ในสวีเดน อีคอมเมิร์ซแบบ B2B อยู่ระหว่างการพัฒนาให้สั่งซื้อได้เร็วขึ้น มีการชำระเงินที่ชาญฉลาดขึ้น และโซลูชันมุ่งเน้นดิจิทัลเป็นสำคัญ ทีมจัดซื้อมักจะต้องการความรวดเร็วและความชัดเจนไม่ต่างจากเว็บไซต์ค้าปลีก หากผู้ขายปรับตัวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงก็อาจตกขบวนได้ จากนี้ เราจะมาพูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ธุรกิจที่ควรมีเอาไว้กัน
เนื้อหาหลักในบทความ
- อีคอมเมิร์ซแบบ B2B คืออะไรและทำงานอย่างไร
- B2B กับ B2C แตกต่างกันอย่างไรในด้านอีคอมเมิร์ซ
- อีคอมเมิร์ซแบบ B2B เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในสวีเดน
- เหตุใดบริษัทสวีเดนจึงควรลงทุนไปกับอีคอมเมิร์ซแบบ B2B
- ผู้ซื้อ B2B ชาวสวีเดนชอบใช้วิธีการชำระเงินแบบใดบ้าง
- ธุรกิจจะพัฒนาการชำระเงินของอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ให้เรียบง่ายขึ้นได้อย่างไร
- คุณจะป้องกันการฉ้อโกงในอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ได้อย่างไร
- Stripe Checkout จะช่วยคุณได้อย่างไรบ้าง
อีคอมเมิร์ซแบบ B2B คืออะไรและทำงานอย่างไร
อีคอมเมิร์ซแบบ B2B คือการซื้อขายกันทางออนไลน์ระหว่างธุรกิจ ธุรกรรมทั้งหมดตั้งแต่การค้นพบสินค้าไปจนถึงการชำระเงินจะเกิดขึ้นบนช่องทางดิจิทัล โดยไม่มีการโทรศัพท์, ไฟล์ PDF ทางอีเมล หรือการพบปะพูดคุยแบบตัวต่อตัว
ขั้นตอนมักจะมีลักษณะดังนี้
ผู้ซื้อเข้าสู่ระบบพอร์ทัลเพื่อเลือกชมสินค้า ดูราคาพิเศษ และตรวจสอบระดับสต๊อกสินค้า
ผู้ซื้อสั่งซื้อด้วยตนเอง โดยมักเลือกที่จะสั่งซื้อซ้ำหรือกำหนดเวลาสั่งซื้อโดยไม่ต้องมีตัวแทนมาช่วย
ระบบเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบสินค้าคงคลัง การเรียกเก็บเงิน และการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ คำสั่งซื้อจะตรงเข้าสู่ขั้นตอนการทำงาน
การชำระเงินจะเกิดขึ้นบนช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการออกใบแจ้งหนี้ล่วงหน้าหรือแบบดิจิทัลตามข้อกำหนดที่ตกลงกันไว้
อีคอมเมิร์ซแบบ B2B ออกแบบมาให้สั่งซื้อซ้ำได้ง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น และช่วยให้ผู้ซื้อ B2B ควบคุมและดูข้อมูลต่างๆ ได้อย่างที่คาดว่าจะได้จากอีคอมเมิร์ซ ทีมขายยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในการซื้อที่ซับซ้อนขึ้น แต่ส่วนการทำธุรกรรมด้วยตนเองจะเป็นแบบอัตโนมัติ
B2B กับ B2C แตกต่างกันอย่างไรในด้านอีคอมเมิร์ซ
เว็บไซต์ B2B อาจดูแทบไม่ต่างจากหน้าร้าน B2C แต่หากดูเบื้องหลังแล้ว เว็บไซต์นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับพฤติกรรม ความคาดหวัง และขั้นตอนการทำงานภายในที่แตกต่างกัน
ข้อแตกต่างของทั้ง 2 รูปแบบมีดังนี้
พฤติกรรมการซื้อ: ในกรณีที่เป็น B2C ผู้ซื้อจะเป็นผู้ตัดสินใจและมักเกิดจากความต้องการ แต่ในกรณีของ B2B ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายรายจะเข้ามามีส่วนร่วมในวงจรการซื้อที่ยาวนาน การสั่งซื้อซ้ำจะมาจากความต้องการของธุรกิจ ไม่ใช่ความพึงพอใจส่วนตัว
การตั้งราคาและข้อกำหนด: ในกรณีของ B2C ราคาจะคงที่และเหมือนกันสำหรับทุกคน แต่เว็บไซต์ B2B จะราคาพิเศษ สัญญาที่เจรจาต่อรอง และส่วนลดตามปริมาณ และเว็บไซต์เหล่านี้จะต้องแสดงตัวเลขที่เหมาะสมให้กับผู้ซื้อแต่ละราย
