ธุรกิจออนไลน์คือธุรกิจที่ดําเนินงานบนอินเทอร์เน็ตเป็นหลักเพื่อนําเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ หรือสินค้าดิจิทัล ธุรกิจออนไลน์มีตั้งแต่ร้านค้าอีคอมเมิร์ซ ไปจนถึงบริษัทดิจิทัล ตั้งแต่บริการสมัครสมาชิกไปจนถึงแพลตฟอร์มเนื้อหา ธุรกิจออนไลน์มักใช้ต้นทุนการเริ่มต้นกิจการที่ต่ำกว่า มีความยืดหยุ่นในสถานที่ตั้ง และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วโลกได้ ซึ่งต่างจากธุรกิจแบบดั้งเดิมที่มีหน้าร้าน บ่อยครั้ง กระบวนการต่างๆ ของธุรกิจออนไลน์สามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ ซึ่งหมายความว่าธุรกิจเหล่านั้นสามารถขยายขนาดได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าธุรกิจแบบดั้งเดิม
อีคอมเมิร์ซและบริการดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตลาดอีคอมเมิร์ซโลกคาดว่าจะเติบโตเกือบ 8 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2027 ซึ่งขับเคลื่อนโดยเทรนด์การทำงานจากทางไกล การบริโภคเนื้อหาดิจิทัล และการช้อปปิ้งออนไลน์ ช่องทางเฉพาะต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน การศึกษาออนไลน์ และรูปแบบการสมัครใช้บริการ ได้รับความนิยม และยังมีตลาดอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับความสนใจมากพออีกมากมายที่ผู้ประกอบการสามารถลงทุนได้ ไม่ว่าคุณกำลังมองหาวิธีหารายได้จากสิ่งที่ชื่นชอบหรือสำรวจโมเดลธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างง่ายดาย ด้านล่างนี้เป็นคำแนะนำในการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ เราจะอธิบายถีงการจดทะเบียนธุรกิจ การพัฒนากลยุทธ์การตลาด การตอบสนองความต้องการด้านการปฏิบัติตามข้อกําหนด และอื่นๆ อีกมากมาย
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- วิธีเลือกแนวคิดธุรกิจออนไลน์ที่เหมาะสม
- มีขั้นตอนอะไรบ้างในการเริ่มทําธุรกิจออนไลน์
- วิธีจดทะเบียนธุรกิจออนไลน์
- วิธีสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์
- วิธีตั้งค่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ
- วิธีพัฒนากลยุทธ์การตลาดสําหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณ
- วิธีเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า
- วิธีให้บริการลูกค้าออนไลน์ที่ยอดเยี่ยม
- วิธีขยายธุรกิจออนไลน์
- ความท้าทายที่พบบ่อยเมื่อเริ่มทําธุรกิจออนไลน์และวิธีเอาความท้าทายเหล่านั้น
- วิธีปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับสําหรับธุรกิจออนไลน์
วิธีเลือกแนวคิดธุรกิจออนไลน์ที่เหมาะสม
สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกแนวคิดทางธุรกิจมีดังนี้
ทักษะและความสนใจ: ระบุความหลงใหลและทักษะของคุณ ซึ่งอาจเป็นความคิดสร้างสรรค์ การจัดระเบียบ ความรู้ด้านเทคนิค หรืออื่นๆ การทำงานโดยใช้จุดแข็งของคุณจะทำให้คุณมีความมุ่งมั่นกับธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
การวิจัยตลาด: มีอะไรอยู่ในกระแสบ้าง มีความต้องการสำหรับประเภทธุรกิจที่คุณกำลังพิจารณาอยู่หรือไม่ ตรวจสอบคู่แข่งและดูว่าคุณสามารถทำสิ่งที่แตกต่างหรือดีกว่าได้อย่างไร ลองนึกถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นใคร และต้องการอะไร ธุรกิจของคุณควรเป็นโซลูชันแก้ไขปัญหาหรือเป็นบริการที่ผู้คนกำลังค้นหาอยู่
