การตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า: ความหมาย หลักการทำงาน และเหตุผลที่ควรใช้

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าคืออะไรและทำงานอย่างไร
  3. คุณจะระบุคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ได้อย่างไร
    1. รับฟังเสียงจากลูกค้า
    2. เพิ่มการศึกษาเชิงปริมาณ
    3. ให้พฤติกรรมสะท้อนที่สิ่งไม่อาจแสดงผ่านถ้อยคำ
    4. เชื่อมโยงกับทางเลือกอื่น
    5. แบ่งตามสิ่งที่กลุ่มที่แตกต่างกันสนใจ
    6. ปล่อยให้วงจรข้อเสนอแนะดำเนินต่อไป
  4. คุณจะสร้างกลยุทธ์การตั้งราคาตามคุณค่าได้อย่างไร
    1. ทำความเข้าใจลูกค้า
    2. ประมาณความเต็มใจที่จะจ่าย
    3. ผูกราคากับเมตริกชี้วัดคุณค่า
    4. ออกแบบแพ็กเกจที่ตรงกับเส้นโค้งคุณค่า
    5. ตั้งราคาตามคุณค่าไม่ใช่ต้นทุน
    6. ทดสอบ สังเกต และปรับ
    7. บอกเล่าเรื่องราวคุณค่าให้ชัดเจน
  5. การตั้งราคาตามคุณค่าส่งผลต่อการตลาดอย่างไร
    1. ปรับปรุงการสื่อสารของคุณ
    2. แบ่งกลุ่มลูกค้าให้ดีขึ้น
    3. หันไปมุ่งเน้นการให้ข้อมูลความรู้
    4. วางการตั้งราคาเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นแบรนด์
    5. ให้ข้อมูลทางการตลาดที่ดีขึ้น
  6. Stripe ช่วยอะไรได้บ้าง

กลยุทธ์การตั้งราคาส่วนใหญ่เริ่มต้นภายในบริษัทแล้วจึงขยายออกสู่ภายนอก แต่การตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าเริ่มต้นจากคนละฝั่ง โดยวิเคราะห์สิ่งที่ลูกค้าสนใจ ปัญหาที่ลูกค้าพยายามแก้ไข และราคาที่ลูกค้ายินดีจ่ายเพื่อแก้ปัญหานั้น การปรับใช้กลยุทธ์นี้ในการทำงานจริงอาจซับซ้อน แต่ก็สามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าที่มองเห็นเพียงผ่านๆ และจะได้ผลก็ต่อเมื่อบริษัทมีความซื่อสัตย์ อยากรู้อยากเห็น และกระตือรือร้นที่จะปรับเปลี่ยนวิธีจัดโครงสร้าง นำเสนอ และพูดคุยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตน

ด้านล่างนี้ เราจะมาสำรวจกันว่าการตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่ามีหลักการทำงานอย่างไร ต้องใช้อะไรบ้าง และประโยชน์ที่ธุรกิจของคุณจะได้รับ

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าคืออะไรและทำงานอย่างไร
  • คุณจะระบุคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ได้อย่างไร
  • คุณจะสร้างกลยุทธ์การตั้งราคาตามคุณค่าได้อย่างไร
  • การตั้งราคาตามคุณค่าส่งผลต่อการตลาดอย่างไร
  • Stripe ช่วยอะไรได้บ้าง

การตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าคืออะไรและทำงานอย่างไร

การตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าเกี่ยวข้องกับการตั้งราคาตามคุณค่าที่ผลิตภัณฑ์ของคุณมีต่อลูกค้า แทนที่จะอิงตามต้นทุนของคุณหรือราคาที่ลูกค้าต้องจ่ายให้คู่แข่ง เป็นวิธีการที่มุ่งเน้นผลลัพธ์มากกว่าอินพุต

