มาร์เก็ตเพลสอย่าง Amazon, eBay, Uber และ Etsy ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อันที่จริงแล้ว รายงานจาก Digital Commerce 360 ระบุว่ามาร์เก็ตเพลสชั้นนํามียอดขายทั่วโลกเป็นมูลค่าประมาณ 3.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจากผู้ขายบุคคลที่สาม
ขณะเดียวกัน รัฐบาลบางแห่งได้บังคับใช้กฎหมายที่กำหนดให้มาร์เก็ตเพลสต้องเรียกเก็บและนําส่งภาษีในนามของธุรกรรมจากผู้ขายบุคคลที่สาม กฎหมายเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาษี เนื่องจากทำให้เรียกเก็บภาษีจากนิติบุคคลน้อยรายลง ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการปฏิบัติตามข้อกําหนด ขณะเดียวกัน ผู้ขายก็ได้รับประโยชน์จากการที่มาร์เก็ตเพลสช่วยจัดการภาษีสําหรับธุรกรรมบางรายการ แต่ขั้นตอนเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นกระบวนการที่ตรงไปตรงมาเสมอไป
หากคุณดําเนินธุรกิจมาร์เก็ตเพลสออนไลน์หรือจําหน่ายสินค้าหรือบริการในมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ ก็ควรทําความเข้าใจภาระหน้าที่และความรับผิดชอบด้านภาษีของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษ เตรียมพร้อมสําหรับการตรวจสอบภาษี และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเสียภาษีย้อนหลังหากคุณไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนด
คู่มือนี้จะช่วยให้คุณซึ่งเป็นผู้ขายเข้าใจกฎหมายภาษีของมาร์เก็ตเพลสในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป รวมถึงวิธีจัดการภาษีเมื่อคุณมียอดขายบางส่วน (หรือทั้งหมด) ที่มาจากมาร์เก็ตเพลส นอกจากนี้เรายังจะอธิบายวิธีที่ Stripe ช่วยคุณจัดการการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีการขายและภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
อีกเรื่องสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก็คือ แม้เราจะอธิบายหน้าที่ด้านภาษีบางประการ แต่ก็อาจมีความรับผิดชอบด้านภาษีในแง่มุมอื่นๆ ที่ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสควรคำนึงถึงด้วย เช่น ภาษีจากผลกำไรของของมาร์เก็ตเพลส สําหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe ให้ความช่วยเหลือมาร์เก็ตเพลสในแง่ของแบบฟอร์ม 1099 โปรดอ่านหน้านี้
สุดท้ายนี้ โปรดทราบว่าข้อมูลที่ระบุในคู่มือนี้ไม่ใช่คําแนะนําด้านภาษีหรือกฎหมาย คู่มือนี้จัดทําขึ้นมาในเชิงการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่มีจุดประสงค์เพื่อมอบคำแนะนำด้านภาษีหรือกฎหมาย จึงไม่ควรใช้เป็นแหล่งอ้างอิง คุณควรพูดคุยกับที่ปรึกษาด้านภาษี กฎหมาย และที่ปรึกษารายอื่นๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณโดยเฉพาะ
ธุรกิจของฉันเป็นมาร์เก็ตเพลสใช่หรือไม่
มาร์เก็ตเพลสช่วยให้คุณทําการขายได้โดยการแสดงผลิตภัณฑ์ อํานวยความสะดวกในการชําระเงิน (บางครั้งก็ให้บริการชําระเงินที่ขับเคลื่อนโดย Stripe) ส่งใบเสร็จธุรกรรม แก้ไขการโต้แย้งการชําระเงินระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย และในบางกรณีอาจช่วยในด้านการจัดส่ง นิยามอาจมีความแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้ว มาร์เก็ตเพลสอาจเป็นได้ทั้งแพลตฟอร์มในโลกจริงหรือแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสสามารถขายสินค้าและบริการของตนได้ ตัวอย่างทั่วไปของมาร์เก็ตเพลส ได้แก่ Amazon, Etsy, DoorDash, Alibaba และ Deliveroo
ประเทศต่างๆ มักจะใช้คำศัพท์อย่าง "ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม" "ผู้อำนวยความสะดวกสําหรับมาร์เก็ตเพลส" หรือ "ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขาย" เพื่อใช้อธิบายมาร์เก็ตเพลสที่ต้องเรียกเก็บภาษีจากธุรกรรมที่ตนอํานวยความสะดวก คำศัพท์เหล่านี้มีความหมายทางกฎหมายที่เจาะจงและอาจไม่ได้แปลเหมือนกับวิธีที่ Stripe (หรือเครือข่ายบัตร) จัดหมวดหมู่ธุรกิจเหล่านั้น ในทํานองเดียวกัน ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสที่ต้องเรียกเก็บภาษี (ภายใต้กฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้อง) อาจแตกต่างจาก "ผู้ค้าในระเบียน" ซึ่งได้รับการพิจารณาตามกฎของเครือข่ายบัตร
คําว่า "ผู้ค้าในระเบียน" (MoR) หมายถึงนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและรับผิดชอบในการขายสินค้าและบริการ โดยปกติแล้ว MoR จะแสดงให้ผู้ซื้อเห็นในฐานะผู้ขายสินค้าหรือบริการ และโดยทั่วไปแล้วจะต้องรับผิดชอบต่อทุกด้านของธุรกรรม ซึ่งรวมถึงการปฏิบัติตามข้อกําหนดของผลิตภัณฑ์ การบริการลูกค้า หรือการคืนเงิน และการมีปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานกํากับดูแลหรือหน่วยงานของรัฐ (เช่น หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค)
นอกจากนี้ ข้อกําหนดในการเรียกเก็บภาษีสําหรับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในประเทศหรือรัฐหนึ่งๆ นั้นอาจไม่มีการบังคับใช้ในประเทศหรือรัฐอื่นๆ โปรดตรวจสอบข้อบังคับด้านภาษีของแต่ละประเทศหรือรัฐที่คุณดําเนินธุรกิจเพื่อทําความเข้าใจหน้าที่อันเเฉพาะเจาะจงของคุณ
คำศัพท์และคําจํากัดความ
คุณควรทําความเข้าใจคำศัพท์ทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับมาร์เก็ตเพลสและแพลตฟอร์มเพื่อให้ธุรกิจของคุณจัดการการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีได้ เราจะอธิบายและให้นิยามคำศัพท์เหล่านี้ไว้ด้านล่าง
ผู้อำนวยความสะดวกสําหรับมาร์เก็ตเพลส
ในสหรัฐอเมริกา มาร์เก็ตเพลสที่มีหน้าที่เรียกเก็บภาษีสำหรับธุรกรรมที่ตนเองให้บริการสนับสนุนนั้นเรียกว่า "ผู้อำนวยความสะดวกสําหรับมาร์เก็ตเพลส" ผู้อำนวยความสะดวกสำหรับมาร์เก็ตเพลส คือ ธุรกิจหรือองค์กรที่ทําสัญญากับบุคคลที่สาม (ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส) เพื่อขายสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์มของตน รวมทั้งอํานวยความสะดวกด้านการค้าปลีก ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้อำนวยความสะดวกสําหรับมาร์เก็ตเพลสช่วยสร้างโอกาสในการขายโดยการแสดงผลิตภัณฑ์ รับการชําระเงิน รวบรวมใบเสร็จ และในบางกรณีก็อาจช่วยจัดส่งสินค้า ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกสำหรับมาร์เก็ตเพลส ภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามข้อกําหนด ตั้งแต่การจดทะเบียน ไปจนถึงการรายงานและการยื่นภาษี จะขึ้นอยู่กับกฎหมายเฉพาะของแต่ละรัฐ
ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขาย
สหภาพยุโรปใช้คําว่า "ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขาย" เพื่อระบุถึงผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสที่อาจมีภาระผูกพันในการเรียกเก็บภาษีสำหรับธุรกรรมที่ตนเองอํานวยความสะดวก ธุรกิจต้องตั้งข้อกําหนดหรือเงื่อนไขสําหรับการขาย ประมวลผลหรือช่วยในการชําระเงินของลูกค้า หรือจัดการการสั่งซื้อหรือจัดส่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขาย ทั้งนี้ ธุรกิจจะไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขาย หากทำการประมวลผลการชําระเงิน แสดงหรือโฆษณาสินค้า หรือเปลี่ยนเส้นทางลูกค้าไปยังเว็บไซต์หรือแอปอื่นๆ เท่านั้น โดยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขาย ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขายจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับว่าเป็นผู้ซื้อผลิตภัณฑ์จากธุรกิจและขายให้ลูกค้าเอง แง่มุมดังกล่าวจะส่งผลต่อวัตถุประสงค์ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น และจะไม่เปลี่ยนจุดยืนทางการค้าในกรณีที่มีการส่งต่อกรรมสิทธิ์ของสินค้าจากผู้ขายไปให้ผู้ซื้อ
ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล
แคนาดาใช้คําว่า "ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล" เพื่อหมายถึงผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสที่อาจมีภาระผูกพันในการเรียกเก็บภาษี ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล คือ บุคคลที่ควบคุมธุรกรรมระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ (เช่น จัดการการชําระเงินและส่งต่อให้ผู้ขาย) อย่างไรก็ตาม คําจํากัดความนี้ไม่รวมธุรกิจต่างๆ ที่มีหน้าที่ในการแสดงรายการสินค้าหรือการประมวลผลการชําระเงินเท่านั้น
ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDP)
ออสเตรเลียใช้คําว่า "ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDP)" เพื่ออ้างอิงถึงผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสที่อาจมีภาระหน้าที่ในการเรียกเก็บภาษี ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต้องตั้งข้อกําหนดหรือเงื่อนไขสําหรับการขาย ประมวลผลหรือช่วยในการชําระเงินของลูกค้า หรือจัดการการสั่งซื้อหรือจัดส่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็น EDP ธุรกิจที่ให้บริการประมวลผลการชําระเงินหรือดูแลโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคที่อยู่เบื้องหลังมาร์เก็ตเพลสออนไลน์เท่านั้น จะไม่เข้าเกณฑ์ของ EDP
กฎหมายของมาร์เก็ตเพลสในสหรัฐอเมริกา
ในสหรัฐฯ ผู้อำนวยความสะดวกสำหรับมาร์เก็ตเพลสจําเป็นต้องเรียกเก็บภาษีการขายในนามของผู้ขายบุคคลที่สาม เมื่อผู้ขายถึงเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในรัฐ อย่างไรก็ตาม ผู้ขายจะเป็นผู้รับผิดชอบภาษีหากผู้อำนวยความสะดวกสำหรับมาร์เก็ตเพลสไม่ได้เป็นผู้เรียกเก็บภาษีดังกล่าว กรณีนี้อาจเกิดขึ้น หากมาร์เก็ตเพลสไม่สามารถนําส่งภาษีในจํานวนที่เหมาะสมได้เนื่องจากข้อมูลที่ผู้ขายมอบให้ไม่ถูกต้อง หรือหากมาร์เก็ตเพลสไม่จําเป็นต้องเรียกเก็บภาษีในนามของผู้ขาย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ขายจะได้รับใบรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากมาร์เก็ตเพลสเพื่อยืนยันว่ามาร์เก็ตเพลสเรียกเก็บภาษีการขายในนามของผู้ขาย
รัฐส่วนใหญ่ยังคงกําหนดให้ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสต้องรายงานจำนวนภาษีการขายที่ผู้อำนวยความสะดวกสำหรับมาร์เก็ตเพลสเรียกเก็บในนามของตน และยื่นขอคืนภาษี ซึ่งอาจมียอดการคืนภาษีเป็นศูนย์ รัฐใช้การคืนภาษีการขายเป็นวิธีตรวจสอบธุรกิจ และถึงแม้ว่าไม่มีภาษีการขายที่ต้องนําส่ง แต่บ่อยครั้งก็ยังจําเป็นยื่นขอคืน
หากผู้ขายทําการขายเฉพาะในมาร์เก็ตเพลสเท่านั้น บางรัฐจะอนุญาตให้ผู้ขายยกเลิกการจดทะเบียนเพื่อเรียกเก็บภาษี ทั้งนี้ ผู้ขายควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนยกเลิกการจดทะเบียน เพื่อไม่ให้เกิดบทลงโทษ นอกจากนี้ผู้ขายควรพิจารณาว่าต้องการขยายการขายนอกเหนือไปจากมาร์เก็ตเพลสในอนาคตหรือไม่ เช่น ในหน้าร้านค้าจริง งานแสดงสินค้า หรือในร้านค้าออนไลน์ของตนเอง โดยหากเป็นเช่นนั้น ก็จะต้องจดทะเบียกับรัฐอีกครั้ง
วิธีจัดการภาษีการขายและยอดขายในมาร์เก็ตเพลสสําหรับผู้ขาย
สถานการณ์ 2 อย่างนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ขายต้องจัดการภาษีการขายและยอดขายในมาร์เก็ตเพลส
- ยอดขายทั้งหมดของผู้ขายเกิดขึ้นในมาร์เก็ตเพลส
- ยอดขายบางส่วนเกิดขึ้นในมาร์เก็ตเพลส
เราจะอธิบายวิธีจัดการสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ให้คุณทราบ
การขายในมาร์เก็ตเพลสเท่านั้น
หากผู้ขายทําการขายในมาร์เก็ตเพลสเพียงอย่างเดียว และยืนยันแล้วว่ามาร์เก็ตเพลสเรียกเก็บภาษีการขายในนามของผู้ขายแล้ว ผู้ขายก็ไม่จําเป็นต้องคํานวณ เรียกเก็บ หรือนําส่งภาษีการขายจากลูกค้า อย่างไรก็ตาม ผู้ขายอาจยังต้องจัดเตรียมและยื่นแบบแสดงภาษีภายในวันที่กําหนด เพื่อรายงานว่ามาร์เก็ตเพลสเก็บภาษีมากแค่ไหน ในสถานการณ์นี้ ผู้ขายมีแนวโน้มที่จะไม่ได้มียอดภาษีค้างกับรัฐ แต่จะต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดในการยื่นเอกสาร
ยอดขายบางส่วนเกิดขึ้นในมาร์เก็ตเพลส
สมมติว่าผู้ขายทํายอดขาย 50% ในมาร์เก็ตเพลสและ 50% บนเว็บไซต์ของตัวเอง สําหรับยอดขายในมาร์เก็ตเพลส ผู้ขายต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่ามาร์เก็ตเพลสเรียกเก็บและนําส่งภาษีในนามของผู้ค้า รวมทั้งบันทึกว่ามาร์เก็ตเพลสเก็บภาษีไปเท่าไร สําหรับ 50% ของยอดขายที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ ผู้ขายจะต้องเรียกเก็บและนําส่งภาษีสําหรับยอดขายดังกล่าว ในกรณีที่ยอดขายนั้นๆ มีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในรัฐที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถึงเวลายื่นภาษี ผู้ขายก็สามารถรายงานทั้งจํานวนเงินที่เรียกเก็บและนําส่งโดยมาร์เก็ตเพลส รวมถึงจํานวนที่ผู้ขายเรียกเก็บจากลูกค้าโดยตรงบนเว็บไซต์ ผู้ขายจะต้องชําระ (นําส่ง) ภาษีการขายที่ผู้ขายเรียกเก็บเท่านั้น และไม่ต้องดำเนินการในส่วนที่มาร์เก็ตเพลสที่เรียกเก็บ เว็บไซต์ภาษีของรัฐส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาจะแบ่งยอดขายของมาร์เก็ตเพลสออกจากการขายเว็บไซต์ในบรรทัดต่างๆ เพื่อให้ผู้ขายป้อนจํานวนที่ถูกต้องได้อย่างง่ายดาย
กฎหมายของมาร์เก็ตเพลสในสหภาพยุโรป
สหภาพยุโรปมีกฎพิเศษสําหรับมาร์เก็ตเพลสที่ช่วยอํานวยความสะดวกในการขายสินค้าและบริการบางอย่าง เงื่อนไขต่อไปนี้จะนิยามมาร์เก็ตเพลสในฐานะผู้อํานวยความสะดวกในการขาย
- การกําหนดข้อกำหนดของการจัดหาทั้งทางตรงและทางอ้อม
- การมีส่วนร่วมในการอนุมัติการชําระเงิน
- การมีส่วนร่วมในการจัดส่งผลิตภัณฑ์
การมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขสามข้อนี้ อาจหมายความว่ามาร์เก็ตเพลสกลายเป็นผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขาย และเป็นผู้รับผิดชอบในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายบางรายการที่ตนเองอำนวยความสะดวก ภาระหน้าที่ในการเรียกเก็บภาษีสําหรับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสมักจะมีผลกับกรณีดังต่อไปนี้
- การขายบริการดิจิทัล
- การขายสินค้าโดยผู้ขายที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรปให้กับบุคคลทั่วไปที่อยู่ในสหภาพยุโรป หากสินค้าอยู่ในสหภาพยุโรป ณ จุดที่ทำการขาย
- การขายสินค้าให้กับบุคคลทั่วไปในสหภาพยุโรป โดยการนําเข้าสินค้าไปยังสหภาพยุโรปในบรรจุภัณฑ์ที่มีมูลค่าไม่เกิน 150 ยูโร
ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสที่ช่วยอํานวยความสะดวกให้กับการขายประเภทอื่นๆ อาจต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดขายเหล่านี้ตามตัวบ่งชี้อื่นๆ และการดำเนินการตามสัญญา
คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศปฏิรูประบบภาษีมูลค่าเพิ่มของสหภาพยุโรปอย่างมีนัยสําคัญในเดือนธันวาคม 2022 ข้อเสนอเกี่ยวกับ "ภาษีมูลค่าเพิ่มในยุคดิจิทัล" (ViDA) ขยายขอบเขตของกฎสำหรับผู้ที่ถือว่าเป็นซัพพลายเออของแพลตฟอร์มในภาคธุรกิจให้เช่าที่พักระยะสั้นและการขนส่งผู้โดยสาร แพลตฟอร์มในภาคธุรกิจเหล่านี้จะต้องเรียกเก็บและนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกรรมที่แพลตฟอร์มเหล่านี้อํานวยความสะดวก หากผู้ขายที่เกี่ยวข้องไม่ถูกกำหนดให้ต้องเรียกเก็บภาษี กฎของผู้ที่ถือว่าเป็นซัพพลายเออร์จะไม่มีผลกับยอดขายที่ดําเนินการโดยธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งระบุหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
กฎที่ได้รับการเสนอซึ่งเกี่ยวกับเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มนี้จะมีผลบังคับใช้ในปี 2027 หากได้รับอนุมัติอย่างครบถ้วนจากทุกรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป
ข้อควรพิจารณาด้านภาษีสําหรับมาร์เก็ตเพลส
ทางเลือกในการเป็นผู้อำนวยความสะดวกสําหรับมาร์เก็ตเพลสหรือผู้ที่ถือว่าเป็นขายนับเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่สําคัญ โดยอาจมีผลกระทบทางภาษีและทางกฎหมาย และส่งผลต่อการใช้งานของลูกค้า ธุรกิจหลายแห่งตัดสินใจดําเนินการตามข้อกําหนดด้านภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ โดยบางแห่งอาจตัดสินใจเป็นผู้อำนวยความสะดวกสําหรับมาร์เก็ตเพลสในท้ายที่สุด แต่การเปลี่ยนแปลงประเภทนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักแก่บริการของผู้ขายบุคคลที่สาม
แม้ว่าจะมีหลายสิ่งที่ต้องพิจารณา แต่การเป็นผู้อำนวยความสะดวกสําหรับมาร์เก็ตเพลสตั้งแต่ต้นก็อาจมอบประโยชน์หลายประการดังนี้
- ความมั่นใจในภาระหน้าที่ทางภาษี: เมื่อหันมาใช้หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้อำนวยความสะดวกสำหรับมาร์เก็ตเพลสหรือผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขายตั้งแต่เนิ่นๆ ธุรกิจจะสามารถสร้างกระบวนการและระบบการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีที่ชัดเจน ความมั่นใจนี้จะช่วยให้ธุรกิจและผู้ใช้ของธุรกิจได้รับการจัดการด้านภาษีอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ธุรกิจยังทราบว่าตนเองปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีทางกฎหมาย และสามารถลดความเสี่ยงในการตรวจสอบได้
- การปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ: เมื่อตัดสินใจเป็นผู้อำนวยความสะดวสําหรับมาร์เก็ตเพลสหรือผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขายตั้งแต่วันแรก ธุรกิจดังกล่าวจะจัดการข้อกําหนดด้านภาษีของตนเองในเชิงรุก ซึ่งรวมถึงการเรียกเก็บและนําส่งภาษีในนามของตัวเองและผู้ขายบุคคลที่สามด้วย การดําเนินการนี้จะช่วยไม่ให้ผู้ขายที่เป็นบุคคลทั่วไปต้องดำเนินการจัดการด้วยตนเอง
- ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า: เมื่อใช้มาร์เก็ตเพลสหรือแพลตฟอร์มในการจัดการการคํานวณและเก็บภาษี ประสบการณ์การชําระเงินโดยรวมก็จะดีขึ้น ประสบการณ์การซื้อจะมีความราบรื่นและลูกค้าก็ไม่ต้องประหลาดใจกับยอดภาษีที่เพิ่มเข้ามาในภายหลังในขั้นตอนการชําระเงิน
- ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: ผู้ขายที่เป็นบุคคลที่สามจะไม่ต้องการจัดการภาระหน้าที่ทางภาษี และการที่มีมาร์เก็ตเพลสหรือแพลตฟอร์มมาช่วยจัดการข้อกําหนดด้านภาษีในนามของผู้ขายให้ก็อาจทำให้แพลตฟอร์มของคุณเป็นตัวเลือกที่ดึงดูดใจ
ธุรกิจแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน และทางเลือกในการเป็นผู้อำนวยความสะดวกสําหรับมาร์เก็ตเพลสหรือผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ขายก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์หลายอย่าง เราขอแนะนําให้คุณขอรับคําแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดสําหรับธุรกิจของคุณ
แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษี
การทําความเข้าใจข้อควรพิจารณาด้านภาษีสําหรับมาร์เก็ตเพลสเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามข้อกําหนดเท่านั้น ต่อไปนี้คือแหล่งข้อมูลบางส่วนที่จะช่วยแนะนําคุณในเรื่องอื่นๆ ของการปฏิบัติตามข้อกําหนด
- ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสินค้าและบริการ
- ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับภาษีการขายของสหรัฐฯ และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ
- ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีมูลค่าเพิ่ม OSS ของสหภาพยุโรป
- สํารวจกระบวนการจดทะเบียนภาษีในสหรัฐอเมริกา
- สํารวจกระบวนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในยุโรป
- สํารวจกระบวนการจดทะเบียนภาษีสินค้าและบริการในแคนาดา
- วิธียื่นขอคืนภาษีการขายในสหรัฐอเมริกา
- คู่มือเกี่ยวกับภาษีการขายและภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส
- วิธีประเมินซอฟต์แวร์อัตโนมัติด้านภาษี
- ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการเสียภาษีสำหรับ SaaS ในสหรัฐอเมริกา
โปรดอย่าลืมว่าคุณควรดูแลให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีอยู่เสมอ โดยทําความเข้าใจว่าคุณมีภาระหน้าที่ทางภาษีในตำแหน่งที่ตั้งใดบ้าง จากนั้นคุณจะต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานภาษีท้องถิ่น คํานวณ และเรียกเก็บภาษีในจํานวนที่ถูกต้อง แล้วยื่นและนําส่งภาษีที่เรียกเก็บ
Stripe จะช่วยได้อย่างไร
Stripe ช่วยให้มาร์เก็ตเพลสสร้างและขยายธุรกิจการชําระเงินและบริการทางการเงินระดับโลกที่ทรงประสิทธิภาพได้ โดยใช้เวลาการทํางานน้อยลงและมีโอกาสในการเติบโตมากขึ้น Stripe Tax ลดความซับซ้อนในการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีทั่วโลก เพื่อให้คุณมีเวลาทุ่มเทกับการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต โดยระบบจะคํานวณและเก็บภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสินค้าและบริการโดยอัตโนมัติจากทั้งสินค้าและบริการที่จับต้องได้และแบบดิจิทัลในทุกรัฐของสหรัฐอเมริกาและใน 40 ประเทศ Stripe Tax สร้างขึ้นภายใน Stripe โดยเฉพาะ และช่วยให้คุณเริ่มใช้งานได้รวดเร็วขึ้นโดยที่ไม่ต้องมีการผสานการทํางานหรือใช้ปลั๊กอินของบริษัทอื่น
Stripe Tax ช่วยให้คุณดําเนินการดังต่อไปนี้ได้
- ทําความเข้าใจว่าจะจดทะเบียนและเรียกเก็บภาษีที่ไหน ดูตำแหน่งที่ตั้งที่คุณอาจต้องเรียกเก็บภาษีจากธุรกรรมใน Stripe และหลังจากจดทะเบียนแล้ว คุณจะเปลี่ยนไปเรียกเก็บภาษีในรัฐหรือประเทศใหม่ได้ภายในไม่กี่วินาที คุณจะเริ่มเรียกเก็บภาษีได้โดยเพิ่มโค้ดเพียงบรรทัดเดียวลงในการเชื่อมต่อการทํางาน Stripe ที่ใช้อยู่ หรือเพิ่มการเรียกเก็บภาษีลงในผลิตภัณฑ์ Stripe ที่ไม่ต้องใช้การเขียนโค้ด เช่น Invoicing ด้วยการคลิกเพียงปุ่มเดียว
- จดทะเบียนชําระภาษี: ให้ Stripe จัดการการจดทะเบียนภาษีในสหรัฐอเมริกาแทนคุณ และรับประโยชน์จากขั้นตอนการกรอกรายละเอียดการสมัครล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลาและมั่นใจถึงการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับในแต่ละประเทศ
- เรียกเก็บภาษีการขายโดยอัตโนมัติ: Stripe Tax จะคํานวณและเรียกเก็บภาษีที่ค้างชําระ รองรับผลิตภัณฑ์และบริการหลายร้อยรายการ และมีข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎและอัตราภาษี
- ทําให้การยื่นและนําส่งเป็นเรื่องง่าย: พาร์ทเนอร์ทั่วโลกที่เชื่อถือได้ของเราช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นซึ่งเชื่อมต่อข้อมูลธุรกรรมใน Stripe ของคุณ วางใจให้พาร์ทเนอร์ของเราจัดการการยื่นเอกสารเพื่อให้คุณมีเวลาไปมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Tax
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับรองหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