วิธีการทํางานของการประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH

Payments
Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การชําระเงินแบบ ACH ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ใด
    1. การฝากบัญชีแบบ ACH
    2. การหักบัญชีแบบ ACH
  3. การประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH มีวิธีการทำงานอย่างไร
    1. การฝากบัญชีแบบ ACH
    2. การหักบัญชีแบบ ACH
  4. มาตรการรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH
    1. แนวทางปฏิบัติแนะนำ
  5. ประโยชน์ในการใช้การชําระเงินแบบ ACH ด้วย Stripe
    1. ฟีเจอร์เฉพาะของ Stripe
  6. วิธีตั้งค่าการชำระเงินด้วยการหักบัญชีแบบ ACH กับ Stripe
    1. สร้างบัญชี Stripe
    2. ประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH
  7. การแก้ปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับการชําระเงินแบบ ACH
    1. ปัญหาเกี่ยวกับการชำระเงินแบบ ACH ที่พบบ่อยและวิธีการแก้ไขปัญหา
    2. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านการชําระเงินแบบ ACH

การชําระเงินแบบ ACH คือธุรกรรมที่ใช้เครือข่ายสํานักหักบัญชีอัตโนมัติ (ACH) เพื่อโอนเงินระหว่างธนาคารทางแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบนี้โอนเงินจํานวน $80.1 ล้านล้านในปี 2023 เพื่ออํานวยความสะดวกทั้งการฝากและการหักบัญชี การชําระเงินแบบ ACH มักใช้สําหรับบัญชีเงินเดือน การชําระเงินตามใบเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ และการคืนเงินภาษี

ต่อไปนี้คือข้อมูลแบบละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทํางานของการชําระเงินแบบ ACH

  • การเริ่มต้น: ผู้ริเริ่ม (เช่น นายจ้างหรือบริษัทสาธารณูปโภค) เริ่มกระบวนการชำระเงินโดยการส่งรายการ ACH ไปยังธนาคารของตน

  • การรวมกลุ่ม: ธนาคารต้นทางจะรวบรวมธุรกรรมเหล่านี้เป็นกลุ่ม และส่งไปยังผู้ให้บริการ ACH (ซึ่งอาจเป็นธนาคารกลางสหรัฐหรือสำนักหักบัญชี) เป็นระยะๆ

  • การประมวลผล: ผู้ให้บริการ ACH จะประมวลผลกลุ่มธุรกรรมและส่งรายการไปที่ธนาคารของผู้รับ

  • การชําระเงิน: ระบบจะโอนเงินทุนเข้าหรือหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้รับ ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้เวลา 1-3 วันทําการ

โดยทั่วไปการชําระเงินแบบ ACH จะมีค่าธรรมเนียมการประมวลผลต่ํากว่าบัตรเครดิตมาก จึงเป็นตัวเลือกที่มีต้นทุนต่ําสําหรับการชําระเงินทั่วไปและการชําระเงินเป็นกลุ่ม วิธีนี้ยังถือว่าปลอดภัยและอยู่ภายใต้การกํากับดูแลโดยระเบียบข้อบังคับของ Nacha อีกด้วย ด้านล่างนี้เราจะอธิบายวิธีทํางานของการประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH รวมถึงวิธีตั้งค่าการชําระเงินแบบ ACH และวิธีแก้ไขปัญหาการชําระเงินที่พบบ่อย

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การชําระเงินแบบ ACH ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ใด
  • การประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH มีวิธีการทำงานอย่างไร
  • มาตรการรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH
  • ประโยชน์ในการใช้การชําระเงินแบบ ACH ด้วย Stripe
  • วิธีตั้งค่าการชําระเงินแบบ ACH กับ Stripe
  • การแก้ปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับการชําระเงินแบบ ACH

การชําระเงินแบบ ACH ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ใด

การชําระเงินแบบ ACH เป็นที่รู้จักกันดีว่าประสิทธิภาพการประมวลผลที่รวดเร็ว และต้นทุนต่ําในการจัดการธุรกรรมจํานวนมาก แม้ว่าจะปกติแล้วจะใช้ในสหรัฐอเมริกา แต่คุณสามารถส่งการชําระเงินแบบ ACH จากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศอื่นๆ ได้ด้วยการโอนเงินแบบ ACH ระหว่างประเทศ วิธีนี้และยังเป็นวิธีที่ลูกค้าเลือกใช้สําหรับธุรกรรมทางการเงินหลายประเภทอีกด้วย

