Introduction to EU VAT and European VAT OSS

This guide is for businesses that sell to customers in the EU and covers the basics of VAT and VAT OSS.

Tax
Tax

Stripe Tax จะทำให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลกเป็นไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อให้คุณไปมุ่งเน้นกับการขยายธุรกิจ โดยจะระบุภาระหน้าที่ทางภาษีของคุณ จัดการการจดทะเบียน คำนวณและเรียกเก็บภาษีด้วยจำนวนที่ถูกต้องทั่วโลก และช่วยในการยื่นภาษี ทั้งหมดนี้ทำได้ในที่เดียว

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สหภาพยุโรปคืออะไร?
    1. ความสําคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มในยุโรป
    2. สหรัฐอเมริกาใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
  3. วิธีปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มของสหภาพยุโรป
    1. 1. จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและ VAT OSS
    2. 2. คํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
    3. 3. รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับตําแหน่งที่ตั้งของผู้ซื้อ
    4. 4. ยื่นแบบคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม:
  4. Stripe Tax ช่วยได้อย่างไร

ทุกบริษัทที่ขายสินค้าและบริการให้กับลูกค้าในยุโรปต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แม้ว่าธุรกิจของพวกเขาจะไม่ได้จัดตั้งในยุโรปก็ตาม เนื่องจากประเทศในยุโรปมีกฎและอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกัน การปฏิบัติตามกฎระเบียบจึงอาจเป็นเรื่องท้าทาย คณะกรรมาธิการยุโรปได้ดำเนินการให้การเก็บและชำระ ภาษีมูลค่าเพิ่มง่ายขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงความซับซ้อนของภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณขายให้กับธุรกิจอื่นใน EU (แทนที่จะขายให้กับลูกค้าโดยตรง) คุณอาจไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจทั้งสองตั้งอยู่ที่ใด และสำหรับการขายทั้งหมดที่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม รัฐบาลกำหนดให้คุณเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันที่อยู่ของลูกค้าด้วย

คู่มือนี้มีไว้สำหรับธุรกิจที่ขายให้กับลูกค้าใน EU โดยครอบคลุมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มและ VAT One Stop Shop (VAT OSS) คุณจะได้เรียนรู้ว่าต้องจดทะเบียนเพื่อเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อใดและอย่างไร วิธีการคำนวณและเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และวิธีการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มของคุณ นอกจากนี้คุณจะได้เรียนรู้ด้วยว่า Stripe Tax จะช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างไร

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สหภาพยุโรปคืออะไร?

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีการบริโภคที่ใช้กับสินค้าที่จับตองได้หรือบริการดิจิทัลทั้งหมดที่ขายในสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเรียกเก็บเมื่อมีการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตจนถึงจุดขาย

นี่คือตัวอย่างของการทำงานของภาษีมูลค่าเพิ่มในชีวิตจริง:

ช่างทำเครื่องประดับขายสร้อยคอให้กับผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซระดับสูงในราคา 1,000 ยูโร โดยมีอัตราภาษมูลค่าเพิ่ม 23% ผู้ค้าปลีกจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 230 ยูโรให้กับช่างทำเครื่องประดับนอกเหนือจากค่าสร้อยคอเอง แล้วผู้ค้าปลีกก็บวกราคาและโพสต์ขายสร้อยคอทางออนไลน์ในราคา 1,500 ยูโร ที่จุดชำระเงินออนไลน์ ลูกค้าจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 23% จากราคาสินค้าซึ่งเท่ากับ 345 ยูโรโดยผู้ค้าปลีกเป็นผู้เก็บ เมื่อธุรกรรมขั้นสุดท้ายเสร็จสิ้น ผู้ค้าปลีกจะได้รับภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายให้กับช่างเครื่องประดับคืนมา โดยตอนที่ยื่นภาษีให้กับรัฐบาล ผู้ค้าปลีกจะจ่ายเพียง 115 ยูโร (ซึ่งคือ 345 ยูโรลบด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มของช่างเครื่องประดับ 230 ยูโร)

necklace

This image shows at what point VAT is added to the necklace.

ความสําคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มในยุโรป

ธุรกิจใดก็ตามที่ขายสินค้าที่จับต้องได้หรือสินค้าดิจิทัลในสหภาพยุโรป รวมถึงผู้ขายนอกสหภาพยุโรป จะต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามระเบียบข้อบังคับและกฎหมายท้องถิ่น การจดทะเบียนล่าช้าหรือไม่ได้จดทะเบียนเลยอาจส่งผลให้ต้องเสียค่าปรับจํานวนมาก รวมถึงดอกเบี้ยค้างชําระด้วย เช่น ในออสเตรีย ธุรกิจอาจต้องจ่ายค่าปรับสูงสุด 5,000 ยูโรหากจงใจไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้ว่าธุรกิจนั้นจะไม่มีหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มก็ตาม

สหรัฐอเมริกาใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

สหรัฐอเมริกาไม่ได้ใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่รัฐบาลของรัฐและท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบในการเก็บภาษีขาย ธุรกิจหลายแห่งต้องดําเนินการเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามข้อกําหนดและกฎระเบียบด้านภาษีขาย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีในกรณีที่จำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา โปรดดูคู่มือเกี่ยวกับภาษีขายของสหรัฐอเมริกาและความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของเรา

วิธีปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มของสหภาพยุโรป

กฎภาษีมูลค่าเพิ่มในยุโรปขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณอยู่ สินค้าที่คุณขาย สถานที่ตั้งของลูกค้าของคุณ และลูกค้าของคุณเป็นธุรกิจหรือบุคคล แม้ว่าแต่ละประเทศจะมีระเบียบข้อบังคับที่แตกต่างกันไป แต่ขั้นตอนสำหรับการปฏิบัติตามภาษีมูลค่าเพิ่มต่อไปนี้จะสอดคล้องกันหากคุณทำการขายในสหภาพยุโรป

1. จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและ VAT OSS

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มท้องถิ่น

ในสหภาพยุโรป เกณฑ์การจดทะเบียนและเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจะขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณดําเนินธุรกิจอยู่

ตัวอย่างเช่น สเปนไม่มีเกณฑ์การจดทะเบียน ขณะเดียวกันธุรกิจในไอร์แลนด์มีเกณฑ์ภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกัน 2 แบบ ได้แก่ 85,000 ยูโรสําหรับธุรกิจท้องถิ่นที่จําหน่ายสินค้าและ 42,500 ยูโรสําหรับธุรกิจในท้องถิ่นที่ให้บริการ เกณฑ์การจดทะเบียนภายในประเทศเหล่านี้จะมีผลกับธุรกิจที่อยู่ภายในหรือดำเนินกิจการในประเทศเท่านั้น ธุรกิจที่อยู่นอกยุโรปหรือขายสินค้าหรือบริการข้ามพรมแดนภายในยุโรปจะต้องลงทะเบียนก่อนทําการขายครั้งแรก

ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นสําหรับธุรกิจในสหภาพยุโรปที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปและจําหน่ายสินค้าที่จับต้องได้และผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้กับบุคคลทั่วไปในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ในการขายแบบธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) เช่นนี้ ธุรกิจจำเป็นต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามอัตราของประเทศที่ตนอาศัยอยู่ ไม่ใช่ของประเทศที่ลูกค้าอาศัยอยู่ เมื่อยอดขายแบบ B2C สูงกว่า 10,000 ยูโร ลูกค้าจะต้องเรียกเก็บภาษีตามอัตราประเทศที่ลูกค้าอาศัยอยู่ ทั้งนี้ไม่มีข้อยกเว้นที่คล้ายกันสําหรับธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรปที่จําหน่ายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปในสหภาพยุโรป

เมื่อคุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คุณจะได้รับหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจะประกอบด้วยตัวเลขระหว่าง 4 ถึง 15 หลัก และขึ้นต้นด้วยรหัสประเทศ 2 ตัวอักษร (เช่น BE สําหรับเบลเยียมหรือ CY สําหรับไซปรัส) ตามด้วยอักขระอื่นๆ 2-13 ตัว ธุรกิจควรระบุหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ในใบแจ้งหนี้การขายของตนและเก็บข้อมูลหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มของลูกค้าเมื่อจําหน่ายสินค้าหรือบริการแก่ธุรกิจอื่นที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

การจดทะเบียน VAT OSS สําหรับธุรกิจในยุโรป (แผนสหภาพ)

