การเริ่มทําธุรกิจมีค่าใช้จ่ายเท่าใด ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรทราบเอาไว้

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ค่าใช้จ่ายหลักในการเริ่มทําธุรกิจมีอะไรบ้าง
    1. ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ
    2. อุปกรณ์
    3. การตลาดและการสร้างแบรนด์
    4. สินค้าคงคลังหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์เบื้องต้น
    5. ค่าใช้จ่ายด้านสถานที่
    6. ค่าเงินเดือนพนักงานหรือพนักงานสัญญาจ้าง
    7. ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน
    8. กองทุนฉุกเฉิน
  3. ประเภทของธุรกิจมีผลกับค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจอย่างไร
    1. ธุรกิจทางกายภาพกับธุรกิจดิจิทัล
    2. ธุรกิจที่ขายผลิตภัณฑ์กับธุรกิจให้บริการ
    3. แฟรนไชส์กับธุรกิจอิสระ
    4. ระเบียบข้อบังคับและการปฏิบัติตามข้อกําหนดของอุตสาหกรรม
    5. วางแผนเพื่อการเติบโต
    6. กลุ่มเป้าหมาย
    7. ความต้องการอุปกรณ์เฉพาะทาง
    8. ความต้องการด้านพนักงาน
    9. แนวทางการตลาด
  4. คุณจะประมาณงบประมาณเริ่มต้นอย่างไร
    1. กําหนดโมเดลธุรกิจของคุณ
    2. จัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายของคุณ
    3. หาข้อมูลอัตราในตลาด
    4. แบ่งค่าใช้จ่ายเริ่มต้นธุรกิจเป็นระยะ
    5. ประมาณค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายแปรผัน
    6. คํานึงถึงค่าบริการจากมืออาชีพ
    7. คำนวณค่าใช้จ่ายด้านการตลาด
    8. กันกระแสเงินสดไว้
    9. ใช้เทมเพลตหรือซอฟต์แวร์ทำงบประมาณ
    10. ตรวจสอบความถูกต้องกับผู้เชี่ยวชาญหรือเพื่อนร่วมงาน
    11. ปรับปรุงและทำซ้ำ
  5. ค่าใช้จ่ายที่ถูกมองข้ามในการเริ่มทําธุรกิจมีอะไรบ้าง
    1. ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและด้านกฎหมายที่ไม่คาดคิด
    2. ภาษีและค่าธรรมเนียม
    3. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน
    4. เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์
    5. การตลาดและการสร้างแบรนด์เพิ่มเติม
    6. ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน
    7. ค่าเวลาของคุณ
    8. การประกันภัยและการจัดการความเสี่ยง
    9. ค่าใช้จ่ายในการขยายกิจการ
    10. ต้นทุนทางอารมณ์และต้นทุนส่วนตัว
  6. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

การเริ่มต้นธุรกิจอาจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เป็นเรื่องที่มีค่าใช้จ่ายอยู่พอสมควร หากคุณใฝ่ฝันจะเปิดร้านกาแฟบรรยากาศสบายๆ ร้านค้าออนไลน์ หรือธุรกิจสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีล้ำสมัย คุณจะต้องจัดทำงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ นอกเหนือจากค่าเช่าที่หรือค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่นๆ เช่น ใบอนุญาต การตลาด และภาษีด้วย

แล้วค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจจริงๆ แล้วนั้นคิดเป็นเท่าไหร่ มาดูกันว่าคุณจะต้องเจอกับอะไรบ้าง รวมถึงภาพรวมของค่าใช้จ่ายหลักๆ และวิธีการประเมินเงินทุนที่คุณจำเป็นต้องมี

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ค่าใช้จ่ายหลักในการเริ่มทำธุรกิจมีอะไรบ้าง
  • ประเภทธุรกิจมีผลต่อต้นทุนธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างไร
  • คุณประมาณงบประมาณธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณอย่างไร
  • ค่าใช้จ่ายที่ถูกมองข้ามในการเริ่มทำธุรกิจมีอะไรบ้าง
  • Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

ค่าใช้จ่ายหลักในการเริ่มทําธุรกิจมีอะไรบ้าง

การเปิดธุรกิจของคุณเองมีค่าใช้จ่ายหลักหลายอย่าง ต่อไปนี้คือสรุปค่าใช้จ่ายที่คุณน่าจะต้องมี

ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ

ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการไม่จ่ายยิ่งส่งผลเสียกับคุณมากขึ้นในอนาคต คุณจะต้องจัดงบประมาณสําหรับสิ่งต่อไปนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างธุรกิจของคุณ (เช่น LLC บริษัท กิจการเจ้าของคนเดียว

  • ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนธุรกิจ: แตกต่างกันไปตามสถานที่ตั้ง แต่ค่าใช้จ่ายคาดว่าอยู่ระหว่าง 40 ดอลลาร์สหรัฐไปจนถึงมากกว่า 500 ดอลลาร์สหรัฐ