การฝากบัญชีแบบ ACH

การฝากบัญชีแบบ ACH คือการส่งเงินไปยังบัญชีธนาคาร โดยมักใช้สําหรับการดำเนินการดังต่อไปนี้

  • การฝากเงินค่าจ้างเข้าบัญชีอัตโนมัติ: นายจ้างใช้ ACH ในการโอนเงินเดือนทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบัญชีธนาคารของพนักงานโดยตรง

  • การชําระเงินจากรัฐบาล: รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ ACH เพื่อเบิกจ่ายสวัสดิการประกันสังคม การคืนเงินภาษี และการชําระเงินอื่นๆ ให้แก่ประชาชน

การหักบัญชีแบบ ACH

การหักบัญชีแบบ ACH คือการเคลื่อนย้ายเงินออกจากบัญชีธนาคาร โดยมักใช้สําหรับการดำเนินการดังต่อไปนี้

  • ธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) บริษัทมักจะใช้ ACH ในการชําระเงินให้แก่ผู้ให้บริการหรือซัพพลายเออร์

  • การจ่ายบิลออนไลน์: ผู้คนมักจะตั้งค่าการชําระเงินแบบ ACH อัตโนมัติสําหรับการเรียกเก็บเงินตามรอบ เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่า ค่าเทอม รถยนต์ หรือการชําระหนี้

  • การจ่ายภาษี: ธุรกิจและบุคคลทั่วไปใช้ ACH เพื่อชําระภาษีให้กับหน่วยงานด้านภาษีโดยตรง

  • ธุรกรรมออนไลน์ ลูกค้าใช้ ACH ในการชําระเงินเพื่อการจับจ่ายออนไลน์ โดยเฉพาะสําหรับการเรียกเก็บเงินตามรอบ เช่น การสมัครใช้บริการ การบริจาค และการเป็นสมาชิก

  • การชําระเงินแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P): Venmo, PayPal และบริการอื่นๆ ใช้ ACH เพื่ออํานวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารของบุคคลทั่วไป

การประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH มีวิธีการทำงานอย่างไร

การประมวลผลการชําระเงิน ACH ประกอบด้วยหลายขั้นตอนระหว่างผู้ริเริ่มการชําระเงิน, สถาบันการเงินของผู้ริเริ่ม, ผู้ให้บริการ ACH และสถาบันการเงินของผู้รับ ต่อไปนี้คือภาพรวมแบบทีละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH

การฝากบัญชีแบบ ACH

  • การเริ่มต้นธุรกรรม: กระบวนการเริ่มต้นเมื่อผู้ริเริ่ม (โดยทั่วไปเป็นบริษัทหรือหน่วยงานของรัฐ) ต้องการส่งเงินไปยังบัญชีธนาคารอื่น ในการเริ่มทำธุรกรรม ผู้ริเริ่มต้องได้รับอนุญาตจากผู้รับในรูปแบบของข้อตกลงที่ลงนาม ข้อตกลงด้วยวาจาที่บันทึกไว้ หรือการยอมรับเงื่อนไขทางออนไลน์

  • การส่งธุรกรรม: ผู้ริเริ่มส่งรายละเอียดธุรกรรมไปยังธนาคารของตน ซึ่งเรียกว่าสถาบันการเงินที่รับฝากเงินต้น (ODFI) รายละเอียดเหล่านี้มักจะประกอบด้วยจํานวนของธุรกรรม รายละเอียดบัญชีธนาคารของผู้รับ และวันที่ที่ควรจะโอนเงิน

  • การรวมกลุ่มธุรกรรม: ODFI รวมคําขอ ACH หลายรายการไว้เป็นกลุ่ม จากนั้นกลุ่มธุรกรรมเหล่านี้จะถูกส่งไปยังผู้ให้บริการ ACH (ซึ่งอาจเป็นธนาคารกลางสหรัฐหรือสำนักหักบัญชี) รายใดรายหนึ่งในเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

