช้ไว้เฉยๆ ซึ่งจริงๆ สามารถนำไปลงทุนใหม่ในที่อื่นได้ หากคุณมีเงินทุนน้อยเกินไป คุณอาจเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ตามภาระผูกพันปัจจุบัน

ในการคำนวณเงินทุนหมุนเวียน ให้ลบหนี้สินหมุนเวียนออกจากสินทรัพย์หมุนเวียนของตนเอง

สินทรัพย์หมุนเวียนมีดังนี้

  • เงินสดและสิ่งเทียบเท่า

  • บัญชีลูกหนี้การค้า (เช่น ใบแจ้งหนี้ที่ลูกค้าค้างชำระ)

  • สินค้าคงคลังที่คาดว่าจะขายภายในปีปัจจุบัน

หนี้สินหมุนเวียนมีดังนี้

  • เจ้าหนี้การค้า

  • เงินกู้ระยะสั้น

  • ค่าใช้จ่ายคงค้าง (เช่น ใบเรียกเก็บภาษีที่ใกล้ถึงกำหนด)

หากสินทรัพย์ของคุณมีมูลค่ามากกว่าหนี้สิน คุณจะมีเงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นสัญญาณของความเสถียรภาพ ทว่าหากสถานการณ์เป็นไปในทางกลับกัน คุณจะมีเงินทุนหมุนเวียนติดลบ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนได้

นอกจากนี้ การติดตามการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละช่วงเวลาก็มีความสำคัญเช่นกัน จำนวนเงินทุนที่ลดลงอาจมาจากเหตุการณ์ต่อไปนี้

  • ลูกค้าใช้เวลาในการชำระเงินนานกว่าปกติ

  • คุณมีสินค้าคงคลังมากเกินไป

  • ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ายอดขาย

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ปรากฏในสูตรเงินทุนหมุนเวียนโดยตรง แต่ทั้งหมดก็ส่งผลต่อยอดรวม

เงินทุนดำเนินงานคืออะไร

ในขณะที่เงินทุนหมุนเวียนคือสิ่งที่ประเมินสภาพคล่องและกระแสเงินสดในขณะนั้น เงินทุนดำเนินงาน (ย่อมาจากเงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินงาน) จะเป็นเงินทุนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานหลัก

เงินทุนดำเนินงานไม่รวมสิ่งต่อไปนี้

  • เงินสดและสิ่งเทียบเท่าเงินสด

  • การลงทุนระยะสั้น

  • หนี้ระยะสั้น

คุณอาจมีเงินทุนหมุนเวียนที่มั่นคง (กล่าวคือ มีสภาพคล่องเพียงพอ) แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างหากคุณไม่ได้ลงทุนในสินค้าคงคลังอย่างเพียงพอหรือมียอดขายเข้ามาไม่เพียงพอ

ในทางกลับกัน คุณอาจมีสินทรัพย์มากมายแต่มีเงินสดเพียงเล็กน้อย โดยเงินทั้งหมดของคุณผูกติดอยู่กับสินค้าคงคลังและไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะจัดการกับความต้องการในระยะสั้น ความไม่สมดุลนั้นอาจสร้างอุปสรรคหรือเข้าไปขัดขวางโมเมนตัม

เงินทุนหมุนเวียนช่วยให้คุณมองเห็นว่าธุรกิจอยู่ในตำแหน่งที่ดีเพียงใดในการดำเนินต่อไปได้เหมือนในปัจจุบัน สิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการมีทุนที่เหมาะสมในสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในช่วงเวลาหนึ่ง

ความแตกต่างระหว่างเงินทุนดำเนินงานกับเงินทุนหมุนเวียนคืออะไร

เงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนดำเนินงานมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด แต่มีหน้าที่ที่แตกต่างกันและสะท้อนถึงการวัดสถานะทางการเงินของธุรกิจที่แตกต่างกัน

  • เงินทุนหมุนเวียนเกี่ยวข้องกับสภาพคล่อง: คุณมีเงินสด (หรือสิ่งเทียบเท่าเงินสด) เพียงพอสำหรับการดำเนินการตามภาระผูกพันซึ่งหน้าหรือไม่

  • เงินทุนดำเนินงานเกี่ยวข้องกับกำลังการผลิต: คุณมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปและเติบโตได้หรือไม่

ต่อไปนี้คือรายละเอียดเพิ่มเติมว่าข้อกำหนดเหล่านี้แตกต่างกันอย่างไร

ขอบเขต

เงินทุนหมุนเวียนเป็นภาพรวมของความสามารถในการชำระหนี้ในระยะสั้น ซึ่งรวมถึงเงินสด สินค้าคงคลัง ลูกหนี้การค้า และใบเรียกเก็บเงินที่ใกล้ครบกำหนดชำระ

เงินทุนดำเนินงานเป็นภาพสะท้อนอย่างใกล้ชิดว่าการดำเนินงานประจำวันส่งผลต่อสภาพคล่องอย่างไร สิ่งดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนหมุนเวียน แต่เงินทุนหมุนเวียนยังรวมถึงเงินสดและการลงทุนระยะสั้น

จุดประสงค์

เงินทุนหมุนเวียนจะให้ข้อมูลว่าธุรกิจสามารถจัดการกับภาระผูกพันทางการเงินในระยะสั้น เช่น การจ่ายเงินให้กับผู้ขาย การจ่ายเงินเดือน หรือการเติมสินค้าคงคลังได้หรือไม่

เงินทุนดำเนินงานแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีเงินทุนในการดำเนินงานในแต่ละวันมากน้อยแค่ไหน

การใช้งานทางธุรกิจ

ทีมการเงินติดตามตรวจสอบเงินทุนหมุนเวียนอย่างใกล้ชิดเพื่อวัดระดับกระแสเงินสดและความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง โดยจะได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงการวางแผน การลงทุน หรือการขยายธุรกิจ ซึ่งเป็นช่วงที่คุณกำลังตัดสินใจว่าจะสร้าง ซื้อ หรืออัปเกรดอะไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

เงินทุนดำเนินงานจะไม่รวมการตัดสินใจทางการเงิน จึงสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็วขึ้นอยู่กับระยะเวลาการชำระเงินของลูกค้า ข้อกำหนดของซัพพลายเออร์ หรือระดับสินค้าคงคลัง

เป้าหมายคือการสร้างสมดุลระหว่างเงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนดำเนินงาน หากคุณมีเงินทุนก้อนใดก้อนหนึ่งน้อยเกินไป ธุรกิจอาจมีความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักในระยะสั้นได้

ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับเงินทุนดำเนินงานเมื่อใด

เงินทุนดำเนินงานมีความสำคัญมากที่สุดเมื่อคุณให้ความสนใจกับการสร้างหรือการขยายธุรกิจหลักของตนเอง ซึ่งได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือ และความสามารถที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานและการเติบโต ต่อไปนี้คือเวลาอันสมเหตุสมผลที่จะให้ความสำคัญกับเงินทุนดำเนินงานเป็นอันดับแรก

คุณกำลังขยายหรือเพิ่มขนาดธุรกิจ

การเปิดสถานที่ดำเนินธุรกิจใหม่ การเพิ่มสายผลิตภัณฑ์ หรือการเข้าสู่ตลาดใหม่ ล้วนต้องใช้การลงทุนจำนวนมาก คุณควรต้องมีสิ่งต่อไปนี้

  • อุปกรณ์

  • การปรับปรุงพื้นที่ภายในอสังหาริมทรัพย์

  • การอัปเกรดเทคโนโลยี

  • โครงสร้างพื้นฐานใหม่ด้านโลจิสติกส์หรือการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ

สิ่งเหล่านี้เป็นการเดิมพันเกี่ยวกับความสามารถในการปฏิบัติงานในระยะยาว และต้องมีฐานเงินทุนดำเนินงานที่มั่นคง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณยังคงสามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันในระยะสั้นของตนเองได้

คุณกำลังปรับปรุงเครื่องมือทางธุรกิจ

บางครั้ง การปรับปรุงก็สำคัญกว่าการเติบโต การอัปเกรดสายการผลิตที่ล้าสมัยหรือการลงทุนในระบบอัตโนมัติอาจไม่ส่งผลต่อการดำเนินงานของคุณ แต่สามารถปรับปรุงผลผลิต ลดต้นทุนต่อหน่วย และเพิ่มเวลาว่างให้กับพนักงานเพื่อให้สามารถทำงานที่มีมูลค่าสูงกว่าได้

การลงทุนเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน แต่จะไปเพิ่มภาระให้กับเงินทุนดำเนินงานที่มีอยู่

เงินทุนดำเนินงานช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้ในทุกวัน แม้แต่ในช่วงที่มีการเติบโตสูง

ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับเงินทุนหมุนเวียนเมื่อใด

เงินทุนหมุนเวียนจะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อคุณมีเป้าหมายเป็นความยืดหยุ่นและสภาพคล่อง หากธุรกิจของคุณมีเงินสดไม่เพียงพอหรือเผชิญกับความผันผวน คุณจะต้องติดตามตรวจสอบเงินทุนหมุนเวียนอย่างใกล้ชิด มาดูกันว่าเมื่อใดจึงควรให้ความสนใจกับเงินทุนดังกล่าวอย่างเต็มที่

กระแสเงินสดเริ่มติดขัด

หากเริ่มรู้สึกว่าการจ่ายเงินเดือน การจ่ายค่าเช่า หรือการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์เป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูง คุณอาจกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจกำลังมีปัญหาเสมอไป แต่อาจหมายถึง

  • ลูกค้าชำระเงินช้ากว่าปกติ

  • ปล่อยสินค้าคงคลังออกได้ช้ากว่าที่คาดไว้

  • ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายรับ

ในกรณีเหล่านี้ คุณต้องเพิ่มสภาพคล่องให้รวดเร็วที่สุด

ธุรกิจกำลังเข้าสู่ช่วงขาลงหรือช่วงซบเซา

ในช่วงเศรษฐกิจซบเซาหรือช่วงฤดูกาลที่ไม่คึกคัก รายรับอาจลดลงได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น การดำเนินการที่ชาญฉลาดที่สุดคือการใช้เงินสดที่คุณมีให้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งอาจหมายถึง

  • ลดจำนวนคำสั่งซื้อสินค้าคงคลัง

  • เลื่อนเวลาการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

  • กันเงินสำรองไว้ในปริมาณมาก

เป้าหมายคือการจัดการให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างคงที่โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากภายนอก

ยอดขายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผกผันกับเงินสด

ไม่น่าเชื่อว่าการเติบโตนั้นสามารถสร้างภาระให้กับเงินทุนหมุนเวียนได้ หากยอดขายเพิ่มขึ้น คุณอาจต้องดำเนินการดังนี้

  • ซื้อสินค้าคงคลังเพิ่มเติม

  • จ้างพนักงานมากขึ้น

  • รับภาระการชำระเงินล่าช้าจากลูกค้าใหม่

สถานการณ์เหล่านี้แต่ละอย่างล้วนกินเงินสดไปก่อนที่รายรับจะเข้าบัญชีจริง หากคุณไม่บริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างรอบคอบ การเติบโตอาจส่งผลเสียต่อสภาพคล่องได้

การจัดหาเงินทุนมีราคาสูงหรือหาได้ยาก

เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงหรือผู้ให้กู้ยกเลิกการให้กู้ เงินทุนจากภายนอกจะมีราคาแพงขึ้นหรือหาได้น้อยลง ดังนั้นกระแสเงินสดภายในจึงต้องแบกรับภาระให้ได้มากขึ้น การบริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้คุณดำเนินการต่อไปนี้

  • หลีกเลี่ยงเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสูง

  • ใช้วงเงินสินเชื่อน้อยลง

  • ควบคุมเวลาและความเสี่ยงได้มากขึ้น

เกิดโอกาสเชิงกลยุทธ์ขึ้น

บางครั้ง เวลาก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ การมีความยืดหยุ่นและเงินทุนในการดำเนินการในขณะนั้นสามารถมอบความได้เปรียบอย่างมีนัยสำคัญได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อ

  • มีอุปกรณ์ให้เลือกซื้อโดยมีส่วนลด

  • คู่แข่งกำลังขายสินทรัพย์

  • อัตราดอกเบี้ยเอื้ออำนวยต่อการซื้อมูลค่าสูง

เงินทุนหมุนเวียนควรอยู่ในวิสัยทัศน์ของคุณอยู่เสมอ แต่จะกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเมื่อความเสี่ยงด้านสภาพคล่องเพิ่มขึ้น คุณจะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งดังกล่าวก่อนหากมีความเสี่ยงด้านความสามารถในการชำระใบเรียกเก็บเงิน การเติมสินค้า หรือการดำเนินการโดยไม่หยุดชะงัก

วิธีที่ธุรกิจสามารถปรับปรุงเงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนดำเนินงาน

เงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนดำเนินงานอาจมีวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน แต่การปรับปรุงมักจะเริ่มต้นด้วยหลักการเดียวกัน นั่นก็คือ การนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนำเงินทุนใหม่มาใช้อย่างมีเจตจำนง ต่อไปนี้คือวิธีเสริมความแข็งแกร่งให้กับเงินทุนทั้งสองประเภทโดยไม่ต้องแก้ไขอะไรมากเกินไป

  • เพิ่มความเร็วในกระบวนการลูกหนี้: ทำให้ลูกค้าชำระเงินให้คุณได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงการปรับข้อกำหนดในการชำระเงินให้เข้มงวดยิ่งขึ้น การมอบแรงจูงใจในการชำระเงินล่วงหน้า หรือการนำระบบที่ดีกว่ามาใช้ ทั้งนี้ Stripe Invoicing ช่วยให้รับเงินได้ง่าย โดยมักจะใช้เวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง

  • จัดการเจ้าหนี้อย่างมีเจตจำนง: ใช้ประโยชน์จากข้อกำหนดในการชำระเงินที่ตกลงกันไว้อย่างเต็มที่ และเจรจาขอเงื่อนไขที่ยาวนานขึ้นหากทำได้ หากใช้ในเชิงกลยุทธ์ บัญชีเจ้าหนี้ก็สามารถรับหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ในระยะสั้นได้โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับผู้ขาย

  • ลดสินค้าคงคลังส่วนเกิน: สินค้าคงคลังจะกินเงินสดไปเปล่าๆ หากขายออกไม่ได้ ติดตามอัตราการหมุนเวียน ลดสินค้าคงคลังที่ขายออกช้า และหลีกเลี่ยงการสั่งซื้อมากเกินไป การจัดการสินค้าคงคลังให้คล่องตัวยิ่งขึ้นจะช่วยให้เหลือเงินสดมากขึ้น และกระชับวงจรเงินทุนหมุนเวียน

  • ควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน: วิเคราะห์การใช้จ่ายเพื่อดูว่าเงินสูญหายไปที่ใดบ้าง เช่น การชำระเงินตามรอบบิลที่ไม่ได้ใช้งาน ผู้ขายที่มีราคาสูงเกินจริง หรือขั้นตอนที่มากเกินไป เงินทุกบาททุกสตางค์ที่คุณประหยัดได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานจะช่วยเสริมสร้างเงินทุนหมุนเวียน

  • ทำให้เป็นระบบอัตโนมัติหากทำได้: เครื่องมือที่ทำให้การติดตามบัญชีลูกหนี้ เจ้าหนี้ และค่าใช้จ่ายกลายเป็นระบบอัตโนมัตินั้นสามารถช่วยให้เงินทุนเกิดการไหลเวียน และขจัดปัญหาคอขวดที่ต้องดำเนินการด้วยตนเอง ยิ่งคุณจัดการวงจรเงินสดได้แม่นยำมากเท่าใด สถานะเงินทุนหมุนเวียนของคุณก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

  • แบ่งขั้นตอนการใช้จ่ายอย่างมีกลยุทธ์: ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกอย่างในทันที การเช่าอุปกรณ์หรือการแบ่งชำระเงินตามอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์จะช่วยรักษาเงินทุนไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็ยังให้คุณเข้าถึงทรัพยากรที่ต้องการได้

  • _ส่งเสริมประสิทธิภาพ: _ ขั้นตอนที่ราบรื่นมากขึ้น การจัดซื้อที่ชาญฉลาดมากขึ้น หรือระบบอัตโนมัติสามารถลดปริมาณเงินทุนที่คุณต้องใช้ในการดำเนินงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การลดอัตราส่วนเงินทุนต่อผลผลิตจะทำให้เงินทุกบาททุกสตางค์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น

  • วางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับความต้องการเงินทุน: วางแผนการลงทุนที่คาดการณ์ไว้ 12–36 เดือน (เช่น อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ การจ้างงาน พื้นที่) ในการวางแผนเงินทุน การดำเนินการเชิงรุกจะช่วยลดโอกาสที่ต้องตะเกียกตะกายหรือทำอะไรเกินกำลังในช่วงระยะการเติบโต

  • ใช้การจัดหาเงินทุนระยะสั้นเมื่อมีความเหมาะสม: หากเกิดภาวะขาดแคลนเงินสดชั่วคราวหรือมีความจำเป็นต้องลงทุนก่อนที่จะมีรายรับเข้ามา ตัว Stripe Capital เองก็เสนอการเข้าถึงเงินทุนที่รวดเร็วและยืดหยุ่น

การปรับปรุงเงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนดำเนินงานช่วยให้คุณมีเวลาให้พอให้วางใจ ธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุดจะบริหารเงินสดอย่างเข้มงวดเพียงพอที่จะรักษาความคล่องตัว ในขณะที่ลงทุนอย่างชาญฉลาดเพียงพอที่จะสร้างการเติบโตต่อไป

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Capital

Capital

Stripe Capital ให้คุณเข้าถึงการจัดหาเงินทุนที่ยืดหยุ่นและรวดเร็วเพื่อการจัดการกระแสเงินสดและลงทุนกับการเติบโต

Stripe Docs เกี่ยวกับ Capital

ดูว่า Stripe Capital จะช่วยคุณพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างไร