ธุรกิจในยุโรปที่ขายสินค้าให้บุคคลทั่วไป (เช่น การขายแบบ B2C) ในหลายประเทศในสหภาพยุโรปจะจดทะเบียนแผน VAT Stop Shop (VAT OSS) ได้ โปรแกรมนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดความยุ่งยากของกระบวนการการจัดเก็บและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศต่างๆ ภายในสหภาพยุโรป

หากจดทะเบียน VAT OSS คุณจะไม่ต้องจดทะเบียนกับแต่ละประเทศในสหภาพยุโรปที่คุณจําหน่ายสินค้าหรือบริการจากทางไกล หากคุณอยู่ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ก็สามารถลงทะเบียนโดยใช้พอร์ทัล VAT OSS ในประเทศของคุณ คุณจะนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดที่เรียกเก็บได้ให้กับหน่วยงานภาษีท้องถิ่น ซึ่งจะนําส่งรายรับภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ไปยังประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรปในนามของคุณ กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากคุณขายสินค้าในสหภาพยุโรป คุณสามารถลงทะเบียนกับระบบ OSS ภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศใดประเทศหนึ่ง และยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม OSS หนึ่งฉบับได้ แทนที่จะลงทะเบียนและยื่นภาษีใน 27 ประเทศ

การจดทะเบียน VAT OSS สําหรับธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ในยุโรป (แผนนอกสหภาพ)

ธุรกิจทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรป (รวมถึงธุรกิจในสหราชอาณาจักรหลังเบร็กซิต) ที่จําหน่ายผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้แก่บุคคลทั่วไปในสหภาพยุโรปสามารถจดทะเบียนเข้าร่วมแผน VAT OSS แบบนอกสหภาพได้ ธุรกิจเหล่านี้สามารถเลือกประเทศในยุโรปเพื่อจดทะเบียน VAT OSS ได้ โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจนอกสหภาพยุโรปจะจดทะเบียนในประเทศซึ่งเป็นที่ตั้งของลูกค้าส่วนใหญ่หรือเลือกลงทะเบียนกับประเทศที่มีพอร์ทัลการจดทะเบียนที่ใช้งานง่ายที่สุด เมื่อธุรกิจนอกสหภาพยุโรปจดทะเบียนสําหรับ VAT OSS จะมีการจัดสรรหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่ซ้ํากันในรูปแบบที่เริ่มต้นด้วย EU

การลงทะเบียนการนําเข้าร้านค้าแบบครบวงจร (IOSS)

ธุรกิจทั้งในและนอกสหภาพยุโรปสามารถจดทะเบียน IOSS ได้หากจําหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในสหภาพยุโรป และนำเข้าสินค้าในรูปแบบการขนส่งไม่เกิน 150 ยูโร IOSS ช่วยให้ผู้ขายเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศลูกค้าได้ ณ เวลาขาย ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชายแดนเมื่อสินค้ามาถึงสหภาพยุโรป ธุรกิจนอกสหภาพยุโรปสามารถเลือกประเทศใดๆ ในยุโรปเพื่อจดทะเบียน IOSS ได้ ในขณะที่ธุรกิจในสหภาพยุโรปจะต้องจดทะเบียนในประเทศที่ก่อตั้งธุรกิจดังกล่าว ทั้งนี้ การจดทะเบียน IOSS เป็นกระบวนการที่ทำโดยสมัครใจ ผู้ขายนอกสหภาพยุโรปมักต้องแต่งตั้งคนกลางเพื่อใช้ IOSS

2. คํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกรรม คุณต้องพิจารณาสามสิ่ง ได้แก่ สถานะของลูกค้า (ธุรกิจหรือบุคคล) ภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศที่จะเรียกเก็บ และอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกต้อง

ระบุว่าลูกค้าของคุณเป็นธุรกิจ (B2B) หรือบุคคลธรรมดา (B2C)

ก่อนที่คุณจะคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม คุณต้องพิจารณาก่อนว่าลูกค้าของคุณเป็นธุรกิจหรือบุคคลธรรมดา ขั้นตอนนี้มีความสําคัญเนื่องจากจะกําหนดว่าคุณต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มใดๆ หรือไม่