การตั้งราคาด้วยวิธีนี้จะได้ผลดีที่สุดเมื่อคุณนำเสนอสิ่งที่ต่างจากคู่แข่ง หากธุรกิจของคุณสามารถแก้ปัญหาได้ดีกว่าคู่แข่งหรือหากคุณสามารถมอบประสบการณ์ที่ผู้คนให้ความสำคัญอย่างมากได้ คุณค่าของคุณในทรรศนะของลูกค้าจะเพิ่มขึ้น ราคาที่ลูกค้ายินดีจะจ่ายก็เช่นกัน ตัวอย่างเช่น แบรนด์หรูหรือซอฟต์แวร์ที่มีความโดดเด่นซึ่งสร้างคุณค่าที่มีความหมายให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม หากคุณขายสินค้าโภคภัณฑ์ (ผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าสามารถเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์อื่นได้อย่างง่ายดาย) การตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าอาจไม่ได้ผลดีเท่า ผลิตภัณฑ์ของคุณต้องให้มูลค่าเพิ่มที่ชัดเจนและแตกต่างจากเจ้าอื่น

การตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าสามารถช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เรียกเก็บเงินได้มากขึ้น และเพิ่มอัตรากำไร แต่ต้องการข้อเสนอแนะมากขึ้น ตลอดจนการศึกษาและการตัดสินอย่างรอบคอบถี่ถ้วนขึ้น เพราะคุณกำลังตั้งราคาตามข้อที่ว่าคุณเข้าใจลูกค้าได้ดีเพียงใดและคุณมั่นใจมากน้อยเพียงใดว่าคุณสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้

คุณจะระบุคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ได้อย่างไร

โมเดลการตั้งราคาที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าขึ้นอยู่กับสิ่งหนึ่ง นั่นคือการรู้ว่าจริงๆ แล้วลูกค้าของคุณให้ความสำคัญกับอะไรและยินดีจ่ายเท่าใดเพื่อให้ได้สิ่งนั้น วิธีที่จะรู้ได้มีดังนี้

รับฟังเสียงจากลูกค้า

เริ่มต้นด้วยการสนทนาโดยตรง เช่น การสัมภาษณ์ การโทรเพื่อให้การสนับสนุน และแบบสำรวจที่มีคำถามปลายเปิด ถามลูกค้าว่าผลิตภัณฑ์ของคุณช่วยแก้ปัญหาอะไร ลูกค้าจะคิดถึงอะไรมากที่สุดหากหายไป และลูกค้ายินดีจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้อะไรมา เป้าหมายไม่ใช่ปริมาณ แต่เป็นความชัดเจน คุณกำลังพยายามค้นหาปัญหาติดขัดซึ่งคุณแก้ไขได้หรือผลลัพธ์ที่ลูกค้าสนใจมากที่สุด

ไม่ต้องตกใจหากได้ข้อมูลที่เหนือความคาดหมายของคุณ ฟีเจอร์ที่คุณคิดว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมอาจแทบจะไม่ได้ผลเลย และสิ่งที่คุณสร้างขึ้นระหว่างสปรินต์เมื่อปีที่แล้วอาจกลับกลายเป็นสิ่งที่รักษาลูกค้าไว้

เพิ่มการศึกษาเชิงปริมาณ

เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่าลูกค้าให้ความสำคัญกับอะไร ให้วัดออกมาในเชิงปริมาณ ทำแบบสำรวจที่บังคับให้ต้องแลกบางอย่าง (เช่น ฟีเจอร์ A แลกกับสิทธิ์รับการสนับสนุนก่อนใคร ความเร็วแลกกับการปรับแต่ง) การวิเคราะห์องค์ประกอบร่วม (Conjoint Analysis) ซึ่งแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็นชุดคุณลักษณะที่ได้รับการประเมินคุณค่าแยกกัน และแบบสำรวจความอ่อนไหวต่อราคาสามารถช่วยแสดงระดับความเต็มใจที่จะจ่ายของลูกค้าได้ หากวิธีนี้ยุ่งยากเกินกว่าจะปรับใช้ในตอนนี้ แม้แต่การขอข้อเสนอแนะที่มีโครงสร้างเกี่ยวกับแพ็กเกจและระดับการตั้งราคาที่สมมติขึ้นมาก็สามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง

เป้าหมายคือการค้นหารูปแบบที่บอกคุณว่ามีการกระจายคุณค่าอย่างไรและอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนอำนาจการตั้งราคา

ให้พฤติกรรมสะท้อนที่สิ่งไม่อาจแสดงผ่านถ้อยคำ

ข้อมูลการใช้งานจะแสดงให้เห็นว่าลูกค้าทำอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น คุณอาจเรียนรู้ว่า 90% ของลูกค้าไม่เคยแตะแดชบอร์ดการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนของคุณเลย แต่ทุกคนใช้เครื่องมือซิงค์อัตโนมัติทุกวัน คำขอรับการสนับสนุนก็บอกได้เช่นกัน หากมีคนถามเกี่ยวกับฟีเจอร์หนึ่งเสมอ แสดงว่าฟีเจอร์นั้นอาจชวนสับสนหรือเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์

มองหาสัญญาณพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการรักษาลูกค้า การขายต่อยอด หรือความพึงพอใจ สัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณพบคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้

เชื่อมโยงกับทางเลือกอื่น

คุณค่าจะดูสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อประกอบด้วยบริบทเท่านั้น พิจารณาว่าลูกค้าจะใช้อะไรหากไม่มีผลิตภัณฑ์ของคุณ และทางเลือกนั้นจะทำให้ลูกค้าเสียเวลา เงิน ความพยายาม หรือโอกาสอะไรบ้าง คุณค่าของคุณคือความแตกต่างระหว่างสิ่งนั้นกับสิ่งที่คุณมอบให้

ข้อมูลนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) หากซอฟต์แวร์ของคุณลดจำนวนพนักงานลง 1 คนและตำแหน่งนั้นมีค่าใช้จ่าย 70,000 ดอลลาร์สหรัฐ วิธีนี้คือวิธีที่เป็นรูปธรรมในการกำหนดกรอบสิ่งที่การตั้งราคาของคุณต้องสะท้อนให้เห็น

แบ่งตามสิ่งที่กลุ่มที่แตกต่างกันสนใจ

ลูกค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเดียวกันไปหมดทุกคน นี่คือจุดที่อ่อนของโมเดลการตั้งราคาบางโมเดล ตัวอย่างเช่น ผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพอาจใส่ใจในความเร็วและความเรียบง่าย ในขณะที่รองประธานในบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 อาจให้ความสำคัญกับการผสานการทำงาน ข้อตกลงระดับการให้บริการ และ ROI ในระยะยาวมากกว่า

แบ่งกลุ่มฐานลูกค้าของคุณตามโปรไฟล์คุณค่า ตลอดจนขนาดบริษัทหรืออุตสาหกรรม หากมีกลุ่มที่ตัดสินใจซื้อต่างออกไปอย่างชัดเจนตามผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน การตั้งราคาให้ต่างกันอาจได้ผล

ปล่อยให้วงจรข้อเสนอแนะดำเนินต่อไป

สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญในตอนนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญในอีกหนึ่งปีข้างหน้าเสมอไป เมื่อผลิตภัณฑ์ของคุณพัฒนาหรือธุรกิจของลูกค้าเปลี่ยนไป ลำดับความสำคัญในใจลูกค้าก็เช่นกัน สื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำแบบสำรวจประสบการณ์ลูกค้าเป็นประจำด้วยการติดตามผลปลายเปิด ตรวจสอบคำขอรับการสนับสนุน ติดตามแนวโน้มการใช้งาน และดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์

บริษัทที่ตั้งราคาโดยขับเคลื่อนด้วยคุณค่าได้ดีที่สุดจะสร้างระบบเพื่อติดตามเส้นทางคุณค่า ซึ่งสามารถช่วยให้ปรับราคาโดยสอดคล้องกับความเป็นจริงได้

คุณจะสร้างกลยุทธ์การตั้งราคาตามคุณค่าได้อย่างไร

เมื่อคุณทราบสิ่งที่ลูกค้าของคุณให้ความสำคัญและเหตุผลอย่างละเอียดแล้ว ให้ใช้ข้อมูลนั้นเพื่อสร้างโมเดลการตั้งราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับลูกค้าและเหมาะกับธุรกิจของคุณ ซึ่งหมายถึงการตั้งราคาให้สมกับคุณค่าที่ลูกค้ากลุ่มต่างๆ รับรู้ จัดชุดผลิตภัณฑ์ของคุณเพื่อสะท้อนถึงคุณค่านั้น และสร้างโครงสร้างที่สามารถขยายได้ตามต้องการ

วิธีสร้างกลยุทธ์ของคุณมีดังนี้

ทำความเข้าใจลูกค้า

ใช้ทุกวิธีตั้งแต่การสัมภาษณ์และทำแบบสำรวจไปจนถึงดูข้อมูลการใช้งาน เพื่อพิจารณาว่าผลลัพธ์ใดมีความสำคัญต่อกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม ค้นหาสิ่งที่ลูกค้าพยายามทำให้สำเร็จ ปัญหาสำหรับลูกค้า และสิ่งที่ช่วยประหยัดเวลา เงิน หรือความกังวล ตัวอย่างเช่น หากคุณขายระบบอัตโนมัติในเวิร์กโฟลว์ คุณอาจต้องการพิจารณาว่าผู้ซื้อมุ่งเน้นไปที่การประหยัดต้นทุนแรงงาน เร่งการส่งมอบผลลัพธ์ หรือปรับปรุงความแม่นยำกันแน่

ประมาณความเต็มใจที่จะจ่าย

ใช้ข้อมูลที่ศึกษามาเพื่อระบุพื้นฐานและเพดานราคาสำหรับแต่ละกลุ่มลูกค้า ข้อมูลเหล่านี้อาจรวมถึงข้อมูลจากแบบสำรวจ ข้อมูลการขายในอดีต และการคำนวณ ROI คร่าวๆ (เช่น "แผนนี้แทนที่ซอฟต์แวร์ 500 ดอลลาร์ต่อเดือน ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลที่เราจะเรียกเก็บเงิน 200-300 ดอลลาร์") ประมาณการว่าลูกค้าจะจ่ายเท่าใดสำหรับผลลัพธ์ที่ต้องการ และเพิ่มอัตรากำไรให้เพียงพอที่จะทำให้โมเดลอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ผูกราคากับเมตริกชี้วัดคุณค่า

หากเป็นไปได้ ให้เชื่อมโยงการตั้งราคากับเมตริกที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ ปริมาณ ที่นั่ง รายรับ การใช้งาน เป็นต้น หากคุณให้บริการผลิตภัณฑ์ฟินเทค เมตริกนี้อาจเป็นจำนวนธุรกรรม หากคุณมีแพลตฟอร์มการตลาด อาจเป็นผู้ติดต่อหรือแคมเปญ การเชื่อมต่อกับเมตริกชี้วัดคุณค่าที่เฉพาะเจาะจงสามารถช่วยให้การตั้งราคารู้สึกสมเหตุสมผล เมื่อลูกค้าขยายธุรกิจและได้รับคุณค่ามากขึ้น ลูกค้าจะจ่ายเงินมากขึ้น แต่คุณค่าก็มีสัดส่วนเพิ่มตามไปด้วย

ออกแบบแพ็กเกจที่ตรงกับเส้นโค้งคุณค่า

จัดชุดผลิตภัณฑ์ของคุณในลักษณะที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าแต่ละกลุ่มต้องการและยินดีจะจ่าย คุณอาจเสนอแผนเริ่มต้นที่มีราคาไม่สูงนักสำหรับผู้ใช้เดี่ยว แผนระดับโปรพร้อมชุดฟีเจอร์หลักของคุณ และแผนระดับองค์กรที่มีการควบคุมขั้นสูงและการสนับสนุนภาคปฏิบัติ ทุกระดับการตั้งราคาควรให้ความรู้สึกว่าตั้งใจคัดสรรมาสำหรับลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่มีฟีเจอร์ที่ใส่มาให้เต็มเฉยๆ หรือยัดเยียดฟีเจอร์ใดๆ ให้ เป้าหมายคือเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าแผนนี้สร้างขึ้นสำหรับพวกเขา

ตั้งราคาตามคุณค่าไม่ใช่ต้นทุน

คุณควรได้ส่วนแบ่งที่ยุติธรรมจากคุณค่าที่คุณสร้างขึ้น โดยอาจเกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บเงิน 5 หรือ 10 เท่าของต้นทุนต่อหน่วยของคุณหากสมเหตุสมผลกับ ROI ของลูกค้า เพียงตั้งราคาให้สัมพันธ์กับผลประโยชน์ที่แท้จริงและเชื่อถือได้เสมอ หากคุณช่วยใครประหยัดเวลาได้ 50 ชั่วโมงต่อเดือน การเรียกเก็บเงิน 500 ดอลลาร์ต่อเดือนอาจรู้สึกเหมือนเป็นราคาสุดคุ้ม แต่ถ้าคุณเรียกเก็บเงิน 500 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับฟีเจอร์ที่ลูกค้าใช้แค่ไตรมาสละครั้ง ก็อาจมีแรงต่อต้านได้

ทดสอบ สังเกต และปรับ

โมเดลการตั้งราคามักจำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยนหลังจากการเปิดตัว คอยสังเกตพฤติกรรมลูกค้าและรวบรวมข้อเสนอแนะ หากทุกคนเริ่มต้นจากใช้ระดับที่ถูกที่สุด ระดับที่สูงขึ้นของคุณอาจขาดคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ได้ หากลูกค้าเลิกใช้บริการหลังจากถึงขีดจำกัดการใช้งาน เมตริกวัดคุณค่าของคุณอาจไม่ถูกต้องนัก ตั้งราคาเหมือนกับที่คุณทำกับผลิตภัณฑ์ นั่นคือเปิดตัว สังเกต และขัดเกลา

บอกเล่าเรื่องราวคุณค่าให้ชัดเจน

ลูกค้าต้องเชื่อมั่นในการตั้งราคาของคุณ นั่นหมายความว่าหน้าการตั้งราคา ทีมขาย และการตลาดของคุณทั้งหมดจำเป็นต้องสื่อให้เห็นกรณีการใช้งานที่เรียบง่ายและน่าเชื่อถือเพื่อแสดงคุณค่าที่ผู้ซื้อได้รับในแต่ละระดับ

การตั้งราคาตามคุณค่าส่งผลต่อการตลาดอย่างไร

เมื่อคุณตั้งราคาตามคุณค่า กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดทั้งหมดต้องสะท้อนถึงตัวเลือกนั้น กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยวิธีที่คุณพูดถึงผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งส่งผลต่อวิธีที่คุณแบ่งกลุ่มฐานลูกค้า วิธีวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ สิ่งสำคัญในแคมเปญ และวิธีที่คุณวัดว่าอะไรได้ผล การตั้งราคาตามคุณค่าจะพลิกโฉมการตลาดของคุณตั้งแต่ต้น โดยวิธีการมีดังนี้

ปรับปรุงการสื่อสารของคุณ

เว็บไซต์ สื่อประกอบการขาย และขั้นตอนต่างๆ ในกระบวนการเริ่มต้นใช้งานของคุณจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าเหตุใดราคาจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่ สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับ ROI, ปัญหาที่คุณจะแก้ได้ (และค่าใช้จ่ายในการไม่แก้ปัญหา) และสิ่งที่ลูกค้าหลีกเลี่ยงได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ

แบ่งกลุ่มลูกค้าให้ดีขึ้น

กลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันย่อมมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ต่างกัน และการตลาดของคุณต้องสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเช่นนี้ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการในบริษัทที่มีพนักงาน 20 คนไม่ต้องการการควบคุมระดับองค์กร แต่อาจใส่ใจเรื่องความเร็วในกระบวนการเริ่มต้นใช้งานเป็นพิเศษ ในทางกลับกันผู้ซื้อที่เป็นองค์กรใหญ่อาจยอมจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับการรับประกันระยะเวลาให้บริการและการผสานการทำงานแบบกำหนดเอง

ดังนั้นแคมเปญของคุณจึงไม่สามารถครอบคลุมความต้องการได้ทั้งหมด สุดท้ายแล้ว คุณอาจจะต้องมีหน้าแลนดิ้งเพจ กรณีศึกษา และกระบวนวิธีการขายที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่มลูกค้าหลัก งานของคุณอาจจะหนักขึ้น แต่อาจได้ผลดีกว่ามาก

