ธุรกิจออนไลน์ต่างจากธุรกิจร้านค้าแบบดั้งเดิมเพราะมักจะมีต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่า มีความยืดหยุ่นด้านสถานที่ และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วโลก บ่อยครั้งธุรกิจออนไลน์สามารถทำให้หลายๆ กระบวนการดำเนินโดยอัตโนมัติได้ ซึ่งหมายความว่าคุณจะสามารถขยายธุรกิจได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าร้านค้าแบบดั้งเดิม แต่อาจหาจุดเริ่มต้นได้ยาก
ไม่ว่าคุณกำลังมองหาวิธีสร้างรายได้จากสิ่งที่หลงใหลและเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก หรือจะสำรวจโมเดลธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ง่าย ด้านล่างนี้จะเป็นคู่มือการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ เราจะอธิบายวิธีการจดทะเบียนธุรกิจ พัฒนากลยุทธ์การตลาด ดำเนินการปฏิบัติตามข้อกำหนด และอื่นๆ อีกมากมาย
เนื้อหาหลักในบทความ
- วิธีเลือกแนวคิดธุรกิจออนไลน์ที่เหมาะสม
- 8 ขั้นตอนในการเริ่มดำเนินธุรกิจออนไลน์
- วิธีจดทะเบียนธุรกิจออนไลน์ของคุณ
- วิธีตั้งค่าเว็บไซต์ของคุณ
- วิธีตั้งค่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ
- วิธีพัฒนากลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณ
- วิธีเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า
- ความท้าทายที่พบบ่อยเมื่อเริ่มทำธุรกิจออนไลน์และวิธีเอาความท้าทายเหล่านั้น
- วิธีปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับธุรกิจออนไลน์
- Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
วิธีเลือกแนวคิดธุรกิจออนไลน์ที่เหมาะสม
สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกแนวคิดธุรกิจที่จะดำเนินการมีดังนี้
ทักษะและความสนใจ: หาว่าคุณมีความหลงใหลใด้านใดและมีทักษะอะไรบ้าง คุณมีความคิดสร้างสรรค์เป็นพิเศษหรือไม่ มีพรสวรรค์ด้านงานเทคนิคหรือไม่ การทำงานโดยใช้จุดแข็งของคุณจะทำให้คุณมีความมุ่งมั่นกับธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากคุณมีความหลงใหลด้านแฟชั่น คุณอาจพัฒนาแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมาหรืออาจขายเสื้อผ้าวินเทจก็ได้
การวิจัยตลาด: มีอะไรกำลังเป็นกระแสอยู่บ้าง ประเภทธุรกิจที่คุณกำลังพิจารณาอยู่มีอุปสงค์หรือไม่ ค้นคว้าเกี่ยวกับคู่แข่งและดูว่าคุณสามารถสร้างสิ่งที่แตกต่างหรือดีกว่าได้อย่างไร ลองนึกถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณด้วยเช่นกัน ว่าพวกเขาเป็นใครและต้องการอะไร ธุรกิจของคุณควรเป็นทางออกของปัญหาหรือเป็นบริการที่ผู้คนกำลังค้นหาอยู่ ตัวอย่างเช่น การขายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากพลาสติก ในตลาดที่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อยู่เลย หรือผลิตภัณฑ์ที่กำลังมีอยู่ในปัจจุบันแต่ได้รับคำวิจารณ์เชิงลบ
โอกาสในการเติบโต: แนวคิดธุรกิจนี้เป็นแนวคิดที่สามารถเติบโตได้ตามกาลเวลาหรือไม่ ตัวอย่างโมเดลที่ามารถขยายการเติบโตได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนทรัพยากรจำนวนมากขึ้นได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล บริการแบบสมัครใช้บริการ และหลักสูตรออนไลน์
ค่าใช้จ่ายสำหรับสตาร์ทอัพ: ประเมินค่าใช้จ่ายด้านธุรกิจสตาร์ทอัพและโลจิสติกส์ ธุรกิจออนไลน์ เช่นการดรอปชิป ต้องใช้การลงทุนเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ธุรกิจบางอย่างต้องการทรัพยากรล่วงหน้าสำหรับซอฟต์แวร์หรือสินค้าคงคลังในจำนวนที่มากกว่า ให้ลองเทียบผลกำไรที่อาจได้รับกับสิ่งที่คุณต้องใช้จ่าย
8 ขั้นตอนในการเริ่มดำเนินธุรกิจออนไลน์
ดำเนินการตามแผนของคุณ ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับวิธีการเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ โดยบทความนี้จะอธิบายขั้นตอนเหล่านี้อย่างละเอียดยิ่งขึ้นในส่วนด้านล่าง
พัฒนาแผนธุรกิจ: เริ่มจากการวางแผนแนวคิดทางธุรกิจของคุณ ร่างเค้าโครงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ตลาดเป้าหมาย กลยุทธ์การตลาด และรูปแบบรายได้ แผนงานที่มั่นคงจะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทางให้แก่คุณ และช่วยให้คุณหาเงินทุนได้หากจำเป็น