โอกาสในการเติบโต: แนวคิดธุรกิจนี้เป็นสิ่งที่สามารถเติบโตได้ตามกาลเวลาหรือไม่ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล บริการแบบสมัครใช้บริการ และหลักสูตรออนไลน์คือตัวอย่างของโมเดลที่สามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้น
ค่าใช้จ่ายสําหรับสตาร์ทอัพ: ประเมินค่าใช้จ่ายด้านธุรกิจสตาร์ทอัพและโลจิสติกส์ ธุรกิจออนไลน์บางแห่งอาจต้องใช้การลงทุนเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางแห่งก็ต้องการทรัพยากรล่วงหน้าสำหรับซอฟต์แวร์หรือสินค้าคงคลังมากกว่า ชั่งน้ําหนักผลกําไรที่เป็นไปได้เทียบกับสิ่งที่คุณต้องใช้จ่าย
มีขั้นตอนอะไรบ้างในการเริ่มทําธุรกิจออนไลน์
ลงมือปฏิบัติตามแผน ต่อไปนี้คือรายละเอียดทีละขั้นตอนในการเริ่มทําธุรกิจออนไลน์ของคุณ
พัฒนาแผนธุรกิจ: เริ่มต้นด้วยการวางแผนแนวคิดทางธุรกิจของคุณ อธิบายผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ตลาดเป้าหมาย กลยุทธ์การตลาด และรูปแบบรายได้ แผนงานที่มั่นคงจะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทาง และช่วยให้คุณได้รับเงินทุนหากจำเป็น
กําหนดเป้าหมาย: จําแนกวัตถุประสงค์ของคุณออกเป็นเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว เป้าหมายระยะสั้นอาจรวมถึงการเปิดตัวเว็บไซต์หรือการให้ได้มาซึ่งลูกค้ารายแรก ส่วนเป้าหมายระยะยาวอาจเกี่ยวข้องกับการขยายธุรกิจหรือการบรรลุเป้าหมายรายรับ
เลือกโครงสร้างให้เหมาะสม: ตัดสินใจเลือกโครงสร้างธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของคุณ ซึ่งอาจเป็นกิจการที่มีเจ้าของคนเดียว บริษัทจํากัด (LLC) หรือบริษัท โครงสร้างแต่ละประเภทมีผลกระทบทางกฎหมายและภาษีที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุด
จดทะเบียนธุรกิจของคุณ: จดทะเบียนธุรกิจของคุณกับหน่วยงานราชการที่เหมาะสมและขอใบอนุญาตหรือการอนุญาตที่จําเป็น ข้อมูลเฉพาะจะขึ้นอยู่กับตําแหน่งที่ตั้งและอุตสาหกรรมของคุณ
สร้างเว็บไซต์ เลือกแพลตฟอร์มที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจของคุณ (เช่น Shopify สําหรับอีคอมเมิร์ซ WordPress สําหรับบล็อก) ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ และจัดแสดงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดีย: สร้างแบรนด์ของคุณบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ขยายชุมชน และกระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
จัดทําแผนการตลาด ใช้ SEO, การตลาดทางอีเมล และการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อดึงดูดลูกค้า คุณต้องทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อดูว่ากลยุทธ์ใดเหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด
เปิดตัวธุรกิจของคุณ เมื่อเว็บไซต์และแผนการตลาดพร้อมแล้ว เปิดตัวธุรกิจของคุณและเริ่มเพิ่มจํานวนการเข้าชมเว็บไซต์
วิธีจดทะเบียนธุรกิจออนไลน์
การจดทะเบียนธุรกิจเป็นหนึ่งในขั้นตอนแรกที่คุณต้องดําเนินการ ก่อนที่จะเริ่มจําหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการ ขั้นตอนการจดทะเบียนมีรายละเอียดดังนี้
เลือกชื่อธุรกิจ
เลือกชื่อที่สะท้อนถึงธุรกิจของคุณ โดยควรเป็นชื่อที่สะดุดหูและจดจำได้ง่าย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อนี้ยังไม่ถูกธุรกิจอื่นใช้ไปแล้ว โดยค้นหาในทะเบียนธุรกิจของรัฐของคุณ นอกจากนี้ โปรดตรวจสอบเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกา (USPTO) เพื่อดูเครื่องหมายการค้าใดก็ตามที่อาจทําให้เกิดปัญหาในภายหลัง
ยื่นเอกสารขอหมายเลขประจําตัวนายจ้าง (EIN)
EIN ช่วยให้คุณแยกภาษีส่วนบุคคลและธุรกิจออกจากกันได้ คุณสามารถว่าจ้างพนักงานและเปิดบัญชีธนาคารของธุรกิจได้ด้วย กรอกข้อมูลธุรกิจของคุณในเว็บไซต์ของ IRS เพื่อขอ EIN โดยคุณจะได้รับหมายเลข EIN ทันทีเมื่อกรอกเสร็จ
จดทะเบียนสำหรับภาษีและการอนุญาต
คุณอาจต้องจดทะเบียนภาษีของรัฐบาลกลาง รัฐ หรือท้องถิ่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจของคุณ ในกรณีส่วนใหญ่ คุณจะใช้ EIN เพื่อจดทะเบียนกับรัฐเพื่อจุดประสงค์ทางภาษี ธุรกิจบางแห่ง เช่น ในอุตสาหกรรมอาหารหรือสุขภาพ ต้องใช้ใบอนุญาตเพิ่มเติมเพื่อดําเนินงานตามกฎหมาย ตรวจสอบกับรัฐบาลท้องถิ่นของคุณเพื่อตรวจสอบว่าคุณต้องใช้อะไรบ้าง
วิธีสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์
ตัวตนบนโลกออนไลน์สําคัญมากต่อธุรกิจของคุณ ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย ดูเป็นมืออาชีพ และใช้งานได้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ผู้คนไม่ควรต้องค้นหาข้อมูลพื้นฐานเป็นเวลานาน ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่ารายละเอียดการติดต่อ หน้าผลิตภัณฑ์ และเมนูของเว็บไซต์นั้นชัดเจนและเข้าถึงได้ ต่อไปนี้คือข้อควรพิจารณาที่สําคัญอื่นๆ เมื่อสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์
เลือกชื่อโดเมนที่มีประสิทธิภาพ : เลือกชื่อโดเมนที่เชื่อมต่อกับธุรกิจของคุณอย่างชัดเจนและสะกดคําได้ง่าย ควรเป็นชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ ที่จดจำได้
เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม: คุณจะต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณขาย ตัวอย่างเช่น Shopify ทํางานได้ดีสําหรับอีคอมเมิร์ซ WordPress มีความยืดหยุ่นมาก และ Wix นั้นใช้งานง่ายสำหรับมือใหม่
เลือกบริการโฮสติ้งที่เชื่อถือได้: ผู้ให้บริการโฮสติ้งของคุณคือผู้ที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์อยู่เสมอ มองหาตัวเลือกที่เชื่อถือได้ที่มีการสนับสนุนลูกค้าที่ดี เช่น Bluehost หรือ SiteGround เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเว็บไซต์ช้าและขัดข้อง
เพิ่ม SEO ของคุณ: การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาจะช่วยให้ผู้คนพบเว็บไซต์ของคุณได้ การทำ SEO ในหน้าหมายถึงการใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องในเนื้อหา หัวเรื่อง และแท็กของคุณ การทำ SEO นอกหน้าจะต้องใช้ลิงก์ย้อนกลับ (เช่น ไซต์อื่นที่ลิงก์มายังไซต์ของคุณ) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับไซต์ของคุณ
ทําการค้นคว้าคําหลัก: ใช้เวลาในการศึกษาคําหลักที่กลุ่มเป้าหมายของคุณกําลังค้นหาและใช้อย่างรอบคอบตลอดทั้งเนื้อหาของคุณ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับการค้นหาของผู้ใช้มากเท่าใด คุณก็จะติดอันดับสูงๆ บน Google มากขึ้นเท่านั้น
วิธีตั้งค่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ
การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ บริการ หรือการชําระเงินตามรอบบิลทางออนไลน์ต้องมีการตั้งค่าอีคอมเมิร์ซที่รัดกุม ซึ่งมีฟังก์ชันการชําระเงิน การจัดการสินค้าคงคลัง และกลยุทธ์การดําเนินการตามคําสั่งซื้อ ต่อไปนี้คือวิธีการนำสิ่งเหล่านี้มาใช้
