คำอธิบายเกี่ยวกับภาษีการขายของ Amazon FBA: ผู้ขายต้องเก็บภาษีการขายเมื่อใด

Tax
Tax

Stripe Tax จะทำให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลกเป็นไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อให้คุณไปมุ่งเน้นกับการขยายธุรกิจ โดยจะระบุภาระหน้าที่ทางภาษีของคุณ จัดการการจดทะเบียน คำนวณและเรียกเก็บภาษีด้วยจำนวนที่ถูกต้องทั่วโลก และช่วยในการยื่นภาษี ทั้งหมดนี้ทำได้ในที่เดียว

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษีการขายในสหรัฐอเมริกา
  3. ข้อกำหนดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในสหรัฐอเมริกา
  4. ความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายทำงานอย่างไรสำหรับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสออนไลน์
    1. ความเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส
    2. ความเชื่อมโยงกับผู้ขาย
  5. ผู้ขายบน Amazon FBA เก็บภาษีการขายอย่างไร
  6. ภาษีการขายทำงานอย่างไรในแคนาดา
    1. ประเภทของภาษีการขายในแคนาดา
    2. ความเชื่อมโยงและการเก็บภาษี
    3. ความรับผิดชอบของผู้ขายบน Amazon FBA
  7. การจัดการภาษีการขายมีขั้นตอนอะไรบ้าง
    1. ระบุความเชื่อมโยง
    2. จดทะเบียนใบอนุญาตภาษีการขาย
    3. ตั้งค่าการเก็บภาษีการขายใน Amazon
    4. เก็บภาษีการขาย
    5. รายงานและนำส่งภาษีการขาย
  8. วิธีรายงานและส่งภาษีการขายของ Amazon FBA
    1. การยื่นด้วยตนเอง
    2. ซอฟต์แวร์ภาษีการขาย
    3. เจ้าหน้าที่ด้านภาษี

Fulfillment by Amazon (FBA) เป็นบริการที่ให้ Amazon เข้ามาดูแลเรื่องบริการจัดเก็บ การดำเนินการตามคำสั่งซื้อ และการจัดส่ง ผู้ขายจะส่งสินค้าของตนไปยังศูนย์ดำเนินการตามคำสั่งซื้อของ Amazon และ Amazon ก็จะเลือก แพ็กของ และจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อให้กับลูกค้าโดยตรง บริการนี้เป็นที่นิยม โดยมีผู้ขายบน Amazon จำนวน 86% ที่เลือกใช้ FBA

แต่ FBA ก็อาจทำให้สับสนได้ว่าผู้ขายบน Amazon เหล่านี้จำเป็นต้องเก็บภาษีการขายหรือไม่ ด้านล่างนี้ เราจะพาไปดูว่าผู้ขายรายใดบ้างต้องรับผิดชอบภาษีการขายกับ Amazon FBA และรับผิดชอบภาษีการขายประเภทใด รวมถึงวิธีดูว่าคุณมีภาระหน้าที่ทางภาษีการขายหรือไม่

เนื้อหาหลักในบทความ:

  • สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษีการขายในสหรัฐอเมริกา
  • ข้อกำหนดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในสหรัฐอเมริกา
  • ความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายทำงานอย่างไรสำหรับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสออนไลน์
  • ผู้ขายบน Amazon FBA เก็บภาษีการขายอย่างไร
  • ภาษีการขายทำงานอย่างไรในแคนาดา
  • การจัดการภาษีการขายมีขั้นตอนอะไรบ้าง
  • วิธีรายงานและส่งภาษีการขายของ Amazon FBA

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษีการขายในสหรัฐอเมริกา

ภาษีการขายในสหรัฐอเมริกาก็คือเป็นภาษีการบริโภคที่รัฐบาลกำหนดเมื่อมีการขายสินค้าและบริการ เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการ ระบบจะเพิ่มภาษีการขายลงในราคาโดยคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้ขายก็จะเก็บและนำส่งภาษีนี้ให้กับหน่วยงานด้านภาษีที่เหมาะสมต่อไป สิ่งที่ผู้ขายจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับภาษีการขายในสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • การเก็บภาษีระดับรัฐ: ภาษีการขายในสหรัฐอเมริกาอยู่ภายใต้การควบคุมในระดับรัฐเป็นหลัก ซึ่งต่างจากหลายๆ ประเทศที่มีภาษีการขายหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ระดับชาติ โดยแต่ละรัฐก็จะกำหนดอัตราและกฎเกณฑ์เป็นของตนเองเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเสียภาษี

  • ภาษีท้องถิ่น: นอกเหนือจากภาษีของรัฐแล้ว เขตอำนาจศาลในท้องถิ่น (เช่น เคาน์ตีและเมือง) ยังเก็บภาษีการขายของตนเองด้วย เมื่อนำภาษีของรัฐมารวมกับภาษีท้องถิ่นก็จะได้เป็นยอดรวมภาษีที่ลูกค้าต้องชำระ

  • ความเชื่อมโยงทางภาษี: ธุรกิจจะต้องเก็บภาษีการขายในรัฐก็ต่อเมื่อมีความเชื่อมโยงในรัฐนั้นๆ ซึ่งหมายถึงการปรากฏตัวหรือผ่านเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ เช่น มีปริมาณการขายหรือจำนวนธุรกรรมครบตามที่กำหนด การปรากฏตัวอาจหมายรวมถึงการมีร้านค้า สำนักงาน คลังสินค้า หรือพนักงานในสถานที่นั้นๆ

  • สินค้าที่ต้องเสียภาษี: ในรัฐส่วนใหญ่ สินค้าที่จับต้องได้ส่วนใหญ่จะต้องเสียภาษี แต่การเก็บภาษีจากบริการจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ บางรัฐจะเก็บภาษีจากบริการเป็นจำนวนมาก ในขณะที่บางรัฐก็เก็บภาษีน้อยมาก

  • การยกเว้นและช่วงงดเว้นภาษี: ผลิตภัณฑ์บางอย่าง เช่น อาหารสำหรับบริโภคที่บ้าน ยาตามใบสั่งแพทย์ และอุปกรณ์การเกษตรบางชนิดมักจะได้รับการยกเว้นภาษีการขาย บางรัฐยังมีช่วงงดเว้นภาษีการขายเป็นระยะๆ ด้วย ซึ่งสามารถซื้อสินค้าบางรายการได้โดยไม่ต้องเสียภาษี

  • การยื่นและการปฏิบัติตามข้อกำหนด: ธุรกิจต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีการขายเป็นประจำกับแต่ละรัฐและเขตอำนาจศาลในท้องถิ่นที่ตนมีความเชื่อมโยงและเก็บภาษี โดยอัตราและกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละเขตอำนาจศาลก็อาจทำให้ขั้นตอนนี้ซับซ้อนขึ้น

ข้อกำหนดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในสหรัฐอเมริกา

ในสหรัฐอเมริกา ความเชื่อมโยงจะเป็นตัวกำหนดว่าธุรกิจต้องเก็บและนำส่งภาษีการขายในรัฐนั้นๆ หรือไม่ เกณฑ์ในการสร้างความเชื่อมโยงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ แต่กฎบางส่วนที่ทุกรัฐมีเหมือนๆ กันมีดังนี้

  • ความเชื่อมโยงทางกายภาพ: ความเชื่อมโยงนี้เป็นรูปแบบดั้งเดิมที่สุด ความเชื่อมโยงประเภทนี้จะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจมีการปรากฏตัวในรัฐนั้นๆ การปรากฏตัวนี้อาจหมายรวมถึงสำนักงาน ร้านค้า คลังสินค้า พนักงาน หรือตัวแทน

  • ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ: ในตอนนี้ กฎหมายล่าสุดกำหนดให้ธุรกิจต้องเก็บภาษีการขายตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในรัฐ ไม่ว่าจะปรากฏตัวในรัฐนั้นหรือไม่ก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจมักวัดจากรายได้จากการขาย (เช่น ยอดขายต่อปีมากกว่า 100,000 ดอลลาร์) ปริมาณธุรกรรม (เช่น มีธุรกรรมมากกว่า 200 รายการใน 1 ปี) หรือทั้ง 2 อย่างรวมกันภายในรัฐ โดยแต่ละรัฐก็จะมีเกณฑ์เป็นของตนเอง

  • ความเชื่อมโยงแบบคลิกผ่าน: บางรัฐมีกฎหมายที่จะสร้างความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายเมื่อธุรกิจร่วมงานกับพันธมิตรช่วยขายในรัฐนั้นๆ ซึ่งคอยแนะนำลูกค้าให้มายังธุรกิจดังกล่าวผ่านลิงก์บนเว็บ (การคลิกผ่าน) และยอดขายที่เกิดขึ้นจากการแนะนำเหล่านี้เกินเกณฑ์ที่กำหนด

  • _ความเชื่อมโยงกับบริษัทในเครือ: _ ความเชื่อมโยงกับบริษัทในเครือจะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจมีความสัมพันธ์กับอีกบริษัทหนึ่งหรือบริษัทในเครือภายในรัฐนั้นๆ ซึ่งช่วยสร้างหรือรักษาตลาดในรัฐนั้น ตัวอย่างเช่น หากบริษัทแม่มีบริษัทลูกในรัฐหนึ่ง ก็แสดงว่าทั้ง 2 บริษัทนี้อาจมีความเชื่อมโยงกัน

  • ความเชื่อมโยงกับมาร์เก็ตเพลส: หลายๆ รัฐมีกฎหมายว่าด้วยผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส กฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต่างๆ เช่น Amazon, eBay และ Etsy ต้องเก็บและนำส่งภาษีการขายในนามของผู้ขายที่ใช้แพลตฟอร์มของตน กฎหมายเหล่านี้ช่วยลดความยุ่งยากในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีสำหรับผู้ขายรายย่อย แต่ก็เพิ่มหน้าที่เก็บภาษีให้กับมาร์เก็ตเพลสขนาดใหญ่

  • ความเชื่อมโยงกับสินค้าคงคลัง: การเก็บสินค้าคงคลังในรัฐหนึ่งๆ อาจทำให้เกิดความเชื่อมโยงได้ แม้ว่าสินค้าคงคลังนั้นจะได้รับการจัดเก็บไว้ในคลังสินค้าของบริษัทอื่นก็ตาม ความเชื่อมโยงนี้จะเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับธุรกิจที่ใช้บริการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ เช่น Amazon FBA

ความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายทำงานอย่างไรสำหรับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสออนไลน์

ความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายสำหรับผู้ขายบนมาร์เก็ตเพลสออนไลน์จะมีลักษณะการทำงานในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ได้แก่ ความเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสหรือความเชื่อมโยงกับผู้ขาย เรามาดูทั้ง 2 รูปแบบนี้ให้ละเอียดขึ้นกันดีกว่า

ความเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส

หลายๆ รัฐจะมีกฎหมายว่าด้วยผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสอยู่ กฎหมายนี้กำหนดให้มาร์เก็ตเพลสออนไลน์ต่างๆ (เช่น Amazon, Etsy หรือ eBay) ต้องเก็บและนำส่งภาษีการขายในนามของผู้ขาย โดยสิ่งที่เกิดขึ้นจะมีดังนี้

  • ผู้ขาย: หากคุณขายผ่านผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส คุณมักไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บภาษีการขายด้วยตัวเอง (แม้ว่าคุณจะมีความเชื่อมโยงในรัฐนั้นๆ ก็ตาม) เพราะมาร์เก็ตเพลสจะจัดการให้คุณ

  • เกณฑ์ความเชื่อมโยง: แต่ละรัฐจะมีเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในแบบของตนเอง ซึ่งทำให้มาร์เก็ตเพลสมีภาระหน้าที่ในการเก็บภาษี หากคุณมียอดขายจากมาร์เก็ตเพลสเกินเกณฑ์ดังกล่าว มาร์เก็ตเพลสก็จะเริ่มเก็บภาษีการขายให้คุณในรัฐนั้นๆ

  • การยกเว้น: อาจมีบางกรณีที่มาร์เก็ตเพลสไม่ได้จัดการกับยอดขายให้ครบทั้งหมด เช่น หมวดหมู่สินค้าที่เฉพาะเจาะจงหรือยอดขายที่เกิดขึ้นนอกแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส ในกรณีดังกล่าว คุณอาจต้องเก็บภาษีการขายด้วยตัวเอง

ความเชื่อมโยงกับผู้ขาย

แม้จะมีกฎหมายว่าด้วยผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสอยู่ คุณก็ยังอาจมีความเชื่อมโยงด้านภาษีการขายในบางรัฐอยู่ สาเหตุอาจมีดังนี้

  • การขายโดยตรง: หากคุณขายสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรงผ่านเว็บไซต์ของคุณเองหรือช่องทางอื่นๆ คุณอาจทำให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในรัฐ โดยดูจากปริมาณการขายหรือจำนวนธุรกรรม

  • พื้นที่จัดเก็บสินค้าคงคลัง: หากคุณจัดเก็บสินค้าคงคลังในรัฐ (แม้จะเป็นศูนย์ดำเนินการตามคำสั่งซื้อของบริษัทอื่นก็ตาม) คุณอาจมีความเชื่อมโยงทางกายภาพในรัฐนั้นๆ

  • กิจกรรมอื่นๆ: กิจกรรมบางอย่าง (เช่น การมีพนักงานหรือการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในรัฐ) ก็อาจทำให้เกิดความเชื่อมโยงได้เช่นกัน

หากคุณมีความเชื่อมโยงในรัฐและไม่ได้ขายผ่านผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส คุณจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการเก็บและนำส่งภาษีการขายจากยอดขายในรัฐนั้นๆ

ผู้ขายบน Amazon FBA เก็บภาษีการขายอย่างไร

หากคุณเป็นผู้ขายบน Amazon FBA และคุณรู้ว่ามีความเชื่อมโยงในรัฐ คุณก็จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตภาษีการขายในรัฐนั้นๆ แม้ว่า Amazon จะจัดการเรื่องการเก็บภาษีการขายสำหรับธุรกรรมที่ทำผ่าน FBA แต่คุณจำเป็นต้องตั้งค่าและจัดการวิธีเก็บภาษีในการตั้งค่าผู้ขายบน Amazon ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐนั้น

แม้ว่า Amazon จะเก็บภาษี แต่ผู้ขายมักจะต้องรับผิดชอบในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีการขายและนำส่งภาษีการขายที่ต้องชำระให้กับแต่ละรัฐ Amazon จะออกแบบฟอร์ม 1099-K พร้อมข้อมูลยอดขายรวมแบบรายปีและรายเดือนหากธุรกิจของคุณมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ยอดขายรวม

ภาษีการขายทำงานอย่างไรในแคนาดา

ในแคนาดา ภาษีการขายครอบคลุมทั้งภาษีการขายของรัฐบาลกลางและรัฐ ลักษณะการนำไปใช้กับผู้ขายในแคนาดา รวมถึงผู้ขายที่ใช้ Amazon FBA มีดังนี้

ประเภทของภาษีการขายในแคนาดา

  • ภาษีสินค้าและบริการ (GST): ภาษีนี้เป็นภาษีของรัฐบาลกลางจำนวน 5% ซึ่งมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศแคนาดา

  • ภาษีการขายของรัฐ (PST): บางรัฐจะเรียกเก็บภาษีการขายของตนเองนอกเหนือจาก GST โดยอัตราภาษีก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ

  • ภาษีการขายแบบประสานรวม (HST): บางรัฐจะรวม GST และ PST เข้าด้วยกันเป็นภาษีเดียวที่เรียกว่า HST โดยอัตราจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ แต่จะมี GST 5%

ความเชื่อมโยงและการเก็บภาษี

ผู้ขายต้องรู้กฎทางภาษีเฉพาะของแต่ละรัฐที่ตนมีความเชื่อมโยงอยู่ เช่น บริติชโคลัมเบีย ซัสแคตเชวัน แมนิโทบา และควิเบกจะเก็บ PST ของตนเอง ซึ่งต้องมีขั้นตอนการจดทะเบียนและการนำส่งแยกต่างหาก

  • การปรากฏตัว: การปรากฏตัวในรัฐใดรัฐหนึ่งอาจทำให้จำเป็นต้องเก็บและนำส่งภาษีที่เหมาะสมได้เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา ในกรณีของผู้ขายบน Amazon FBA การจัดเก็บสินค้าคงคลังในศูนย์ดำเนินการตามคำสั่งซื้อของ Amazon ในแคนาดาก็ถือเป็นการปรากฏตัวด้วยเช่นกัน

  • ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ: โดยปกติแล้ว แคนาดาไม่ได้กำหนดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจตามปริมาณการขายเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ขายที่ไม่ได้พำนักอยู่ในแคนาดาแต่ดำเนินธุรกิจในประเทศนี้มักจะต้องจดทะเบียน GST และ HST หากมีสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษีในแคนาดา

ความรับผิดชอบของผู้ขายบน Amazon FBA

  • การจดทะเบียนภาษีการขาย: ผู้ขายบน Amazon FBA ต้องจดทะเบียน GST และ HST (และ PST หากมี) หากมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ในการทำธุรกิจในแคนาดา โดยจะมีการขอรับหมายเลขธุรกิจ (BN) จาก Canada Revenue Agency (CRA)

  • การยื่นและชำระภาษีการขาย: ผู้ขายจำเป็นต้องตั้งค่าการเก็บภาษีในบัญชีผู้ขายบน Amazon ของตนและระบุอัตราตามสถานที่จัดส่งสินค้า นอกจากนี้ ผู้ขายยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี GST และ HST (และ PST หากมี) เป็นประจำด้วย โดยอาจจะยื่นเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปีก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับปริมาณการขายของผู้ขายและหน่วยงานด้านภาษีที่เกี่ยวข้อง

  • การนำเข้าสินค้า: เมื่อนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศแคนาดา จะมีการเก็บภาษี GST และอาจมีอากรอื่นๆ ที่จุดตรวจเข้าประเทศ ผู้ขายที่มี Amazon FBA จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าเหล่านี้ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ซึ่งมักจะมีการใช้นายหน้าศุลกากร

การจัดการภาษีการขายมีขั้นตอนอะไรบ้าง

เรื่องที่คุณควรพิจารณาเป็นหลักเพื่อดูว่าต้องเสียภาษีการขายหรือไม่ก็คือ คุณมีความเชื่อมโยงในภูมิภาคต่างๆ ที่จัดเก็บสินค้าคงคลังของคุณเอาไว้หรือไม่ และลูกค้าของคุณอยู่ที่ไหน วิธีที่คุณใช้ประเมินเรื่องนี้ได้มีดังนี้

ระบุความเชื่อมโยง

ในการดูว่าคุณมีความเชื่อมโยงทางกายภาพหรือไม่ ให้ตรวจสอบว่า Amazon จัดเก็บสินค้าคงคลังของคุณไว้ที่ใด คุณสามารถค้นหาข้อมูลนี้ได้ในบัญชีผู้ขายบน Amazon ของคุณในส่วนรายงานสินค้าคงคลัง

หากต้องการยืนยันว่าคุณมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจหรือไม่ ให้ตรวจสอบว่ายอดขายของคุณเกินเกณฑ์ทางเศรษฐกิจในรัฐนั้นๆ หรือไม่ หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาจะมีเกณฑ์เฉพาะ (เช่น ยอดขาย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือธุรกรรม 200 รายการต่อปี) ซึ่งเมื่อเกินเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ก็จะเกิดภาระหน้าที่ในการเก็บและนำส่งภาษีการขายในรัฐนั้นๆ ส่วนในแคนาดา ผู้ขายที่ไม่ได้พำนักอยู่ในแคนาดาก็จะต้องจดทะเบียน GST และ HST

จดทะเบียนใบอนุญาตภาษีการขาย

เมื่อคุณทราบแล้วว่าคุณมีความเชื่อมโยงในรัฐหรือพื้นที่ คุณจะต้องจดทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตภาษีการขายกับกรมสรรพากรของรัฐ ขั้นตอนนี้มักต้องมีการขอใบอนุญาตผู้ขายหรือใบอนุญาตภาษีการขาย

ตั้งค่าการเก็บภาษีการขายใน Amazon

ในบัญชีผู้ขายบน Amazon ของคุณ ให้กำหนดการตั้งค่าภาษีเพื่อเก็บภาษีการขายในรัฐและพื้นที่ต่างๆ ที่คุณจดทะเบียนไว้ Amazon มีการตั้งค่าโดยละเอียดที่ช่วยให้คุณระบุอัตราในระดับรัฐ เคาน์ตี และเมืองได้หากจำเป็น

เก็บภาษีการขาย

ยืนยันว่าอัตราภาษีที่คุณกำหนดค่าไว้ใน Amazon ตรงกับอัตราปัจจุบันในเขตอำนาจศาลที่คุณต้องเก็บภาษีการขาย อัตราภาษีการขายอาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ให้อัปเดตอัตราเหล่านี้เป็นประจำ

รายงานและนำส่งภาษีการขาย

ยื่นแบบแสดงรายการภาษีการขายกับเขตอำนาจศาลแต่ละแห่งตามช่วงเวลาที่กำหนด แม้ว่าคุณจะไม่ได้เก็บภาษีการขายในช่วงเวลาหนึ่ง คุณก็อาจยังต้องยื่น "แบบแสดงรายการภาษีเป็นศูนย์" อยู่ดี ให้ชำระภาษีการขายที่เก็บได้ให้แต่ละรัฐหรือพื้นที่ และปฏิบัติตามกำหนดเวลาในท้องถิ่นเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษและดอกเบี้ย

วิธีรายงานและส่งภาษีการขายของ Amazon FBA

ผู้ขายบน Amazon FBA มีวิธีรายงานและส่งภาษีการขายแบบต่างๆ ที่ใช้ได้อยู่ 2-3 วิธี โดยวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการภาษีการขายของ Amazon FBA จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ คุณอาจต้องใช้ซอฟต์แวร์อัตโนมัติหรือเจ้าหน้าที่ด้านภาษีในกรณีต่อไปนี้

  • คุณมีความเชื่อมโยงในเขตอำนาจศาลหลายแห่ง ซึ่งอาจทำให้การยื่นด้วยตนเองทำได้ยากขึ้น

  • คุณมียอดขายจำนวนมาก ซึ่งอาจใช้เวลานานในการรายงาน

  • คุณมีสถานการณ์เกี่ยวกับภาษีการขายที่ซับซ้อน เช่น การขายสินค้าที่ได้รับการยกเว้นหรือใช้ช่องทางการขายหลายช่องทาง

วิธีการทำงานของแต่ละวิธีมีดังนี้

การยื่นด้วยตนเอง

  • รวบรวมรายงานภาษีการขายจาก Amazon Seller Central ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนภาษีการขายที่เก็บในแต่ละเขตอำนาจศาล

  • จัดเตรียมแบบแสดงรายการภาษีการขายด้วยตนเองสำหรับแต่ละเขตอำนาจศาลที่คุณมีความเชื่อมโยงและต้องชำระภาษี

  • ยื่นแบบแสดงรายการทางออนไลน์หรือทางไปรษณีย์

  • ชำระภาษีการขายที่จำเป็น

ซอฟต์แวร์ภาษีการขาย

  • ผสานการทำงานโซลูชันซอฟต์แวร์ภาษีการขายกับ Amazon Seller Central เพื่อคำนวณและเก็บภาษีการขายโดยอัตโนมัติในระหว่างการชำระเงิน

  • จัดทำแบบแสดงรายการภาษีการขายตามข้อมูลที่รวบรวมมา

  • นำส่งภาษีการขายให้กับรัฐโดยอัตโนมัติ

เจ้าหน้าที่ด้านภาษี

  • ว่าจ้างเจ้าหน้าที่ด้านภาษีให้มาช่วยคุณกำหนดความเชื่อมโยง จดทะเบียนขอใบอนุญาต ยื่นแบบแสดงรายการ และปฏิบัติตามกฎระเบียบทั้งหมด

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Tax

Tax

ช่วยให้คุณทราบพื้นที่ที่ต้องจดทะเบียน เรียกเก็บภาษีในจำนวนที่ถูกต้องได้โดยอัตโนมัติ ตลอดจนเข้าถึงรายงานที่ใช้สำหรับยื่นเงินคืนภาษี

Stripe Docs เกี่ยวกับ Tax

เรียกเก็บภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ GST รวมทั้งสร้างรายงานธุรกรรมทั้งหมดของคุณแบบอัตโนมัติ พร้อมเชื่อมต่อระบบโดยเขียนโค้ดเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องเขียนโค้ดเลย