กำหนดเป้าหมาย: จำแนกวัตถุประสงค์ของคุณออกเป็นเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว โดยเป้าหมายระยะสั้นอาจมีทั้งการเปิดตัวเว็บไซต์หรือการหาลูกค้ารายแรก ส่วนเป้าหมายระยะยาวอาจเป็นการขยายธุรกิจหรือการบรรลุเป้าหมายรายรับที่ตั้งไว้
เลือกโครงสร้างให้เหมาะสม: ตัดสินใจเลือกโครงสร้างธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของคุณ ซึ่งอาจเป็นกิจการที่มีเจ้าของคนเดียว บริษัทจำกัด (LLC) หรือบริษัท โครงสร้างแต่ละประเภทมีผลกระทบทางกฎหมายและภาษีที่แตกต่างกัน
จดทะเบียนธุรกิจของคุณ: จดทะเบียนธุรกิจของคุณกับหน่วยงานราชการที่เหมาะสมพร้อมขอใบอนุญาตหรือการอนุญาตที่จำเป็น ข้อมูลเฉพาะจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งและอุตสาหกรรมของคุณ
สร้างเว็บไซต์: เลือกแพลตฟอร์มที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจของคุณ (เช่น Shopify สำหรับอีคอมเมิร์ซ WordPress สำหรับบล็อก) ทำให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย และเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ และทำให้เว็บไซต์จัดแสดงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ
จัดทำแผนการตลาดดิจิทัล: ใช้ SEO, การตลาดทางอีเมล และการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อดึงดูดลูกค้า ทำการทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อดูว่ากลยุทธ์ใดเหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด
เปิดตัวธุรกิจของคุณ เมื่อเตรียมเว็บไซต์และแผนการตลาดพร้อมแล้ว ให้เปิดตัวธุรกิจของคุณและเริ่มเพิ่มจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์
ขยายการมีตัวตนบนโซเชียลมีเดีย: สร้างแบรนด์ของคุณบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ขยายชุมชน และกระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
วิธีจดทะเบียนธุรกิจออนไลน์
การจดทะเบียนธุรกิจเป็นหนึ่งในขั้นตอนแรกที่คุณต้องดำเนินการ ก่อนที่จะเริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการ ขั้นตอนการจดทะเบียนมีรายละเอียดดังนี้
- เลือกชื่อธุรกิจ: เลือกชื่อที่สะท้อนถึงธุรกิจของคุณ โดยควรเป็นชื่อที่สะดุดหูและจดจำได้ง่าย ให้นำชื่อไปค้นหาในทะเบียนธุรกิจของรัฐเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อนี้ยังไม่ถูกธุรกิจอื่นใช้ไปแล้ว นอกจากนี้ ให้ตรวจสอบเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกา (USPTO) เพื่อดูเครื่องหมายการค้าใดก็ตามที่อาจทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง
- ยื่นขอหมายเลขประจำตัวนายจ้าง (EIN): EIN ช่วยให้คุณแยกภาษีส่วนบุคคลและธุรกิจออกจากกันได้ คุณสามารถว่าจ้างพนักงานและเปิดบัญชีธนาคารของธุรกิจได้ด้วย หากต้องการรับ EIN ให้กรอกแบบฟอร์มออนไลน์บน IRS โดยใช้ข้อมูลธุรกิจของคุณ โดยคุณจะได้รับหมายเลขดังกล่าวทันทีเมื่อกรอกเสร็จสิ้น
- จดทะเบียนภาษีและใบอนุญาต: คุณอาจต้องจดทะเบียนภาษีของรัฐบาลกลาง รัฐ หรือท้องถิ่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจของคุณ ในกรณีส่วนใหญ่ คุณจะใช้ EIN เพื่อจดทะเบียนกับรัฐเพื่อจุดประสงค์ทางภาษี ธุรกิจบางแห่ง เช่น ในอุตสาหกรรมอาหารหรือสุขภาพ ต้องใช้ใบอนุญาตเพิ่มเติมเพื่อดำเนินงานตามกฎหมาย ตรวจสอบกับรัฐบาลท้องถิ่นของคุณเพื่อตรวจสอบว่ากฎหมายใดบ้างมีผลบังคับใช้กับคุณ หากมี
วิธีตั้งค่าเว็บไซต์
ตัวตนบนโลกออนไลน์สามารถชี้ชะตาธุรกิจของคุณได้เลยทีเดียว เว็บไซต์ของคุณควรดูเป็นมืออาชีพ ใช้งานง่าย และใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อย่างราบรื่น ผู้คนไม่ควรต้องเสียเวลากับการค้นหาข้อมูลพื้นฐาน ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่ารายละเอียดการติดต่อ หน้าผลิตภัณฑ์ และเมนูของเว็บไซต์นั้นชัดเจนและเข้าถึงได้ ข้อควรพิจารณาที่สำคัญอื่นๆ เมื่อสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์มีดังต่อไปนี้
เลือกชื่อโดเมนที่มีประสิทธิภาพ เลือกชื่อโดเมนที่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจของคุณอย่างชัดเจนและสะกดคำได้ง่าย ควรเป็นชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ ที่จดจำได้
เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม: คุณจะต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณขาย ตัวอย่างเช่น Shopify ทำงานได้ดีสำหรับอีคอมเมิร์ซ Wix ใช้งานง่ายสำหรับมือใหม่ และ WordPress มีความยืดหยุ่นมาก
เลือกบริการโฮสติ้งที่เชื่อถือได้: ผู้ให้บริการโฮสติ้งของคุณคือผู้ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์อยู่ได้ตลอด ให้หาตัวเลือกที่เชื่อถือได้ที่มีการสนับสนุนลูกค้าที่ดี เช่น Bluehost หรือ SiteGround เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเว็บไซต์ช้าและขัดข้อง
ทำการค้นคว้าคำหลัก: ศึกษาคำหลักที่กลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหาและใช้อย่างรอบคอบตลอดทั้งเนื้อหาของคุณ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับการค้นหาของผู้ใช้มากเท่าใด คุณก็จะติดอันดับสูงๆ บน Google มากขึ้นเท่านั้น
วิธีตั้งค่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ
การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ บริการ หรือการสมัครใช้บริการทางออนไลน์ต้องมีการตั้งค่าอีคอมเมิร์ซที่รัดกุม ซึ่งมีฟังก์ชันการชำระเงิน การจัดการสินค้าคงคลัง และกลยุทธ์การดำเนินการตามคำสั่งซื้อ โดยวิธีการนำสิ่งเหล่านี้มาใช้มีดังต่อไปนี้
เลือกโซลูชันอีคอมเมิร์ซที่เหมาะสม: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่แตกต่างกันก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วย Shopify เป็นแพลตฟอร์มใช้งานง่ายที่มีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยเหลือธุรกิจของคุณได้ WooCommerce ผสานการทำงานกับ WordPress เพื่อให้มีการปรับแต่งเพิ่มเติม และ BigCommerce จะมีประโยชน์มากหากคุณวางแผนที่จะขยายการขนาดธุรกิจของคุณอย่างรวดเร็ว ให้เลือกแพลตฟอร์มตามขนาดธุรกิจ เป้าหมาย และระดับความถนัดด้านเทคโนโลยีของคุณ
ตั้งค่าวิธีการชำระเงิน: รวมตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลายเพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณได้ง่ายขึ้น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ช่วยให้สามารถผสานการทำงานวิธีการชำระเงินพื้นฐานต่างๆ เช่น บัตรเครดิตและกระเป๋าเงินดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย ทำให้คุณได้มอบประสบการณ์การชำระเงินที่สะดวกง่ายดายให้แก่ลูกค้า
จัดการสินค้าคงคลัง: คุณจำเป็นต้องตรวจสอบสินค้าคงคลังอย่างใกล้ชิดเมื่อดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยเครื่องมือต่างๆ อย่าง Shopify Inventory, Zoho หรือ TradeGecko จะช่วยคุณสามารถติดตามสินค้าในระดับสต็อก หลีกเลี่ยงการสั่งซื้อเกิน และจัดการรูปแบบของผลิตภัณฑ์ได้
ประเมินตัวเลือกการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ: คุณสามารถบรรจุและจัดส่งคำสั่งซื้อด้วยตัวเอง หรือดำเนินการตามคำสั่งซื้อโดยใช้บริการโลจิสติกส์ของบริษัทอื่น (3PL) เช่น ShipBob หรือ Fulfillment โดย Amazon (FBA) ก็ได้ การดำเนินการตามคำสั่งซื้อด้วยตัวเองช่วยให้คุณมีระดับการควบคุมที่มากขึ้น แต่อาจใช้เวลานาน ในขณะที่บริการ 3PL จะช่วยจัดการทุกอย่างให้คุณและช่วยให้คุณได้ใช้เวลามุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจ
วิธีพัฒนากลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณ
การกระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจคุณจะต้องมีการผสมผสานความพยายามด้าน SEO แบบทั่วไปและกลยุทธ์แบบชำระเงินที่ตรงเป้าหมาย การรวม SEO, เนื้อหาการตลาด โฆษณาแบบมีค่าใช้จ่าย การมีส่วนร่วมทางโซเชียล และการเป็นพาร์ทเนอร์ที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบต่างสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและเติบโตต่อไปได้ ขั้นตอนเริ่มต้นสำหรับการพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้
กลุ่มเป้าหมาย
ก่อนที่จะเริ่มทำการตลาดธุรกิจของคุณ คุณต้องระบุว่าลูกค้ากลุ่มใดเหมาะที่สุด ใช้ข้อมูลตลาดที่คุณค้นคว้าในช่วงแรกของคุณเพื่อพิจารณาว่าบุคคลใดบ้างที่ต้องการหรือต้องใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ แล้วสร้างแบบจำลองบุคลิกลูกค้าขึ้นมาเพื่อช่วยกำกับแนวทางการตัดสินใจด้านการตลาดทั้งหมดของคุณ
การตลาดผ่านเนื้อหาและ SEO
คุณต้องสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าสูงเพื่อดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิกมายังไซต์ของคุณ ขณะเดียวกันให้สร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มเฉพาะของธุรกิจของคุณโดยการเขียนบล็อกโพสต์ ถ่ายวิดีโอ หรือสร้างอินโฟกราฟิกที่ตอบสนองความต้องการและไขข้อกังวลของผู้ชม มุ่งเน้น SEO ทั้งในหน้าและนอกหน้าเพจของคุณเพื่อปรับปรุงอันดับผลการค้นหาของคุณ โดยค้นคว้าคำหลักที่จะนำไปใช้ทั่วทั้งเว็บไซต์ของคุณ และอัปเดตเนื้อหาของคุณเป็นประจำเพื่อให้เว็บไซต์ไม่ล้าหลัง
การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย
ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีกลุ่มเป้าหมายและสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณจะต้องปรับแต่งวิธีการให้เหมาะสำหรับแต่ละแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram เหมาะสำหรับเนื้อหาแบบภาพในขณะที่ LinkedIn เหมาะสำหรับ B2B และการสร้างเครือข่ายมากกว่า ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อสร้างชุมชนในแบบของแบรนด์คุณโดยการมีปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมาย จัดกิจกรรมแจกของ และแบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณค่า หากทำแคมเปญโซเชียลมีเดียออกมาได้ดี ก็จะช่วยขยายการเข้าถึงของคุณได้อย่างมาก และดึงดูดการเข้าชมที่สม่ำเสมอสู่ไซต์ของคุณ
การตลาดผ่านอีเมล
เช่นเดียวกับโซเชียลมีเดีย อีเมลจะช่วยให้คุณสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ดังนั้นจึงควรสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น ใช้ตัวดึงดูดลูกค้าซึ่งก็คือผลิตภัณฑ์หรือบริการฟรี เช่น คู่มือ หลักสูตร หรือส่วนลดพิเศษ ที่ธุรกิจนำเสนอเพื่อแลกกับการสมัครใช้บริการ จากนั้น คุณสามารถแบ่งกลุ่มรายชื่ออีเมลได้เพื่อส่งอีเมลที่มีเนื้อหาปรับเป็นส่วนตัวมากขึ้น พยายามให้เนื้อหามีความเกี่ยวข้องตลอด ไม่ว่าคุณจะกำลังหาลูกค้าเป้าหมาย โปรโมตโฆษณา หรือแจ้งข่าวสารอัปเดตของธุรกิจอยู่ก็ตาม คุณสามารถทดสอบหัวเรื่องและเนื้อหาแบบ A/B ได้เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน
การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย
ลงทุนโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) เช่น Google Ads, Bing Ads หรือโฆษณาบน Facebook เพื่อเพิ่มการมองเห็นได้ทันที กำหนดเป้าหมายผู้ชมเฉพาะกลุ่มด้วยโฆษณาที่ปรับแต่งตามความต้องการ และคอยสังเกตตัวชี้วัดประสิทธิภาพต่างๆ เช่น CTR (อัตราการคลิกผ่าน) และการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน ใช้โฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายใหม่เพื่อดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่เคยโต้ตอบกับไซต์ของคุณแต่ยังไม่ได้ซื้ออะไรเลยให้กลับมาที่เว็บไซต์อีกครั้ง
การทำงานร่วมกันและการเป็นพาร์ทเนอร์
คุณสามารถเพิ่มการเข้าถึงของธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือ และขยายเครือข่ายของคุณได้โดยการร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ ที่สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณ ลองเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจเสริมความสามารถเพื่อส่งเสริมการขายทั่วทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและรายการอีเมลของคุณ
วิธีเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า
สร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้เข้าชมมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่ชำระเงิน ทำการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ สร้างคำกระตุ้นการดำเนินการ (CTA) ที่ชัดเจน ทดสอบเป็นประจำ และแสดงคำรับรองที่สร้างความไว้วางใจ รายละเอียดของแต่ละวิธีมีดังต่อไปนี้
ประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX)
การมีประสบการณ์เว็บไซต์ลื่นไหลและใช้งานง่ายจะช่วยให้ผู้เข้าชมกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ ทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย โหลดเร็ว และทำงานได้ในทุกอุปกรณ์ การมีเลย์เอาต์ที่ไม่เป็นระเบียบหรือเว็บไซต์โหลดนานจะทำให้อัตราการออกจากเว็บไซต์สูงขึ้น พูดอีกอย่างก็คือ อย่าให้ผู้ใช้มีเหตุผลที่จะออกจากเว็บไซต์ก่อนที่จะได้สำรวจ
CTA ที่มีประสิทธิภาพ
CTA ของคุณควรชัดเจน เน้นที่การดำเนินการ และวางในตำแหน่งที่เหมาะสมทั่วทั้งไซต์ของคุณ วลีต่างๆ เช่น "เริ่มใช้งานเลย" "สมัครสมาชิกตอนนี้" และ "ช้อปสินค้าลดราคา" จะดึงดูดความสนใจและนำพาให้ผู้ใช้เข้ามาดำเนินการขั้นตอนถัดไปได้
การทดสอบ A/B และการเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน (CRO)
CRO มาจากการทดสอบว่าสิ่งใดบ้างที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณที่สุด ให้ดำเนินการทดสอบ A/B กับองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์ เช่น CTA, พาดหัว เลย์เอาต์หน้า หรือชุดสี เพื่อดูว่าอะไรสามารถช่วยเพิ่มการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินได้บ้าง การปรับแต่งเล็กๆ น้อยๆ อาจทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตามมาได้
บทวิจารณ์และคำรับรองจากลูกค้า
บทวิจารณ์และคำรับรองเชิงบวกจะสร้างความไว้วางใจให้แก่ผู้ที่อาจเป็นลูกค้าได้ ให้ดึงสิ่งเหล่านี้ออกมาแสดงอย่างโดดเด่นบนเว็บไซต์ของคุณ ผู้มักอยากเห็นว่าผู้อื่นมีประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ปรากฏการณ์หลักฐานทางสังคมซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผู้คนได้รับอิทธิพลจากการกระทำของผู้อื่น อาจเป็นแรงผลักดันที่จะช่วยกระตุ้นเปลี่ยนให้ลูกค้าที่กำลังเรียกดูสินค้ากลายเป็นผู้ที่ซื้อได้
ความท้าทายที่พบบ่อยเมื่อเริ่มทำธุรกิจออนไลน์และวิธีเอาความท้าทายเหล่านั้น
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างความท้าทายที่คุณอาจต้องเผชิญขณะดำเนินธุรกิจออนไลน์
เว็บไซต์หยุดทำงานและข้อผิดพลาด
ปัญหาทางเทคนิคอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเว็บไซต์ของคุณทำงานขัดข้องในช่วงที่มีงานขายครั้งสำคัญ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการหยุดชะงักของเว็บไซต์ของคุณ ให้ลงทุนกับเว็บโฮสติ้งที่เชื่อถือได้และทดสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์เป็นประจำ ใช้เทคโนโลยี เช่น UptimeRobot เพื่อตรวจสอบปัญหาขัดข้องของเว็บไซต์และแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว หากคุณไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ให้พิจารณาจ้างนักพัฒนาเว็บหรือใช้บริการโฮสติ้งภายใต้การจัดการ เพื่อจัดการการบำรุงรักษาและรักษาความปลอดภัยของแบ็กเอนด์
การแข่งขันในตลาด
หากต้องการให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ให้มุ่งเน้นที่คุณค่าที่นำเสนอ คุณสามารถเสนออะไรที่คนอื่นเสนอไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าของลูกค้า ผลิตภัณฑ์สุดพิเศษ หรือโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหา ลองลงทุนในสิ่งที่ทำให้แบรนด์ของคุณแตกต่างจากคนอื่น นอกจากนี้ ให้พิจารณาใช้การตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม (ซึ่งก็คือการมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มด้วยข้อความที่ปรับแต่งให้เหมาะสม) เพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าให้สูงขึ้น
ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต
การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์อาจดูเหมือนต้องใช้เวลาทำทุกอย่าง คุณสามารถป้องกันการหมดไฟได้โดยกำหนดขอบเขตตั้งแต่เริ่มต้น คือ กำหนดชั่วโมงทำงาน มีเวลาพักเป็นประจำ และกำหนดเวลาสำหรับกิจกรรมส่วนบุคคล แพลตฟอร์มการจัดการเวลาอย่าง Trello หรือ Asana สามารถช่วยคุณจัดการงานให้เป็นระเบียบได้ และช่วยป้องกันการทำงานหนักจนเกินควรได้ หากทำได้ ให้จ้างบุคคลภายนอกมาทำภารกิจที่ไม่ใช่จุดแข็งของคุณ เพื่อให้คุณมีเวลาว่างมากขึ้น
วิธีปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับธุรกิจออนไลน์
มีกฎหมายและข้อบังคับหลายฉบับที่ควบคุมธุรกิจออนไลน์อยู่หลายข้อ ตัวอย่างเช่น
กฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
หากคุณรวบรวมข้อมูลลูกค้า คุณจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ เช่น ข้อบังคับทั่วไปเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล (GDPR) สำหรับลูกค้าในสหภาพยุโรป และกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งแคลิฟอร์เนีย (CCPA) สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งหมายรวมถึงการขอความยินยอมอย่างชัดเจนก่อนที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล การแจกแจงนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน และอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหรือลบข้อมูลของตัวเองออกได้เมื่อมีคำขอ ใช้เครื่องมือเพื่อการปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น Termly หรือ OneTrust เพื่อให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎระเบียบทั้งหมด และตรวจสอบและอัปเดตแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นประจำเมื่อกฎหมายมีการเปลี่ยนแปลง
กฎหมายอีคอมเมิร์ซและการคุ้มครองผู้บริโภค
กฎหมายอีคอมเมิร์ซจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่ตั้ง และครอบคลุมตั้งแต่กฎหมายการเรียกเก็บภาษีการขาย ไปจนถึงกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งกำหนดให้มีความโปร่งใสเกี่ยวกับการคืนสินค้า ค่าจัดส่ง และการรับประกัน ให้แสดงข้อกำหนดการให้บริการ นโยบายการคืนเงิน และค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอย่างชัดเจน หากคุณจำหน่ายสินค้าหรือบริการระหว่างประเทศ ให้ทำความคุ้นเคยกับกฎหมายอีคอมเมิร์ซในประเทศที่คุณวางแผนว่าจะทำธุรกิจ หรือใช้แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Avalara เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีอัตโนมัติในเขตอำนาจศาลต่างๆ
การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (IP)
IP ได้แก่โลโก้ เนื้อหาเว็บไซต์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ชื่อธุรกิจ และทรัพย์สินอื่นๆ ของคุณ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้อง จะช่วยปกป้องสินทรัพย์ของคุณไม่ให้ถูกคัดลอกหรือถูกใช้ในทางที่ผิด เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ให้พิจารณาใช้บริการอย่าง LegalZoom ในการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตร และติดตามคู่แข่งว่ามีแนวโน้มที่จะทำการละเมิดหรือไม่ รวมข้อกำหนดการใช้งานไว้ในเว็บไซต์ของคุณเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้เนื้อหาของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต
การปฏิบัติตามข้อกำหนดของธุรกิจออนไลน์หมายถึงการปกป้องข้อมูลลูกค้า การปฏิบัติตามกฎหมายอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาค และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของคุณ คอยอัปเดตข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งในประเทศและทั่วโลก
Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst
การสมัครใช้งาน Atlas
การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน
การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้
การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ
การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe
เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ
Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