การจัดการวงจรของบัตรคืออะไร สิ่งที่ธุรกิจควรทราบ

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ทําไมการจัดการวงจรบัตรที่มีประสิทธิภาพจึงสําคัญอย่างยิ่ง
  3. ขั้นตอนของวงจรบัตร
    1. การออกบัตร
    2. การเปิดใช้งาน
    3. การใช้งาน
    4. การต่ออายุและการเปลี่ยนบัตรใหม่
    5. วันหมดอายุและการปิดใช้งาน
  4. ความท้าทายและความเสี่ยงในการจัดการวงจรบัตร
  5. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการจัดการวงจรบัตร
    1. การออกบัตร
    2. การเปิดใช้งาน
    3. การใช้งาน
    4. การต่ออายุและการเปลี่ยนบัตรใหม่
    5. วันหมดอายุและการปิดใช้งาน

การจัดการวงจรบัตรคือการจัดการบัตรชําระเงินตั้งแต่การออกบัตรไปจนถึงการปิดใช้งาน ซึ่งรวมถึงการสร้างและปรับแต่งบัตร แจกจ่าย และตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย การต่ออายุ การออกบัตร และการเปลี่ยนบัตรใหม่หรือวันหมดอายุในท้ายที่สุด การจัดการที่มีประสิทธิภาพช่วยให้มั่นใจได้ว่าบัตรที่ใช้งานจะยังมีความปลอดภัย ทํางานได้ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ส่วนนี้จะช่วยให้ธุรกิจรักษาความพึงพอใจของลูกค้า ตลอดจนลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงได้ด้วย

การจัดการวงจรบัตรมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น โดยจำนวนบัตรชำระเงินที่ใช้หมุนเวียนทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากกว่า 26,700 ล้านใบ ในปี 2023 เป็นเกือบ 30,000 ล้านใบในปี 2028 ด้านล่างนี้เราจะอธิบายเกี่ยวกับการทํางานของการจัดการวงจรบัตร ซึ่งก็คือขั้นตอนต่างๆ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และความท้าทายที่ธุรกิจอาจพบเจอ

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ทําไมการจัดการวงจรบัตรจึงเป็นสิ่งสําคัญ
  • ขั้นตอนของวงจรบัตร
  • ความท้าทายและความเสี่ยงในการจัดการวงจรบัตร
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการจัดการวงจรบัตร

ทําไมการจัดการวงจรบัตรที่มีประสิทธิภาพจึงสําคัญอย่างยิ่ง

การจัดการวงจรบัตรอาจส่งผลต่อการเก็บบันทึก การป้องกันการฉ้อโกง และการปฏิบัติตามข้อกําหนด นี่คือเหตุผลว่าทําไมการจัดการวงจรจึงมีความสําคัญ:

  • การควบคุมและการมองเห็นข้อมูลทางการเงิน: การจัดการวงจรการใช้บัตรชําระเงินจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ควบคุมธุรกรรมทางการเงินของตนได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงการติดตามการออก ใช้ และวันหมดอายุของบัตร รวมถึงการติดตามตรวจสอบกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง การจัดการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าธุรกรรมบัตรนั้นถูกต้องและได้รับอนุญาต ซึ่งช่วยรักษาข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและลดความเสี่ยงที่จะเกิดการสูญเสียทางการเงิน

  • การลดความเสี่ยง: การจัดการวงจรบัตรเป็นส่วนสําคัญของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในวงกว้างของบริษัท การกํากับดูแลตลอดอายุการใช้งานของบัตรจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ อัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ไม่ว่าธุรกิจจะนําเทคโนโลยีที่มีชิปมาใช้ เปิดใช้หรือปิดใช้บัตร หรือรับมือกับกิจกรรมที่สงสัยว่าเป็นการฉ้อโกงได้อย่างรวดเร็ว การดําเนินการเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการละเมิดข้อมูลและธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้เป็นอย่างมาก

  • ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน: การออกบัตรและกระบวนการยกเลิกบัตรที่มีประสิทธิภาพอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงานได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อพนักงานออกจากบริษัท การปิดใช้งานบัตรของบริษัททันทีจะช่วยป้องกันการซื้อที่ไม่ได้รับอนุญาตและทําให้การกระทบยอดบัญชีง่ายขึ้นได้ การสร้างขั้นตอนอัตโนมัติให้กับกระบวนการจัดการบัตร เช่น การต่ออายุและการปรับเปลี่ยนวงเงิน อาจทําให้เจ้าหน้าที่มีเวลาไปทํางานด้านกลยุทธ์มากขึ้นได้

  • ประสบการณ์ของลูกค้า: สําหรับธุรกิจด้านการออกบัตร เช่น ธนาคารหรือผู้ค้าปลีก การจัดการวงจรที่มีประสิทธิภาพจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าได้ ด้วยการประมวลผลการต่ออายุบัตร แม่นยํา การเปลี่ยนแปลงวงเงิน และการเปลี่ยนบัตรใหม่ที่รวดเร็วและถูกต้อง การจัดการกระบวนการเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยสร้างความไว้วางใจและกระตุ้นให้เกิดความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนด: อุตสาหกรรมและภูมิภาคต่างๆ มีกฎระเบียบที่กํากับดูแลการออกบัตรและการใช้บัตรที่แตกต่างกันไป รวมถึงกฎหมายคุ้มครองข้อมูลและมาตรฐานการรายงานทางการเงิน การจัดการที่เหมาะสมช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้อยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านกฎหมายและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น

ขั้นตอนของวงจรบัตร

บัตรชําระเงินจะดําเนินไปหลายระยะก่อนที่จะปิดใช้งานในท้ายที่สุด ลองดูแต่ละขั้นตอนในแต่ระยะให้ละเอียดยิ่งขึ้น

การออกบัตร

ธุรกิจจะสร้างบัตรและออกบัตรให้แก่เจ้าของบัตร อันดับแรก ลูกค้าจะส่งใบสมัครที่ได้รับการตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนและประเมินความน่าเชื่อถือทางเครดิตของลูกค้าหรือสิทธิ์ใช้งานตามประเภทบัตร (เช่น เครดิต เดบิต ชําระเงินล่วงหน้า) เมื่อธุรกิจอนุมัติการสมัครแล้ว ระบบจะปรับแต่งบัตรให้เหมาะกับบุคคลนั้น โดยการพิมพ์รายละเอียดส่วนบุคคล เข้ารหัสข้อมูลบนแถบแม่เหล็ก และฝังชิป (ถ้ามี) จากนั้นบริษัทจะจัดส่งบัตรไปให้เจ้าของบัตรอย่างปลอดภัทางไปรษณีย์ โดยมักจะส่งคำแนะนําในการเปิดใช้งานไปด้วย

สิ่งที่ควรจดจําในขั้นตอนนี้

  • รู้จักลูกค้าของคุณ (KYC): ยืนยันตัวตนของผู้ขอรับบริการอย่างละเอียดและประเมินระดับความเสี่ยงเพื่อป้องกันการฉ้อโกงตามแนวทาง KYC

  • การตรวจสอบเครดิต: ประเมินความน่าเชื่อถือทางเครดิตเพื่อกําหนดวงเงินและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม

  • การตรวจจับการฉ้อโกง: ใช้การวิเคราะห์ขั้นสูงและแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อระบุรูปแบบการใช้งานที่น่าสงสัย

  • การปรับแต่งบัตร: ตรวจสอบว่าข้อมูลเจ้าของบัตรถูกต้องและการสร้างแบรนด์สอดคล้องกันเพื่อประสบการณ์ของลูกค้าในทางบวก

  • การจัดส่งที่ปลอดภัย: ปกป้องรายละเอียดของบัตรที่ละเอียดอ่อนขณะที่บัตรอยู่ระหว่างการจัดส่งเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • กระบวนการเริ่มต้นใช้งานทางดิจิทัล: ใช้กระบวนการสมัครออนไลน์ที่เรียบง่ายและง่ายดายเพื่อเร่งกระบวนการออกบัตร

  • การออกบัตรทันที: มอบสิทธิ์เข้าถึงบัตรดิจิทัลหรือบัตรจริงที่เข้าถึงได้ทันทีเพื่อความพึงพอใจของลูกค้าที่รวดเร็วขึ้น

  • โปรแกรมบัตรหลายระดับ: มอบตัวเลือกบัตรหลากหลายรูปแบบที่มีฟีเจอร์ที่แตกต่างเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า