เลือกโซลูชันอีคอมเมิร์ซที่เหมาะสม: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่แตกต่างกันมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน Shopify เป็นโซลูชันที่ใช้งานง่ายและครบวงจร (กล่าวคือ เป็นแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยธุรกิจของคุณ) WooCommerce ผสานการทํางานกับ WordPress เพื่อการปรับแต่งเพิ่มเติม และ BigCommerce ก็มีประโยชน์มากหากคุณวางแผนที่จะขยายธุรกิจของคุณอย่างรวดเร็ว เลือกแพลตฟอร์มตามขนาดธุรกิจ เป้าหมาย และระดับความสะดวกสบายด้วยเทคโนโลยี
ตั้งค่าวิธีการชําระเงิน: การรวมตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลายทําให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณได้ง่ายขึ้น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ช่วยให้คุณผสานการทํางานสําหรับวิธีการชําระเงินพื้นฐาน เช่น บัตรเครดิตและกระเป๋าเงินดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย คุณจึงมอบประสบการณ์การชําระเงินที่สะดวกง่ายดายให้แก่ลูกค้า
จัดการสินค้าคงคลัง: คุณจําเป็นต้องตรวจสอบสินค้าคงคลังอย่างใกล้ชิดเมื่อทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เครื่องมืออย่าง Shopify Inventory, Zoho หรือ TradeGecko จะช่วยคุณติดตามระดับสต็อก หลีกเลี่ยงการสั่งซื้อเกิน และจัดการรูปแบบของผลิตภัณฑ์
ประเมินตัวเลือกการดําเนินการตามคําสั่งซื้อ: คุณสามารถแพ็กและจัดส่งคําสั่งซื้อด้วยตัวเองหรือดําเนินการตามคําสั่งซื้อโดยใช้บริการลอจิสติกส์ของบริษัทอื่น (3PL) เช่น ShipBob หรือ Fulfillment โดย Amazon (FBA) ก็ได้ การดําเนินการตามคําสั่งซื้อด้วยตัวเองช่วยให้คุณมีการควบคุมได้มากขึ้น แต่อาจใช้เวลานาน ในขณะที่บริการ 3PL จะช่วยจัดการทุกเรื่องให้คุณและช่วยให้คุณมีเวลามุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจ
วิธีพัฒนากลยุทธ์การตลาดสําหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณ
การกระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจคุณจะต้องมีการผสมผสานความพยายามด้าน SEO แบบทั่วไปและกลยุทธ์แบบชําระเงินที่ตรงเป้าหมาย การรวม SEO, เนื้อหาการตลาด โฆษณาแบบมีค่าใช้จ่าย การมีส่วนร่วมทางโซเชียล และการเป็นพาร์ทเนอร์ที่คิดอย่างรอบคอบสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและเติบโตต่อไปได้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับการพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ
การตลาดผ่านเนื้อหาและ SEO
คุณต้องสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าสูงเพื่อดึงดูดการเข้าชมจากออร์แกนิกไปยังไซต์ของคุณ ขณะเดียวกันก็สร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มเฉพาะของธุรกิจของคุณ พัฒนาบล็อกโพสต์ วิดีโอ หรืออินโฟกราฟิกที่ตอบสนองความต้องการและข้อกังวลของผู้ชม มุ่งเน้นทั้ง SEO ในหน้าและนอกหน้าเพื่อปรับปรุงการจัดอันดับการค้นหาของคุณ กล่าวคือ ใช้คําหลักที่ได้รับการวิจัยอย่างดีทั่วทั้งเว็บไซต์ เพิ่มประสิทธิภาพข้อมูลเมตา และอัปเดตเนื้อหาของคุณเป็นประจําเพื่อให้สอดคล้องกัน
การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายได้ แต่ละแพลตฟอร์มมีกลุ่มเป้าหมายและสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณจะต้องปรับแต่งวิธีการให้สอดคล้องกัน Facebook และ Instagram เหมาะสําหรับเนื้อหาแบบภาพในขณะที่ LinkedIn เหมาะสําหรับ B2B และเครือข่ายมากกว่า ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อสร้างชุมชนที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณ ช่วยตอบคำถามหรือมีปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมาย จัดให้มีการแจกของ และแบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณค่า หากทำได้ดี แคมเปญโซเชียลมีเดียจะช่วยขยายการเข้าถึงของคุณได้อย่างมาก และดึงดูดการเข้าชมที่สม่ำเสมอไปยังไซต์ของคุณ
การตลาดผ่านอีเมล
เช่นเดียวกับโซเชียลมีเดีย อีเมลจะช่วยให้คุณสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ดังนั้นจึงควรสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น ใช้ตัวดึงดูดลูกค้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการฟรี เช่น คู่มือ หลักสูตร หรือส่วนลดพิเศษ ที่นำเสนอเพื่อแลกกับการสมัคร จากนั้น คุณสามารถแบ่งกลุ่มรายชื่ออีเมลของคุณเพื่อส่งอีเมลที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น รักษาเนื้อหาให้มีความเกี่ยวข้อง ไม่ว่าคุณจะกำลังหาลูกค้าเป้าหมาย โปรโมตโฆษณา หรือแจ้งข่าวสารทางธุรกิจ คุณสามารถทดสอบหัวเรื่องและเนื้อหาแบบ A/B เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า
การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย
ลงทุนโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) เช่น Google Ads, Bing Ads หรือโฆษณาบน Facebook เพื่อเพิ่มการมองเห็นได้ทันที กำหนดเป้าหมายผู้ชมเฉพาะกลุ่มด้วยโฆษณาที่ปรับแต่งตามความต้องการ และปรับแต่งแคมเปญของคุณโดยใช้ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ เช่น CTR (อัตราการคลิกผ่าน) และการติดตามการเปลี่ยนเป็นลูกค้า ใช้โฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายใหม่เพื่อดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่โต้ตอบกับไซต์ของคุณแต่ไม่ได้ซื้ออะไรเลยให้กลับมาอีกครั้ง
การทํางานร่วมกันและการเป็นพาร์ทเนอร์
สร้างความน่าเชื่อถือ และขยายเครือข่ายโดยการเป็นพาร์ทเนอร์กับอินฟลูเอนเซอร์และบริษัทในเครือที่สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณ เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ให้กลุ่มผู้ชมที่มีส่วนร่วมและพัฒนาโปรแกรมพันธมิตรที่เสนอคอมมิชชั่นที่ดีเพื่อสร้างแรงจูงใจในการส่งเสริมการขาย ร่วมมือกับธุรกิจที่เสริมกันเพื่อการส่งเสริมการขายร่วมกัน
วิธีเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า
สร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้เข้าชมมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่ชําระเงินด้วยการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ การสร้างคำกระตุ้นการดำเนินการ (CTA) ที่ชัดเจน การทดสอบเป็นประจำ และการแสดงคำรับรองที่สร้างความไว้วางใจ ต่อไปนี้คือรายละเอียดของแต่ละวิธีเหล่านี้
ประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX)
ประสบการณ์เว็บไซต์ที่ราบรื่นและใช้งานง่ายช่วยให้ผู้เข้าชมกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย โหลดเร็ว และทํางานได้ในทุกอุปกรณ์ เค้าโครงที่ไม่สอดคล้องหรือเวลาโหลดที่นานทำให้เกิดอัตราการออกจากเว็บไซต์ที่สูง อย่าให้ผู้ใช้มีเหตุผลที่จะออกจากเว็บไซต์ก่อนที่จะมีโอกาสได้สำรวจ
CTA ที่มีประสิทธิภาพ
CTA ของคุณควรชัดเจน มุ่งเน้นการดำเนินการ และวางในตำแหน่งที่เหมาะสมทั่วทั้งไซต์ของคุณ วลีเช่น “เริ่มต้นเลย” “สมัครสมาชิกทันที” หรือ “ช้อปสินค้าลดราคา” จะดึงดูดความสนใจและแนะนำให้ผู้ใช้ดำเนินการขั้นตอนถัดไป
การทดสอบ A/B และการเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน (CRO)
CRO มาจากการทดสอบว่าแบบใดเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณที่สุด ดําเนินการทดสอบ A/B กับองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์ เช่น CTA, พาดหัว เลย์เอาต์หน้า หรือชุดสีเพื่อดูสิ่งที่ช่วยเพิ่มการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน การปรับแต่งเล็กๆ น้อยๆ อาจทําให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตามมา
บทวิจารณ์และคำรับรองจากลูกค้า
บทวิจารณ์และคำรับรองเชิงบวกจะสร้างความไว้วางใจกับลูกค้าที่มีศักยภาพ แสดงสิ่งเหล่านี้อย่างโดดเด่นบนเว็บไซต์ของคุณ ผู้คนต้องการเห็นว่าผู้อื่นมีประสบการณ์ที่ดีก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ หลักฐานทางสังคม ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผู้คนได้รับอิทธิพลจากการกระทำของผู้อื่น อาจเป็นแรงผลักดันที่ผู้คนต้องการในการเปลี่ยนจากการเรียกดูไปสู่การซื้อ
วิธีให้บริการลูกค้าออนไลน์ที่ยอดเยี่ยม
การให้บริการลูกค้าทางออนไลน์อย่างดีเยี่ยมหมายถึงการให้ลูกค้าสามารถติดต่อคุณได้อย่างง่ายดาย จัดการกับการคืนสินค้าและปัญหาอื่นๆ ได้อย่างราบรื่น และค้นหาวิธีที่จะรักษาความภักดีของลูกค้า ลูกค้าที่มีความสุขมีแนวโน้มที่จะทําการซื้อซ้ําและแนะนําธุรกิจของคุณให้ผู้อื่นด้วย ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้เพื่อสร้างประสบการณ์การบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม
ทําให้การติดต่อธุรกิจเป็นเรื่องง่าย: ให้ผู้คนสามารถติดต่อคุณได้หลายวิธี เช่น การแชทสดเพื่อขอความช่วยเหลือได้ทันที การสนับสนุนทางอีเมลสำหรับคำถามที่ไม่เร่งด่วน และการสนับสนุนทางโทรศัพท์สำหรับปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น การแชทสดมีประโยชน์สำหรับการตอบกลับที่รวดเร็ว ในขณะที่อีเมลช่วยให้คุณสามารถให้คำตอบที่เจาะลึกมากขึ้น
มีความโปร่งใสเกี่ยวกับนโยบายการคืนสินค้าและการคืนเงิน ตรวจสอบให้แน่ใจว่านโยบายของคุณค้นหาได้ง่ายบนเว็บไซต์และตรงไปตรงมา หากพบปัญหา การจัดการการคืนสินค้าอย่างรวดเร็วและยุติธรรมจะช่วยให้คุณรักษาความไว้วางใจของลูกค้าได้
ทุ่มเทสร้างความภักดีต่อแบรนด์: มอบของขวัญ เช่น ส่วนลดสําหรับการซื้อซ้ํา สิทธิ์เข้าถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ก่อนเปิดตัว หรือข้อเสนอเฉพาะบุคคล ติดตามลูกค้าหลังจากซื้อสินค้าหรือมีโปรแกรมสะสมคะแนนที่ช่วยให้ลูกค้ากลับมาติดต่อคุณได้
วิธีขยายธุรกิจออนไลน์
เคล็ดลับบางส่วนที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพมีดังนี้
ระบุช่องว่างและโอกาส
ดูข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า รวมถึงข้อกังวลก่อนจะขยายธุรกิจของคุณ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนองหรือการอัปเกรดที่อาจเกิดขึ้นที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่ของคุณ พิจารณารวมชุดผลิตภัณฑ์หรือสร้างแพ็กเกจบริการตามระดับเพื่อจับลูกค้ากลุ่มต่างๆ และเพิ่มมูลค่าคําสั่งซื้อโดยเฉลี่ย
สร้างระบบอัตโนมัติโดยมีจุดประสงค์
ระบบอัตโนมัติจะช่วยให้คุณพัฒนาธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่เพียงแต่ประหยัดเวลาเท่านั้น สำหรับการตลาด ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ เช่น HubSpot หรือ Klaviyo มีการกำหนดเป้าหมายตามพฤติกรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งข้อความที่ปรับแต่งตามการดำเนินการของลูกค้า เครื่องมือจัดการสินค้าคงคลังเช่น TradeGecko หรือระบบ ERP สามารถช่วยคุณจัดการกับความท้าทายของซัพพลายเชนขณะที่ธุรกิจคุณเติบโต สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถขยายและปรับตัวได้โดยไม่ต้องลดคุณภาพหรือประสบการณ์ของลูกค้า
ทดสอบก่อนขยาย
การเข้าสู่ตลาดใหม่ต้องมีการวิจัยตลาดอย่างเข้มงวด หากเป็นไปได้ ให้เรียกใช้แคมเปญทดสอบหรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบจํากัดในภูมิภาคใหม่ก่อน ผลิตภัณฑ์อย่าง Google Market Finder จะช่วยแสดงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดระดับสากลได้ คุณจะต้องแปลเนื้อหาและปรับแต่งข้อความ ค่าบริการ และฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ
จ้างพนักงานสําหรับระยะถัดไป
อย่าจ้างเพียงเพื่อเติมตำแหน่งงานว่างเท่านั้น คิดล่วงหน้าถึงบทบาทที่คุณจะต้องการเมื่อธุรกิจเติบโต จ้างพนักงานที่มีทักษะเฉพาะทางที่สามารถรับมือกับความซับซ้อนต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดในตลาดใหม่ๆ นักวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อข้อมูลเชิงลึกที่ละเอียดขึ้น หรือผู้เชี่ยวชาญฝ่ายปฏิบัติงานด้านการจัดการซัพพลายเชน สร้างทีมผู้นำที่เข้าใจถึงความยากลำบากในการเติบโตของธุรกิจและสามารถแก้ไขปัญหาเชิงรุกได้
ความท้าทายที่พบบ่อยเมื่อเริ่มทําธุรกิจออนไลน์และวิธีเอาความท้าทายเหล่านั้น
การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่การแก้ไขปัญหาทางเทคนิคอย่างจริงจัง การรักษาความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และการรักษาสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ ต่อไปนี้เป็นปัญหากบางประการที่คุณอาจต้องเผชิญขณะดำเนินธุรกิจออนไลน์
เว็บไซต์หยุดทำงานและข้อผิดพลาด
ปัญหาทางเทคนิคอาจเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเว็บไซต์ของคุณทํางานขัดข้องในช่วงที่เกิดการขายที่สําคัญ เพื่อลดความเสี่ยงของการหยุดชะงักของเว็บไซต์ของคุณ โปรดลงทุนกับเว็บโฮสติ้งที่เชื่อถือได้และทดสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์เป็นประจำ ใช้เทคโนโลยีเช่น UptimeRobot เพื่อตรวจสอบปัญหาขัดข้องของเว็บไซต์และแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว หากคุณไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ให้พิจารณาจ้างนักพัฒนาเว็บหรือใช้บริการโฮสติ้งที่มีการจัดการ เพื่อจัดการการบํารุงรักษาและรักษาความปลอดภัยของแบ็กเอนด์
การแข่งขันในตลาด
มาร์เก็ตเพลสออนไลน์เต็มไปด้วยธุรกิจมากมาย ทำให้การแข่งขันรุนแรง สร้างความแตกต่างให้ธุรกิจของคุณ มุ่งเน้นที่คุณค่าที่นำเสนอ คุณสามารถเสนออะไรที่คนอื่นเสนอไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าของลูกค้า ผลิตภัณฑ์สุดพิเศษ หรือโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมสําหรับปัญหาของลูกค้า ลองลงทุนในสิ่งที่ทําให้แบรนด์ของคุณแตกต่าง นอกจากนี้ ให้ใช้การตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม (กล่าวคือ กำหนดเป้าหมายผู้ชมเฉพาะกลุ่มด้วยข้อความที่ปรับแต่งให้เหมาะสม) เพื่อให้มีอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่สูงขึ้น
ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต
การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์อาจดูเหมือนต้องใช้เวลาทำทุกอย่าง แต่การละเลยการดูแลตัวเองอาจทำให้เกิดภาวะหมดไฟได้ กําหนดขอบเขตตั้งแต่เริ่มต้น กล่าวคือ กำหนดชั่วโมงทํางานของคุณ มีเวลาพักเป็นประจํา และกําหนดเวลาสําหรับกิจกรรมส่วนบุคคล แพลตฟอร์มการจัดการเวลาอย่าง Trello หรือ Asana สามารถช่วยคุณจัดการงานให้เป็นระเบียบและป้องกันการทำงานจนเกินควรได้ หากทำได้ ให้จ้างบุคคลภายนอกให้ทำภารกิจที่ไม่ใช่จุดแข็งของคุณ เพื่อให้มีเวลาว่างมากขึ้น
วิธีปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับสําหรับธุรกิจออนไลน์
มีกฎหมายและข้อบังคับหลายฉบับที่ควบคุมธุรกิจออนไลน์อยู่ ตัวอย่างเช่น
กฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
หากคุณรวบรวมข้อมูลลูกค้า คุณจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น ข้อบังคับทั่วไปเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล (GDPR) สำหรับลูกค้าในสหภาพยุโรป และกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งแคลิฟอร์เนีย (CCPA) สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งหมายรวมถึงการขอความยินยอมอย่างชัดเจนก่อนที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล การแจกแจงนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน และอนุญาตให้ผู้ใช้เข้าถึงหรือลบข้อมูลของตัวเองออกได้เมื่อได้รับคําขอ ใช้เครื่องมือเพื่อการปฏิบัติตามข้อกําหนด เช่น Termly หรือ OneTrust เพื่อให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎระเบียบทั้งหมด และตรวจสอบและอัปเดตแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นประจําเมื่อกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป
กฎหมายอีคอมเมิร์ซและการคุ้มครองผู้บริโภค
กฎเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซจะแตกต่างกันไปตามตําแหน่งที่ตั้ง โดยครอบคลุมตั้งแต่กฎหมายการเรียกเก็บภาษีการขาย ไปจนถึงกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งกำหนดให้มีความโปร่งใสเกี่ยวกับการคืนสินค้า ค่าจัดส่ง และการรับประกัน แสดงข้อกําหนดการให้บริการ นโยบายการคืนเงิน และค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอย่างชัดเจน หากคุณจําหน่ายสินค้าหรือบริการระหว่างประเทศ ทําความคุ้นเคยกับกฎหมายอีคอมเมิร์ซในประเทศที่คุณวางแผนว่าจะทําธุรกิจ หรือใช้แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Avalara เพื่อปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีอัตโนมัติในเขตอํานาจศาลต่างๆ
การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (IP)
IP รวมถึงโลโก้ของคุณ เนื้อหาเว็บไซต์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ชื่อธุรกิจ และอื่นๆ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้อง จะช่วยปกป้องสินทรัพย์ของคุณไม่ให้ถูกคัดลอกหรือใช้ในทางที่ผิด เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น พิจารณาใช้บริการเช่น LegalZoom ในการยื่นเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตร และติดตามคู่แข่งว่ามีการละเมิดที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ รวมข้อกำหนดการใช้งานไว้ในเว็บไซต์ของคุณเพื่อป้องกันการใช้เนื้อหาของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต
การปฏิบัติตามข้อกําหนดของธุรกิจออนไลน์หมายถึงการปกป้องข้อมูลลูกค้า การปฏิบัติตามกฎหมายอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาค และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของคุณ คอยอัปเดตข่าวสารล่าสุดในด้านเหล่านี้เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณดําเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งในประเทศและทั่วโลก
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