หันไปมุ่งเน้นการให้ข้อมูลความรู้

เมื่อคุณนำด้วยคุณค่า คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณค่านั้นมีลักษณะอย่างไร กล่าวคือต้องสร้างเนื้อหาเพิ่มเติม เช่น เครื่องมือคำนวณ ROI, กรณีศึกษาจากลูกค้า, การสัมมนาผ่านเว็บ และเรื่องราวก่อนและหลังใช้ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลิตภัณฑ์ของคุณมีราคาสูงกว่าบรรทัดฐานในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ จุดนี้เองที่คุณต้องทำการตลาดเนื้อหาอย่างดีที่สุดเพื่อแสดงหลักฐานยืนยันให้ประจักษ์ถึงผลลัพธ์ที่แท้จริงที่ผลิตภัณฑ์ของคุณมอบให้

วางการตั้งราคาเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นแบรนด์

ราคาบอกอะไรได้หลายอย่าง หากคุณเป็นตัวเลือกระดับพรีเมียม เว็บไซต์ ข้อความโฆษณา และการออกแบบของคุณต้องสมกับที่เป็นของผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงกว่าและให้คุณค่ามากกว่า หากคุณวางผลิตภัณฑ์ให้ดูเข้าถึงง่ายและมีราคาย่อมเยา โทนเสียงและภาพของคุณควรสะท้อนให้เห็นอย่างเดียวกัน

การตั้งราคาตามคุณค่าเพิ่มความคาดหวังให้รักษาความสอดคล้องของแบรนด์ ลูกค้ามักจะสังเกตเห็นได้หากราคาที่คุณตั้งกับวิธีที่คุณนำเสนอไม่สัมพันธ์กัน

ให้ข้อมูลทางการตลาดที่ดีขึ้น

การศึกษาข้อมูลการตั้งราคาช่วยให้ฝ่ายการตลาดมีมุมมองที่ชัดเจนขึ้นว่ากลุ่มลูกค้าต่างๆ สนใจอะไร สารแบบใดที่เข้าถึงลูกค้าได้ และลูกค้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับ ROI ข้อมูลเชิงลึกนั้นสามารถช่วยกำหนดการวางตำแหน่ง กระบวนการเริ่มต้นใช้งาน และการจัดลำดับความสำคัญของฟีเจอร์ได้

เมื่อรู้ว่าลูกค้าที่มีมูลค่าสูงสุดของคุณให้ความสำคัญกับอะไร คุณจะไม่ต้องคาดเดาและทำการตลาดตามลูกค้าโดยเฉลี่ยอีก แล้วเริ่มมุ่งชนะใจลูกค้าเหล่านั้นได้

Stripe ช่วยอะไรได้บ้าง

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการการตั้งราคาแบบใดก็ได้ตามที่คุณต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าง่ายๆ ไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน หรือสัญญาที่ตกลงกันทางการขาย เริ่มรับชำระเงินแบบตามแผนล่วงหน้าจากทั่วโลกได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ด หรือสามารถสร้างการผสานการทำงานแบบกำหนดเองโดยใช้อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ได้

Stripe Billing สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้ได้

  • ตั้งราคาแบบยืดหยุ่น: ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้เร็วขึ้นด้วยโมเดลการตั้งราคาที่ยืดหยุ่น ซึ่งมีทั้งแบบตามการใช้งาน แบ่งระดับ ค่าธรรมเนียมคงที่บวกค่าธรรมเนียมส่วนเกิน และอีกมากมาย ทั้งยังรองรับคูปอง การทดลองใช้งานฟรี การแบ่งชำระตามสัดส่วน และส่วนเสริมอีกด้วย
  • ขยายไปทั่วโลก:เพิ่มการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินด้วยการเสนอวิธีการชำระเงินที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้ Stripe รองรับวิธีการชำระเงินในแต่ละประเทศมากกว่า 100 วิธีและสกุลเงินกว่า 135 สกุล
  • เพิ่มรายรับและลดการเลิกใช้บริการ: เพิ่มการหักยอดรายรับและลดการเลิกใช้บริการโดยไม่สมัครใจด้วย Smart Retries และขั้นตอนการทำงานสำหรับการกู้คืนโดยอัตโนมัติ เครื่องมือการกู้คืนของ Stripe ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถกู้คืนรายรับได้มากกว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024
  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ใช้เครื่องมือภาษีแบบโมดูลาร์ รายงานรายได้ และเครื่องมือข้อมูลของ Stripe เพื่อรวมระบบรายรับหลายระบบให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์ของบริษัทอื่นได้อย่างง่ายดาย

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Billing หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้