การเปิดใช้งาน

การเปิดใช้งานเป็นการยืนยันว่าบุคคลที่ถูกต้องได้รับบัตรแล้วก่อนการใช้งาน ปกติแล้ว ขั้นตอนนี้กําหนดให้เจ้าของบัตรต้องยืนยันการรับและยืนยันตัวตน ซึ่งปกติแล้วจะดําเนินการผ่านการโทรศัพท์ แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือระบบธนาคารออนไลน์ การเปิดใช้งานบัตรจะช่วยปกป้องจากการฉ้อโกง โดยการตรวจสอบว่าบัตรไม่ได้ถูกดักจับและนำไปใช้โดยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้รับที่ตั้งใจไว้

เราลองมาดูระยะนี้กัน:

  • การตรวจสอบสิทธิ์: ยืนยันตัวตนของเจ้าของบัตรก่อนเปิดใช้งานเพื่อความปลอดภัย

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้: แจ้งขั้นตอนเปิดใช้งานอย่างชัดเจนผ่านหลายช่องทาง (เช่น การส่งข้อความ อีเมล แอป) ทําให้กระบวนการเปิดใช้งานเป็นเรื่องง่ายและใช้งานง่าย

  • การป้องกันการฉ้อโกง: ตรวจสอบการพยายามเปิดใช้งานจากกิจกรรมที่ผิดปกติหรือการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น

  • การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย: ต้องดําเนินการยืนยันเพิ่มเติม (เช่น รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว ไบโอเมตริก) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

  • การเปิดใช้งานแบบบริการตัวเอง: ให้ลูกค้าเปิดใช้งานบัตรอย่างอิสระผ่านพอร์ทัลออนไลน์หรือแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

  • การแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์: แจ้งให้ลูกค้าทราบถึงการเปิดใช้งานที่สําเร็จ รวมถึงการดําเนินการยืนยันที่น่าสงสัย

การใช้งาน

เจ้าของบัตรใช้บัตรทําธุรกรรม การใช้งานเหล่านี้อาจรวมถึงการซื้อ การถอนเงิน และการชําระเงินออนไลน์ ตลอดช่วงนี้ บริษัทผู้ออกบัตรจะตรวจสอบธุรกรรมเพื่อหาสัญญาณกิจกรรมที่ผิดปกติหรือน่าสงสัย เช่น ปริมาณธุรกรรมสูงในระยะเวลาสั้นๆ และธุรกรรมในสถานที่ที่คาดไม่ถึง ฟีเจอร์ความปลอดภัย เช่น รหัส PIN หมายเลขการยืนยันบัตร (CVV) และรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวจะช่วยปกป้องธุรกรรมต่างๆ

ระหว่างการใช้งานตามปกติ ควรพิจารณาดังต่อไปนี้

  • การติดตามตรวจสอบธุรกรรม: ติดตามรูปแบบการใช้จ่ายเพื่อตรวจจับการฉ้อโกง การใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือกิจกรรมที่ผิดปกติ

  • การจัดการวงเงิน: ตรวจสอบให้มั่นใจว่าเจ้าของบัตรอยู่ใช้จ่ายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติเพื่อลดความเสี่ยง ปรับวงเงินเครดิตแบบไดนามิกโดยปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายและความเสี่ยงให้สมดุล

  • การยุติการโต้แย้งการชําระเงิน: ใช้กระบวนการที่มีประสิทธิภาพเพื่อจัดการกับการโต้แย้งการชําระเงิน ธุรกรรม และการดึงเงินคืน ให้ลูกค้ารายงานและติดตามการโต้แย้งการชําระเงินทางออนไลน์หรือผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

  • การมีส่วนร่วมของลูกค้า: เสนอโปรแกรมเครดิตสะสมและคําแนะนําส่วนบุคคลและใช้การสื่อสารเชิงรุกเพื่อเพิ่มการใช้งาน

  • การแจ้งเตือนการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์: แจ้งให้เจ้าของบัตรทราบเกี่ยวกับธุรกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกงทันที

การต่ออายุและการเปลี่ยนบัตรใหม่

การต่ออายุบัตรและการเปลี่ยนบัตรใหม่เกิดขึ้นเมื่อบัตรหมดอายุหรือในกรณีที่บัตรเกิดการสูญหาย ถูกขโมย หรือได้รับความเสียหาย โดยปกติการต่ออายุจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเนื่องจากใกล้ถึงวันหมดอายุ แล้ว ธนาคารที่ออกบัตรจะส่งบัตรใบใหม่พร้อมฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยที่อัปเดตใหม่ และระยะเวลาการใช้งานที่นานขึ้น บริษัทผู้ออกบัตรจะส่งบัตรใบใหม่ภายใต้บัญชีที่มีอยู่แทนในกรณีที่บัตรใบเดิมถูกเจาะข้อมูลหรือใช้งานไม่ได้แล้ว ขั้นตอนนี้ต้องดําเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อปิดใช้งานบัตรใบเก่าอย่างปลอดภัยเมื่อมีการเปิดใช้งานบัตรใบใหม่

นี่คือองค์ประกอบบางอย่างที่ควรพิจารณา:

  • การต่ออายุเชิงรุก: ส่งบัตรใหม่ให้กับลูกค้าที่มีสิทธิ์ก่อนหมดอายุเพื่อใช้บริการได้อย่างไม่หยุดชะงัก

  • การจัดการบัตรสูญหายหรือถูกขโมย: ปิดใช้งานบัตรที่สูญหายหรือถูกขโมยและออกบัตรใหม่ได้อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการฉ้อโกง จัดหาผลิตภัณฑ์ทดแทนแบบดิจิทัลและบัตรใบจริงทันที

  • ตัวเลือกการอัปเกรดหรือดาวน์เกรด: มอบความยืดหยุ่นให้เจ้าของบัตรโดยสามารถเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บัตรเมื่อต้องการ แนะนําการอัปเกรดบัตรที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้าตามข้อมูลการใช้งาน

  • การรักษาความปลอดภัยข้อมูล: จัดการข้อมูลเจ้าของบัตรอย่างปลอดภัยระหว่างการต่ออายุและเปลี่ยนบัตรใหม่ ใช้การเข้ารหัสและการแปลงเป็นโทเค็นเพื่อปกป้องข้อมูลของเจ้าของบัตรที่ละเอียดอ่อน

วันหมดอายุและการปิดใช้งาน

บัตรมีวันหมดอายุ ดังนั้นจึงใช้ไม่ได้ตลอดไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการสึกหรอและความล้าสมัยทางเทคโนโลยี เมื่อบัตรหมดอายุเจ้าของบัตรจะใช้บัตรดังกล่าวทําธุรกรรมไม่ได้และจะต้องปิดใช้งานบัตรนั้น ในการดำเนินการดังกล่าว เจ้าของบัตรจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำในการทำลายบัตรที่หมดอายุ เพื่อป้องกันการใช้งานที่เป็นการฉ้อโกง การปิดใช้งานยังรวมถึงการลบรายละเอียดของบัตรออกจากไฟล์ที่ใช้งานอยู่ รวมถึงการปิดหรือโอนบริการที่ลิงก์ทั้งหมดไปยังบัตรใหม่ด้วย

ขั้นตอนการหมดอายุและการปิดใช้งานยังรวมถึงสิ่งต่อไปนี้ด้วย

  • ระยะผ่อนผัน: แจ้งให้ลูกค้าทราบถึงวันหมดอายุที่ใกล้ครบกําหนดและตัวเลือกการต่ออายุล่วงหน้า จัดสรรเวลาที่เหมาะสมให้แก่เจ้าของบัตรในการเปลี่ยนไปใช้บัตรใหม่หรืออัปเดตวิธีการชำระเงิน

  • การปิดบัญชี: จัดการคําขอปิดบัญชีอย่างเหมาะสมและตรวจสอบว่ามีการชําระยอดค้างชําระทั้งหมดแล้ว มอบตัวเลือกสำหรับการปิดบัญชีบัตรที่สะดวกทั้งทางออนไลน์หรือในสถานที่

  • การเก็บรักษาข้อมูล: ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับด้านการเก็บรักษาข้อมูลและกําจัดข้อมูลเจ้าของบัตรอย่างปลอดภัย ใช้วิธีการทําลายข้อมูลที่ผ่านการรับรองเพื่อกําจัดข้อมูลที่ละเอียดอ่อน