  • การหักยอดธุรกรรม: ผู้ให้บริการ ACH ได้รับกลุ่มรายการ ACH จาก ODFI จํานวนมาก โดยจะเรียงลำดับธุรกรรมและเพื่อให้ธนาคารของผู้รับชำระเงินหรือสถาบันการเงินที่รับฝากเงิน (RDFI) เข้าถึงได้

  • การนำส่งธุรกรรม: RDFI ได้รับรายการ ACH สําหรับเจ้าของบัญชี จากนั้น RDFI จะประมวลผลรายการเหล่านี้และอัปเดตยอดคงเหลือในบัญชี โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ลงรายการธุรกรรมการฝากบัญชีไปยังบัญชีที่ถูกต้องแล้ว

  • การยืนยันธุรกรรมและการชําระเงิน: เมื่อ RDFI ประมวลผลธุรกรรมแล้ว ระบบจะโอนเงินเข้าบัญชีของผู้รับ ซึ่งโดยปกติแล้วจะดําเนินการภายใน 1-3 วันทําการหลังจากเริ่มทําธุรกรรม การชำระเงินหรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนจริงระหว่างธนาคารจะเกิดขึ้นผ่านบัญชีของธนาคารกลางสหรัฐ

  • การแจ้งเตือนธุรกรรม: หากไม่สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น เงินไม่เพียงพอ ข้อมูลบัญชีไม่ถูกต้อง หรือบัญชีถูกปิด RDFI จะแจ้งให้ ODFI ทราบ จากนั้น ODFI จะแจ้งผู้ริเริ่ม อย่างไรก็ตาม อาจมีค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมที่ไม่สําเร็จ และผู้ริเริ่มอาจต้องจัดการปัญหาและเริ่มทําธุรกรรมอีกครั้ง

การหักบัญชีแบบ ACH

  • การเริ่มต้นธุรกรรม: กระบวนการจะเริ่มต้นเมื่อผู้ริเริ่ม (ทั้งบริษัทหรือบุคคลทั่วไป) ต้องการเก็บเงินจากบัญชีธนาคารอื่น หากต้องการเริ่มต้นธุรกรรม ผู้ริเริ่มต้องได้รับอนุญาตจากผู้รับก่อน การอนุญาตนี้อาจอยู่ในรูปแบบข้อตกลงที่ลงนาม ข้อตกลงปากเปล่าที่บันทึกไว้ หรือการยอมรับเงื่อนไขทางออนไลน์

  • การส่งธุรกรรม: ผู้ริเริ่มส่งรายละเอียดธุรกรรมไปยัง ODFI รายละเอียดเหล่านี้มักจะประกอบด้วยจํานวนของธุรกรรม รายละเอียดบัญชีธนาคารของผู้จ่าย และวันที่ที่ควรจะโอนเงิน

  • การรวมกลุ่มธุรกรรม: ODFI รวมคําขอ ACH หลายรายการเป็นกลุ่มและส่งตามเวลาที่กําหนดไว้ล่วงหน้าตลอดทั้งวันไปยังหนึ่งในผู้ให้บริการ ACH

  • การหักยอดธุรกรรม: ผู้ให้บริการ ACH ได้รับกลุ่มรายการ ACH จาก ODFI จํานวนมาก โดยจะจัดเรียงธุรกรรมและเปิดให้ RDFI เข้าถึงได้

  • การนำส่งธุรกรรม: RDFI ได้รับรายการ ACH สําหรับเจ้าของบัญชี จากนั้น RDFI จะประมวลผลรายการเหล่านี้และอัปเดตยอดคงเหลือในบัญชีตามนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าบัญชีที่ถูกหักยอดมีเงินเพียงพอสำหรับธุรกรรม

  • การยืนยันธุรกรรมและการชําระเงิน: เมื่อ RDFI ประมวลผลธุรกรรม ระบบจะหักเงินจากบัญชีของผู้ชําระเงิน ซึ่งโดยปกติแล้วจะดําเนินการภายใน 1-3 วันทําการหลังจากเริ่มทําธุรกรรม การชำระเงินหรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนจริงระหว่างธนาคารจะเกิดขึ้นผ่านบัญชีของธนาคารกลางสหรัฐ

  • การแจ้งเตือนธุรกรรม: หากไม่สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น เงินไม่เพียงพอ ข้อมูลบัญชีไม่ถูกต้อง หรือบัญชีถูกปิด RDFI จะแจ้งให้ ODFI ทราบ จากนั้น ODFI จะแจ้งผู้ริเริ่ม อย่างไรก็ตาม อาจมีค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมที่ไม่สําเร็จ และผู้ริเริ่มอาจต้องจัดการปัญหาและเริ่มทําธุรกรรมอีกครั้ง

มาตรการรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH

การรักษาความปลอดภัยให้ธุรกรรม ACH จะปกป้องข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนและป้องกันการฉ้อโกงการชําระเงิน เพื่อคงความถูกต้องสมบูรณ์ของเครือข่าย ACH ต่อไปนี้เป็นภาพรวมเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สําคัญ

  • การเข้ารหัส: ข้อมูลการชําระเงิน ACH ทั้งหมดได้รับการเข้ารหัสระหว่างส่งและขณะจัดเก็บเพื่อปกป้องข้อมูลธนาคารที่ละเอียดอ่อน (เช่น หมายเลขบัญชีและ Routing Number) จากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่การเข้ารหัสช่วยให้แน่ใจว่า ข้อมูลจะอ่านไม่ได้หากไม่มีคีย์ถอดรหัส

  • การอนุมัติ: ลูกค้าจะต้องอนุมัติการหักบัญชี ACH อย่างชัดแจ้ง โดยอาจดําเนินการผ่านข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรหรือให้ความยินยอมทางออนไลน์

  • การป้องกันการฉ้อโกง: สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ ACH ต่างๆ ใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงเพื่อตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยและความพยายามฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น เครื่องมือเหล่านี้จะตรวจสอบธุรกรรมแบบ ACH เพื่อหารูปแบบหรือความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง

  • การยืนยันบัญชี: สถาบันการเงินใช้บริการเพื่อยืนยันว่าธุรกิจและองค์กรที่เริ่มต้นธุรกรรม ACH ได้รับอนุญาตให้หักเงินจากบัญชีเหล่านั้น คุณสามารถใช้ธุรกรรมทดสอบยอดเล็กเพื่อยืนยันข้อมูลบัญชีและการเป็นเจ้าของก่อนที่จะประมวลผลการชําระเงินในจํานวนที่มากขึ้นได้

  • นโยบายและขั้นตอนปฏิบัติด้านความปลอดภัย: ในการใช้การชำระเงิน ACH องค์กรจะต้องมีนโยบายความปลอดภัยที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ลดความเสี่ยง และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผล ACH ได้รับการฝึกอบรมให้ระบุและป้องกันการฉ้อโกง และจะมีการดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นปัจจุบันและมีประสิทธิผล

แนวทางปฏิบัติแนะนำ

โปรดปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ธุรกรรมแบบ ACH เพิ่มเติม

  • การควบคุมโดย 2 บุคคล: ใช้ขั้นตอนปฏิบัติที่ต้องมีบุคคล 2 คนอนุมัติการทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงหรือละเอียดอ่อน

  • สิทธิ์เข้าถึงแบบจํากัด: จํากัดการเข้าถึงข้อมูลและระบบ ACH เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

  • รหัสผ่านที่รัดกุม: ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและเปลี่ยนเป็นระยะๆ

  • การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย: กำหนดให้ใช้การตรวจสอบสิทธิ์รูปแบบที่ 2 (เช่น รหัสที่ส่งไปยังอุปกรณ์เคลื่อนที่) นอกเหนือจากรหัสผ่าน

  • การอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจํา: อัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ใช้ในการประมวลผล ACH ให้เป็นปัจจุบันเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

  • แผนรับมือกับเหตุการณ์: มีแผนสําหรับการรับมือกับการละเมิดด้านความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว

ประโยชน์ในการใช้การชําระเงินแบบ ACH ด้วย Stripe

Stripe สามารถประมวลผลธุรกรรมได้หลายประเภท การรับการหักบัญชีแบบ ACH จะช่วยให้ธุรกิจของคุณในหลากหลายวิธี ดังนี้

  • ค่าธรรมเนียมการประมวลผลที่ลดลง: ค่าธรรมเนียมการประมวลผล ACH นั้นต่ํากว่าค่าธรรมเนียมการประมวลผลบัตรเครดิต ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถประหยัดเงินได้อย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องประมวลผลการชำระเงินปริมาณมาก

  • ไม่มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร: การชําระเงินแบบ ACH นั้นไม่มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้กับธนาคารผู้ออกบัตรของเจ้าของบัตร ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลได้มากขึ้น

  • จํากัดอัตรา: Stripe จํากัดค่าธรรมเนียมการประมวลผล ACH เพื่อลดค่าธรรมเนียมที่คิดตามเปอร์เซ็นต์จากธุรกรรมขนาดใหญ่

  • ความเสี่ยงในการฉ้อโกงที่ลดลง: Stripe ช่วยให้ลูกค้าแชร์ข้อมูลทางการเงินกับคุณได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการฉ้อโกงและทําให้การชําระเงินง่ายขึ้น

  • ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น: การรับการหักบัญชีแบบ ACH และบัตรเครดิตช่วยให้ธุรกิจให้บริการแก่ลูกค้าได้ในขอบเขตที่กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงลูกค้าที่ไม่มีหรือไม่ต้องการใช้บัตรเครดิต

ฟีเจอร์เฉพาะของ Stripe

Stripe มีฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยให้ลูกค้าและธุรกิจเข้าถึงการชําระเงินผ่านการหักบัญชีแบบ ACH ได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รายละเอียดมีดังนี้

  • การยืนยันบัญชีธนาคารแบบทันที: การยืนยันบัญชีธนาคารแบบทันทีของ Stripe ช่วยให้ลูกค้ายืนยันรายละเอียดบัญชีธนาคารของตัวเองได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพื่อปรับปรุงอัตราความสําเร็จของการชําระเงินแบบ ACH

  • เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน: เมื่อใช้ Link ซึ่งเป็นการชําระเงินที่รวดเร็วขึ้นของ Stripe คุณจะลดอัตราการละทิ้งในขั้นตอนการชําระเงินได้โดยการเปิดให้ลูกค้ากรอกรายละเอียดธนาคารโดยอัตโนมัติ

  • ความเสี่ยงในการชําระเงินที่ลดลง: Stripe Financial Connections ช่วยให้ผู้ใช้แชร์ข้อมูลทางการเงินกับคุณได้อย่างปลอดภัย หรือ Stripe จะจัดการความเสี่ยงให้กับคุณได้ด้วยการชำระเงินผ่านธนาคารแบบทันที

  • การชําระเงินที่รวดเร็วขึ้น: การชําระเงินแบบ ACH ด้วย Stripe จะดำเนินการได้ภายใน 2 วันทําการ เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ เข้าถึงเงินทุนและจัดการเงินสดได้ดีขึ้น

  • การผสานการทํางานกับแดชบอร์ด Stripe ธุรกรรมแบบ ACH ผสานการทํางานกับแดชบอร์ด Stripe เพื่อให้ธุรกิจสามารถติดตามและกระทบยอดการชําระเงิน รวมถึงวิธีการชําระเงินอื่นๆ ได้

  • API: Stripe มีอินเทอร์เฟซสําหรับการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจผสานการทํางานการชำระเงินแบบ ACH เข้ากับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือซอฟต์แวร์การทําบัญชีได้อย่างง่ายดาย

  • การชําระเงินที่ปรับแต่งได้: ประสบการณ์การชําระเงินของ Stripe สามารถปรับแต่งให้เสนอ ACH เป็นตัวเลือกการชําระเงิน เช่นเดียวกันบัตรเครดิต ทําให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกนี้ได้ง่ายๆ

วิธีตั้งค่าการชำระเงินด้วยการหักบัญชีแบบ ACH กับ Stripe

ต่อไปนี้คือวิธีตั้งค่าการชําระเงินแบบ ACH กับ Stripe ในฐานะผู้ประมวลผลการชําระเงินของคุณ

สร้างบัญชี Stripe

  • ลงทะเบียนใช้งานบัญชี Stripe และระบุข้อมูลธุรกิจของคุณ รวมถึงชื่อทางกฎหมาย ที่อยู่ และหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษี

  • ยืนยันบัญชีธนาคารของธุรกิจด้วยการเชื่อมโยงบัญชีธนาคารกับ Stripe ปกติแล้วขั้นตอนนี้จะประกอบด้วยการให้บัญชีธนาคารและ Routing Number

ประมวลผลการชําระเงินแบบ ACH

  • รวบรวมข้อมูลบัญชีธนาคาร: การหักบัญชีแบบ ACH ต้องใช้หมายเลขบัญชีและ Routing Number และชื่อผู้ชําระเงิน

  • ยืนยันบัญชีธนาคารของลูกค้า: กฎ ACH กําหนดให้คุณต้องตรวจสอบบัญชีธนาคารของลูกค้าก่อนที่จะหักเงิน การยืนยันทันทีของ Financial Connections ช่วยให้ผู้ซื้อได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ Stripe ยังรองรับการยืนยันการฝากเงินยอดน้อยๆ อีกด้วย

  • ขอรับการอนุมัติจากผู้ซื้อ: ขอรับการอนุมัติเพื่อหักบัญชีธนาคารของลูกค้า

  • ส่งการชําระเงิน: เมื่อบัญชีได้รับการยืนยันและคุณได้รับการอนุมัติแล้ว Stripe จะส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังเครือข่าย ACH

  • รอการยืนยันการชําระเงิน: คุณอาจได้รับข้อความแจ้งว่าธุรกรรม ACH ไม่สำเร็จ เช่น เงินไม่เพียงพอ จากธนาคารของผู้ซื้อได้ตลอดภายในระยะเวลาประมาณ 4 วันทำการนับจากการส่งการชำระเงิน เมื่อช่วงเวลาการตอบกลับสิ้นสุดลง Stripe จะทําเครื่องหมายการชําระเงินว่า "ยืนยันแล้ว"

  • รับเงินทุน: Stripe จะชําระเงินเข้ายอดคงเหลือ Stripe ของคุณ เรามีตัวเลือกการชําระเงินที่รวดเร็วขึ้นและแบบมาตรฐาน

  • จัดการการโต้แย้งการชําระเงิน: ในกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อย ลูกค้าจะติดต่อธนาคารของตนและโต้แย้งการหักบัญชีแบบ ACH ได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 60 วันหลังจากสร้างการชําระเงิน เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ Stripe จะสร้างการโต้แย้งการชําระเงินและหักเงินจากบัญชี Stripe ของคุณ

การแก้ปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับการชําระเงินแบบ ACH

เช่นเดียวกับการชําระเงินทั้งหมด ACH อาจประสบปัญหาเป็นครั้งคราว โดยอาจมีทั้งข้อผิดพลาดทางเทคนิค ข้อผิดพลาดที่เกิดจากบุคคล หรือเงินไม่เพียงพอ ต่อไปนี้คือปัญหาการชําระเงินที่พบบ่อยและวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ปัญหาเกี่ยวกับการชำระเงินแบบ ACH ที่พบบ่อยและวิธีการแก้ไขปัญหา

เงินทุนไม่เพียงพอ (R01)

  • ปัญหา: บัญชีธนาคารของลูกค้ามีเงินไม่เพียงพอสําหรับชําระเงิน

  • วิธีแก้ปัญหา: แจ้งลูกค้าเกี่ยวกับการชําระเงินที่ไม่สําเร็จและขอให้ลูกค้าเพิ่มเงินทุนเข้าบัญชี ลองชําระเงินอีกครั้งหลังจากยืนยันว่ายอดเงินเพียงพอ สําหรับการชําระเงินในอนาคต ลองนํากลไกการลองซ้ํามาใช้เพื่อเรียกเก็บเงินอีกครั้งโดยอัตโนมัติสําหรับการชําระเงินที่ไม่สำเร็จหลังพ้นช่วงเวลาที่กําหนด

บัญชีถูกปิด (R02)

  • ปัญหา: บัญชีธนาคารของลูกค้าถูกปิดแล้ว

  • วิธีแก้ปัญหา: ติดต่อลูกค้าเพื่อขอข้อมูลบัญชีที่อัปเดต อัปเดตข้อมูลในระบบของคุณด้วยข้อมูลใหม่แล้วส่งการชําระเงินอีกครั้ง

หมายเลขบัญชีไม่ถูกต้อง (R04)

  • ปัญหา: หมายเลขบัญชีธนาคารที่ระบุไม่ถูกต้องหรือใช้ไม่ได้

  • วิธีแก้ปัญหา: ยืนยันบัญชีและ Routing Number กับลูกค้า แล้วตรวจสอบการป้อนข้อมูลอีกครั้งเพื่อหาข้อผิดพลาดหรือการพิมพ์ผิด ส่งการชําระเงินอีกครั้งโดยใช้ข้อมูลบัญชีที่ถูกต้อง

ธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต (R05, R07, R29)

  • ปัญหา: ลูกค้าอ้างว่าตนไม่ได้อนุมัติการชําระเงินหรือยกเลิกธุรกรรมนั้น

  • วิธีแก้ปัญหา: ตรวจสอบการโต้แย้งการชําระเงินและรวบรวมหลักฐานสนับสนุน เช่น แบบฟอร์มหรือข้อตกลงการอนุมัติ หากการโต้แย้งการชําระเงินถูกต้อง ให้ปรับคืนธุรกรรม ร่วมมือกับลูกค้าเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นมิตร

การหยุดการชําระเงิน (R08)

  • ปัญหา: ลูกค้าได้หยุดการชําระเงินในธุรกรรมนั้น

  • วิธีแก้ปัญหา: ติดต่อลูกค้าเพื่อทําความเข้าใจเหตุผลในการหยุด หากการชําระเงินหยุดเนื่องจากการดําเนินการอย่างถูกต้อง โปรดยกเลิกการชําระเงิน ตรวจสอบปัญหาของลูกค้าและพยายามแก้ไขปัญหา

ความล่าช้าในการประมวลผล

  • ปัญหา: การชําระเงินแบบ ACH อาจใช้เวลา 2-3 วันทําการในการประมวลผล และอาจมีความล่าช้า

  • วิธีแก้ปัญหา: แจ้งให้ลูกค้าทราบถึงเวลาประมวลผล ACH อย่างชัดเจน หากชําระเงินมีความเร่งด่วน คุณควรใช้การโอนเงินแบบ ACH ที่ดำเนินการภายในวันเดียวกัน ตรวจสอบธุรกรรมแบบ ACH ของคุณเป็นประจําเพื่อระบุความล่าช้าที่ไม่คาดคิดและตรวจหาสาเหตุ

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านการชําระเงินแบบ ACH

โปรดปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้เพื่อลดปัญหาด้านการชําระเงินแบบ ACH

  • ยืนยันข้อมูลบัญชีธนาคาร: ก่อนเริ่มต้นการชําระเงิน คุณสามารถใช้การยืนยันบัญชีธนาคารทันทีของ Stripe Financial Connections หรือการฝากเงินจํานวนเล็กน้อยเพื่อยืนยันข้อมูลบัญชีธนาคารของลูกค้า

  • ขอการอนุมัติ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้รับการอนุมัติจากลูกค้าให้ทำการหักบัญชีแบบ ACH และบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

  • สื่อสารกับลูกค้า: ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและโปร่งใสเกี่ยวกับการชําระเงินแบบ ACH รวมถึงเวลาในการประมวลผลและค่าธรรมเนียมที่อาจต้องชำระ

  • ตรวจสอบธุรกรรม: ตรวจสอบธุรกรรมแบบ ACH เป็นประจําเพื่อหาข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่คลาดเคลื่อน

  • จัดการการโต้แย้งการชำระเงิน: ตอบกลับการโต้แย้งการชําระเงินของลูกค้าหรือการดึงเงินคืนอย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe