การชําระเงินแบบ ACH คือธุรกรรมที่ใช้เครือข่ายสํานักหักบัญชีอัตโนมัติ (ACH) เพื่อโอนเงินระหว่างธนาคารทางแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบนี้โอนเงินจํานวน $80.1 ล้านล้านในปี 2023 เพื่ออํานวยความสะดวกทั้งการฝากและการหักบัญชี การชําระเงินแบบ ACH มักใช้สําหรับบัญชีเงินเดือน การชําระเงินตามใบเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ และการคืนเงินภาษี
ต่อไปนี้คือข้อมูลแบบละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทํางานของการชําระเงินแบบ ACH
การเริ่มต้น: ผู้ริเริ่ม (เช่น นายจ้างหรือบริษัทสาธารณูปโภค) เริ่มกระบวนการชำระเงินโดยการส่งรายการ ACH ไปยังธนาคารของตน
การรวมกลุ่ม: ธนาคารต้นทางจะรวบรวมธุรกรรมเหล่านี้เป็นกลุ่ม และส่งไปยังผู้ให้บริการ ACH (ซึ่งอาจเป็นธนาคารกลางสหรัฐหรือสำนักหักบัญชี) เป็นระยะๆ
การประมวลผล: ผู้ให้บริการ ACH จะประมวลผลกลุ่มธุรกรรมและส่งรายการไปที่ธนาคารของผู้รับ
การชําระเงิน: ระบบจะโอนเงินทุนเข้าหรือหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้รับ ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้เวลา 1-3 วันทําการ
โดยทั่วไปการชําระเงินแบบ ACH จะมีค่าธรรมเนียมการประมวลผลต่ํากว่าบัตรเครดิตมาก จึงเป็นตัวเลือกที่มีต้นทุนต่ําสําหรับการชําระเงินทั่วไปและการชําระเงินเป็นกลุ่ม วิธีนี้ยังถือว่าปลอดภัยและอยู่ภายใต้การกํากับดูแลโดยระเบียบข้อบังคับของ Nacha อีกด้วย ด้านล่างนี้เราจะอธิบายวิธีทํางานของการประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH รวมถึงวิธีตั้งค่าการชําระเงินแบบ ACH และวิธีแก้ไขปัญหาการชําระเงินที่พบบ่อย
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การชําระเงินแบบ ACH ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ใด
- การประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH มีวิธีการทำงานอย่างไร
- มาตรการรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH
- ประโยชน์ในการใช้การชําระเงินแบบ ACH ด้วย Stripe
- วิธีตั้งค่าการชําระเงินแบบ ACH กับ Stripe
- การแก้ปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับการชําระเงินแบบ ACH
การชําระเงินแบบ ACH ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ใด
การชําระเงินแบบ ACH เป็นที่รู้จักกันดีว่าประสิทธิภาพการประมวลผลที่รวดเร็ว และต้นทุนต่ําในการจัดการธุรกรรมจํานวนมาก แม้ว่าจะปกติแล้วจะใช้ในสหรัฐอเมริกา แต่คุณสามารถส่งการชําระเงินแบบ ACH จากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศอื่นๆ ได้ด้วยการโอนเงินแบบ ACH ระหว่างประเทศ วิธีนี้และยังเป็นวิธีที่ลูกค้าเลือกใช้สําหรับธุรกรรมทางการเงินหลายประเภทอีกด้วย
การฝากบัญชีแบบ ACH
การฝากบัญชีแบบ ACH คือการส่งเงินไปยังบัญชีธนาคาร โดยมักใช้สําหรับการดำเนินการดังต่อไปนี้
การฝากเงินค่าจ้างเข้าบัญชีอัตโนมัติ: นายจ้างใช้ ACH ในการโอนเงินเดือนทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบัญชีธนาคารของพนักงานโดยตรง
การชําระเงินจากรัฐบาล: รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ ACH เพื่อเบิกจ่ายสวัสดิการประกันสังคม การคืนเงินภาษี และการชําระเงินอื่นๆ ให้แก่ประชาชน
การหักบัญชีแบบ ACH
การหักบัญชีแบบ ACH คือการเคลื่อนย้ายเงินออกจากบัญชีธนาคาร โดยมักใช้สําหรับการดำเนินการดังต่อไปนี้
ธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) บริษัทมักจะใช้ ACH ในการชําระเงินให้แก่ผู้ให้บริการหรือซัพพลายเออร์
การจ่ายบิลออนไลน์: ผู้คนมักจะตั้งค่าการชําระเงินแบบ ACH อัตโนมัติสําหรับการเรียกเก็บเงินตามรอบ เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่า ค่าเทอม รถยนต์ หรือการชําระหนี้
การจ่ายภาษี: ธุรกิจและบุคคลทั่วไปใช้ ACH เพื่อชําระภาษีให้กับหน่วยงานด้านภาษีโดยตรง
ธุรกรรมออนไลน์ ลูกค้าใช้ ACH ในการชําระเงินเพื่อการจับจ่ายออนไลน์ โดยเฉพาะสําหรับการเรียกเก็บเงินตามรอบ เช่น การสมัครใช้บริการ การบริจาค และการเป็นสมาชิก
การชําระเงินแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P): Venmo, PayPal และบริการอื่นๆ ใช้ ACH เพื่ออํานวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารของบุคคลทั่วไป
การประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH มีวิธีการทำงานอย่างไร
การประมวลผลการชําระเงิน ACH ประกอบด้วยหลายขั้นตอนระหว่างผู้ริเริ่มการชําระเงิน, สถาบันการเงินของผู้ริเริ่ม, ผู้ให้บริการ ACH และสถาบันการเงินของผู้รับ ต่อไปนี้คือภาพรวมแบบทีละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH
การฝากบัญชีแบบ ACH
การเริ่มต้นธุรกรรม: กระบวนการเริ่มต้นเมื่อผู้ริเริ่ม (โดยทั่วไปเป็นบริษัทหรือหน่วยงานของรัฐ) ต้องการส่งเงินไปยังบัญชีธนาคารอื่น ในการเริ่มทำธุรกรรม ผู้ริเริ่มต้องได้รับอนุญาตจากผู้รับในรูปแบบของข้อตกลงที่ลงนาม ข้อตกลงด้วยวาจาที่บันทึกไว้ หรือการยอมรับเงื่อนไขทางออนไลน์
การส่งธุรกรรม: ผู้ริเริ่มส่งรายละเอียดธุรกรรมไปยังธนาคารของตน ซึ่งเรียกว่าสถาบันการเงินที่รับฝากเงินต้น (ODFI) รายละเอียดเหล่านี้มักจะประกอบด้วยจํานวนของธุรกรรม รายละเอียดบัญชีธนาคารของผู้รับ และวันที่ที่ควรจะโอนเงิน
การรวมกลุ่มธุรกรรม: ODFI รวมคําขอ ACH หลายรายการไว้เป็นกลุ่ม จากนั้นกลุ่มธุรกรรมเหล่านี้จะถูกส่งไปยังผู้ให้บริการ ACH (ซึ่งอาจเป็นธนาคารกลางสหรัฐหรือสำนักหักบัญชี) รายใดรายหนึ่งในเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
การหักยอดธุรกรรม: ผู้ให้บริการ ACH ได้รับกลุ่มรายการ ACH จาก ODFI จํานวนมาก โดยจะเรียงลำดับธุรกรรมและเพื่อให้ธนาคารของผู้รับชำระเงินหรือสถาบันการเงินที่รับฝากเงิน (RDFI) เข้าถึงได้
การนำส่งธุรกรรม: RDFI ได้รับรายการ ACH สําหรับเจ้าของบัญชี จากนั้น RDFI จะประมวลผลรายการเหล่านี้และอัปเดตยอดคงเหลือในบัญชี โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ลงรายการธุรกรรมการฝากบัญชีไปยังบัญชีที่ถูกต้องแล้ว
การยืนยันธุรกรรมและการชําระเงิน: เมื่อ RDFI ประมวลผลธุรกรรมแล้ว ระบบจะโอนเงินเข้าบัญชีของผู้รับ ซึ่งโดยปกติแล้วจะดําเนินการภายใน 1-3 วันทําการหลังจากเริ่มทําธุรกรรม การชำระเงินหรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนจริงระหว่างธนาคารจะเกิดขึ้นผ่านบัญชีของธนาคารกลางสหรัฐ
การแจ้งเตือนธุรกรรม: หากไม่สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น เงินไม่เพียงพอ ข้อมูลบัญชีไม่ถูกต้อง หรือบัญชีถูกปิด RDFI จะแจ้งให้ ODFI ทราบ จากนั้น ODFI จะแจ้งผู้ริเริ่ม อย่างไรก็ตาม อาจมีค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมที่ไม่สําเร็จ และผู้ริเริ่มอาจต้องจัดการปัญหาและเริ่มทําธุรกรรมอีกครั้ง
การหักบัญชีแบบ ACH
การเริ่มต้นธุรกรรม: กระบวนการจะเริ่มต้นเมื่อผู้ริเริ่ม (ทั้งบริษัทหรือบุคคลทั่วไป) ต้องการเก็บเงินจากบัญชีธนาคารอื่น หากต้องการเริ่มต้นธุรกรรม ผู้ริเริ่มต้องได้รับอนุญาตจากผู้รับก่อน การอนุญาตนี้อาจอยู่ในรูปแบบข้อตกลงที่ลงนาม ข้อตกลงปากเปล่าที่บันทึกไว้ หรือการยอมรับเงื่อนไขทางออนไลน์
การส่งธุรกรรม: ผู้ริเริ่มส่งรายละเอียดธุรกรรมไปยัง ODFI รายละเอียดเหล่านี้มักจะประกอบด้วยจํานวนของธุรกรรม รายละเอียดบัญชีธนาคารของผู้จ่าย และวันที่ที่ควรจะโอนเงิน
การรวมกลุ่มธุรกรรม: ODFI รวมคําขอ ACH หลายรายการเป็นกลุ่มและส่งตามเวลาที่กําหนดไว้ล่วงหน้าตลอดทั้งวันไปยังหนึ่งในผู้ให้บริการ ACH
การหักยอดธุรกรรม: ผู้ให้บริการ ACH ได้รับกลุ่มรายการ ACH จาก ODFI จํานวนมาก โดยจะจัดเรียงธุรกรรมและเปิดให้ RDFI เข้าถึงได้
การนำส่งธุรกรรม: RDFI ได้รับรายการ ACH สําหรับเจ้าของบัญชี จากนั้น RDFI จะประมวลผลรายการเหล่านี้และอัปเดตยอดคงเหลือในบัญชีตามนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าบัญชีที่ถูกหักยอดมีเงินเพียงพอสำหรับธุรกรรม
การยืนยันธุรกรรมและการชําระเงิน: เมื่อ RDFI ประมวลผลธุรกรรม ระบบจะหักเงินจากบัญชีของผู้ชําระเงิน ซึ่งโดยปกติแล้วจะดําเนินการภายใน 1-3 วันทําการหลังจากเริ่มทําธุรกรรม การชำระเงินหรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนจริงระหว่างธนาคารจะเกิดขึ้นผ่านบัญชีของธนาคารกลางสหรัฐ
การแจ้งเตือนธุรกรรม: หากไม่สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น เงินไม่เพียงพอ ข้อมูลบัญชีไม่ถูกต้อง หรือบัญชีถูกปิด RDFI จะแจ้งให้ ODFI ทราบ จากนั้น ODFI จะแจ้งผู้ริเริ่ม อย่างไรก็ตาม อาจมีค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมที่ไม่สําเร็จ และผู้ริเริ่มอาจต้องจัดการปัญหาและเริ่มทําธุรกรรมอีกครั้ง
มาตรการรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH
การรักษาความปลอดภัยให้ธุรกรรม ACH จะปกป้องข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนและป้องกันการฉ้อโกงการชําระเงิน เพื่อคงความถูกต้องสมบูรณ์ของเครือข่าย ACH ต่อไปนี้เป็นภาพรวมเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สําคัญ
การเข้ารหัส: ข้อมูลการชําระเงิน ACH ทั้งหมดได้รับการเข้ารหัสระหว่างส่งและขณะจัดเก็บเพื่อปกป้องข้อมูลธนาคารที่ละเอียดอ่อน (เช่น หมายเลขบัญชีและ Routing Number) จากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่การเข้ารหัสช่วยให้แน่ใจว่า ข้อมูลจะอ่านไม่ได้หากไม่มีคีย์ถอดรหัส
การอนุมัติ: ลูกค้าจะต้องอนุมัติการหักบัญชี ACH อย่างชัดแจ้ง โดยอาจดําเนินการผ่านข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรหรือให้ความยินยอมทางออนไลน์
การป้องกันการฉ้อโกง: สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ ACH ต่างๆ ใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงเพื่อตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยและความพยายามฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น เครื่องมือเหล่านี้จะตรวจสอบธุรกรรมแบบ ACH เพื่อหารูปแบบหรือความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง
การยืนยันบัญชี: สถาบันการเงินใช้บริการเพื่อยืนยันว่าธุรกิจและองค์กรที่เริ่มต้นธุรกรรม ACH ได้รับอนุญาตให้หักเงินจากบัญชีเหล่านั้น คุณสามารถใช้ธุรกรรมทดสอบยอดเล็กเพื่อยืนยันข้อมูลบัญชีและการเป็นเจ้าของก่อนที่จะประมวลผลการชําระเงินในจํานวนที่มากขึ้นได้
นโยบายและขั้นตอนปฏิบัติด้านความปลอดภัย: ในการใช้การชำระเงิน ACH องค์กรจะต้องมีนโยบายความปลอดภัยที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ลดความเสี่ยง และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผล ACH ได้รับการฝึกอบรมให้ระบุและป้องกันการฉ้อโกง และจะมีการดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นปัจจุบันและมีประสิทธิผล
แนวทางปฏิบัติแนะนำ
โปรดปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ธุรกรรมแบบ ACH เพิ่มเติม
การควบคุมโดย 2 บุคคล: ใช้ขั้นตอนปฏิบัติที่ต้องมีบุคคล 2 คนอนุมัติการทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงหรือละเอียดอ่อน
สิทธิ์เข้าถึงแบบจํากัด: จํากัดการเข้าถึงข้อมูลและระบบ ACH เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
รหัสผ่านที่รัดกุม: ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและเปลี่ยนเป็นระยะๆ
การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย: กำหนดให้ใช้การตรวจสอบสิทธิ์รูปแบบที่ 2 (เช่น รหัสที่ส่งไปยังอุปกรณ์เคลื่อนที่) นอกเหนือจากรหัสผ่าน
การอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจํา: อัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ใช้ในการประมวลผล ACH ให้เป็นปัจจุบันเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
แผนรับมือกับเหตุการณ์: มีแผนสําหรับการรับมือกับการละเมิดด้านความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว
ประโยชน์ในการใช้การชําระเงินแบบ ACH ด้วย Stripe
Stripe สามารถประมวลผลธุรกรรมได้หลายประเภท การรับการหักบัญชีแบบ ACH จะช่วยให้ธุรกิจของคุณในหลากหลายวิธี ดังนี้
ค่าธรรมเนียมการประมวลผลที่ลดลง: ค่าธรรมเนียมการประมวลผล ACH นั้นต่ํากว่าค่าธรรมเนียมการประมวลผลบัตรเครดิต ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถประหยัดเงินได้อย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องประมวลผลการชำระเงินปริมาณมาก
ไม่มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร: การชําระเงินแบบ ACH นั้นไม่มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้กับธนาคารผู้ออกบัตรของเจ้าของบัตร ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลได้มากขึ้น
จํากัดอัตรา: Stripe จํากัดค่าธรรมเนียมการประมวลผล ACH เพื่อลดค่าธรรมเนียมที่คิดตามเปอร์เซ็นต์จากธุรกรรมขนาดใหญ่
ความเสี่ยงในการฉ้อโกงที่ลดลง: Stripe ช่วยให้ลูกค้าแชร์ข้อมูลทางการเงินกับคุณได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการฉ้อโกงและทําให้การชําระเงินง่ายขึ้น
ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น: การรับการหักบัญชีแบบ ACH และบัตรเครดิตช่วยให้ธุรกิจให้บริการแก่ลูกค้าได้ในขอบเขตที่กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงลูกค้าที่ไม่มีหรือไม่ต้องการใช้บัตรเครดิต
ฟีเจอร์เฉพาะของ Stripe
Stripe มีฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยให้ลูกค้าและธุรกิจเข้าถึงการชําระเงินผ่านการหักบัญชีแบบ ACH ได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รายละเอียดมีดังนี้
การยืนยันบัญชีธนาคารแบบทันที: การยืนยันบัญชีธนาคารแบบทันทีของ Stripe ช่วยให้ลูกค้ายืนยันรายละเอียดบัญชีธนาคารของตัวเองได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพื่อปรับปรุงอัตราความสําเร็จของการชําระเงินแบบ ACH
เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน: เมื่อใช้ Link ซึ่งเป็นการชําระเงินที่รวดเร็วขึ้นของ Stripe คุณจะลดอัตราการละทิ้งในขั้นตอนการชําระเงินได้โดยการเปิดให้ลูกค้ากรอกรายละเอียดธนาคารโดยอัตโนมัติ
ความเสี่ยงในการชําระเงินที่ลดลง: Stripe Financial Connections ช่วยให้ผู้ใช้แชร์ข้อมูลทางการเงินกับคุณได้อย่างปลอดภัย หรือ Stripe จะจัดการความเสี่ยงให้กับคุณได้ด้วยการชำระเงินผ่านธนาคารแบบทันที
การชําระเงินที่รวดเร็วขึ้น: การชําระเงินแบบ ACH ด้วย Stripe จะดำเนินการได้ภายใน 2 วันทําการ เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ เข้าถึงเงินทุนและจัดการเงินสดได้ดีขึ้น
การผสานการทํางานกับแดชบอร์ด Stripe ธุรกรรมแบบ ACH ผสานการทํางานกับแดชบอร์ด Stripe เพื่อให้ธุรกิจสามารถติดตามและกระทบยอดการชําระเงิน รวมถึงวิธีการชําระเงินอื่นๆ ได้
API: Stripe มีอินเทอร์เฟซสําหรับการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจผสานการทํางานการชำระเงินแบบ ACH เข้ากับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือซอฟต์แวร์การทําบัญชีได้อย่างง่ายดาย
การชําระเงินที่ปรับแต่งได้: ประสบการณ์การชําระเงินของ Stripe สามารถปรับแต่งให้เสนอ ACH เป็นตัวเลือกการชําระเงิน เช่นเดียวกันบัตรเครดิต ทําให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกนี้ได้ง่ายๆ
วิธีตั้งค่าการชำระเงินด้วยการหักบัญชีแบบ ACH กับ Stripe
ต่อไปนี้คือวิธีตั้งค่าการชําระเงินแบบ ACH กับ Stripe ในฐานะผู้ประมวลผลการชําระเงินของคุณ
สร้างบัญชี Stripe
ลงทะเบียนใช้งานบัญชี Stripe และระบุข้อมูลธุรกิจของคุณ รวมถึงชื่อทางกฎหมาย ที่อยู่ และหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษี
ยืนยันบัญชีธนาคารของธุรกิจด้วยการเชื่อมโยงบัญชีธนาคารกับ Stripe ปกติแล้วขั้นตอนนี้จะประกอบด้วยการให้บัญชีธนาคารและ Routing Number
ประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH
รวบรวมข้อมูลบัญชีธนาคาร: การหักบัญชีแบบ ACH ต้องใช้หมายเลขบัญชีและ Routing Number และชื่อผู้ชําระเงิน
ยืนยันบัญชีธนาคารของลูกค้า: กฎ ACH กําหนดให้คุณต้องตรวจสอบบัญชีธนาคารของลูกค้าก่อนที่จะหักเงิน การยืนยันทันทีของ Financial Connections ช่วยให้ผู้ซื้อได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ Stripe ยังรองรับการยืนยันการฝากเงินยอดน้อยๆ อีกด้วย
ขอรับการอนุมัติจากผู้ซื้อ: ขอรับการอนุมัติเพื่อหักบัญชีธนาคารของลูกค้า
ส่งการชําระเงิน: เมื่อบัญชีได้รับการยืนยันและคุณได้รับการอนุมัติแล้ว Stripe จะส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังเครือข่าย ACH
รอการยืนยันการชําระเงิน: คุณอาจได้รับข้อความแจ้งว่าธุรกรรม ACH ไม่สำเร็จ เช่น เงินไม่เพียงพอ จากธนาคารของผู้ซื้อได้ตลอดภายในระยะเวลาประมาณ 4 วันทำการนับจากการส่งการชำระเงิน เมื่อช่วงเวลาการตอบกลับสิ้นสุดลง Stripe จะทําเครื่องหมายการชําระเงินว่า "ยืนยันแล้ว"
รับเงินทุน: Stripe จะชําระเงินเข้ายอดคงเหลือ Stripe ของคุณ เรามีตัวเลือกการชําระเงินที่รวดเร็วขึ้นและแบบมาตรฐาน
จัดการการโต้แย้งการชําระเงิน: ในกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อย ลูกค้าจะติดต่อธนาคารของตนและโต้แย้งการหักบัญชีแบบ ACH ได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 60 วันหลังจากสร้างการชําระเงิน เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ Stripe จะสร้างการโต้แย้งการชําระเงินและหักเงินจากบัญชี Stripe ของคุณ
การแก้ปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับการชําระเงินแบบ ACH
เช่นเดียวกับการชําระเงินทั้งหมด ACH อาจประสบปัญหาเป็นครั้งคราว โดยอาจมีทั้งข้อผิดพลาดทางเทคนิค ข้อผิดพลาดที่เกิดจากบุคคล หรือเงินไม่เพียงพอ ต่อไปนี้คือปัญหาการชําระเงินที่พบบ่อยและวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ปัญหาเกี่ยวกับการชำระเงินแบบ ACH ที่พบบ่อยและวิธีการแก้ไขปัญหา
เงินทุนไม่เพียงพอ (R01)
ปัญหา: บัญชีธนาคารของลูกค้ามีเงินไม่เพียงพอสําหรับชําระเงิน
วิธีแก้ปัญหา: แจ้งลูกค้าเกี่ยวกับการชําระเงินที่ไม่สําเร็จและขอให้ลูกค้าเพิ่มเงินทุนเข้าบัญชี ลองชําระเงินอีกครั้งหลังจากยืนยันว่ายอดเงินเพียงพอ สําหรับการชําระเงินในอนาคต ลองนํากลไกการลองซ้ํามาใช้เพื่อเรียกเก็บเงินอีกครั้งโดยอัตโนมัติสําหรับการชําระเงินที่ไม่สำเร็จหลังพ้นช่วงเวลาที่กําหนด
บัญชีถูกปิด (R02)
ปัญหา: บัญชีธนาคารของลูกค้าถูกปิดแล้ว
วิธีแก้ปัญหา: ติดต่อลูกค้าเพื่อขอข้อมูลบัญชีที่อัปเดต อัปเดตข้อมูลในระบบของคุณด้วยข้อมูลใหม่แล้วส่งการชําระเงินอีกครั้ง
หมายเลขบัญชีไม่ถูกต้อง (R04)
ปัญหา: หมายเลขบัญชีธนาคารที่ระบุไม่ถูกต้องหรือใช้ไม่ได้
วิธีแก้ปัญหา: ยืนยันบัญชีและ Routing Number กับลูกค้า แล้วตรวจสอบการป้อนข้อมูลอีกครั้งเพื่อหาข้อผิดพลาดหรือการพิมพ์ผิด ส่งการชําระเงินอีกครั้งโดยใช้ข้อมูลบัญชีที่ถูกต้อง
ธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต (R05, R07, R29)
ปัญหา: ลูกค้าอ้างว่าตนไม่ได้อนุมัติการชําระเงินหรือยกเลิกธุรกรรมนั้น
วิธีแก้ปัญหา: ตรวจสอบการโต้แย้งการชําระเงินและรวบรวมหลักฐานสนับสนุน เช่น แบบฟอร์มหรือข้อตกลงการอนุมัติ หากการโต้แย้งการชําระเงินถูกต้อง ให้ปรับคืนธุรกรรม ร่วมมือกับลูกค้าเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นมิตร
การหยุดการชําระเงิน (R08)
ปัญหา: ลูกค้าได้หยุดการชําระเงินในธุรกรรมนั้น
วิธีแก้ปัญหา: ติดต่อลูกค้าเพื่อทําความเข้าใจเหตุผลในการหยุด หากการชําระเงินหยุดเนื่องจากการดําเนินการอย่างถูกต้อง โปรดยกเลิกการชําระเงิน ตรวจสอบปัญหาของลูกค้าและพยายามแก้ไขปัญหา
ความล่าช้าในการประมวลผล
ปัญหา: การชําระเงินแบบ ACH อาจใช้เวลา 2-3 วันทําการในการประมวลผล และอาจมีความล่าช้า
วิธีแก้ปัญหา: แจ้งให้ลูกค้าทราบถึงเวลาประมวลผล ACH อย่างชัดเจน หากชําระเงินมีความเร่งด่วน คุณควรใช้การโอนเงินแบบ ACH ที่ดำเนินการภายในวันเดียวกัน ตรวจสอบธุรกรรมแบบ ACH ของคุณเป็นประจําเพื่อระบุความล่าช้าที่ไม่คาดคิดและตรวจหาสาเหตุ
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านการชําระเงินแบบ ACH
โปรดปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้เพื่อลดปัญหาด้านการชําระเงินแบบ ACH
ยืนยันข้อมูลบัญชีธนาคาร: ก่อนเริ่มต้นการชําระเงิน คุณสามารถใช้การยืนยันบัญชีธนาคารทันทีของ Stripe Financial Connections หรือการฝากเงินจํานวนเล็กน้อยเพื่อยืนยันข้อมูลบัญชีธนาคารของลูกค้า
ขอการอนุมัติ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้รับการอนุมัติจากลูกค้าให้ทำการหักบัญชีแบบ ACH และบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
สื่อสารกับลูกค้า: ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและโปร่งใสเกี่ยวกับการชําระเงินแบบ ACH รวมถึงเวลาในการประมวลผลและค่าธรรมเนียมที่อาจต้องชำระ
ตรวจสอบธุรกรรม: ตรวจสอบธุรกรรมแบบ ACH เป็นประจําเพื่อหาข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
จัดการการโต้แย้งการชำระเงิน: ตอบกลับการโต้แย้งการชําระเงินของลูกค้าหรือการดึงเงินคืนอย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