  • การป้องกันการฉ้อโกง: ติดตามตรวจสอบบัญชีที่ถูกปิดใช้งานเพื่อดูการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือกิจกรรมที่น่าสงสัย

ความท้าทายและความเสี่ยงในการจัดการวงจรบัตร

การจัดการวงจรบัตรมีความเสี่ยงและความท้าทายบางประการ เช่น

  • การจัดการการฉ้อโกง: เมื่อบัตรเลยอายุการใช้งานไปแล้ว ความเสี่ยงต่อกิจกรรมฉ้อโกงก็อาจเพิ่มขึ้น สถาบันการเงินต้องปรับปรุงกลยุทธ์ตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงอยู่เสมอเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามใหม่ๆ เช่น การผลิตบัตรลอกเลียนแบบ การฉ้อโกงทางออนไลน์ และการใช้งานบัตรที่สูญหายหรือถูกขโมยในทางที่ผิด

  • การผสานการทํางาน: การอัปเดตเทคโนโลยีแต่ละครั้งจะต้องผสานการทำงานกับระบบบัตรที่มีอยู่ได้อย่างง่ายดายเพื่อรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรม ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ชิป EMV (Europay, Mastercard และ Visa) ฟังก์ชันแบบไร้สัมผัส หรือตัวเลือกการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่

  • การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: การจัดการบัตรต้องเป็นไปตามข้อกําหนดทางกฎหมาย เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค (GDPR) และระเบียบข้อบังคับของธนาคารท้องถิ่น การไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดอาจส่งผลให้ต้องเสียค่าปรับจํานวนมากและความเสียหายต่อชื่อเสียง

  • กระบวนการออกบัตรและการต่ออายุบัตร: ความล่าช้าหรือข้อผิดพลาดในการออก การต่ออายุ และการเปลี่ยนบัตรอาจทําให้ลูกค้าไม่พึงพอใจและทำให้การดำเนินงานช้าลง ผู้ออกบัตรควรส่งบัตรใบใหม่ให้ลูกค้าก่อนบัตรใบเก่าจะหมดอายุ และเปลี่ยนบัตรที่สูญหายหรือถูกขโมยอย่างรวดเร็ว

  • การจัดการประสบการณ์ของลูกค้า: ต้องมีการจัดการประสบการณ์ของลูกค้าตลอดวงจร ซึ่งรวมถึงการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับฟีเจอร์ของบัตร การใช้งาน และสิทธิประโยชน์ รวมถึงการสนับสนุนลูกค้าสําหรับปัญหาที่เกิดขึ้น ประสบการณ์ที่ไม่ดีของลูกค้าอาจส่งผลให้มีอัตราการเลิกใช้ที่สูงขึ้น

  • การรักษาความปลอดภัยข้อมูล: สถาบันต่างๆ ต้องรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้าตลอดวงจรของบัตร การละเมิดใดๆ สามารถนําไปสู่การสูญเสียทางการเงินจํานวนมากและชื่อเสียง แนวทางการเข้ารหัสที่รัดกุม วิธีการตรวจสอบสิทธิ์ที่ปลอดภัย และการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องสามารถป้องกันภัยคุกคามความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้

  • การจัดการต้นทุน: สถาบันต้องจัดการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตบัตร การอัปเกรดเทคโนโลยี การป้องกันการฉ้อโกง และการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ นอกจากนี้ยังต้องสร้างความสมดุลระหว่างความจําเป็นในการนําเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีการแข่งขันโดยไม่ลดทอนคุณภาพหรือความปลอดภัย

  • ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์: ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ผลิตภัณฑ์บัตรต้องมีความโดดเด่นเฉพาะตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ซึ่งอาจต้องมีการวิจัยตลาดอย่างต่อเนื่อง และความพยายามในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ก้าวล้ำหน้าคู่แข่ง

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการจัดการวงจรบัตร

ต่อไปนี้คือตัวอย่างแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ธุรกิจพึงระลึกไว้สําหรับกลยุทธ์การจัดการวงจรบัตรในแต่ละขั้นตอน

การออกบัตร

  • ไบโอเมตริกเชิงพฤติกรรม: รวมการวิเคราะห์พฤติกรรมในระหว่างขั้นตอนการสมัครเพื่อระบุความผิดปกติและผู้กระทำการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น

  • ข้อมูลทางเลือก: ใช้แหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม เช่น โซเชียลมีเดียและบิลค่าสาธารณูปโภค เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือทางสินเชื่อและปฏิบัติตามข้อกำหนด KYC ได้ดีขึ้น

  • การยืนยันตัวตนทางดิจิทัล: ใช้เครื่องมือการยืนยันตัวตนขั้นสูง เช่น การจดจําใบหน้าและการสแกนเอกสาร เพื่อให้การเริ่มต้นใช้งานง่ายขึ้นและป้องกันการฉ้อโกง

  • การวิเคราะห์แบบคาดการณ์: ใช้การสร้างแบบจำลองข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสินเชื่อและระบุผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าที่มีมูลค่าสูง

การเปิดใช้งาน

  • การเปิดใช้งานภายในเวลา: อนุญาตให้เจ้าของบัตรเปิดใช้งานบัตรเฉพาะเมื่อจำเป็นเพื่อลดโอกาสการเกิดการฉ้อโกง

  • การเปิดใช้งานในรูปแบบของเกม: ทำให้กระบวนการเปิดใช้งานน่าสนใจและคุ้มค่าเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า

  • การตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยง: ปรับข้อกำหนดการตรวจสอบสิทธิ์แบบไดนามิกตามระดับความเสี่ยงที่รับรู้ โดยดูจากความพยายามเปิดใช้งาน

การใช้งาน

  • ระบบตรวจจับการฉ้อโกงที่ขับเคลื่อนด้วยแมชชีนเลิร์นนิง: ปรับโมเดลการตรวจจับการฉ้อโกงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับกลยุทธ์การฉ้อโกงที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

  • การวิเคราะห์การใช้จ่ายตามบริบท: พิจารณาบริบทของธุรกรรม (เช่น ตําแหน่งที่ตั้ง เวลา ประเภทผู้ค้า) เพื่อเพิ่มความแม่นยําในการตรวจจับการฉ้อโกง

  • ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้จ่ายเฉพาะบุคคล: ให้ข้อมูลวิเคราะห์การใช้จ่ายโดยละเอียดแก่เจ้าของบัตรเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการเงินและการใช้บัตรอย่างรับผิดชอบ

  • การจัดการการโต้แย้งการชําระเงินในเชิงรุก: ใช้การวิเคราะห์การคาดการณ์เพื่อระบุการโต้แย้งการชําระเงินที่อาจเกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาดังกล่าวในเชิงรุก

การต่ออายุและการเปลี่ยนบัตรใหม่

  • การจัดสรรบัตรแบบไร้สัมผัส: อนุญาตให้เจ้าของบัตรเปิดใช้งานบัตรใบใหม่โดยใช้เทคโนโลยีแบบไร้สัมผัสเพื่อความสะดวกสบาย

  • ความปลอดภัยของบัตรไบโอเมตริก: ใช้ลายนิ้วมือหรือการจดจําใบหน้าเพื่อทําการตรวจสอบสิทธิ์บัตรเพื่อเพิ่มการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง

  • โปรแกรมรีไซเคิลบัตร: โปรโมตแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยตัวเลือกการรีไซเคิลบัตร

  • การจัดการบัตรดิจิทัล: เปิดโอกาสให้เจ้าของบัตรจัดการฟีเจอร์และการตั้งค่าบัตรผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือพอร์ทัลออนไลน์

วันหมดอายุและการปิดใช้งาน

  • การย้ายข้อมูลบัญชี: นําเสนอตัวเลือกการเปลี่ยนผ่านเพื่อให้เจ้าของบัตรอัปเกรดหรือเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้เมื่อบัตรหมดอายุ

  • ไม่ระบุตัวตนของข้อมูล: ใช้เทคนิคการป้องกันตัวตนของข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวไปพร้อมๆ กับการเก็บรักษาข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า

  • การติดตามตรวจสอบการฉ้อโกงหลังปิดใช้งาน: ติดตามตรวจสอบบัญชีที่ปิดใช้งานอยู่ในช่วงเวลาที่กําหนดเพื่อตรวจจับกิจกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้