ขั้นตอนการชำระเงิน: ลูกค้า B2C มักจะชำระเงินในขณะที่ซื้อ แต่ลูกค้า B2B มักจะชำระเงินในภายหลัง ซึ่งโดยทั่วไปจะชำระผ่านใบแจ้งหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระสุทธิ 30 หรือ 60 วัน
การจัดส่ง: ผู้ซื้อ B2C มักคาดหวังว่าการจัดส่งจะรวดเร็ว ยืดหยุ่น และส่งตรงถึงหน้าบ้าน ส่วนผู้ซื้อ B2B จะต้องการการจัดส่งที่แม่นยำไปยังคลังสินค้าหรือสถานที่ค้าปลีก บางครั้งก็เป็นการจัดส่งบนพาเลทหรือมีการประสานงานในการขนส่งสินค้า
โมเดลการสนับสนุน: ผู้ซื้อ B2C จะคาดหวังบริการลูกค้าขั้นพื้นฐาน ส่วนผู้ซื้อ B2B ต้องการผู้จัดการบัญชี การสนับสนุนฝ่ายขายทางเทคนิค และความสัมพันธ์ทางธุรกิจในระยะยาว
ในกรณีของ B2B ผู้ซื้อจะต้องการเครื่องมือที่เข้ากับวิธีดำเนินธุรกิจของตน โดยมาพร้อมฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การเข้าสู่ระบบโดยผู้ใช้หลายคน ขั้นตอนการอนุมัติคำสั่งซื้อ การติดตามใบแจ้งหนี้ และค่ากำหนดการจัดส่งที่ไม่ได้มีค่าเริ่มต้นเป็น "การจัดส่งแบบมาตรฐาน" เพียงอย่างเดียว
อีคอมเมิร์ซแบบ B2B เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในสวีเดน
สวีเดนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในการขายแบบ B2B ให้ทันสมัยอยู่ตลอด โดยกำลังเปลี่ยนจากคำสั่งซื้อทางอีเมลและความสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวไปเป็นพอร์ทัลลูกค้า การสั่งซื้อซ้ำแบบบริการตนเอง และขั้นตอนการทำงานแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ
รายงานประจำปี 2025 พบว่า 83% ของบริษัท B2B ในนอร์ดิกใช้ช่องทางดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นแคตตาล็อกออนไลน์ พอร์ทัลลูกค้า หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ และ 28% ของยอดขาย B2B ในภูมิภาคนี้ก็มาจากช่องทางดิจิทัล ยิ่งไปกว่านั้น 69% ของบริษัท B2B ระบุว่า บริษัทคาดว่ายอดขายทางดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
บริษัทต่างๆ กำลังพัฒนาประสบการณ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้ซื้อสมัยใหม่ ซึ่งได้แก่
ระดับสต๊อกแบบเรียลไทม์
แดชบอร์ดแบบเฉพาะตัว
การสั่งซื้อผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่
ขั้นตอนการทำงานแบบผสมผสานที่มีทั้งการบริการตนเองและการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่
เครื่องมือ AI ในการแนะนำสินค้าหรือให้ความช่วยเหลือในการสั่งซื้อ
แม้แต่ภาคส่วนต่างๆ เช่น การผลิตและการค้าส่ง (ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้การขายทางดิจิทัลช้ากว่าภาคส่วนอื่น) ก็กำลังสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ซื้อสินค้าได้ง่ายไม่ต่างจากร้านค้าปลีก บริษัทในสวีเดนมักเป็นบริษัทแรกๆ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ และอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ก็เป็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบต่อไปที่ธุรกิจคาดว่าจะนำมาใช้
เหตุใดบริษัทสวีเดนจึงควรลงทุนไปกับอีคอมเมิร์ซแบบ B2B
สวีเดนมีโครงสร้างพื้นฐานเชิงดิจิทัลในการรองรับอีคอมเมิร์ซแบบ B2B อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ BankID กันอย่างแพร่หลาย การชำระเงินแบบไร้เงินสด หรือฐานผู้ซื้อที่ทำสิ่งต่างๆ ทางออนไลน์จนชิน หากบริษัทของคุณไม่ได้เสนอวิธีสั่งซื้อทางออนไลน์ที่รวดเร็วง่ายดาย คุณก็อาจสูญเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งที่ทำเช่นนั้นไป เหตุผลที่คุณต้องรีบเปลี่ยนแปลงมีดังนี้