  • ใบอนุญาต: แบ่งตามอุตสาหกรรมและสถานที่ตั้ง ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารจะต้องมีใบอนุญาตจากหน่วยงานสาธารณสุขในการดําเนินงาน ในขณะที่ร้านค้าออนไลน์อาจต้องมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจทั่วไป

  • การจดเครื่องหมายการค้าหรือทรัพย์สินทางปัญญา: หากคุณกําลังสร้างแบรนด์ การรักษาความปลอดภัยโลโก้หรือสโลแกนของคุณอาจมีค่าใช้จ่ายหลายร้อยถึงหลายพันดอลลาร์

บางคนอาจพยายามจัดการกระบวนการนี้ด้วยตัวเอง แต่การปรึกษาทนายความ โดยเฉพาะหากคุณมีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่เหมือนใคร ก็คุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย

อุปกรณ์

หากธุรกิจของคุณมีสถานที่ตั้งทางกายภาพ เช่น คาเฟ่หรือร้านเสริมสวย คุณอาจต้องจัดงบประมาณสําหรับการลงทุนเริ่มต้นที่สําคัญๆ เช่น ค่าเฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักร การตกแต่ง และองค์ประกอบอื่นๆ ธุรกิจดิจิทัลอาจต้องใช้ซอฟต์แวร์ ระบบการสมัครใช้บริการ (เช่น ซอฟต์แวร์การทําบัญชีหรือแพลตฟอร์มการจัดการโครงการ) และการการจัดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ที่เสถียร แม้แต่ของที่น่าจะราคาถูก เช่น ของใช้ในสำนักงานก็อาจมีราคาแพงได้ เพราะยิ่งความต้องการของคุณเป็นความต้องการเฉพาะ หรือเจาะจงสำหรับอุตสาหกรรม ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้น

การตลาดและการสร้างแบรนด์

หากต้องการโดดเด่น คุณควรลงทุนในบริการด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายต่อไปนี้

  • การพัฒนาเว็บไซต์: เว็บไซต์ธุรกิจที่ออกแบบโดยมืออาชีพอาจมีราคาตั้งแต่ 2,000–10,000 ดอลลาร์ หากคุณสร้างเว็บไซต์ของคุณเองด้วยแพลตฟอร์มสำเร็จรูป เช่น Squarespace คุณก็ยังคงต้องจ่ายค่าชื่อโดเมนและบริการโฮสติง

  • การออกแบบแบรนด์: คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 500-5,000 ดอลลาร์ในการพัฒนาโลโก้ คู่มือการใช้แบรนด์ และบรรจุภัณฑ์ (ถ้ามี) โดยราคาขึ้นอยู่กับนักออกแบบหรือเอเจนซี

  • การโฆษณา: ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาโซเชียลมีเดีย โฆษณา Google หรือใบปลิวที่พิมพ์ออกมา ต้นทุนการตลาดอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จุดเริ่มต้นที่ดีคือการจัดสรร 12%–20% ของรายได้ที่คาดการณ์สําหรับค่าโฆษณา

สินค้าคงคลังหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์เบื้องต้น

หากธุรกิจของคุณเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ นี่จะเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ใหญ่ที่สุดของคุณ คุณจะต้องจัดงบประมาณสําหรับการพัฒนาต้นแบบ การผลิตชุดเล็ก และสต็อกเบื้องต้น ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษหากซัพพลายเออร์ของคุณกำหนดจํานวนสั่งซื้อขั้นต่ำ (MOQ) ไว้สูง

ค่าใช้จ่ายด้านสถานที่

ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสถานที่มักเป็นค่าใช้จ่ายที่ใหญ่ที่สุดสําหรับธุรกิจที่มีหน้าร้าน สัญญาเช่าเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่กำหนดให้จ่ายค่าเช่าเดือนแรกบวกเงินมัดจํา ซึ่งคิดเป็นเงินเท่ากับจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าหลายเดือน การก่อสร้างและการปรับปรุงใหม่ และแม้แต่การตกแต่งเพื่อความสวยงาม เช่น การทาสีหรือติดชั้นวางของก็ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ค่าเงินเดือนพนักงานหรือพนักงานสัญญาจ้าง

แม้ว่าคุณจะไม่ได้จ้างพนักงานประจํา แต่คุณก็อาจยังต้องใช้พนักงานสัญญาจ้าง ฟรีแลนซ์ หรือที่ปรึกษา นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในการทํางานแล้ว คุณอาจต้องจ่ายค่าซอฟต์แวร์ทรัพยากรบุคคล (HR) และสวัสดิการ เช่น Gusto หรือ QuickBooks Payroll เพื่อจัดการบัญชีเงินเดือนและงานธุรการอื่นๆ

ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน

เมื่อมีที่ัตั้งทางกายภาพ คุณก็ต้องจ่ายค่าสาธารณูปโภคและอินเทอร์เน็ต ธุรกิจหลายแห่งเลือกที่ใช้บริการนักบัญชี ผู้ทําบัญชี และที่ปรึกษาทางกฎหมายเป็นแบบบริการต่อเนื่อง ธุรกิจต่างๆ มักจะต้องจ่ายเบี้ยประกันรายเดือนสําหรับประกันภัยความรับผิดทั่วไป ค่าชดเชยแรงงาน หรือกรมธรรม์เฉพาะอุตสาหกรรม (เช่น ความรับผิดต่อผลิตภัณฑ์สําหรับสินค้าอุปโภคบริโภค)

กองทุนฉุกเฉิน

ไม่ว่าคุณจะวางแผนมากแค่ไหนอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้ อุปกรณ์ชิ้นสําคัญอาจแตกหัก ต้นทุนการโฆษณาอาจพุ่งสูงขึ้น หรือซัพพลายเออร์อาจประสบปัญหา การกันงบประมาณไว้อย่างน้อย 10%–20% เป็นกันชนจะสามารถช่วยคุณได้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น

ประเภทของธุรกิจมีผลกับค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจอย่างไร

อุตสาหกรรมและธุรกิจรูปแบบต่างๆ มีข้อกําหนดเฉพาะตัว ดังนั้นประเภทธุรกิจที่คุณเริ่มต้นจึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของคุณ ต่อไปนี้คือปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจแตกต่างกัน

ธุรกิจทางกายภาพกับธุรกิจดิจิทัล

โดยทั่วไปธุรกิจที่มีหน้าร้านจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง ตัวอย่างเช่น การเปิดคาเฟ่หรือร้านบูติกอาจต้องเช่าพื้นที่ ปรับปรุง และตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นดอลลาร์ จากนั้นยังมีค่าสาธารณูปโภค ประกันภัย และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกําหนดในท้องถิ่นเพิ่มมาอีก

ธุรกิจออนไลน์สามารถเริ่มต้นอย่างประหยัดได้ ผู้ประกอบการคนเดียวที่ขายผลิตภัณฑ์ดิจิทัลหรือดําเนินธุรกิจให้บริการอาจใช้แค่เว็บไซต์ แล็ปท็อป และซอฟต์แวร์บางอย่าง แต่อีคอมเมิร์ซอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น การจัดเก็บสินค้าคงคลังหรือการขนส่ง

ธุรกิจที่ขายผลิตภัณฑ์กับธุรกิจให้บริการ

สําหรับธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์ สินค้าคงคลังถือเป็นค่าใช้จ่ายหลักในช่วงต้น หากคุณจะผลิตสินค้าบางอย่าง คุณจะต้องรับผิดชอบค่าวัตถุดิบ การผลิต และมักจะมีจำนวนสั่งผลิตขั้นต่ำสูงเพื่อเริ่มต้น แม้แต่ผู้ค้าปลีกหรือผู้ให้บริการดรอปชิปก็ยังต้องจ่ายค่าผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และการสร้างแบรนด์จำนวนมาก

ธุรกิจที่ให้บริการมักจะมีค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นน้อยกว่าเนื่องจากสินค้าของคุณคือความเชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่น ที่ปรึกษาหรือผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลอาจต้องการแค่สื่อการตลาดขั้นพื้นฐานเพื่อดึงดูดลูกค้า แต่หากบริการจําเป็นต้องใช้อุปกรณ์หรือบุคลากรเฉพาะทาง (เช่น สตูดิโอถ่ายภาพ ช่างอํานวยความสะดวก ฯลฯ) ค่าใช้จ่ายก็อาจเพิ่มขึ้น

แฟรนไชส์กับธุรกิจอิสระ

โดยปกติแล้วผู้ซื้อแฟรนไชส์จะจ่ายค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ล่วงหน้า ซึ่งอาจเริ่มตั้งแต่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐไปจนถึงมากกว่า 50,000 ดอลลาร์ บวกค่าสิทธิต่อเนื่อง แต่การสร้างแบรนด์และการจัดหาซัพพลายเออร์มีมาให้แล้ว

ธุรกิจอิสระมอบอิสระในการสร้างสรรค์แก่เจ้าของธุรกิจมากกว่า แต่ก็ต้องลงทุนด้านการตลาด การดำเนินงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ มากกว่า

ระเบียบข้อบังคับและการปฏิบัติตามข้อกําหนดของอุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดมักจะมีค่าใช้ในการเริ่มธุรกิจสูงกว่า เนื่องจากข้อกําหนดทางกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกําหนด เช่น:

  • การดูแลสุขภาพและการออกกำลังกาย: การเริ่มต้นคลินิกส่วนตัว การทํากายภาพบําบัด หรือเมดสปา หมายความว่าคุณต้องดำเนินการเรื่องใบอนุญาต และกรมธรรม์ประกันภัยที่มักมีค่าใช้จ่ายสูง

  • อาหารและเครื่องดื่ม: ร้านอาหารต้องปฏิบัติตามระเบียบกรมอนามัยที่เข้มงวด ซึ่งอาจต้องลงทุนอุปกรณ์ครัวระดับอุตสาหกรรม ระบบระบายอากาศ และมีการเข้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

  • บริการด้านการเงินหรือกฎหมาย: ธุรกิจที่ให้บริการทางการเงินหรือทางกฎหมายจะต้องได้รับการรับรองเฉพาะทาง ปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวด และมักต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยสูงกว่า

วางแผนเพื่อการเติบโต

วิสัยทัศน์สําหรับการเติบโตในอนาคตของคุณจะเป็นตัวกําหนดค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการเริ่มต้นธุรกิจด้วย เช่น:

  • หากคุณจะเปิดตัวแพลตฟอร์มเทคโนโลยี งบประมาณส่วนใหญ่ของคุณจะใช้ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างแอปหรือซอฟต์แวร์ตั้งแต่เริ่มต้นอาจมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 50,000–100,000 ดอลลาร์หรือมากกว่านั้น

  • คุณอาจเริ่มจากการดำเนินงานในขอบเขตเล็กๆ เช่น การทํางานอิสระหรือขายงานฝีมือ ด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เติบโต

กลุ่มเป้าหมาย

ธุรกิจในท้องถิ่นอาจประสบความสําเร็จหากการให้ชุมชนกลุ่มเฉพาะ โดยอาจทำการตลาดจากในท้องถิ่น เช่น ใช้ใบปลิวหรือโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น

ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจทั่วโลก เช่น ธุรกิจที่จัดส่งผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศหรือให้บริการทั่วโลก อาจต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์การขนส่งระหว่างประเทศ และการรองรับลูกค้าหลายภาษา สิ่งเหล่านี้อาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกินกำลังสำหรับองค์กรขนาดเล็ก

ความต้องการอุปกรณ์เฉพาะทาง

ประเภทของอุปกรณ์ที่ต้องใช้แตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจ ตัวอย่างมีดังนี้

  • การก่อสร้างหรือภูมิทัศน์: คุณจะต้องใช้เครื่องมือ ยานพาหนะ และเครื่องจักรที่มีราคาแพงในการทำงาน แม้ว่าจะเช่าอุปกรณ์ ก็ควรเตรียมใจไว้ว่าจะต้องจ่ายรายเดือนในอัตราที่สูง

  • อุตสาหกรรมสร้างสรรค์: สตูดิโอออกแบบหรือธุรกิจถ่ายวิดีโออาจต้องใช้ซอฟต์แวร์ขั้นสูง กล้องระดับไฮเอนด์ หรือชุดตัดต่อ ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว

  • ร้านค้าปลีก: นอกจากชั้นวางและจอแสดงผลแล้ว คุณยังต้องมีระบบบันทึกการขาย (POS) ที่เชื่อถือได้ และอาจต้องมีหน้าร้านที่ออกแบบให้เข้ากับแบรนด์ของคุณ

ความต้องการด้านพนักงาน

อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก เช่น ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก หรือบริษัทก่อสร้าง มักต้องมีพนักงานตั้งแต่วันแรก ดังนั้นค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนและสวัสดิการจึงเป็นต้นทุนเริ่มต้นก้อนใหญ่

กิจการทำคนเดียวที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือที่ปรึกษาทำอาจเริ่มต้นโดยลำพังได้ ซึ่งจะทําให้ต้นทุนแรงงานเกือบเป็นศูนย์จนกว่าธุรกิจจะเติบโตขึ้น

แนวทางการตลาด

ธุรกิจเฉพาะกลุ่มที่มีกลุ่มเป้าหมายเล็กแต่เฉพาะเจาะจง เช่น นักสะสมหรือผู้ชอบงานอดิเรกสามารถใช้กลยุทธ์การตลาดแบบมีประสิทธิภาพเชิงต้นทุน (เช่น โฆษณาโดยตรง กิจกรรมชุมชน) ที่เน้นมุ่งเป้าโดยตรง

ธุรกิจในตลาดมวลชนที่มุ่งดึงดูดความสนใจจากคนวงกว้าง เช่น แบรนด์เทคโนโลยีสําหรับผู้บริโภคหรือแฟชั่น มักจะต้องลงทุนในแคมเปญขนาดใหญ่เพื่อสร้างการรับรู้ ซึ่งต้องใช้งบประมาณเริ่มต้นมากขึ้น

