สำรวจการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลกสำหรับผู้ค้าปลีก

อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2025

Tax
Tax

Stripe Tax จะทำให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลกเป็นไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อให้คุณไปมุ่งเน้นกับการขยายธุรกิจ โดยจะระบุภาระหน้าที่ทางภาษีของคุณ จัดการการจดทะเบียน คำนวณและเรียกเก็บภาษีด้วยจำนวนที่ถูกต้องทั่วโลก และช่วยในการยื่นภาษี ทั้งหมดนี้ทำได้ในที่เดียว

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การขายทั่วโลกและผลกระทบต่อการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
    1. รายการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีสำหรับผู้ค้าปลีก
  3. Stripe Tax สนับสนุนผู้ค้าปลีกในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีอย่างไร

ในระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงถึงกัน การขายแบบอีคอมเมิร์ซทั่วโลกได้กลายเป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานสำหรับผู้ค้าปลีกจำนวนมาก แต่อีคอมเมิร์ซก็มาพร้อมกับภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีที่ซับซ้อนยุ่งยาก ซึ่งอาจสร้างความสับสนได้แม้แต่กับผู้ค้าปลีกที่มีประสบการณ์มากที่สุด

การทำความเข้าใจภาระหน้าที่ด้านภาษีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่การลงโทษ เสียค่าปรับ และชื่อเสียงธุรกิจได้รับความเสียหาย ตัวอย่างเช่น ในนิวยอร์ก ค่าใช้จากค่าปรับ ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมการตรวจสอบจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีการขาย รวมกันแล้วอาจมากกว่าความรับผิดชอบต่อภาษีการขายทั้งหมดถึง 25% คู่มือนี้จะอธิบายสิ่งที่ผู้ค้าปลีกควรทราบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี และแสดงให้เห็นว่า Stripe Tax ช่วยให้คุณรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างไร

การขายทั่วโลกและผลกระทบต่อการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

เมื่อผู้ค้าปลีกขยายการเข้าถึงไปยังตลาดใหม่ๆ ก็จะต้องเผชิญกับกฎระเบียบภาษีที่แตกต่างกันไป ซึ่งสะท้อนถึงกฎหมายเฉพาะของแต่ละเขตอำนาจศาล ความซับซ้อนนี้เห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับภาษีการขายในสหรัฐอเมริกา และภาษีมูลค่าเพิ่มในยุโรป ผู้ค้าปลีกต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาระหน้าที่ทางภาษีที่ใช้บังคับในแต่ละภูมิภาคที่ดำเนินธุรกิจ รวมถึงเกณฑ์ทำให้เกิดการเรียกเก็บภาษีและการปฏิบัติตามกฎหมายของมาร์เก็ตเพลสและแพลตฟอร์มต่างๆ

รายการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีสำหรับผู้ค้าปลีก

1. ทำความเข้าใจเกณฑ์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดภาระหน้าที่ทางภาษี

ในสหรัฐอเมริกา ผู้ค้าปลีกจะมีภาระหน้าที่ทางภาษีเมื่อมียอดขายเป็นไปตามเกณฑ์ความเชื่อมโยง ซึ่งหมายถึงความเชื่อมโยงกับรัฐที่กำหนดให้คุณต้องเก็บและนำส่งภาษีการขาย เกณฑ์ความเชื่อมโยงมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ดังนี้

  • ความเชื่อมโยงทางกายภาพ: เมื่อผู้ค้าปลีกมีตัวตนที่จับต้องได้ในรัฐนั้นๆ เช่น สำนักงาน คลังสินค้า หรือแม้แต่พนักงานที่ทำงานทางไกล
  • ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ: เมื่อผู้ค้าปลีกมีรายรับหรือธุรกรรมจากการขายเกินเกณฑ์ที่กำหนดในรัฐนั้นๆ โดยแต่ละรัฐจะมีเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจเป็นของตนเอง

รัฐส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามีข้อยกเว้นการขายต่อสำหรับสินค้าที่ผู้ซื้อทำการซื้อเพื่อนำไปขายอีกทอดหนึ่ง ในสถานการณ์นี้ ผู้ขายต่อไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีการขายเนื่องจากไม่ใช่ลูกค้าปลายทาง ตราบใดที่ผู้ขายต่อมีใบรับรองการยกเว้นภาษีการขายที่ถูกต้อง

สำหรับการขายนอกสหรัฐอเมริกา เกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ GST อาจแตกต่างกันระหว่างผู้ขายในประเทศและผู้ขายต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หากมียอดขายทั้งหมดที่ต้องเสียภาษีในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเกิน 90,000 ปอนด์ หรือคาดว่าจะมียอดขายเกินเกณฑ์นี้ในอีก 30 วันข้างหน้า

สำหรับธุรกิจนอกสหราชอาณาจักร เกณฑ์ 90,000 ปอนด์จะไม่มีผลบังคับใช้ แต่ข้อกำหนดในการจดทะเบียนจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ขายและวิธีขาย หากจัดเก็บสินค้าในสหราชอาณาจักร (เช่น ใช้คลังสินค้าของสหราชอาณาจักร หรือ Fulfillment by Amazon (FBA)) หรือขายสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 135 ปอนด์จากนอกสหราชอาณาจักรให้กับลูกค้าในสหราชอาณาจักร ธุรกิจดังกล่าวต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทันที

สำหรับการจัดส่งที่มีมูลค่าเกิน 135 ปอนด์ โดยทั่วไปแล้วจะมีการเก็บภาษีนำเข้าและภาษีศุลกากรที่ชายแดน และลูกค้าต้องชำระเงินก่อนรับสินค้า ในกรณีนี้ ผู้ขายต่างชาติไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนแต่อย่างใด

ในสหภาพยุโรปมีการบังคับใช้กฎพิเศษ สำหรับผู้ค้าปลีกที่จัดตั้งขึ้นในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ข้อกำหนดในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ 2 ประเภท ดังนี้

  • เกณฑ์ภายในประเทศ: แต่ละประเทศในสหภาพยุโรปมีเกณฑ์สำหรับการขายภายในประเทศเป็นของตนเอง หากการขายให้กับลูกค้าในประเทศบ้านเกิดของผู้ค้าปลีกมียอดขายเกินจำนวนนี้ ผู้ค้าปลีกต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศนั้น โดยเกณฑ์เหล่านี้จะแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ
  • เกณฑ์การขายระยะไกลทั่วสหภาพยุโรป: สำหรับการขายให้กับลูกค้าในประเทศอื่นๆ ของสหภาพยุโรป จะมีเกณฑ์รวมเพียงเกณฑ์เดียวอยู่ที่ 10,000 ยูโร ซึ่งใช้กับยอดขายข้ามพรมแดนรวมของสินค้าและบริการดิจิทัลทั่วทั้งสหภาพยุโรป เมื่อผู้ค้าปลีกมียอดขายเกินเกณฑ์ 10,000 ยูโร ผู้ค้าปลีกต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราของประเทศลูกค้า ซึ่งผู้ค้าสามารถจดทะเบียนในประเทศของลูกค้าหรือใช้ระบบ One Stop Shop (OSS) ซึ่งช่วยให้สามารถยื่นและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายแบบ B2C ในสหภาพยุโรปทั้งหมดผ่านการยื่นแบบรายไตรมาสเพียงครั้งเดียว

สำหรับธุรกิจนอกสหภาพยุโรป โดยทั่วไปแล้วเกณฑ์การจดทะเบียนในประเทศท้องถิ่นจะไม่มีผลบังคับใช้ แต่ภาระผูกพันในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มจะขึ้นอยู่กับวิธีและสถานที่ขายสินค้า
หากจัดเก็บสินค้าในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (เช่น ใช้คลังสินค้าหรือ Amazon FBA ในเยอรมนี ฝรั่งเศส หรือสเปน) ผู้ขายต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศนั้นทันทีโดยไม่มีเกณฑ์ขั้นต่ำ หากจัดส่งสินค้าจากนอกสหภาพยุโรปให้กับลูกค้า กฎจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของสินค้าที่จัดส่ง ดังนี้

  • สำหรับการจัดส่งที่มีมูลค่าไม่เกิน 150 ยูโร ผู้ขายนอกสหภาพยุโรปสามารถเรียกเก็บเงินและเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ระบบบันทึกการขาย โดยผู้ขายต้องจดทะเบียน Import One Stop Shop (IOSS) ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประเทศเดียวจึงจะดำเนินการดังกล่าวได้ กฎนี้ไม่มีเกณฑ์ขั้นต่ำแต่อย่างใด
  • สำหรับการจัดส่งที่มีมูลค่าเกิน 150 ยูโร โดยทั่วไปแล้วจะมีการเก็บภาษีนำเข้าและภาษีศุลกากรที่ชายแดน และลูกค้าต้องชำระค่าธรรมเนียมเหล่านี้ก่อนจึงจะปล่อยสินค้าให้ ในกรณีนี้ ผู้ขายต่างชาติไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด

2. กำหนดการเสียภาษีของสินค้า

การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษียังขึ้นอยู่กับการจัดหมวดหมู่สินค้าอย่างถูกต้อง เนื่องจากทั่วโลกมีการเก็บภาษีสินค้าแต่ละประเภทแตกต่างกัน การกำหนดรหัสภาษีสินค้าที่ถูกต้องจึงต่อการปฏิบัติตามข้อกำหนด แม้ว่าสินค้าที่จับต้องได้ส่วนใหญ่ต้องเสียภาษี แต่ก็มีข้อยกเว้นมากมายที่อาจทำให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับการเสียภาษีของสินค้า

ตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าเป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษีในรัฐส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ต้องเสียภาษีในรัฐเพนซิลเวเนีย และในรัฐอย่างนิวยอร์กและแมสซาชูเซตส์ เสื้อผ้าที่มีราคาต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไม่ต้องเสียภาษี

ในประเทศที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สินค้ามักจะจัดอยู่ในหมวดหมู่ต่างๆ ที่อาจมีการเรียกเก็บภาษีในอัตรามาตรฐาน อัตราลดหย่อน หรืออัตราศูนย์ เช่น ในสหภาพยุโรป กฎอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ แต่ก็มีรูปแบบที่พบได้ทั่วไป ดังนี้

  • อาหาร: อาหารพื้นฐาน เช่น ขนมปัง ผัก และนมมักถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราลดหย่อนหรืออัตราศูนย์ เพื่อให้สินค้าจำเป็นมีราคาที่เข้าถึงได้ แต่อาหาร "หรูหรา" เช่น ลูกกวาด น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ มักถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรามาตรฐานที่สูงกว่า
  • หนังสือและวัฒนธรรม: หนังสือและหนังสือพิมพ์มักจะได้รับประโยชน์จากการเรียกเก็บภาษีในอัตราลดหย่อน เพื่อส่งเสริมการรู้หนังสือและศิลปะ
  • สินค้าสำหรับเด็ก สินค้าต่างๆ เช่น เสื้อผ้าสำหรับเด็ก รองเท้า และคาร์ซีทมักถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราลดหย่อนหรืออัตราศูนย์ในหลายประเทศ

ซอฟต์แวร์จัดการภาษีอัตโนมัติช่วยให้การเสียภาษีสินค้าทำได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณกำหนดรหัสภาษีสินค้า (PTC) ให้กับสินค้า ซอฟต์แวร์จะคำนวณภาษีเฉพาะสินค้าที่ต้องเสียภาษีเท่านั้น

3. ทำความเข้าใจกฎหมายภาษีของมาร์เก็ตเพลสและแพลตฟอร์ม

หากคุณขายสินค้าหรือบริการบนมาร์เก็ตเพลสหรือแพลตฟอร์ม คุณจำเป็นต้องเข้าใจว่ากฎหมายภาษีจะส่งผลต่อการปฏิบัติตามข้อกำหนดของคุณอย่างไร ในสหรัฐอเมริกา ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต้องเก็บภาษีการขายในนามของผู้ขายที่เป็นบุคคลที่สาม เมื่อมียอดขายเป็นไปตามเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในรัฐนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม ผู้ขายจะเป็นผู้รับผิดชอบภาษีหากผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสไม่ได้เป็นผู้เรียกเก็บภาษีดังกล่าว กรณีนี้อาจเกิดขึ้น หากมาร์เก็ตเพลสไม่สามารถนำส่งภาษีในจำนวนที่เหมาะสมได้เนื่องจากข้อมูลที่ผู้ขายมอบให้ไม่ถูกต้อง หรือหากมาร์เก็ตเพลสไม่จำเป็นต้องเรียกเก็บภาษีในนามของผู้ขาย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ขายจะได้รับใบรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากมาร์เก็ตเพลสเพื่อยืนยันว่ามาร์เก็ตเพลสเรียกเก็บภาษีการขายในนามของผู้ขาย

รัฐส่วนใหญ่ยังคงกำหนดให้ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสต้องรายงานจำนวนภาษีการขายที่ผู้อำนวยความสะดวกสำหรับมาร์เก็ตเพลสเรียกเก็บในนามของตน และยื่นขอคืนภาษี ซึ่งอาจมียอดการคืนภาษีเป็นศูนย์ รัฐใช้การคืนภาษีการขายเป็นวิธีตรวจสอบธุรกิจ และถึงแม้ว่าไม่มีภาษีการขายที่ต้องนำส่ง แต่บ่อยครั้งก็ยังจำเป็นยื่นขอคืน

หากผู้ขายทำการขายในมาร์เก็ตเพลสเพียงอย่างเดียว และยืนยันแล้วว่ามาร์เก็ตเพลสเรียกเก็บภาษีการขายในนามของผู้ขายแล้ว ผู้ขายก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณ เรียกเก็บ หรือนำส่งภาษีการขายจากลูกค้า

ในสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มจะโอนความรับผิดชอบในการเรียกเก็บภาษีไปยังผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในบางกรณี ทั้งสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรใช้โมเดล "ซัพพลายเออร์ที่ถือเสมือน" ซึ่งหมายความว่ามาร์เก็ตเพลสจะถูกมองว่าเป็นผู้ซื้อสินค้าจากผู้ขายและขายต่อให้กับลูกค้าโดยตรง จึงส่งผลให้มาร์เก็ตเพลสต้องรับผิดชอบต่อภาษีมูลค่าเพิ่มในการขายขั้นสุดท้าย

ในสหภาพยุโรป มาร์เก็ตเพลสจะถือว่าเป็น "ซัพพลายเออร์ที่ถือเสมือน" และต้องจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มใน 2 กรณีหลักที่เป็นการขายให้กับลูกค้าในสหภาพยุโรป (B2C) ดังนี้

  • สินค้ามูลค่าต่ำที่จัดส่งจากนอกสหภาพยุโรป: เมื่อขายสินค้าที่มีมูลค่าการจัดส่งไม่เกิน150 ยูโรจากประเทศนอกสหภาพยุโรป (เช่น จากสหรัฐอเมริกาหรือจีน) ให้กับผู้ซื้อในสหภาพยุโรป
  • สินค้าที่ขายโดยผู้ขายนอกสหภาพยุโรปภายในสหภาพยุโรป: เมื่อธุรกิจที่ตั้งอยู่นอกสหภาพยุโรปขายสินค้ามูลค่าใดก็ตามที่จัดเก็บในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอยู่แล้ว (เช่น ใช้คลังสินค้าหรือ Amazon FBA ในเยอรมนีเพื่อขายให้กับลูกค้าในฝรั่งเศส)

สหราชอาณาจักรมีกฎความรับผิดชอบต่อภาษีมาร์เก็ตเพลสที่คล้ายกันมากสำหรับการขายให้กับลูกค้าในสหราชอาณาจักร ดังนี้

  • สินค้าที่จัดส่งจากนอกสหราชอาณาจักร: เมื่อขายสินค้าที่มีมูลค่าการจัดส่งไม่เกิน 135 ปอนด์จากประเทศใดก็ตามนอกสหราชอาณาจักรให้กับลูกค้าในสหราชอาณาจักร
  • สินค้าที่ขายโดยผู้ขายนอกสหราชอาณาจักรภายในสหราชอาณาจักร: เมื่อธุรกิจที่ตั้งอยู่นอกสหราชอาณาจักรขายสินค้ามูลค่าใดก็ตามที่จัดเก็บในคลังสินค้าหรือศูนย์การดำเนินการตามคำสั่งซื้อในสหราชอาณาจักรอยู่แล้ว

เมื่อมาร์เก็ตเพลสทำหน้าที่เป็นซัพพลายเออร์ที่ถือเสมือน ผู้ขายไม่จำเป็นต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดขายเหล่านั้น โดยทั่วไปแล้ว การขายสินค้าหรือบริการให้กับมาร์เก็ตเพลสจะถือว่าเป็นธุรกรรมอัตราศูนย์ (ภาษีมูลค่าเพิ่ม 0%) อย่างไรก็ตาม ภาระหน้าที่ทางภาษีของผู้ขายไม่ได้หายไปทั้งหมด

  • ผู้ขายยังคงต้องรับผิดชอบต่อภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงการขายให้กับลูกค้าธุรกิจ (B2B) หรือสินค้ามูลค่าสูงที่นำเข้าให้กับลูกค้าโดยตรง (เกิน 150 ยูโรหรือ 135 ปอนด์)
  • ผู้ขายต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เนื่องจากผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต้องอาศัยข้อมูลเหล่านี้ (เช่น สถานที่จัดส่งสินค้า และมูลค่าของสินค้า) เพื่อคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้อง และหากผู้ขายให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจต้องรับผิดชอบต่อภาษีที่ยังไม่ได้เรียกเก็บ
  • ผู้ขายอาจยังต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หากผู้ขายจัดเก็บสินค้าในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยทั่วไปแล้วจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศนั้น แม้ว่ามาร์เก็ตเพลสจะจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายขั้นสุดท้ายก็ตาม เนื่องจากผู้ขายอาจมีเหตุการณ์ที่ต้องเสียภาษีอื่นๆ เช่น การเคลื่อนย้ายสินค้า หรือการขายแบบ B2B ซึ่งต้องรายงานในแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ขายเอง

4. เข้าใจการเสียภาษีการจัดส่ง

การเสียภาษีการจัดส่งเพิ่มความซับซ้อนขึ้นมาอีกระดับ ในสหรัฐอเมริกา การเสียภาษีการจัดส่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ตัวอย่างเช่น

  • หากคุณเรียกเก็บเงินค่าจัดส่งในรัฐต่างๆ เช่น เพนซิลเวเนีย และเท็กซัส โดยทั่วไปแล้วต้องเสียภาษีค่าจัดส่ง ไม่ว่าจะเรียกเก็บเงินอย่างไรก็ตาม
  • รัฐอื่นๆ เช่น แคลิฟอร์เนีย และโคโลราโด อนุญาตให้ไม่ต้องเสียภาษีการเรียกเก็บเงินค่าจัดส่ง หากมีการแยกเป็นรายการออกจากกัน

สำหรับการจัดส่งนอกสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งจะถูกเก็บภาษีในอัตราเดียวกับสินค้าที่จัดส่ง หากใบแจ้งหนี้มีค่าจัดส่งสินค้าที่ต้องเสียภาษีหลายอัตรา หรือมีทั้งสินค้าที่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องเสียภาษี ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งต้องถูกแบ่งสัดส่วนตามมูลค่าของสินค้าในแต่ละหมวดหมู่

Stripe Tax สนับสนุนผู้ค้าปลีกในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีอย่างไร

ในขณะที่การตระหนักรู้ถึงแนวโน้มปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ แต่ก็มีความซับซ้อนและใช้เวลานานเช่นกัน Stripe Tax ดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลกโดยอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้คุณมีเวลาไปมุ่งเน้นกับการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต นอกจากนี้ยังระบุภาระหน้าที่ทางภาษีของคุณ จัดการการจดทะเบียน คำนวณ และเรียกเก็บภาษีตามจำนวนที่ถูกต้องทั่วโลก และดำเนินการยื่นภาษีทั้งหมดได้แบบครบวงจร

Stripe Tax ช่วยคุณในด้านต่างๆ ดังนี้

  • ทำความเข้าใจว่าจะจดทะเบียนและเรียกเก็บภาษีที่ไหน: ดูตำแหน่งที่ตั้งที่คุณต้องเรียกเก็บภาษีโดยอิงตามธุรกรรมใน Stripe หลังจากจดทะเบียนแล้ว คุณสามารถเปิดใช้การเรียกเก็บภาษีในรัฐหรือประเทศใหม่ได้ภายในไม่กี่วินาที คุณสามารถเริ่มเรียกเก็บภาษีได้โดยเพิ่มโค้ดเพียงบรรทัดเดียวในการผสานการทำงาน Stripe ที่คุณมีอยู่ หรือเพิ่มการเรียกเก็บภาษีด้วยการคลิกเพียงปุ่มเดียวในแดชบอร์ด Stripe
  • จดทะเบียนชำระภาษี: ให้ Stripe จัดการการจดทะเบียนภาษีทั่วโลกแทนคุณ และรับประโยชน์จากขั้นตอนที่ง่ายขึ้นซึ่งจะกรอกรายละเอียดการสมัครล่วงหน้า ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและรับประกันการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับท้องถิ่น
  • เก็บภาษีโดยอัตโนมัติ: Stripe Tax คำนวณและเก็บภาษีที่ต้องชำระอย่างถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะขายอะไรหรือที่ไหน รองรับผลิตภัณฑ์และบริการหลายร้อยรายการ และอัปเดตเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎและอัตราภาษี
  • ทำให้การยื่นและนำส่งเป็นเรื่องง่าย: Stripe Tax จัดการการยื่นและนำส่ง ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์จากประสบการณ์ที่ราบรื่น

อ่านเอกสารของเราเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนใช้งาน Stripe Tax วันนี้

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Tax

Tax

ช่วยให้คุณทราบพื้นที่ที่ต้องจดทะเบียน เรียกเก็บภาษีในจำนวนที่ถูกต้องได้โดยอัตโนมัติ ตลอดจนเข้าถึงรายงานที่ใช้สำหรับยื่นเงินคืนภาษี

Stripe Docs เกี่ยวกับ Tax

เรียกเก็บภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ GST รวมทั้งสร้างรายงานธุรกรรมทั้งหมดของคุณแบบอัตโนมัติ พร้อมเชื่อมต่อระบบโดยเขียนโค้ดเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องเขียนโค้ดเลย