หากลูกค้าของคุณให้หมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกต้อง คุณอาจพิจารณาว่าลูกค้าดังกล่าวเป็นธุรกิจ คุณสามารถยืนยันความถูกต้องของหมายเลขด้วยพอร์ทัลระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม (VIES) ทั้งนี้คุณต้องยืนยันหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อป้องกันการฉ้อโกงภาษี

หากคุณเป็นธุรกิจในยุโรปที่จําหน่ายสินค้าให้ธุรกิจในประเทศอื่นในสหภาพยุโรป คุณมักไม่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการขายแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) อาจใช้วิธีการเรียกเก็บย้อนกลับ (ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ซื้อจะ=eitภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับรัฐบาลโดยตรงแทนที่จะผ่านคุณ) หรือคุณอาจได้รับประโยชน์จากการใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นศูนย์ (ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มใดๆ เลยในกรณีนี้)

physical goods & digital services

This graphic explains how an EU business can determine the correct VAT rate for physical goods and digital services sold in the EU.

พิจารณาว่าประเทศใดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม

สิ่งสำคัญในสถานการณ์ข้ามพรมแดนคือการพิจารณาว่าประเทศใดควรเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกรรม กฎเกณฑ์ที่กำหนดว่าประเทศใดควรเรียกเก็บภาษีนั้นมีความซับซ้อนมากและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ประเภทของบริการ โปรไฟล์ของลูกค้า ประเทศต้นทางและปลายทางของการจัดส่งสินค้า เป็นต้น

การกําหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม

อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศในสหภาพยุโรป โดยสหภาพยุโรปกำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขั้นต่ําไว้ที่ 15% สําหรับ 27 ประเทศสมาชิก ซึ่งมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจริงแตกต่างกันไปตั้งแต่ 17% ถึง 27% ส่วนสวิตเซอร์แลนด์นั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป และมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรฐานอยู่ที่ 8.1% ซึ่งต่ํากว่าประเทศเพื่อนบ้าน

Europe map

VAT rates differ across European countries.

แม้ว่าแต่ละประเทศจะกำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรฐาน แต่ประเทศส่วนใหญ่จะมีอัตราที่ลดลงและการยกเว้นตามประเภทของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ขาย เนื่องด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมีความหลากหลาย คุณจึงควรที่จะสามารถจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่คุณขายตามกฎหมายท้องถิ่นได้

อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับผลิตภัณฑ์ดิจิทัล

กฎหมายของสหภาพยุโรปกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้

  • ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้
  • ผู้ค้าจัดส่งผลิตภัณฑ์ทางออนไลน์
  • การส่งมอบผลิตภัณฑ์อาศัยการมีปฏิสัมพันธ์โดยมนุษย์น้อยมาก
  • เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ได้ด้วยเทคโนโลยี

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์, เกม, เพลง, ซอฟต์แวร์, SaaS, การโฮสต์เว็บไซต์ และบริการอื่นๆ อีกมากมายจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์ดิจิทัลจะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรฐาน แต่อาจมีข้อยกเว้นบางประการ ตัวอย่างเช่น อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะลดลงเหลือ 10% ในออสเตรียและ 4% ในสเปน

อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับสินค้าที่จับต้องได้

ตรวจสอบอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับสินค้าที่จับต้องได้บนเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการยุโรป ธุรกรรมบางรายการมีสิทธิ์ใช้อัตราค่าบริการที่ลดลง พิเศษ หรือเป็นศูนย์ ตัวอย่างเช่น ผ้าอ้อมเด็กและเทียนขี้ผึ้งแบบไม่มีการตกแต่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะจำหน่ายโดยไม่ต้องเสียภาษีในประเทศไอร์แลนด์ ขณะที่ประเทศโครเอเชียมีการลดภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารบางรายการ

3. รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับตําแหน่งที่ตั้งของผู้ซื้อ

เนื่องจากอัตราภาษีมีความแตกต่างกันอย่างมากตามตำแหน่งที่ตั้งของผู้ซื้อ รัฐบาลจึงต้องการบันทึกที่ยืนยันว่าลูกค้าอยู่ที่ไหนเมื่อซื้อสินค้าดิจิทัล ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคุณจะต้องเก็บหลักฐาน 2 รายการไว้เพื่อยืนยันที่อยู่ของลูกค้าสําหรับการขายผลิตภัณฑ์ดิจิทัลทุกรายการ

เอกสารประกอบเพิ่มเติมนี้จะจำกัดความเป็นไปได้ที่ธุรกิจหรือบุคคลจะกระทำการฉ้อโกงภาษีโดยการเรียกเก็บหรือชำระภาษีในอัตราที่ไม่ถูกต้อง คุณจะต้องรวบรวมและจัดเก็บหลักฐาน 2 รายการต่อไปนี้เพื่อยืนยันถิ่นที่อยู่ของลูกค้าและเพื่อยืนยันว่ามีการเรียกเก็บและชำระอัตราภาษีที่ถูกต้อง:

  • ตําแหน่งที่ตั้งของธนาคาร
  • ที่อยู่ IP
  • ที่อยู่ในการเรียกเก็บเงิน
  • ประเทศที่ออกบัตร

โดยมีข้อยกเว้นคือ หากคุณทําการขายผลิตภัณฑ์ดิจิทัลน้อยกว่า 100,000 ยูโรต่อปี คุณต้องใช้เพียงข้อมูลลูกค้าข้างต้นเท่านั้น โปรดเก็บบันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้ในระบบเป็นระยะเวลา 10 ปี ตามกฎหมายของสหภาพยุโรป

เมื่อจําหน่ายให้กับลูกค้าที่เป็นธุรกิจ คุณจะต้องออกใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยแม้จะไม่ได้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มก็ตาม ธุรกิจที่ขายสินค้าจำเป็นต้องเก็บรักษาบันทึกเหล่านี้ไว้ ซึ่งรวมถึงข้อมูลทางธุรกิจ ราคาขายและอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ใช้ ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อ และหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เป็นระยะเวลาที่กฎหมายท้องถิ่นกำหนด

4. ยื่นแบบคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม:

การส่งแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นขั้นตอนสำคัญในการปฏิบัติตามข้อกําหนด แม้ว่าคุณจะไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระหรือขอคืน แต่คุณต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอย่างตรงต่อตามเวลา คุณจะต้องรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 ประเภท ได้แก่ จํานวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า (ภาษีมูลค่าเพิ่มขาออก) และจํานวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณจ่ายให้แก่ซัพพลายเออร์ (ภาษีมูลค่าเพิ่มขาเข้า) นอกจากนี้ คุณจะต้องหักภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณชําระจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณเรียกเก็บด้วย ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นผู้ค้าปลีกที่ขายสร้อยคอที่คุณซื้อจากร้านเครื่องประดับ คุณสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 23% (230 ยูโร) ที่คุณจ่ายให้กับร้านเครื่องประดับได้ เมื่อคุณยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม คุณจะชําระเพียงแค่ส่วนต่างระหว่างภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลูกค้าปลายทางได้ชําระเงิน (345 ยูโร) กับภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณชําระแต่แรก (230 ยูโร) ซึ่งก็คือ 115 ยูโร

แบบฟอร์มการแสดงรายการภาษีและความถี่ในการยื่นแบบฟอร์มจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ความถี่ในการยื่นอาจขึ้นอยู่กับรายได้จากยอดขายต่อปีของคุณ ตัวอย่างเช่น ระยะเวลายื่นแบบฟอร์มมาตรฐานในเยอรมนีคือรายไตรมาส แต่ผู้ขายที่ต้องชำระภาษีเกิน 7,500 ยูโรในปีที่ผ่านมาต้องยื่นแบบฟอร์มเป็นรายเดือน และผู้ขายที่ต้องชำระภาษีต่ํากว่า 1,000 ยูโรต้องยื่นแบบฟอร์มเป็นรายปี

หากคุณเลือกใช้การจดทะเบียน OSS คุณต้องส่งแบบฟอร์มแสดงรายการภาษี OSS รายไตรมาสในประเทศที่จดทะเบียน โดยคุณต้องส่งแบบฟอร์มแสดงรายการภาษีนี้เพิ่มเติมจากแบบฟอร์มแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศที่คุณอาจต้องยื่น ในการส่งแบบฟอร์มแสดงรายการภาษี OSS คุณจะต้องระบุยอดขายที่เข้าหลักเกณฑ์ของ OSS ของคุณแก่ลูกค้าในทุกประเทศในสหภาพยุโรปและตามจํานวนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นๆ เมื่อคุณชําระภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดในประเทศที่คุณจดทะเบียน OSS ภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว หน่วยงานภาษีท้องถิ่นของคุณจะกระจายรายรับภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังประเทศอื่นในนามของคุณ

หากไม่ได้ยื่นจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกต้อง คุณอาจเสียดอกเบี้ยและบทลงโทษในทุกประเทศที่คุณควรจะเรียกเก็บและนําส่งภาษี ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเสียค่าปรับสูงสุด 3,750 ยูโรในโปรตุเกสหากไม่ยืนแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง ขณะเดียวกัน การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มล่าช้าในเยอรมนีมีบทลงโทษเป็นการปรับสูงสุด 10% ของยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีวงเงินไม่เกิน 25,000 ยูโร

Stripe Tax ช่วยได้อย่างไร

ในขณะที่การตระหนักรู้ถึงแนวโน้มการปฏิบัติตามภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ แต่ก็มีความซับซ้อนและใช้เวลานานเช่นกัน Stripe Tax ดําเนินการเพื่อปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีทั่วโลกโดยอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้คุณมีเวลาไปมุ่งเน้นกับการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต นอกจากนี้ยังระบุภาระหน้าที่ทางภาษีของคุณ จัดการการจดทะเบียน คํานวณ และเรียกเก็บภาษีตามจํานวนที่ถูกต้องทั่วโลก และดำเนินการยื่นภาษีทั้งหมดได้แบบครบวงจร

Stripe Tax ช่วยให้คุณดําเนินการดังต่อไปนี้ได้

  • ทําความเข้าใจว่าจะจดทะเบียนและเรียกเก็บภาษีที่ไหน ดูตำแหน่งที่ตั้งที่คุณต้องเรียกเก็บภาษีโดยอิงตามธุรกรรมใน Stripe หลังจากจดทะเบียนแล้ว ก็จะเปิดใช้การเรียกเก็บภาษีในรัฐหรือประเทศใหม่ได้ภายในไม่กี่วินาที คุณเริ่มเรียกเก็บภาษีได้โดยเพิ่มโค้ดเพียงบรรทัดเดียวลงในการเชื่อมต่อการทํางาน Stripe ที่ใช้อยู่ หรือเพิ่มการเรียกเก็บภาษีด้วยการคลิกเพียงปุ่มเดียวใน Stripe Dashboard
  • ลงทะเบียนเพื่อชำระภาษี: ให้ Stripe จัดการ การลงทะเบียนภาษีทั่วโลกของคุณ และรับประโยชน์จากขั้นตอนที่เรียบง่าย ซึ่งระบบจะกรอกรายละเอียดใบสมัครล่วงหน้า ช่วยคุณประหยัดเวลาและรับประกันการปฏิบัติตามข้อกำหนดท้องถิ่น
  • เรียกเก็บภาษีโดยอัตโนมัติ: Stripe Tax คํานวณและเรียกเก็บเงินภาษีที่ค้างชําระตามจำนวนที่ถูกต้องไม่ว่าคุณจะจําหน่ายผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม รองรับผลิตภัณฑ์และบริการหลายร้อยรายการ และมีข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎและอัตราภาษี
  • ทำให้การยื่นและการชำระเงินง่ายขึ้น: Stripe Tax จัดการการยื่นและการชำระเงิน ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์จากประสบการณ์ที่ราบรื่น

อ่าน Stripe Docs ของเราเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนเพื่อใช้งาน Stripe Tax เลย

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Tax

Tax

ช่วยให้คุณทราบพื้นที่ที่ต้องจดทะเบียน เรียกเก็บภาษีในจำนวนที่ถูกต้องได้โดยอัตโนมัติ ตลอดจนเข้าถึงรายงานที่ใช้สำหรับยื่นเงินคืนภาษี

Stripe Docs เกี่ยวกับ Tax

เรียกเก็บภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ GST รวมทั้งสร้างรายงานธุรกรรมทั้งหมดของคุณแบบอัตโนมัติ พร้อมเชื่อมต่อระบบโดยเขียนโค้ดเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องเขียนโค้ดเลย