วิธีเริ่มดำเนินธุรกิจออนไลน์: คู่มือเริ่มต้นใช้งาน

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. วิธีเลือกแนวคิดธุรกิจออนไลน์ที่เหมาะสม
  3. 8 ขั้นตอนในการเริ่มดำเนินธุรกิจออนไลน์
  4. วิธีจดทะเบียนธุรกิจออนไลน์
  5. วิธีตั้งค่าเว็บไซต์
  6. วิธีตั้งค่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ
  7. วิธีพัฒนากลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณ
    1. กลุ่มเป้าหมาย
    2. การตลาดผ่านเนื้อหาและ SEO
    3. การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย
    4. การตลาดผ่านอีเมล
    5. การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย
    6. การทำงานร่วมกันและการเป็นพาร์ทเนอร์
  8. วิธีเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า
    1. ประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX)
    2. CTA ที่มีประสิทธิภาพ
    3. การทดสอบ A/B และการเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน (CRO)
    4. บทวิจารณ์และคำรับรองจากลูกค้า
  9. ความท้าทายที่พบบ่อยเมื่อเริ่มทำธุรกิจออนไลน์และวิธีเอาความท้าทายเหล่านั้น
    1. เว็บไซต์หยุดทำงานและข้อผิดพลาด
    2. การแข่งขันในตลาด
    3. ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต
  10. วิธีปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับธุรกิจออนไลน์
    1. กฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    2. กฎหมายอีคอมเมิร์ซและการคุ้มครองผู้บริโภค
    3. การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (IP)
  11. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ธุรกิจออนไลน์ต่างจากธุรกิจร้านค้าแบบดั้งเดิมเพราะมักจะมีต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่า มีความยืดหยุ่นด้านสถานที่ และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วโลก บ่อยครั้งธุรกิจออนไลน์สามารถทำให้หลายๆ กระบวนการดำเนินโดยอัตโนมัติได้ ซึ่งหมายความว่าคุณจะสามารถขยายธุรกิจได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าร้านค้าแบบดั้งเดิม แต่อาจหาจุดเริ่มต้นได้ยาก

ไม่ว่าคุณกำลังมองหาวิธีสร้างรายได้จากสิ่งที่หลงใหลและเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก หรือจะสำรวจโมเดลธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ง่าย ด้านล่างนี้จะเป็นคู่มือการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ เราจะอธิบายวิธีการจดทะเบียนธุรกิจ พัฒนากลยุทธ์การตลาด ดำเนินการปฏิบัติตามข้อกำหนด และอื่นๆ อีกมากมาย

เนื้อหาหลักในบทความ

  • วิธีเลือกแนวคิดธุรกิจออนไลน์ที่เหมาะสม
  • 8 ขั้นตอนในการเริ่มดำเนินธุรกิจออนไลน์
  • วิธีจดทะเบียนธุรกิจออนไลน์ของคุณ
  • วิธีตั้งค่าเว็บไซต์ของคุณ
  • วิธีตั้งค่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ
  • วิธีพัฒนากลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณ
  • วิธีเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า
  • ความท้าทายที่พบบ่อยเมื่อเริ่มทำธุรกิจออนไลน์และวิธีเอาความท้าทายเหล่านั้น
  • วิธีปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับธุรกิจออนไลน์
  • Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

วิธีเลือกแนวคิดธุรกิจออนไลน์ที่เหมาะสม

สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกแนวคิดธุรกิจที่จะดำเนินการมีดังนี้

  • ทักษะและความสนใจ: หาว่าคุณมีความหลงใหลใด้านใดและมีทักษะอะไรบ้าง คุณมีความคิดสร้างสรรค์เป็นพิเศษหรือไม่ มีพรสวรรค์ด้านงานเทคนิคหรือไม่ การทำงานโดยใช้จุดแข็งของคุณจะทำให้คุณมีความมุ่งมั่นกับธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากคุณมีความหลงใหลด้านแฟชั่น คุณอาจพัฒนาแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมาหรืออาจขายเสื้อผ้าวินเทจก็ได้

  • การวิจัยตลาด: มีอะไรกำลังเป็นกระแสอยู่บ้าง ประเภทธุรกิจที่คุณกำลังพิจารณาอยู่มีอุปสงค์หรือไม่ ค้นคว้าเกี่ยวกับคู่แข่งและดูว่าคุณสามารถสร้างสิ่งที่แตกต่างหรือดีกว่าได้อย่างไร ลองนึกถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณด้วยเช่นกัน ว่าพวกเขาเป็นใครและต้องการอะไร ธุรกิจของคุณควรเป็นทางออกของปัญหาหรือเป็นบริการที่ผู้คนกำลังค้นหาอยู่ ตัวอย่างเช่น การขายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากพลาสติก ในตลาดที่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อยู่เลย หรือผลิตภัณฑ์ที่กำลังมีอยู่ในปัจจุบันแต่ได้รับคำวิจารณ์เชิงลบ

  • โอกาสในการเติบโต: แนวคิดธุรกิจนี้เป็นแนวคิดที่สามารถเติบโตได้ตามกาลเวลาหรือไม่ ตัวอย่างโมเดลที่ามารถขยายการเติบโตได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนทรัพยากรจำนวนมากขึ้นได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล บริการแบบสมัครใช้บริการ และหลักสูตรออนไลน์

  • ค่าใช้จ่ายสำหรับสตาร์ทอัพ: ประเมินค่าใช้จ่ายด้านธุรกิจสตาร์ทอัพและโลจิสติกส์ ธุรกิจออนไลน์ เช่นการดรอปชิป ต้องใช้การลงทุนเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ธุรกิจบางอย่างต้องการทรัพยากรล่วงหน้าสำหรับซอฟต์แวร์หรือสินค้าคงคลังในจำนวนที่มากกว่า ให้ลองเทียบผลกำไรที่อาจได้รับกับสิ่งที่คุณต้องใช้จ่าย

8 ขั้นตอนในการเริ่มดำเนินธุรกิจออนไลน์

ดำเนินการตามแผนของคุณ ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับวิธีการเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ โดยบทความนี้จะอธิบายขั้นตอนเหล่านี้อย่างละเอียดยิ่งขึ้นในส่วนด้านล่าง

  1. พัฒนาแผนธุรกิจ: เริ่มจากการวางแผนแนวคิดทางธุรกิจของคุณ ร่างเค้าโครงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ตลาดเป้าหมาย กลยุทธ์การตลาด และรูปแบบรายได้ แผนงานที่มั่นคงจะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทางให้แก่คุณ และช่วยให้คุณหาเงินทุนได้หากจำเป็น

  2. กำหนดเป้าหมาย: จำแนกวัตถุประสงค์ของคุณออกเป็นเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว โดยเป้าหมายระยะสั้นอาจมีทั้งการเปิดตัวเว็บไซต์หรือการหาลูกค้ารายแรก ส่วนเป้าหมายระยะยาวอาจเป็นการขยายธุรกิจหรือการบรรลุเป้าหมายรายรับที่ตั้งไว้

  3. เลือกโครงสร้างให้เหมาะสม: ตัดสินใจเลือกโครงสร้างธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของคุณ ซึ่งอาจเป็นกิจการที่มีเจ้าของคนเดียว บริษัทจำกัด (LLC) หรือบริษัท โครงสร้างแต่ละประเภทมีผลกระทบทางกฎหมายและภาษีที่แตกต่างกัน

  4. จดทะเบียนธุรกิจของคุณ: จดทะเบียนธุรกิจของคุณกับหน่วยงานราชการที่เหมาะสมพร้อมขอใบอนุญาตหรือการอนุญาตที่จำเป็น ข้อมูลเฉพาะจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งและอุตสาหกรรมของคุณ

  5. สร้างเว็บไซต์: เลือกแพลตฟอร์มที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจของคุณ (เช่น Shopify สำหรับอีคอมเมิร์ซ WordPress สำหรับบล็อก) ทำให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย และเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ และทำให้เว็บไซต์จัดแสดงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ

  6. จัดทำแผนการตลาดดิจิทัล: ใช้ SEO, การตลาดทางอีเมล และการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อดึงดูดลูกค้า ทำการทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อดูว่ากลยุทธ์ใดเหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด

  7. เปิดตัวธุรกิจของคุณ เมื่อเตรียมเว็บไซต์และแผนการตลาดพร้อมแล้ว ให้เปิดตัวธุรกิจของคุณและเริ่มเพิ่มจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์

  8. ขยายการมีตัวตนบนโซเชียลมีเดีย: สร้างแบรนด์ของคุณบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ขยายชุมชน และกระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ

วิธีจดทะเบียนธุรกิจออนไลน์

การจดทะเบียนธุรกิจเป็นหนึ่งในขั้นตอนแรกที่คุณต้องดำเนินการ ก่อนที่จะเริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการ ขั้นตอนการจดทะเบียนมีรายละเอียดดังนี้

  1. เลือกชื่อธุรกิจ: เลือกชื่อที่สะท้อนถึงธุรกิจของคุณ โดยควรเป็นชื่อที่สะดุดหูและจดจำได้ง่าย ให้นำชื่อไปค้นหาในทะเบียนธุรกิจของรัฐเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อนี้ยังไม่ถูกธุรกิจอื่นใช้ไปแล้ว นอกจากนี้ ให้ตรวจสอบเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกา (USPTO) เพื่อดูเครื่องหมายการค้าใดก็ตามที่อาจทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง
  2. ยื่นขอหมายเลขประจำตัวนายจ้าง (EIN): EIN ช่วยให้คุณแยกภาษีส่วนบุคคลและธุรกิจออกจากกันได้ คุณสามารถว่าจ้างพนักงานและเปิดบัญชีธนาคารของธุรกิจได้ด้วย หากต้องการรับ EIN ให้กรอกแบบฟอร์มออนไลน์บน IRS โดยใช้ข้อมูลธุรกิจของคุณ โดยคุณจะได้รับหมายเลขดังกล่าวทันทีเมื่อกรอกเสร็จสิ้น
  3. จดทะเบียนภาษีและใบอนุญาต: คุณอาจต้องจดทะเบียนภาษีของรัฐบาลกลาง รัฐ หรือท้องถิ่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจของคุณ ในกรณีส่วนใหญ่ คุณจะใช้ EIN เพื่อจดทะเบียนกับรัฐเพื่อจุดประสงค์ทางภาษี ธุรกิจบางแห่ง เช่น ในอุตสาหกรรมอาหารหรือสุขภาพ ต้องใช้ใบอนุญาตเพิ่มเติมเพื่อดำเนินงานตามกฎหมาย ตรวจสอบกับรัฐบาลท้องถิ่นของคุณเพื่อตรวจสอบว่ากฎหมายใดบ้างมีผลบังคับใช้กับคุณ หากมี

วิธีตั้งค่าเว็บไซต์

ตัวตนบนโลกออนไลน์สามารถชี้ชะตาธุรกิจของคุณได้เลยทีเดียว เว็บไซต์ของคุณควรดูเป็นมืออาชีพ ใช้งานง่าย และใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อย่างราบรื่น ผู้คนไม่ควรต้องเสียเวลากับการค้นหาข้อมูลพื้นฐาน ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่ารายละเอียดการติดต่อ หน้าผลิตภัณฑ์ และเมนูของเว็บไซต์นั้นชัดเจนและเข้าถึงได้ ข้อควรพิจารณาที่สำคัญอื่นๆ เมื่อสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์มีดังต่อไปนี้

  • เลือกชื่อโดเมนที่มีประสิทธิภาพ เลือกชื่อโดเมนที่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจของคุณอย่างชัดเจนและสะกดคำได้ง่าย ควรเป็นชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ ที่จดจำได้

  • เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม: คุณจะต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณขาย ตัวอย่างเช่น Shopify ทำงานได้ดีสำหรับอีคอมเมิร์ซ Wix ใช้งานง่ายสำหรับมือใหม่ และ WordPress มีความยืดหยุ่นมาก

  • เลือกบริการโฮสติ้งที่เชื่อถือได้: ผู้ให้บริการโฮสติ้งของคุณคือผู้ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์อยู่ได้ตลอด ให้หาตัวเลือกที่เชื่อถือได้ที่มีการสนับสนุนลูกค้าที่ดี เช่น Bluehost หรือ SiteGround เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเว็บไซต์ช้าและขัดข้อง

  • ทำการค้นคว้าคำหลัก: ศึกษาคำหลักที่กลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหาและใช้อย่างรอบคอบตลอดทั้งเนื้อหาของคุณ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับการค้นหาของผู้ใช้มากเท่าใด คุณก็จะติดอันดับสูงๆ บน Google มากขึ้นเท่านั้น

วิธีตั้งค่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ

การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ บริการ หรือการสมัครใช้บริการทางออนไลน์ต้องมีการตั้งค่าอีคอมเมิร์ซที่รัดกุม ซึ่งมีฟังก์ชันการชำระเงิน การจัดการสินค้าคงคลัง และกลยุทธ์การดำเนินการตามคำสั่งซื้อ โดยวิธีการนำสิ่งเหล่านี้มาใช้มีดังต่อไปนี้

  • เลือกโซลูชันอีคอมเมิร์ซที่เหมาะสม: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่แตกต่างกันก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วย Shopify เป็นแพลตฟอร์มใช้งานง่ายที่มีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยเหลือธุรกิจของคุณได้ WooCommerce ผสานการทำงานกับ WordPress เพื่อให้มีการปรับแต่งเพิ่มเติม และ BigCommerce จะมีประโยชน์มากหากคุณวางแผนที่จะขยายการขนาดธุรกิจของคุณอย่างรวดเร็ว ให้เลือกแพลตฟอร์มตามขนาดธุรกิจ เป้าหมาย และระดับความถนัดด้านเทคโนโลยีของคุณ

  • ตั้งค่าวิธีการชำระเงิน: รวมตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลายเพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณได้ง่ายขึ้น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ช่วยให้สามารถผสานการทำงานวิธีการชำระเงินพื้นฐานต่างๆ เช่น บัตรเครดิตและกระเป๋าเงินดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย ทำให้คุณได้มอบประสบการณ์การชำระเงินที่สะดวกง่ายดายให้แก่ลูกค้า

  • จัดการสินค้าคงคลัง: คุณจำเป็นต้องตรวจสอบสินค้าคงคลังอย่างใกล้ชิดเมื่อดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยเครื่องมือต่างๆ อย่าง Shopify Inventory, Zoho หรือ TradeGecko จะช่วยคุณสามารถติดตามสินค้าในระดับสต็อก หลีกเลี่ยงการสั่งซื้อเกิน และจัดการรูปแบบของผลิตภัณฑ์ได้

  • ประเมินตัวเลือกการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ: คุณสามารถบรรจุและจัดส่งคำสั่งซื้อด้วยตัวเอง หรือดำเนินการตามคำสั่งซื้อโดยใช้บริการโลจิสติกส์ของบริษัทอื่น (3PL) เช่น ShipBob หรือ Fulfillment โดย Amazon (FBA) ก็ได้ การดำเนินการตามคำสั่งซื้อด้วยตัวเองช่วยให้คุณมีระดับการควบคุมที่มากขึ้น แต่อาจใช้เวลานาน ในขณะที่บริการ 3PL จะช่วยจัดการทุกอย่างให้คุณและช่วยให้คุณได้ใช้เวลามุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจ

วิธีพัฒนากลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณ

การกระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจคุณจะต้องมีการผสมผสานความพยายามด้าน SEO แบบทั่วไปและกลยุทธ์แบบชำระเงินที่ตรงเป้าหมาย การรวม SEO, เนื้อหาการตลาด โฆษณาแบบมีค่าใช้จ่าย การมีส่วนร่วมทางโซเชียล และการเป็นพาร์ทเนอร์ที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบต่างสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและเติบโตต่อไปได้ ขั้นตอนเริ่มต้นสำหรับการพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้

กลุ่มเป้าหมาย

ก่อนที่จะเริ่มทำการตลาดธุรกิจของคุณ คุณต้องระบุว่าลูกค้ากลุ่มใดเหมาะที่สุด ใช้ข้อมูลตลาดที่คุณค้นคว้าในช่วงแรกของคุณเพื่อพิจารณาว่าบุคคลใดบ้างที่ต้องการหรือต้องใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ แล้วสร้างแบบจำลองบุคลิกลูกค้าขึ้นมาเพื่อช่วยกำกับแนวทางการตัดสินใจด้านการตลาดทั้งหมดของคุณ