คุณจะประมาณงบประมาณเริ่มต้นอย่างไร

เจ้าของธุรกิจที่ทำออนไลน์อย่างเดียวมีใช้จ่ายเฉลี่ย 35,000 ดอลลาร์ในปีแรกที่ทำธุรกิจ ส่วนเจ้าของธุรกิจแบบมีหน้าร้านมีใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 100,000 ดอลลาร์ แต่ทุกบริษัทก็มีความแตกต่างกัน การประมาณงบประมาณเริ่มต้นของคุณต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการศึกษาค้นคว้า การวางแผนที่สมจริง และการคาดเดาแบบมีความรู้ด้วยเล็กน้อย โดยคุณต้องเข้าใจโมเดลธุรกิจและอุตสาหกรรมของคุณ และเว้นพื้นที่ไว้สำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วย ต่อไปนี้คือวิธีประมาณงบประมาณของคุณ

กําหนดโมเดลธุรกิจของคุณ

เริ่มจากการระบุให้ชัดเจนว่าคุณกำลังจะทำธุรกิจอะไร คุณกําลังเปิดตัวธุรกิจขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ เป็นธุรกิจดิจิทัลหรือทางกายภาพ เพราะแต่ละการตัดสินใจจะส่งผลต่อโครงสร้างต้นทุนของคุณ เขียนแผนการดําเนินงานของคุณเพื่อให้ทราบว่าคุณต้องใช้อะไรบ้างในการดําเนินธุรกิจตั้งแต่แรก

จัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายของคุณ

แจกแจงค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ประมาณค่าใช้จ่ายที่เจาะจงได้ง่ายขึ้นและหลีกเลี่ยงพลาดสิ่งใดไป หมวดหมู่หลักๆ ได้แก่

  • ค่าใช้จ่ายครั้งเดียว เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดตั้งบริษัท การซื้ออุปกรณ์ การพัฒนาเว็บไซต์ หรือสินค้าคงคลังเริ่มต้น

  • ค่าใช้จ่ายตามแบบแผนล่วงหน้า เช่น ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค เงินเดือน ซอฟต์แวร์ การสมัครใช้บริการ และแคมเปญการตลาด

  • กองทุนฉุกเฉิน (โดยทั่วไปประมาณ 10%–20% ของงบประมาณของคุณ) สําหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด

หาข้อมูลอัตราในตลาด

ค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไปตามสถานที่ตั้ง อุตสาหกรรม และขนาดธุรกิจ อย่าลืมหาข้อมูล

  • ค่าใช้จ่ายตามสถานที่ตั้ง: ตรวจสอบค่าเช่าเฉลี่ยหรือค่าใช้จ่ายพื้นที่ทํางานร่วมกันในพื้นที่ของคุณ หากคุณกําลังวางแผนมีที่ตั้งทางกายภาพ โปรดติดต่อตัวแทนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เพื่อขอตัวเลขที่ถูกต้อง

  • ใบเสนอราคาจากผู้ให้บริการ: ติดต่อซัพพลายเออร์เพื่อสอบถามราคาสินค้าคงคลังหรืออุปกรณ์ หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับต้นทุนการผลิต ให้ขอตัวเลขประมาณการจากผู้ผลิตหลายราย

  • ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี: ประเมินแพ็กเกจค่าบริการซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มที่คุณต้องการใช้ ซึ่งรวมถึงซอฟต์แวร์การทําบัญชี เครื่องมือจัดการโครงการ หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

แบ่งค่าใช้จ่ายเริ่มต้นธุรกิจเป็นระยะ

เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายมากๆ ในครั้งเดียว ให้แบ่งงบประมาณของคุณออกเป็นระยะ ซึ่งอาจประกอบด้วย

  • ค่าใช้จ่ายก่อนเปิดกิจการ: ระยะแรกนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องทําก่อนที่คุณจะเปิดอย่างเป็นทางการ เช่น ค่าใบอนุญาต สินค้าต้นแบบ หรือการตลาดเบื้องต้น

  • ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานเบื้องต้น: คือค่าใช้จ่ายเพื่อให้ครอบคลุม 3-6 เดือนแรก ซึ่งอาจรวมถึง ค่าเช่า เงินเดือน หรือค่าโฆษณา

  • ค่าใช้จ่ายในการขยายกิจการ: เมื่อธุรกิจได้รับความสนใจ คุณจะต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายในการขยาย ซึ่งรวมถึงการจ้างงานหรือการขยายสินค้าคงคลัง