ช่วยให้ทุกคนดำเนินการได้มีประสิทธิภาพขึ้น
การสั่งซื้อแบบดิจิทัลช่วยลดการป้อนข้อมูลด้วยตนเอง ลดข้อผิดพลาดในการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ และช่วยให้ทีมขายมีเวลาไปใส่ใจกับการขายจริงๆ นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลาให้ลูกค้าโดยไม่ต้องทำอะไรซ้ำๆ ในการซื้อสินค้าผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์ วิธีนี้จึงเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
ช่วยให้คุณขยายธุรกิจได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ที่ออกแบบมาอย่างดีจะช่วยให้คุณทำได้ดังนี้
ให้บริการลูกค้าได้มากขึ้นโดยไม่ต้องจ้างคน
ขายให้ผู้ซื้อในภูมิภาคใหม่ๆ (โดยไม่ต้องส่งตัวแทนไปที่ภูมิภาคนั้น)
พร้อมให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง แม้ว่าทีมของคุณจะออฟไลน์อยู่ก็ตาม
ช่วยให้คุณมีข้อมูลที่ดีขึ้น
ทุกการกระทำบนช่องทางออนไลน์จะให้ข้อมูลเชิงลึกว่าผู้ซื้อค้นหาอะไรกันอยู่ สั่งซื้อซ้ำเมื่อไร และไม่สนใจสินค้าแบบใดบ้าง ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับแต่งการตั้งราคา คาดการณ์อุปสงค์ และค้นหาโอกาสที่หลุดลอยไป
ช่วยให้ธุรกิจพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ในตอนนี้ การวางโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยให้คุณพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นใบเสนอราคาที่ขับเคลื่อนด้วย AI, การจัดหาเงินทุนที่ผสานรวมในตัว หรือการผสานการทำงานกับระบบลูกค้าที่ลึกซึ้งขึ้น ไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะต้องมีระบบดิจิทัลเอาไว้รับมือ
ผู้ซื้อ B2B ชาวสวีเดนชอบใช้วิธีการชำระเงินแบบใดบ้าง
การชำระเงินในสวีเดนเกิดขึ้นบนระบบดิจิทัลแทบทั้งสิ้น แต่การชำระเงินแบบ B2B จะมีช่วงจังหวะและรูปแบบเฉพาะตัว ผู้ซื้อยังคงใช้ข้อกำหนดของใบแจ้งหนี้แบบดั้งเดิม แต่กลไกวิธีการชำระเงินและความคาดหวังจากขั้นตอนดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยขึ้น วิธีการชำระเงินที่พบบ่อยที่สุดมีดังนี้
การโอนเงินผ่านธนาคาร
ผู้ซื้อ B2B จำนวนมากชำระเงินด้วยการโอนเงินผ่านธนาคาร (มักดำเนินการผ่าน Bankgirot หรือ PlusGirot) การชำระเงินตามแบบแผนล่วงหน้ามักใช้ Autogiro (ระบบการหักบัญชีอัตโนมัติของสวีเดน) โดยเฉพาะในการชำระเงินตามรอบบิลหรือคำสั่งซื้อตามกำหนดเวลา
หากคุณไม่เปิดให้มีการโอนเงินผ่านธนาคารในขั้นตอนการชำระเงิน คุณก็จะเสียวิธีการซึ่งเป็นเพียงทางเลือกเดียวของผู้ซื้อบางรายไป
การชำระเงินด้วยบัตร
การชำระเงินด้วยบัตรเป็นวิธีการชำระเงินที่พบบ่อยที่สุดในสวีเดนโดยรวม และบัตรเครดิตและบัตรเดบิตขององค์กรก็เป็นที่นิยมใน B2B เช่นกัน
ผู้คนนิยมใช้วิธีนี้ในการจ่ายเงินสำหรับสิ่งต่อไปนี้
บริการด้านซอฟต์แวร์และดิจิทัล
การซื้อจำนวนเล็กน้อยที่มีความเสี่ยงต่ำ
คำสั่งซื้อแบบครั้งเดียวหรือเร่งด่วน
ผู้ซื้อชาวสวีเดนคุ้นเคยกับการใช้บัตรในชีวิตประจำวันและใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี บริการ และทีมขนาดเล็ก
Swish
Swish (ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่นิยมในสวีเดน) ไม่ได้มีไว้สำหรับการใช้งานส่วนตัวเท่านั้น โดยในกรณีที่เป็น B2B จะใช้ Swish ในการทำธุรกรรมของธุรกิจขนาดย่อม การชำระเงินที่จุดขาย และการซื้อบริการที่เรียบง่าย
วิธีนี้รวดเร็ว เป็นที่สิ้นสุด และกระทบยอดได้ง่าย แต่ก็มีขีดจำกัดในการโอนเงิน จึงไม่ค่อยเหมาะสำหรับใบแจ้งหนี้ที่มีมูลค่าสูง
วิธีอื่นๆ
การชำระเงินผ่านธนาคารโดยตรงผ่าน Open Banking API (อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน) ก็เปิดให้ผู้คนใช้งานกันได้มากขึ้น โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบผสานการทำงาน ส่วนการโอนเงินระหว่างธนาคาร (เช่น SWIFT) ก็ยังคงใช้ในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนเช่นกัน
การชำระเงินแบบ B2B สมัยใหม่ในสวีเดนควรรองรับวิธีการทั้งหมดข้างต้นเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและช่วยให้คุณได้รับเงินเร็วขึ้น ยิ่งคุณเสนอตัวเลือกมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งรองรับผู้ซื้อได้มากขึ้นเท่านั้น
ธุรกิจจะพัฒนาการชำระเงินของอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ให้เรียบง่ายขึ้นได้อย่างไร
ธุรกิจในสวีเดนมีเครื่องมือที่ช่วยให้จัดการธุรกรรมแบบ B2B ได้รวดเร็วง่ายดายขึ้นโดยไม่สูญเสียการควบคุมไป วิธีที่ใช้ได้ผลมีดังนี้
ทำให้ขั้นตอนการออกใบแจ้งหนี้เป็นแบบอัตโนมัติ
การออกใบแจ้งหนี้แบบดิจิทัลจะช่วยลดข้อผิดพลาดของเจ้าหน้าที่และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการให้เหลือน้อยที่สุดได้
คุณทำได้ดังนี้
ตั้งค่าให้สร้างใบแจ้งหนี้โดยอัตโนมัติเมื่อมีการจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อ
ใส่ปุ่ม "จ่ายตอนนี้" ที่นำไปยังพอร์ทัลที่ปลอดภัย
ให้ระบบส่งการแจ้งเตือน ติดตามวันครบกำหนด และลงบันทึกการชำระเงิน
ระบบอัตโนมัติเหล่านี้เพียงอย่างเดียวก็ช่วยให้รอบการชำระเงินของคุณเร็วขึ้นได้หลายสัปดาห์
ช่วยให้ชำระเงินทันทีได้ง่ายดาย
เมื่อคุณใส่ลิงก์ชำระเงินไว้ในใบแจ้งหนี้ ลูกค้าก็จะชำระเงินผ่านบัตรหรือการโอนเงินผ่านธนาคารได้โดยไม่ต้องออกจากกล่องจดหมาย ระบบจะระบุการชำระเงินให้ตรงกับใบแจ้งหนี้ที่ค้างชำระอยู่โดยอัตโนมัติ จึงไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่กระทบยอดในภายหลัง ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่รวดเร็วที่สุดในการปรับปรุงกระแสเงินสด
เชื่อมต่อระบบของคุณ
เมื่อเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ซอฟต์แวร์การทำบัญชี และบัญชีธนาคารของคุณสื่อสารกันได้จริง คุณก็จะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการทำงานซ้ำๆ คุณสามารถตั้งค่าให้คำสั่งซื้อสร้างใบแจ้งหนี้ การชำระเงินให้จัดทำบันทึกแบบเรียลไทม์ และแดชบอร์ดให้แสดงรายการที่ชำระเงินแล้ว รายการที่ค้างชำระ และรายการที่ต้องคอยติดตามกันต่อไปได้
ใช้การหักบัญชีอัตโนมัติสำหรับผู้ซื้อซ้ำ
หากคุณมีลูกค้าประจำที่สั่งซื้อเข้ามาซ้ำๆ ให้ตั้งค่า Autogiro วิธีนี้จะช่วยให้คุณได้รับเงินได้ตามกำหนดเวลาโดยอัตโนมัติ ส่วนลูกค้าก็ไม่ต้องประมวลผลการชำระเงินทุกเดือน ซึ่งเหมาะสำหรับการชำระเงินตามรอบบิล ข้อตกลงในการเติมสต๊อก และขั้นตอนอื่นๆ ที่คาดเดาได้
ระบุแนวโน้มในข้อมูลการชำระเงินของคุณ
ใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกหนี้การค้าเพื่อแจ้งผู้ที่ชำระเงินล่าช้าก่อนจะเกิดปัญหา เสนอสิ่งจูงใจให้ชำระเงินก่อนกำหนดเพื่อเก็บเงินให้เร็วขึ้น หรือกระตุ้นให้ผู้ที่ชำระเงินช้าบ่อยๆ เลือกใช้การหักบัญชีอัตโนมัติหรือบัตรที่มีอยู่ในระบบ ให้ใช้รูปแบบที่คุณมีข้อมูลอยู่แล้วเพื่อดำเนินการอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น
เป้าหมาย คือ การได้รับเงินโดยดำเนินการน้อยลง ลดข้อผิดพลาด และยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า เรื่องเหล่านี้อาจทำได้ง่ายๆ เนื่องจากสวีเดนมีสภาพแวดล้อมที่รองรับระบบดิจิทัลอยู่แล้ว
คุณจะป้องกันการฉ้อโกงในอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ได้อย่างไร
การฉ้อโกงแบบ B2B มักอยู่ในรูปแบบของคำสั่งซื้อจำนวนมากจากบริษัทที่ไม่มีอยู่จริง ผู้ซื้อรายใหม่ที่ติดต่อไม่ได้หลังจากที่คุณออกใบแจ้งหนี้ให้ หรือกลวิธีอันแนบเนียนที่เล็ดลอดผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ไปได้ เมื่อธุรกิจในสวีเดนหันไปขายสินค้าทางออนไลน์กันมากขึ้น ความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน วิธีป้องกันตัวคุณเองจากการฉ้อโกงมีดังนี้
ตรวจสอบยืนยันผู้ซื้อรายใหม่อยู่เสมอ
ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ก่อนจะอนุมัติคำสั่งซื้อจำนวนมากที่เข้ามาครั้งแรก
ค้นหาบริษัทนั้นๆ ใน Allabolag หรือสำนักงานจดทะเบียนบริษัทของสวีเดน (Swedish Companies Registration Office)
ยืนยันหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และที่อยู่สำหรับจัดส่ง
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานที่จัดส่งสอดรับกับธุรกิจนั้นๆ
กลลวงที่พบบ่อยก็คือการปลอมแปลงตัวตน มิจฉาชีพจะสวมรอยเป็นบริษัทที่มีตัวตนอยู่จริงโดยใช้อีเมลที่ดูน่าเชื่อถือและชื่อธุรกิจที่มีอยู่จริง แต่จะเปลี่ยนเส้นทางการจัดส่งหรือการชำระเงิน
คอยสังเกตดูสัญญาณเตือนที่พบบ่อย
การฉ้อโกงมักจะใช้รูปแบบเดิมซ้ำๆ
ให้มองหาสัญญาณต่อไปนี้
คำสั่งซื้อจำนวนมากจากลูกค้ารายใหม่ โดยเฉพาะสินค้าที่นำไปขายต่อได้ราคาดี
คำสั่งซื้อติดๆ กันหลายรายการจากบัญชีที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่
ที่อยู่สำหรับจัดส่งใหม่ซึ่งไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานที่ตั้งของธุรกิจซึ่งเป็นที่รู้กันดี
เมื่อคุณเห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้ ให้ตรวจสอบให้ดีก่อนจะทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น ให้ตั้งค่าระบบของคุณให้คอยแจ้งคำสั่งซื้อที่มีรูปแบบผิดไปจากฐานลูกค้าของคุณ
ใช้เครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกง
แพลตฟอร์ม B2B อาจมีมาตรการตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์หลายๆ อย่างเพิ่มเข้ามา ได้แก่
การตรวจสอบที่อยู่ของอินเทอร์เน็ตโปรโตคอล (IP) และตำแหน่งที่ตั้ง
ขีดจำกัดความเร็วในการสั่งซื้อ
รายการที่บล็อกหรือกฎการอนุมัติแบบอัตโนมัติ
การใช้ผู้ประมวลผลการชำระเงินที่มาพร้อมการคัดกรองในตัวจะเป็นประโยชน์ในส่วนนี้ หากคุณกำลังออกบัตรใบแจ้งหนี้ ให้จัดการเรื่องการอนุมัติเครดิตอย่างจริงจังไม่ต่างจากธนาคาร
ดูว่าคุณกำลังจะให้เครดิตกับใคร
การเสนอข้อกำหนดในการชำระใบแจ้งหนี้มาพร้อมการแบกรับความเสี่ยงด้านเครดิตในระยะสั้น ให้ปรับแต่งนโยบายเครดิตของคุณให้เหมาะกับขนาด ประวัติ และมูลค่าคำสั่งซื้อของลูกค้า
ในกรณีที่เป็นผู้ซื้อรายใหม่หรือผู้ซื้อที่มีมูลค่าสูง ให้ตรวจสอบดังนี้
ดึงข้อมูลรายงานเครดิตธุรกิจผ่าน UC หรือหน่วยงานอ้างอิงเครดิตอื่น
กำหนดขีดจำกัดเบื้องต้นและปรับข้อกำหนดการชำระเงินให้รัดกุมขึ้นจนกว่าความสัมพันธ์จะแน่นแฟ้นมั่นคง
ขอให้ลูกค้าชำระเงินล่วงหน้าหากรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ปิดช่องโหว่ในระบบของคุณ
การยึดครองบัญชีเป็นปัญหาที่พบบ่อยใน B2B โดยเฉพาะบัญชีที่ให้สิทธิ์การเข้าถึงกับผู้ใช้หลายราย ให้กำหนดให้ใช้รหัสผ่านที่รัดกุมและการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยในการเข้าสู่ระบบของผู้ซื้อ และคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบัญชีธนาคาร ซึ่งมักเป็นจุดเริ่มต้นของกลลวงในการละเมิดอีเมลธุรกิจ ให้อัปเดตทุกอย่างให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ ตั้งแต่ซอฟต์แวร์ของแพลตฟอร์มไปจนถึงระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM)
ฝึกฝนทีมของคุณให้คอยตรวจดูกิจกรรมที่น่าสงสัย
การตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่มักจะตรวจจับการฉ้อโกงได้ ทีมปฏิบัติการและทีมขายของคุณต้องเข้าใจถึงลักษณะพฤติกรรมที่ต้องสงสัยและเวลาที่ควรจะส่งเรื่องต่อ เจ้าหน้าที่ไม่ควรลังเลที่จะชะลอคำสั่งซื้อเพื่อตรวจสอบยืนยันผู้ซื้อ
การขายทางดิจิทัลช่วยเพิ่มการเข้าถึงและประสิทธิภาพ แต่ก็ทำให้คุณเสี่ยงต่อการฉ้อโกงรูปแบบใหม่ๆ เช่นกัน คุณต้องมีระบบพื้นฐานและทีมที่เข้าใจเวลาที่เหมาะสมในการสอบถามเพิ่มเติม
Stripe Checkout จะช่วยคุณได้อย่างไรบ้าง
Stripe Checkout เป็นรูปแบบการชำระเงินสำเร็จรูปที่ปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้คุณรับชำระเงินบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้ง่ายๆ
Checkout สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้
เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า: การออกแบบที่เน้นอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นสำคัญและการชำระเงินได้ในคลิกเดียวของ Checkout ช่วยให้ลูกค้าป้อนข้อมูลการชำระเงินและนำมาใช้ใหม่ได้ง่ายๆ
ลดเวลาในการพัฒนา: ผสาน Checkout ลงในเว็บไซต์ของคุณโดยตรง หรือส่งลูกค้าไปยังหน้าเว็บที่โฮสต์โดย Stripe ด้วยโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด
ปรับปรุงความปลอดภัย: Checkout จะจัดการข้อมูลบัตรที่ละเอียดอ่อน ทำให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI ได้ง่ายขึ้น
ขยายไปทั่วโลก: แปลงค่าบริการเป็นสกุลเงินต่างๆ ได้มากกว่า 100 สกุลเงินด้วย Adaptive Pricing ซึ่งรองรับมากกว่า 30 ภาษา และปรับเปลี่ยนวิธีการชำระเงินให้เป็นวิธีที่น่าจะเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้มากที่สุด
ใช้ฟีเจอร์ขั้นสูง: ผสานการทำงานของ Checkout กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Stripe เช่น Billing สำหรับการชำระเงินตามรอบบิล, Radar สำหรับการป้องกันการฉ้อโกง และอื่นๆ อีกมากมาย
ควบคุมได้: ปรับแต่งประสบการณ์การชำระเงินได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการบันทึกวิธีการชำระเงินและการตั้งค่าการดำเนินการหลังการซื้อ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Checkout จะช่วยปรับแต่งขั้นตอนการชำระเงิน หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