Fulfillment by Amazon (FBA) เป็นบริการที่ให้ Amazon เข้ามาดูแลเรื่องบริการจัดเก็บ การดำเนินการตามคำสั่งซื้อ และการจัดส่ง ผู้ขายจะส่งสินค้าของตนไปยังศูนย์ดำเนินการตามคำสั่งซื้อของ Amazon และ Amazon ก็จะเลือก แพ็กของ และจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อให้กับลูกค้าโดยตรง บริการนี้เป็นที่นิยม โดยมีผู้ขายบน Amazon จำนวน 86% ที่เลือกใช้ FBA
แต่ FBA ก็อาจทำให้สับสนได้ว่าผู้ขายบน Amazon เหล่านี้จำเป็นต้องเก็บภาษีการขายหรือไม่ ด้านล่างนี้ เราจะพาไปดูว่าผู้ขายรายใดบ้างต้องรับผิดชอบภาษีการขายกับ Amazon FBA และรับผิดชอบภาษีการขายประเภทใด รวมถึงวิธีดูว่าคุณมีภาระหน้าที่ทางภาษีการขายหรือไม่
เนื้อหาหลักในบทความ:
- สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษีการขายในสหรัฐอเมริกา
- ข้อกำหนดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในสหรัฐอเมริกา
- ความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายทำงานอย่างไรสำหรับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสออนไลน์
- ผู้ขายบน Amazon FBA เก็บภาษีการขายอย่างไร
- ภาษีการขายทำงานอย่างไรในแคนาดา
- การจัดการภาษีการขายมีขั้นตอนอะไรบ้าง
- วิธีรายงานและส่งภาษีการขายของ Amazon FBA
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษีการขายในสหรัฐอเมริกา
ภาษีการขายในสหรัฐอเมริกาก็คือเป็นภาษีการบริโภคที่รัฐบาลกำหนดเมื่อมีการขายสินค้าและบริการ เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการ ระบบจะเพิ่มภาษีการขายลงในราคาโดยคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้ขายก็จะเก็บและนำส่งภาษีนี้ให้กับหน่วยงานด้านภาษีที่เหมาะสมต่อไป สิ่งที่ผู้ขายจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับภาษีการขายในสหรัฐอเมริกามีดังนี้
การเก็บภาษีระดับรัฐ: ภาษีการขายในสหรัฐอเมริกาอยู่ภายใต้การควบคุมในระดับรัฐเป็นหลัก ซึ่งต่างจากหลายๆ ประเทศที่มีภาษีการขายหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ระดับชาติ โดยแต่ละรัฐก็จะกำหนดอัตราและกฎเกณฑ์เป็นของตนเองเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเสียภาษี
ภาษีท้องถิ่น: นอกเหนือจากภาษีของรัฐแล้ว เขตอำนาจศาลในท้องถิ่น (เช่น เคาน์ตีและเมือง) ยังเก็บภาษีการขายของตนเองด้วย เมื่อนำภาษีของรัฐมารวมกับภาษีท้องถิ่นก็จะได้เป็นยอดรวมภาษีที่ลูกค้าต้องชำระ
ความเชื่อมโยงทางภาษี: ธุรกิจจะต้องเก็บภาษีการขายในรัฐก็ต่อเมื่อมีความเชื่อมโยงในรัฐนั้นๆ ซึ่งหมายถึงการปรากฏตัวหรือผ่านเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ เช่น มีปริมาณการขายหรือจำนวนธุรกรรมครบตามที่กำหนด การปรากฏตัวอาจหมายรวมถึงการมีร้านค้า สำนักงาน คลังสินค้า หรือพนักงานในสถานที่นั้นๆ
สินค้าที่ต้องเสียภาษี: ในรัฐส่วนใหญ่ สินค้าที่จับต้องได้ส่วนใหญ่จะต้องเสียภาษี แต่การเก็บภาษีจากบริการจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ บางรัฐจะเก็บภาษีจากบริการเป็นจำนวนมาก ในขณะที่บางรัฐก็เก็บภาษีน้อยมาก
การยกเว้นและช่วงงดเว้นภาษี: ผลิตภัณฑ์บางอย่าง เช่น อาหารสำหรับบริโภคที่บ้าน ยาตามใบสั่งแพทย์ และอุปกรณ์การเกษตรบางชนิดมักจะได้รับการยกเว้นภาษีการขาย บางรัฐยังมีช่วงงดเว้นภาษีการขายเป็นระยะๆ ด้วย ซึ่งสามารถซื้อสินค้าบางรายการได้โดยไม่ต้องเสียภาษี
การยื่นและการปฏิบัติตามข้อกำหนด: ธุรกิจต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีการขายเป็นประจำกับแต่ละรัฐและเขตอำนาจศาลในท้องถิ่นที่ตนมีความเชื่อมโยงและเก็บภาษี โดยอัตราและกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละเขตอำนาจศาลก็อาจทำให้ขั้นตอนนี้ซับซ้อนขึ้น
ข้อกำหนดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในสหรัฐอเมริกา
ในสหรัฐอเมริกา ความเชื่อมโยงจะเป็นตัวกำหนดว่าธุรกิจต้องเก็บและนำส่งภาษีการขายในรัฐนั้นๆ หรือไม่ เกณฑ์ในการสร้างความเชื่อมโยงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ แต่กฎบางส่วนที่ทุกรัฐมีเหมือนๆ กันมีดังนี้
ความเชื่อมโยงทางกายภาพ: ความเชื่อมโยงนี้เป็นรูปแบบดั้งเดิมที่สุด ความเชื่อมโยงประเภทนี้จะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจมีการปรากฏตัวในรัฐนั้นๆ การปรากฏตัวนี้อาจหมายรวมถึงสำนักงาน ร้านค้า คลังสินค้า พนักงาน หรือตัวแทน
ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ: ในตอนนี้ กฎหมายล่าสุดกำหนดให้ธุรกิจต้องเก็บภาษีการขายตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในรัฐ ไม่ว่าจะปรากฏตัวในรัฐนั้นหรือไม่ก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจมักวัดจากรายได้จากการขาย (เช่น ยอดขายต่อปีมากกว่า 100,000 ดอลลาร์) ปริมาณธุรกรรม (เช่น มีธุรกรรมมากกว่า 200 รายการใน 1 ปี) หรือทั้ง 2 อย่างรวมกันภายในรัฐ โดยแต่ละรัฐก็จะมีเกณฑ์เป็นของตนเอง
ความเชื่อมโยงแบบคลิกผ่าน: บางรัฐมีกฎหมายที่จะสร้างความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายเมื่อธุรกิจร่วมงานกับพันธมิตรช่วยขายในรัฐนั้นๆ ซึ่งคอยแนะนำลูกค้าให้มายังธุรกิจดังกล่าวผ่านลิงก์บนเว็บ (การคลิกผ่าน) และยอดขายที่เกิดขึ้นจากการแนะนำเหล่านี้เกินเกณฑ์ที่กำหนด
_ความเชื่อมโยงกับบริษัทในเครือ: _ ความเชื่อมโยงกับบริษัทในเครือจะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจมีความสัมพันธ์กับอีกบริษัทหนึ่งหรือบริษัทในเครือภายในรัฐนั้นๆ ซึ่งช่วยสร้างหรือรักษาตลาดในรัฐนั้น ตัวอย่างเช่น หากบริษัทแม่มีบริษัทลูกในรัฐหนึ่ง ก็แสดงว่าทั้ง 2 บริษัทนี้อาจมีความเชื่อมโยงกัน
ความเชื่อมโยงกับมาร์เก็ตเพลส: หลายๆ รัฐมีกฎหมายว่าด้วยผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส กฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต่างๆ เช่น Amazon, eBay และ Etsy ต้องเก็บและนำส่งภาษีการขายในนามของผู้ขายที่ใช้แพลตฟอร์มของตน กฎหมายเหล่านี้ช่วยลดความยุ่งยากในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีสำหรับผู้ขายรายย่อย แต่ก็เพิ่มหน้าที่เก็บภาษีให้กับมาร์เก็ตเพลสขนาดใหญ่
ความเชื่อมโยงกับสินค้าคงคลัง: การเก็บสินค้าคงคลังในรัฐหนึ่งๆ อาจทำให้เกิดความเชื่อมโยงได้ แม้ว่าสินค้าคงคลังนั้นจะได้รับการจัดเก็บไว้ในคลังสินค้าของบริษัทอื่นก็ตาม ความเชื่อมโยงนี้จะเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับธุรกิจที่ใช้บริการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ เช่น Amazon FBA
ความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายทำงานอย่างไรสำหรับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสออนไลน์
ความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายสำหรับผู้ขายบนมาร์เก็ตเพลสออนไลน์จะมีลักษณะการทำงานในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ได้แก่ ความเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสหรือความเชื่อมโยงกับผู้ขาย เรามาดูทั้ง 2 รูปแบบนี้ให้ละเอียดขึ้นกันดีกว่า
ความเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส
หลายๆ รัฐจะมีกฎหมายว่าด้วยผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสอยู่ กฎหมายนี้กำหนดให้มาร์เก็ตเพลสออนไลน์ต่างๆ (เช่น Amazon, Etsy หรือ eBay) ต้องเก็บและนำส่งภาษีการขายในนามของผู้ขาย โดยสิ่งที่เกิดขึ้นจะมีดังนี้
ผู้ขาย: หากคุณขายผ่านผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส คุณมักไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บภาษีการขายด้วยตัวเอง (แม้ว่าคุณจะมีความเชื่อมโยงในรัฐนั้นๆ ก็ตาม) เพราะมาร์เก็ตเพลสจะจัดการให้คุณ
เกณฑ์ความเชื่อมโยง: แต่ละรัฐจะมีเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในแบบของตนเอง ซึ่งทำให้มาร์เก็ตเพลสมีภาระหน้าที่ในการเก็บภาษี หากคุณมียอดขายจากมาร์เก็ตเพลสเกินเกณฑ์ดังกล่าว มาร์เก็ตเพลสก็จะเริ่มเก็บภาษีการขายให้คุณในรัฐนั้นๆ
การยกเว้น: อาจมีบางกรณีที่มาร์เก็ตเพลสไม่ได้จัดการกับยอดขายให้ครบทั้งหมด เช่น หมวดหมู่สินค้าที่เฉพาะเจาะจงหรือยอดขายที่เกิดขึ้นนอกแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส ในกรณีดังกล่าว คุณอาจต้องเก็บภาษีการขายด้วยตัวเอง
ความเชื่อมโยงกับผู้ขาย
แม้จะมีกฎหมายว่าด้วยผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสอยู่ คุณก็ยังอาจมีความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายในบางรัฐอยู่ สาเหตุอาจมีดังนี้
การขายโดยตรง: หากคุณขายสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรงผ่านเว็บไซต์ของคุณเองหรือช่องทางอื่นๆ คุณอาจทำให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในรัฐ โดยดูจากปริมาณการขายหรือจำนวนธุรกรรม
พื้นที่จัดเก็บสินค้าคงคลัง: หากคุณจัดเก็บสินค้าคงคลังในรัฐ (แม้จะเป็นศูนย์ดำเนินการตามคำสั่งซื้อของบริษัทอื่นก็ตาม) คุณอาจมีความเชื่อมโยงทางกายภาพในรัฐนั้นๆ
กิจกรรมอื่นๆ: กิจกรรมบางอย่าง (เช่น การมีพนักงานหรือการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในรัฐ) ก็อาจทำให้เกิดความเชื่อมโยงได้เช่นกัน
หากคุณมีความเชื่อมโยงในรัฐและไม่ได้ขายผ่านผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส คุณจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการเก็บและนำส่งภาษีการขายจากยอดขายในรัฐนั้นๆ
ผู้ขายบน Amazon FBA เก็บภาษีการขายอย่างไร
หากคุณเป็นผู้ขายบน Amazon FBA และคุณรู้ว่ามีความเชื่อมโยงในรัฐ คุณก็จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตภาษีการขายในรัฐนั้นๆ แม้ว่า Amazon จะจัดการเรื่องการเก็บภาษีการขายสำหรับธุรกรรมที่ทำผ่าน FBA แต่คุณจำเป็นต้องตั้งค่าและจัดการวิธีเก็บภาษีในการตั้งค่าผู้ขายบน Amazon ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐนั้น
แม้ว่า Amazon จะเก็บภาษี แต่ผู้ขายมักจะต้องรับผิดชอบในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีการขายและนำส่งภาษีการขายที่ต้องชำระให้กับแต่ละรัฐ Amazon จะออกแบบฟอร์ม 1099-K พร้อมข้อมูลยอดขายรวมแบบรายปีและรายเดือนหากธุรกิจของคุณมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ยอดขายรวม
ภาษีการขายทำงานอย่างไรในแคนาดา
ในแคนาดา ภาษีการขายครอบคลุมทั้งภาษีการขายของรัฐบาลกลางและรัฐ ลักษณะการนำไปใช้กับผู้ขายในแคนาดา รวมถึงผู้ขายที่ใช้ Amazon FBA มีดังนี้
ประเภทของภาษีการขายในแคนาดา
ภาษีสินค้าและบริการ (GST): ภาษีนี้เป็นภาษีของรัฐบาลกลางจำนวน 5% ซึ่งมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศแคนาดา
ภาษีการขายของรัฐ (PST): บางรัฐจะเรียกเก็บภาษีการขายของตนเองนอกเหนือจาก GST โดยอัตราภาษีก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
ภาษีการขายแบบประสานรวม (HST): บางรัฐจะรวม GST และ PST เข้าด้วยกันเป็นภาษีเดียวที่เรียกว่า HST โดยอัตราจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ แต่จะมี GST 5%
ความเชื่อมโยงและการเก็บภาษี
ผู้ขายต้องรู้กฎทางภาษีเฉพาะของแต่ละรัฐที่ตนมีความเชื่อมโยงอยู่ เช่น บริติชโคลัมเบีย ซัสแคตเชวัน แมนิโทบา และควิเบกจะเก็บ PST ของตนเอง ซึ่งต้องมีขั้นตอนการจดทะเบียนและการนำส่งแยกต่างหาก
การปรากฏตัว: การปรากฏตัวในรัฐใดรัฐหนึ่งอาจทำให้จำเป็นต้องเก็บและนำส่งภาษีที่เหมาะสมได้เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา ในกรณีของผู้ขายบน Amazon FBA การจัดเก็บสินค้าคงคลังในศูนย์ดำเนินการตามคำสั่งซื้อของ Amazon ในแคนาดาก็ถือเป็นการปรากฏตัวด้วยเช่นกัน
ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ: โดยปกติแล้ว แคนาดาไม่ได้กำหนดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจตามปริมาณการขายเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ขายที่ไม่ได้พำนักอยู่ในแคนาดาแต่ดำเนินธุรกิจในประเทศนี้มักจะต้องจดทะเบียน GST และ HST หากมีสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษีในแคนาดา
ความรับผิดชอบของผู้ขายบน Amazon FBA
การจดทะเบียนภาษีการขาย: ผู้ขายบน Amazon FBA ต้องจดทะเบียน GST และ HST (และ PST หากมี) หากมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ในการทำธุรกิจในแคนาดา โดยจะมีการขอรับหมายเลขธุรกิจ (BN) จาก Canada Revenue Agency (CRA)
การยื่นและชำระภาษีการขาย: ผู้ขายจำเป็นต้องตั้งค่าการเก็บภาษีในบัญชีผู้ขายบน Amazon ของตนและระบุอัตราตามสถานที่จัดส่งสินค้า นอกจากนี้ ผู้ขายยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี GST และ HST (และ PST หากมี) เป็นประจำด้วย โดยอาจจะยื่นเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปีก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับปริมาณการขายของผู้ขายและหน่วยงานด้านภาษีที่เกี่ยวข้อง
การนำเข้าสินค้า: เมื่อนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศแคนาดา จะมีการเก็บภาษี GST และอาจมีอากรอื่นๆ ที่จุดตรวจเข้าประเทศ ผู้ขายที่มี Amazon FBA จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าเหล่านี้ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ซึ่งมักจะมีการใช้นายหน้าศุลกากร
การจัดการภาษีการขายมีขั้นตอนอะไรบ้าง
เรื่องที่คุณควรพิจารณาเป็นหลักเพื่อดูว่าต้องเสียภาษีการขายหรือไม่ก็คือ คุณมีความเชื่อมโยงในภูมิภาคต่างๆ ที่จัดเก็บสินค้าคงคลังของคุณเอาไว้หรือไม่ และลูกค้าของคุณอยู่ที่ไหน วิธีที่คุณใช้ประเมินเรื่องนี้ได้มีดังนี้
ระบุความเชื่อมโยง
ในการดูว่าคุณมีความเชื่อมโยงทางกายภาพหรือไม่ ให้ตรวจสอบว่า Amazon จัดเก็บสินค้าคงคลังของคุณไว้ที่ใด คุณสามารถค้นหาข้อมูลนี้ได้ในบัญชีผู้ขายบน Amazon ของคุณในส่วนรายงานสินค้าคงคลัง
หากต้องการยืนยันว่าคุณมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจหรือไม่ ให้ตรวจสอบว่ายอดขายของคุณเกินเกณฑ์ทางเศรษฐกิจในรัฐนั้นๆ หรือไม่ หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาจะมีเกณฑ์เฉพาะ (เช่น ยอดขาย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือธุรกรรม 200 รายการต่อปี) ซึ่งเมื่อเกินเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ก็จะเกิดภาระหน้าที่ในการเก็บและนำส่งภาษีการขายในรัฐนั้นๆ ส่วนในแคนาดา ผู้ขายที่ไม่ได้พำนักอยู่ในแคนาดาก็จะต้องจดทะเบียน GST และ HST
จดทะเบียนใบอนุญาตภาษีการขาย
เมื่อคุณทราบแล้วว่าคุณมีความเชื่อมโยงในรัฐหรือพื้นที่ คุณจะต้องจดทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตภาษีการขายกับกรมสรรพากรของรัฐ ขั้นตอนนี้มักต้องมีการขอใบอนุญาตผู้ขายหรือใบอนุญาตภาษีการขาย
ตั้งค่าการเก็บภาษีการขายใน Amazon
ในบัญชีผู้ขายบน Amazon ของคุณ ให้กำหนดการตั้งค่าภาษีเพื่อเก็บภาษีการขายในรัฐและพื้นที่ต่างๆ ที่คุณจดทะเบียนไว้ Amazon มีการตั้งค่าโดยละเอียดที่ช่วยให้คุณระบุอัตราในระดับรัฐ เคาน์ตี และเมืองได้หากจำเป็น
เก็บภาษีการขาย
ยืนยันว่าอัตราภาษีที่คุณกำหนดค่าไว้ใน Amazon ตรงกับอัตราปัจจุบันในเขตอำนาจศาลที่คุณต้องเก็บภาษีการขาย อัตราภาษีการขายอาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ให้อัปเดตอัตราเหล่านี้เป็นประจำ
รายงานและนำส่งภาษีการขาย
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีการขายกับเขตอำนาจศาลแต่ละแห่งตามช่วงเวลาที่กำหนด แม้ว่าคุณจะไม่ได้เก็บภาษีการขายในช่วงเวลาหนึ่ง คุณก็อาจยังต้องยื่น "แบบแสดงรายการภาษีเป็นศูนย์" อยู่ดี ให้ชำระภาษีการขายที่เก็บได้ให้แต่ละรัฐหรือพื้นที่ และปฏิบัติตามกำหนดเวลาในท้องถิ่นเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษและดอกเบี้ย
วิธีรายงานและส่งภาษีการขายของ Amazon FBA
ผู้ขายบน Amazon FBA มีวิธีรายงานและส่งภาษีการขายแบบต่างๆ ที่ใช้ได้อยู่ 2-3 วิธี โดยวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการภาษีการขายของ Amazon FBA จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ คุณอาจต้องใช้ซอฟต์แวร์อัตโนมัติหรือเจ้าหน้าที่ด้านภาษีในกรณีต่อไปนี้
คุณมีความเชื่อมโยงในเขตอำนาจศาลหลายแห่ง ซึ่งอาจทำให้การยื่นด้วยตนเองทำได้ยากขึ้น
คุณมียอดขายจำนวนมาก ซึ่งอาจใช้เวลานานในการรายงาน
คุณมีสถานการณ์เกี่ยวกับภาษีการขายที่ซับซ้อน เช่น การขายสินค้าที่ได้รับการยกเว้นหรือใช้ช่องทางการขายหลายช่องทาง
วิธีการทำงานของแต่ละวิธีมีดังนี้
การยื่นด้วยตนเอง
รวบรวมรายงานภาษีการขายจาก Amazon Seller Central ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนภาษีการขายที่เก็บในแต่ละเขตอำนาจศาล
จัดเตรียมแบบแสดงรายการภาษีการขายด้วยตนเองสำหรับแต่ละเขตอำนาจศาลที่คุณมีความเชื่อมโยงและต้องชำระภาษี
ยื่นแบบแสดงรายการทางออนไลน์หรือทางไปรษณีย์
ชำระภาษีการขายที่จำเป็น
ซอฟต์แวร์ภาษีการขาย
ผสานการทำงานโซลูชันซอฟต์แวร์ภาษีการขายกับ Amazon Seller Central เพื่อคำนวณและเก็บภาษีการขายโดยอัตโนมัติในระหว่างการชำระเงิน
จัดทำแบบแสดงรายการภาษีการขายตามข้อมูลที่รวบรวมมา
นำส่งภาษีการขายให้กับรัฐโดยอัตโนมัติ
เจ้าหน้าที่ด้านภาษี
- ว่าจ้างเจ้าหน้าที่ด้านภาษีให้มาช่วยคุณกำหนดความเชื่อมโยง จดทะเบียนขอใบอนุญาต ยื่นแบบแสดงรายการ และปฏิบัติตามกฎระเบียบทั้งหมด
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