ประมาณค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายแปรผัน

ค่าใช้จ่ายคงที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตามยอดขาย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายผันแปรจะผันผวนตามกิจกรรมทางธุรกิจของคุณ ต้นทุนคงที่อาจรวมถึงค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่า เงินเดือน และประกันภัย ในขณะที่ต้นทุนผันแปรอาจรวมถึงค่าใช้จ่าย เช่น วัสดุ ค่าขนส่ง หรือการผลิต การทําความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยคุณประเมินว่าค่าใช้จ่ายของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น

คํานึงถึงค่าบริการจากมืออาชีพ

หากคุณไม่ได้จัดการธุรกิจด้วยตัวเองทุกด้าน อย่าลืมคำนวณค่าธรรมเนียมวิชาชีพต่างๆ ด้วย เช่น:

  • ที่ปรึกษาทางกฎหมายและนักบัญชี: ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สามารถช่วยคุณก่อตั้งธุรกิจ จ่ายภาษี และจัดการบัญชีได้

  • ฟรีแลนซ์หรือผู้รับจ้าง: คุณอาจจ้างนักออกแบบมาสร้างแบรนด์ นักพัฒนาเพื่อสร้างเว็บไซต์ หรือนักการตลาดมาสร้างแคมเปญโฆษณา

คำนวณค่าใช้จ่ายด้านการตลาด

ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดอาจแตกต่างกันออกไป ธุรกิจออนไลน์ อาจต้องลงทุนกับโฆษณาบนโซเชียลมีเดียหรือเครื่องมือการตลาดผ่านอีเมล ในขณะที่ธุรกิจแบบมีหน้าร้านอาจลงทุนในการโฆษณา ป้ายบอกทาง หรืองานเปิดตัวครั้งใหญ่ในท้องถิ่น ลองเริ่มต้นด้วยงบประมาณที่น้อยและจัดสรรมากขึ้นเมื่อเห็นว่าอะไรเหมาะสม

กันกระแสเงินสดไว้

ธุรกิจของคุณอาจไม่ได้ทํากําไรในทันที ประมาณจํานวนเงินที่คุณต้องใช้ในการดําเนินงานจนกว่าจะมีรายรับเข้ามาอย่างสม่ําเสมอ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดโดยทั่วไปคือการมีเงินสดเพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อยสามถึงหกเดือน

ใช้เทมเพลตหรือซอฟต์แวร์ทำงบประมาณ

โปรแกรมอย่าง Microsoft Excel, Google Sheets หรือซอฟต์แวร์วางแผนธุรกิจโดยเฉพาะ (เช่น LivePlan, QuickBooks) จะช่วยให้คุณวางแผนได้ งบประมาณของคุณควรประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • บรรทัดรายการสําหรับทุกค่าใช้จ่าย

  • คอลัมน์ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง

  • หัวข้อสําหรับกองทุนฉุกเฉิน

ตรวจสอบความถูกต้องกับผู้เชี่ยวชาญหรือเพื่อนร่วมงาน

เอางบประมาณให้ผู้ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมของคุณดู เช่น ที่ปรึกษา นักบัญชี หรือที่ปรึกษาทางธุรกิจ เขาอาจจะช่วยชี้ให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายที่ถูกมองข้ามหรือเสนอให้ปรับเปลี่ยนรายละเอียดตามประสบการณ์จริงได้

ปรับปรุงและทำซ้ำ

งบประมาณร่างแรกของคุณอาจไม่สมบูรณ์ ซึ่งก็ไม่เป็นไร เมื่อคุณเริ่มนําเงินมาลงทุนในธุรกิจแล้ว ให้ติดตามค่าใช้จ่ายอย่างใกล้ชิดและแก้ไขงบประมาณเมื่อเวลาผ่านไป เป้าหมายคือการสร้างแผนกลยุทธ์ทางการเงินที่ยืดหยุ่นและเป็นจริง

ค่าใช้จ่ายที่ถูกมองข้ามในการเริ่มทําธุรกิจมีอะไรบ้าง

การเริ่มต้นธุรกิจมีค่าใช้จ่ายมากมายที่คุณสามารถวางแผนได้ แต่ก็มีบางที่อาจแอบเข้ามาและทําให้งบประมาณของคุณสะดุด สิ่งเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจไม่ชัดเจนในแวบแรก แต่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้รู้เท่าทันค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ให้ติดตามค่าใช้จ่ายของคุณอย่างระมัดระวังและประเมินงบประมาณเป็นประจําเพื่อดูว่าคุณอาจขาดอะไรไป นอกจากนี้ คุณควรถามเพื่อนหรือที่ปรึกษาในอุตสาหกรรมเดียวกันเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ทําให้พวกเขาไม่ทันตั้งตัวในตอนที่เริ่มต้น ต่อไปนี้คือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบางส่วนที่ต้องคํานึงถึงเมื่อเริ่มทําธุรกิจ

ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและด้านกฎหมายที่ไม่คาดคิด

แม้คุณจะคิดว่าคุณได้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายพื้นฐานทางกฎหมายและการบริหารจัดทั้งหมดแล้ว แต่รายละเอียดที่ถูกมองข้ามอาจเกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้

  • ค่าธรรมเนียมการยื่นเอกสาร: นอกจากการจดทะเบียนธุรกิจของคุณแล้ว อาจมีค่าธรรมเนียมตามแบบแผนล่วงหน้าสําหรับรายงานประจําปี การต่ออายุ หรือการยื่นเอกสารเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด

  • คําแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญ: ทนายความและนักบัญชีมักจะเรียกเก็บเงินเป็นรายชั่วโมง และค่าธรรมเนียมเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณทําสัญญาหรือภาษีที่ซับซ้อน

  • ใบอนุญาตและการตรวจสอบ: บางอุตสาหกรรม (เช่น อาหาร สุขภาพ หรือการก่อสร้าง) ต้องมีใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการตรวจสอบหลายรายการ

ภาษีและค่าธรรมเนียม

ภาษีอาจกระทบคุณหนักกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่เคยทำธุรกิจ ต่อไปนี้คือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับภาษีบางส่วนที่ควรคํานึงถึง

  • ภาษีการประกอบอาชีพอิสระ: คุณอาจตกใจได้หากไม่คุ้นเคยกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา ให้คุณวางแผนจ่ายภาษี 15.3% จากรายได้ของคุณ

  • ภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ GST: เจ้าของธุรกิจหน้าใหม่อาจลืมคิดถึงระบบภาษีขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีสินค้าและบริการ (GST) หรือใช้จ่ายเงินที่เรียกเก็บแต่ต้องส่งให้รัฐบาลโดยไม่ได้ตั้งใจ

  • ภาษีทรัพย์สินทางธุรกิจ: หากคุณเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เช่น พื้นที่สํานักงาน เขตอํานาจศาลบางแห่งจะเรียกเก็บภาษีทรัพย์สินประจําปี

ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน

แม้ว่าคุณจะเริ่มต้นจากทีมขนาดเล็ก แต่การจ้างพนักงานอาจมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่คุณอาจไม่ได้คาดคิด เช่น

  • ภาษีเงินเดือน: นอกเหนือจากเงินเดือนและขึ้นอยู่กับที่ตั้งของคุณ คุณอาจต้องเสียภาษีตามนโยบายทางสังคมต่างๆ เช่น ประกันสังคม Medicare (ในสหรัฐอเมริกา) และประกันการว่างงาน

  • สวัสดิการพนักงาน: ประกันสุขภาพ แผนการเกษียณอายุ และการลาโดยได้รับค่าจ้างไม่ใช่ข้อบังคับในทุกกรณี แต่อาจมีความสําคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ

  • กระบวนการเริ่มต้นใช้งานและการฝึกอบรม: จัดสรรเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกอบรมพนักงานใหม่หรือผู้รับจ้าง รวมถึงตำแหน่งระดับเริ่มต้น

เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์

การมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมเป็นสิ่งสําคัญ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ค่าใช้จ่ายที่คุณอาจไม่ได้คาดการณ์ไว้ได้แก่

  • ค่าสมัครใช้บริการที่เพิ่มขึ้น: เครื่องมือ เช่น ซอฟต์แวร์การทําบัญชี แพลตฟอร์มการจัดการโครงการ หรือแอปการตลาดอาจเริ่มจากค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อคุณเพิ่มฟีเจอร์ ผู้ใช้ หรือการผสานการทํางาน

  • การอัปเกรดและบํารุงรักษา: คุณอาจจัดสรรงบประมาณสําหรับฮาร์ดแวร์เริ่มต้น (เช่น แล็ปท็อป) แต่ก็ควรคํานึงถึงการบํารุงรักษา การเปลี่ยน และการอัปเดตอย่างต่อเนื่องด้วย

  • การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์: เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น คุณอาจต้องลงทุนในไฟร์วอลล์ เครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) หรือประกันภัยการละเมิดข้อมูล

การตลาดและการสร้างแบรนด์เพิ่มเติม

งบประมาณการตลาดของคุณอาจพุ่งสูงขึ้นได้แม้ว่าคุณจะวางแผนไว้ดีที่สุดก็ตาม ในบรรดาค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจรวมถึง

  • การรีแบรนด์หรือออกแบบใหม่: สิ่งที่ได้ผลในช่วงแรกอาจไม่เพียงพอเมื่อคุณเติบโต โดยคุณอาจต้องปรับปรุงโลโก้ เว็บไซต์ หรือบรรจุภัณฑ์เร็วกว่าที่คาดไว้

  • การทดสอบการโฆษณา: การตลาดไม่ใช่ค่าใช้จ่ายครั้งเดียว การทดสอบแคมเปญ คีย์เวิร์ด หรือแพลตฟอร์มอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้เพิ่มขึ้นมา

  • การสร้างเนื้อหา: บริการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ หรือเขียนคําโฆษณาสําหรับบล็อกและโซเชียลมีเดียอาจเพิ่มขึ้นจนเป็นหลายพันได้

ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน

การดําเนินธุรกิจแบบวันต่อวันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ได้แก่

  • สาธารณูปโภค: การประเมินค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าอินเทอร์เน็ตต่ำกว่าจริงในกรณีที่มีที่ตั้งทางกายภาพเกิดขึ้นได้ง่าย และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ยังผันผวนตามฤดูกาลด้วย

  • การขนส่งและโลจิสติกส์: แม้ว่าคุณจะวางแผนเรื่องค่าขนส่งไว้แล้ว แต่ปัจจัยต่างๆ เช่น การคืนสินค้า สินค้าเสียหาย หรือความล่าช้าก็อาจทําให้มีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเข้ามาได้

  • ของเสียหรือการสูญเสียสินค้า: สินค้าเสียหาย ถูกขโมย หรือสินค้าคงคลังที่ขายไม่ได้ทำให้กําไรของธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดลงได้

ค่าเวลาของคุณ

เวลาของคุณเป็นทรัพยากรที่มีค่า และค่าใช้จ่ายที่ถูกมองข้ามมักจะเกิดขึ้นตรงนี้ เช่น

  • ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ: การทําบัญชี การจัดการผู้ให้บริการ หรือการจัดการการบริการสนับสนุนลูกค้าอาจกินเวลาที่ควรจะใช้ในการขยายธุรกิจไปหลายชั่วโมง

  • เวลาที่ใช้เรียนรู้: หากคุณเพิ่งเริ่มใช้ซอฟต์แวร์หรือระบบการจัดการโครงการบางอย่าง เวลาที่ใช้ในการเรียนรู้อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทํางานของคุณ

การประกันภัยและการจัดการความเสี่ยง

ธุรกิจจําเป็นต้องป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงให้ดีที่สุด ซึ่งเริ่มต้นได้จากการประกันภัย อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายอาจขยายไปครอบคลุมเรื่องอื่นด้วย ต่อไปนี้คือค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เจ้าของธุรกิจอาจต้องชําระ

  • ค่าเบี้ยประกันภัยธุรกิจ: ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นตามการเติบโต การจ้างงานใหม่ หรืออุปกรณ์เพิ่มเติม

  • ช่องว่างความคุ้มครอง: หากมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น น้ำท่วมในสํานักงานของคุณหรือเกิดคดีความขึ้น คุณอาจพบว่าแผนประกันเริ่มต้นของคุณไม่ได้ให้ความคุ้มครองที่เพียงพอ

  • การเรียกร้องความรับผิด: ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงอาจต้องเผชิญกับการฟ้องร้องหรือการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่กําหนดให้ต้องชําระค่าธรรมเนียมทางกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อดําเนินการแก้ไข

ค่าใช้จ่ายในการขยายกิจการ

เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นในแบบที่คาดไม่ถึง ซึ่งอาจประกอบด้วย

  • การอัปเกรดระดับซอฟต์แวร์: แพ็กเกจฟรีหรือราคาถูกมักจะมีขีดจํากัดการใช้งาน และการขยายการใช้งานก็ต้องชําระค่าบริการระดับพรีเมียม

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการจ้างงาน: คุณอาจต้องจ้างที่ปรึกษา ฝ่ายสนับสนุนด้านไอที หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น

  • การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน: การขยายกิจการอาจหมายถึงการย้ายไปยังสํานักงานที่ใหญ่ขึ้น การซื้ออุปกรณ์ใหม่ หรือการอัปเดตระบบ

ต้นทุนทางอารมณ์และต้นทุนส่วนตัว

การดําเนินธุรกิจอาจสร้างความเสียหายในหลายๆ ด้านที่หลายคนคาดไม่ถึง ซึ่งอาจทําให้เกิดต้นทุนเพิ่มเติม เช่น

  • ความเครียดที่เพิ่มขึ้น: การจัดการความเครียดอาจต้องใช้การบําบัด การโค้ช หรือการดูแลตนเองซึ่งมีค่าใช้จ่าย

  • โอกาสด้านรายรับที่พลาดไป: หากคุณทํางานเต็มเวลา คุณอาจพลาดแหล่งรายได้อื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น

  • ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด: การอยู่ห่างจากครอบครัวและเพื่อนๆ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ส่วนตัว ซึ่งอาจนําไปสู่ค่าใช้จ่ายทางอ้อม (เช่น การจ้างผู้ช่วยที่บ้าน)

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

เข้าร่วมกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง รวมถึงส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe รวมถึงการประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas