การรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับกิจการเจ้าของคนเดียวในสวีเดน: วิธีการยื่น การหักภาษี และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด

Tax
Tax

Stripe Tax จะทำให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลกเป็นไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อให้คุณไปมุ่งเน้นกับการขยายธุรกิจ โดยจะระบุภาระหน้าที่ทางภาษีของคุณ จัดการการจดทะเบียน คำนวณและเรียกเก็บภาษีด้วยจำนวนที่ถูกต้องทั่วโลก และช่วยในการยื่นภาษี ทั้งหมดนี้ทำได้ในที่เดียว

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ภาระหน้าที่ในการรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับกิจการเจ้าของคนเดียวในสวีเดนมีอะไรบ้าง
    1. เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายในอัตราที่ถูกต้อง
    2. เก็บบันทึกเป็นเวลาอย่างน้อย 7 ปี
    3. ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มตามกำหนดเวลาที่ถูกต้อง
    4. ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มหรือขอคืนเงิน
  3. กิจการเจ้าของคนเดียวจะเตรียมแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร
  4. ช่องภาษีมูลค่าเพิ่มไหนที่ใช้กับกิจการเจ้าของคนเดียว
    1. ส่วน A (การขายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม)
    2. ส่วน B (ภาษีขายซึ่งมาจากยอดขายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม)
    3. ส่วน C ( การซื้อที่มีการเรียกเก็บเงินปรับคืน)
    4. ส่วน D (ภาษีขายจากรายการซื้อที่มีการเรียกเก็บเงินปรับคืน)
    5. ส่วน E (ยอดขายที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม)
    6. ส่วน F (ภาษีซื้อ)
    7. ส่วน G (ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชําระหรือรับคืน)
  5. ภาษีซื้อที่หักลดหย่อนได้สําหรับกิจการเจ้าของคนเดียวมีอะไรบ้าง
    1. ค่าใช้จ่ายที่หักลดหย่อนได้
    2. ค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถหักลดหย่อนได้

การรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินกิจการเจ้าของคนเดียวในสวีเดน ซึ่งอาจเสี่ยงต่อข้อผิดพลาดได้ โดยข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดเกิดจากการไม่ทราบว่า Skatteverket (สํานักงานภาษีของสวีเดน) ต้องการอะไรหรือคิดว่าช่องบางช่อง การหักลดหย่อน หรือใบแจ้งหนี้บางรายการไม่สำคัญ ด้านล่างนี้เป็นแนวทางหลักการรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับกิจการเจ้าของคนเดียวและวิธีการทำให้ถูกต้อง

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ภาระหน้าที่ในการรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับกิจการเจ้าของคนเดียวในสวีเดนมีอะไรบ้าง
  • กิจการเจ้าของคนเดียวจะเตรียมแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร
  • ช่องในแบบภาษีมูลค่าเพิ่มช่องไหนใช้กับกิจการเจ้าของคนเดียวบ้าง
  • ภาษีซื้อของกิจการเจ้าของคนเดียวที่หักลดหย่อนได้มีอะไรบ้าง

ภาระหน้าที่ในการรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับกิจการเจ้าของคนเดียวในสวีเดนมีอะไรบ้าง

หากคุณทำกิจการเจ้าของคนเดียวในสวีเดน การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งที่ต้องทำถ้าคุณมียอดขายต่อปีเกิน 120,000 โครนาสวีเดน (SEK) กิจการผู้ค้าคนเดียวที่มียอดขายต่ำกว่านั้นก็ยังต้องจดทะเบียนในบางกรณี รวมทั้งในกรณีที่ขายบริการให้กับประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรปหรือซื้อสินค้าจากประเทศเหล่านั้นในมูลค่ามากกว่า 90,000 โครนาสวีเดนในหนึ่งปี

การจดทะเบียนกรณีที่ยอดขายต่ำกว่าเกณฑ์ 120,000 โครนาสวีเดนเป็นทางเลือก คุณไม่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่คุณก็จะไม่สามารถหักภาษีจากค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ (ภาษีซื้อ) ได้เช่นกัน เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหลายรายเลือกที่จะจดทะเบียนแม้ว่ามียอดขายต่ำกว่าเกณฑ์เพื่อที่จะขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้

เมื่อคุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สิ่งที่คุณต้องทำมีดังนี้:

เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายในอัตราที่ถูกต้อง

สินค้าและบริการส่วนใหญ่จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรฐานที่ 25% โดยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 12% เป็นอัตราลดสำหรับการขายสินค้าบางอย่าง รวมถึงอาหาร อาหารที่รับประทานในร้านอาหาร และที่พักในโรงแรม นอกจากนี้ยังมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 6% สำหรับสิ่งต่างๆ เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ และกิจกรรมกีฬา

ใบแจ้งหนี้จะต้องแสดงอัตราและจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างชัดเจน พร้อมกับหมายเลขทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

เก็บบันทึกเป็นเวลาอย่างน้อย 7 ปี

คุณต้องจ้ดทำบันทึกสำหรับติดตามภาษีขาย (การเรียกเก็บเงินจากลูกค้า) และภาษีซื้อ (ภาษีที่คุณชำระจากการซื้อ) ให้ถูกต้องโดยใช้เอกสารต่างๆ เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน และแบบฟอร์มศุลกากร โดย Skatteverket กำหนดให้คุณเก็บเอกสารนี้ไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 7 ปี ซึ่งคุณจะต้องใช้เอกสารนี้หากมีการตรวจสอบ

ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มตามกำหนดเวลาที่ถูกต้อง

เมื่อจดทะเบียนแล้ว คุณต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มในทุกรอบการรายงาน แม้ว่าคุณจะไม่ได้ออกใบแจ้งหนี้ในรอบใดรอบหนึ่ง คุณก็ยังต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มโดยรายงานภาษีขายว่าเป็นศูนย์

ความถี่ในการรายงานขึ้นอยู่กับยอดขายของคุณ:

  • การรายงานแบบรายปีจะทำในกรณีที่ยอดขายของคุณน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ล้านโครนาสวีเดน หากธุรกิจของคุณไม่จำเป็นต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ หรือหากกิจการของคุณทำการค้ากับประเทศอื่นในสหภาพยุโรป วันครบกำหนดยื่นภาษีคือวันที่ 26 ของเดือนที่สองหลังจากสิ้นสุดปีภาษี หากธุรกิจของคุณยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้และไม่ได้ทำการค้ากับประเทศในสหภาพยุโรป วันครบกำหนดยื่นภาษีคือวันที่ 12 พฤษภาคมของปีถัดจากปีภาษี

  • การรายงานรายไตรมาสจะทำเมื่อยอดขายน้อยกว่าหรือเท่ากับ 40 ล้านโครนาสวีเดน โดยปกติวันครบกำหนดจะเป็นวันที่ 12 ของเดือนที่ 2 หลังจากแต่ละไตรมาสสิ้นสุดลง

  • ต้องมีการรายงานรายเดือนหากยอดขายเกิน 40 ล้านโครนาสวีเดน วันครบกำหนดคือวันที่ 26 ของเดือนถัดไป ยกเว้นเดือนธันวาคมที่การยื่นแบบแสดงรายการภาษีครบกำหนดวันที่ 27 มกราคม

  • ธุรกิจที่ยังไม่เกินเกณฑ์ 40 ล้านสกุลโครนาสวีเดนสามารถเลือกรายงานรายเดือนได้หากต้องการการกระทบยอดบ่อยขึ้น โดยปกติแล้ววันครบกำหนดจะเป็นวันที่ 12 ของเดือนที่สองหลังจากรอบที่รายงาน ยกเว้นเดือนมกราคมและเดือนสิงหาคมที่กำหนดในรายงานภายในวันที่ 17

ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มหรือขอคืนเงิน

ในแต่ละรอบการรายงาน คุณจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณต้องชำระ (หากภาษีขายสูงกว่าภาษีซื้อ) หรือรับเงินคืน (หากภาษีซื้อสูงกว่า) โดยคุณสามารถชำระเงินออนไลน์ผ่านบริการภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ (ให้บริการในภาษาอังกฤษและสวีดิช) ทั้งนี้คุณมีหน้าที่ชำระภาษีให้ตรงเวลา

คุณยังคงต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษียอดเป็นศูนย์ (กล่าวคือ เมื่อคุณไม่มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงเวลาดังกล่าว) ให้ตรงเวลาเพื่อไม่ต้องเสียค่าปรับ

กิจการเจ้าของคนเดียวจะเตรียมแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร

การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มในฐานะกิจการเจ้าของคนเดียวต้องมีการเก็บบันทึกอย่างระมัดระวังและจัดเก็บเอกสารเกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจของคุณให้ถูกต้อง ให้ติดตามข้อมูลรายได้และค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึง

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณเรียกเก็บ

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณจ่าย

  • รายการที่ต้องเสียภาษี รายการที่ได้รับการยกเว้น และรายกาที่อยู่ภายใต้กฎพิเศษ (เช่น การนําเข้า บริการในสหภาพยุโรป)

ใช้ซอฟต์แวร์ สเปรดชีต หรือระบบอื่นๆ ที่สามารถแยกย่อยตามหมวดหมู่ภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวจะตรงกับช่องที่คุณต้องกรอกในแบบแสดงรายการภาษี

เมื่อคุณยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้คํานวณยอดรวม 4 รายการในแต่ละรอบรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม:

  • ยอดขายที่ต้องเสียภาษี ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • ภาษีขายที่เรียกเก็บจากการซื้อ แยกตามอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (25%, 12%, 6% หรือ 0% สําหรับการซื้อที่อัตราภาษีเป็นศูนย์หรือได้รับการยกเว้นภาษี)

  • ภาษีขายรวม

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อเพื่อธุรกิจที่หักลดหย่อนได้

หากคุณใช้วิธีการทําบัญชีแบบเกณฑ์เงินสด ให้รายงานยอดขายและยอดซื้อในแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มโดยอ้างอิงจากวันที่ชำระเงิน หากคุณใช้วิธีการทําบัญชีแบบเกณฑ์คงค้าง ให้รายงานตามวันที่ใบแจ้งหนี้ หากคุณซื้อสินค้าหรือบริการจากนอกสวีเดนที่เป็นธุรกรรมที่มีการเรียกเก็บเงินปรับคืน ให้รายงานเสมือนว่าเป็นธุรกรรมที่คุณเป็นทั้งลูกค้าและผู้ขาย (ลงภาษีขายและภาษีซื้อในการยื่นเดียวกัน)

ก่อนที่จะส่ง โปรดตรวจสอบทุกอย่างอีกครั้ง

  • ยอดภาษีมูลค่าเพิ่มของคุณตรงกับใบแจ้งหนี้หรือไม่

  • คุณแยกภาษีขายตามอัตราที่ถูกต้องหรือไม่

  • คุณขอภาษีคืนมูลค่าเพิ่มกับรายการซื้อที่เข้าเกณฑ์หรือไม่

  • คุณจัดการการซื้อข้ามพรมแดนหรือการซื้อกรณีพิเศษทั้งหมดอย่างถูกต้องหรือไม่

เมื่อคุณแน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้องแล้ว ให้ส่งแบบแสดงรายการภาษี หากคุณมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ ให้ชําระภายในวันครบกําหนด ให้การยื่นแบบแม้ว่าคุณจะไม่มียอดขายหรือค่าใช้จ่ายใดๆ เลย โดยกรอก “0” ในช่องที่เหมาะสม เนื่องจาก Skatteverket ไม่มีการยกเว้นบทลงโทษในกรณีที่ธุรกิจของคุณไม่มีกิจกรรมในรอบดังกล่าว

คุณสามารถยื่นภาษีได้ก่อนกำหนด ซึ่งจะช่วยให้คุณมีเวลามากขึ้นในการจัดการการชําระเงินหากคุณต้องชําระภาษีมูลค่าเพิ่ม

ช่องภาษีมูลค่าเพิ่มไหนที่ใช้กับกิจการเจ้าของคนเดียว

[แบบยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม]((https://skatteverket.se/servicelankar/otherlanguages/inenglishengelska/businessesandemployers/startingandrunningaswedishbusiness/declaringtaxesbusinesses/vat/vatitemsboxbybox.4.3dfca4f410f4fc63c8680004502.html)ของสวีเดนอยู่ในรูปแบบฟอร์มยาวที่แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ที่มีตัวอักษรกำกับและช่องสี่เหลี่ยมต่างๆ ที่มีตัวเลขกำกับ โดยแต่ละช่องแสดงถึงประเภทการขาย การซื้อ หรือยอดภาษีแต่ละอย่าง

ต่อไปนี้คือช่องที่คุณมีแนวโน้มจะใช้ในกิจการแบบผู้ค้าคนเดียวและวิธีกรอกข้อมูล

ส่วน A (การขายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ช่อง 05 (ยอดขายที่ต้องเสียภาษีซึ่งไม่รวมอยู่ในช่องอื่นๆ ด้านล่าง)

รายงานยอดขายทั้งหมดที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของสวีเดน (ไม่รวมยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในช่องอื่นๆ ด้านล่าง ไม่ว่าคุณจะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 25%, 12% หรือ 6% ให้คุณป้อนตัวเลขรายรับรวมก่อนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ส่วน B (ภาษีขายซึ่งมาจากยอดขายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม)

รายงานภาษีมูลค่าเพิ่มจริงที่คุณเรียกเก็บจากยอดขายในส่วน A โดยแบ่งตามอัตรา:

  • ช่อง 10: ภาษีขายในอัตรา 25%

  • ช่อง 11: ภาษีขายในอัตรา 12%

  • ช่อง 12: ภาษี่ขายในอัตรา 6%

หากคุณเรียกเก็บเงินตามอัตรามาตรฐานเพียงอย่างเดียว ก็ใช้แค่ช่อง 10 แค่ช่องเดียว แต่หากคุณเรียกเก็บภาษีหลายหลายอัตรา ให้แยกจํานวนเงินตามนั้น

ส่วน C ( การซื้อที่มีการเรียกเก็บเงินปรับคืน)

หากคุณซื้อสินค้าหรือบริการจากประเทศอื่นหรือซื้อบริการในประเทศบางประเภทที่อยู่ภายใต้กฎการเรียกเก็บเงินปรับคืน (เช่น การก่อสร้าง) คุณจะต้องคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มบวกเข้าไปเองในฐานะลูกค้า

  • ช่อง 20: สินค้าที่ซื้อมาจากประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป

  • ช่อง 21: บริการที่ซื้อมาจากประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป

  • ช่อง 22: บริการที่ซื้อจากนอกสหภาพยุโรป

  • ช่อง 24: บริการที่ซื้อในสวีเดนซึ่งมีการใช้กลไกการเรียกเก็บเงินปรับคืน

ส่วน D (ภาษีขายจากรายการซื้อที่มีการเรียกเก็บเงินปรับคืน)

รายงานอัตราภาษีขายที่เรียกเก็บจากรายการที่มีการเรียกเก็บเงินปรับคืน:

  • ช่อง 30: ภาษีขายในอัตรา 25%

  • ช่อง 31: ภาษีขายในอัตรา 12%

  • ช่อง 32: ภาษีขายในอัตรา 6%

ส่วน E (ยอดขายที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม)

รายงานยอดขายที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ต่อไปนี้คือช่องที่กิจการเจ้าของคนเดียวมักจะต้องใช้:

  • ช่อง 35: สินค้าที่จําหน่ายให้กับธุรกิจในสหภาพยุโรป

  • ช่อง 36: สินค้าที่ส่งออกนอกสหภาพยุโรป

  • ข้อ 39: บริการที่จําหน่ายให้แก่ธุรกิจในสหภาพยุโรป

ส่วน F (ภาษีซื้อ)

ข้อ 48 (ภาษีซื้อที่จะหัก)

รวมภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดจากการซื้อทางธุรกิจที่หักลดหย่อนได้ทั้งหมดของคุณ ซึ่งรวมถึง:

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายภายในประเทศ

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าหรือบริการที่ซื้อจากประเทศในสหภาพยุโรป

รวมเฉพาะการซื้อที่หักลดหย่อนได้เท่านั้น ไม่ใช่ทุกอย่างที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่สามารถใช้ได้

ส่วน G (ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชําระหรือรับคืน)

ช่อง 49 (ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระหรือรับคืน)

นี่คือยอดรวมของยอดจากช่องที่ 10, 11, 12, 30, 31, 32, 60, 61 และ 62 ลบด้วยจํานวนในช่องที่ 48 คุณสามารถใช้ซอฟต์แวร์การทําบัญชีเพื่อให้ได้ยอดรวมที่ถูกต้องได้อัตโนมัติ แต่ควรระมัดระวังไม่ให้มีรายการธุรกรรมที่ซ้ำซ้อนหรือที่ขาดไป หากผลลัพธ์เป็นบวก นั่นจะเป็นยอดที่คุณต้องจ่าย Skatteverket หากผลลัพธ์เป็นลบ นั่นคือยอดที่คุณจะขอรับคืนได้

ภาษีซื้อที่หักลดหย่อนได้สําหรับกิจการเจ้าของคนเดียวมีอะไรบ้าง

เมื่อคุณซื้อสินค้าหรือบริการในธุรกิจและชําระภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าหรือบริการดังกล่าว ปกติคุณสามารถหักภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นในแบบแสดงรายการภาษีได้ โดยภาษีซื้อจะหักลบกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณ เรียกเก็บจากยอดขาย แต่ไม่ใช่ว่าทุกรายการจะสามารถหักได้ ค่าใช้จ่ายบางรายการหักได้เต็มจำนวน แต่บางรายการไม่สามารถหักได้

ค่าใช้จ่ายที่หักลดหย่อนได้

คุณสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากรายการซื้อต่อไปนี้

  • เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมทางธุรกิจที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • บันทึกในใบแจ้งหนี้ที่ถูกต้อง

  • ใช้กับธุรกิจของคุณ (ไม่ใช่การใช้งานส่วนตัว)

การซื้อเหล่านี้มักประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ และวัสดุสิ้นเปลือง

  • อุปกรณ์ที่ใช้ในธุรกิจ (เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ โทรศัพท์)

  • ซอฟต์แวร์, การสมัครใช้บริการต่างๆ และใบอนุญาต

  • บริการโฆษณาและการตลาด

  • บริการวิชาชีพ (เช่น นักบัญชี ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย บริการที่ปรึกษา)

หักภาษีซื้อในรอบเดียวกับที่คุณได้รับใบแจ้งหนี้ (หากทําบัญชีแบบเกณฑ์คงค้าง) หรือเมื่อชําระภาษีมูลค่าเพิ่ม (หากทําบัญชีแบบเกณฑ์เงินสด) โดยไม่จําเป็นต้องรอจนกว่าสินค้าหรือบริการนั้จะถูกใช้หรือจัดส่ง

ค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถหักลดหย่อนได้

ภายใต้ระเบียบข้อบังคับด้านภาษีมูลค่าเพิ่มของสวีเดน คุณไม่สามารถหักภาษีซื้อจากค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลได้ หากสินค้าหรือบริการนั้นมีการใช้ส่วนบุคคลบางส่วน (เช่น โทรศัพท์, อินเทอร์เน็ต) คุณต้องประมาณการว่าส่วนใดเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจและชําระตามสัดส่วน หากคุณไม่สามารถแสดงการแจกแจงที่ชัดเจนได้ คุณจะไม่สามารถหักภาษีมูลค่าเพิ่มได้

ต่อไปนี้คือค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่สามารถหักลดหย่อนได้หรือหักลดหย่อนได้บางส่วน

  • รถยนต์โดยสาร: คุณไม่สามารถหักภาษีซื้อจากการซื้อรถยนต์โดยสาร แม้ว่ายานพาหนะดังกล่าวจะใช้ทําธุรกิจก็ตาม อนุญาตให้หักภาษีได้เฉพาะผู้ขับแท็กซี่ ผู้สอนขับรถ และตัวแทนจําหน่ายรถเท่านั้น

  • การรับรองและของขวัญที่มอบให้ลูกค้า: ค่าใช้จ่ายด้านการรับรองในธุรกิจ (เช่น การรับประทานอาหารค่ำทางธุรกิจ ค่าของขวัญราคาแพง) ไม่สามารถหักลดหย่อนภาษีซื้อหรือภาษีเงินได้ ของขวัญทางธุรกิจสามารถหักลดหย่อนได้บางส่วนแต่ไม่เกิน 300 โครนาสวีเดนต่อคน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ค่าใช้จ่ายเช่น ค่าตั๋วภาพยนตร์และค่ากรีนกอล์ฟสามารถหักได้บางส่วนโดยหักได้ไม่เกิน 180 โครนาสวีเดนต่อคนต่อครั้ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

Skatteverket กำหนดให้แสดงหลักฐานการหักภาษีทุกรายการโดยละเอียด เก็บใบแจ้งหนี้ที่แสดงหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มของซัพพลายเออร์ จํานวนเงินที่เรียกเก็บ และสิ่งที่คุณซื้อ รวมถึงใบเสร็จที่แสดงภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างชัดเจน รวมทั้งบันทึกหรือหมายเหตุที่อธิบายว่าแต่ละรายการมีการใช้งานอย่างไรในธุรกิจของคุณ เก็บการคํานวณสัดส่วนที่ใช้ในธุรกิจสําหรับการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีการใช้ส่วนบุคคลด้วย ในกรณีที่มีการตรวจสอบ คุณจะต้องแสดงให้เห็นว่ารายการหักภาษีมูลค่าเพิ่มที่แสดงในแบบยื่นภาษีเป็นไปเพื่อการใช้งานจริงทางธุรกิจและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Tax

Tax

ช่วยให้คุณทราบพื้นที่ที่ต้องจดทะเบียน เรียกเก็บภาษีในจำนวนที่ถูกต้องได้โดยอัตโนมัติ ตลอดจนเข้าถึงรายงานที่ใช้สำหรับยื่นเงินคืนภาษี

Stripe Docs เกี่ยวกับ Tax

เรียกเก็บภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ GST รวมทั้งสร้างรายงานธุรกรรมทั้งหมดของคุณแบบอัตโนมัติ พร้อมเชื่อมต่อระบบโดยเขียนโค้ดเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องเขียนโค้ดเลย