การตลาดผ่านเนื้อหาและ SEO

คุณต้องสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าสูงเพื่อดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิกมายังไซต์ของคุณ ขณะเดียวกันให้สร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มเฉพาะของธุรกิจของคุณโดยการเขียนบล็อกโพสต์ ถ่ายวิดีโอ หรือสร้างอินโฟกราฟิกที่ตอบสนองความต้องการและไขข้อกังวลของผู้ชม มุ่งเน้น SEO ทั้งในหน้าและนอกหน้าเพจของคุณเพื่อปรับปรุงอันดับผลการค้นหาของคุณ โดยค้นคว้าคำหลักที่จะนำไปใช้ทั่วทั้งเว็บไซต์ของคุณ และอัปเดตเนื้อหาของคุณเป็นประจำเพื่อให้เว็บไซต์ไม่ล้าหลัง

การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย

ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีกลุ่มเป้าหมายและสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณจะต้องปรับแต่งวิธีการให้เหมาะสำหรับแต่ละแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram เหมาะสำหรับเนื้อหาแบบภาพในขณะที่ LinkedIn เหมาะสำหรับ B2B และการสร้างเครือข่ายมากกว่า ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อสร้างชุมชนในแบบของแบรนด์คุณโดยการมีปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมาย จัดกิจกรรมแจกของ และแบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณค่า หากทำแคมเปญโซเชียลมีเดียออกมาได้ดี ก็จะช่วยขยายการเข้าถึงของคุณได้อย่างมาก และดึงดูดการเข้าชมที่สม่ำเสมอสู่ไซต์ของคุณ

การตลาดผ่านอีเมล

เช่นเดียวกับโซเชียลมีเดีย อีเมลจะช่วยให้คุณสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ดังนั้นจึงควรสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น ใช้ตัวดึงดูดลูกค้าซึ่งก็คือผลิตภัณฑ์หรือบริการฟรี เช่น คู่มือ หลักสูตร หรือส่วนลดพิเศษ ที่ธุรกิจนำเสนอเพื่อแลกกับการสมัครใช้บริการ จากนั้น คุณสามารถแบ่งกลุ่มรายชื่ออีเมลได้เพื่อส่งอีเมลที่มีเนื้อหาปรับเป็นส่วนตัวมากขึ้น พยายามให้เนื้อหามีความเกี่ยวข้องตลอด ไม่ว่าคุณจะกำลังหาลูกค้าเป้าหมาย โปรโมตโฆษณา หรือแจ้งข่าวสารอัปเดตของธุรกิจอยู่ก็ตาม คุณสามารถทดสอบหัวเรื่องและเนื้อหาแบบ A/B ได้เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน

การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย

ลงทุนโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) เช่น Google Ads, Bing Ads หรือโฆษณาบน Facebook เพื่อเพิ่มการมองเห็นได้ทันที กำหนดเป้าหมายผู้ชมเฉพาะกลุ่มด้วยโฆษณาที่ปรับแต่งตามความต้องการ และคอยสังเกตตัวชี้วัดประสิทธิภาพต่างๆ เช่น CTR (อัตราการคลิกผ่าน) และการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน ใช้โฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายใหม่เพื่อดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่เคยโต้ตอบกับไซต์ของคุณแต่ยังไม่ได้ซื้ออะไรเลยให้กลับมาที่เว็บไซต์อีกครั้ง

การทำงานร่วมกันและการเป็นพาร์ทเนอร์

คุณสามารถเพิ่มการเข้าถึงของธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือ และขยายเครือข่ายของคุณได้โดยการร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ ที่สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณ ลองเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจเสริมความสามารถเพื่อส่งเสริมการขายทั่วทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและรายการอีเมลของคุณ

วิธีเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า

สร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้เข้าชมมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่ชำระเงิน ทำการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ สร้างคำกระตุ้นการดำเนินการ (CTA) ที่ชัดเจน ทดสอบเป็นประจำ และแสดงคำรับรองที่สร้างความไว้วางใจ รายละเอียดของแต่ละวิธีมีดังต่อไปนี้

ประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX)

การมีประสบการณ์เว็บไซต์ลื่นไหลและใช้งานง่ายจะช่วยให้ผู้เข้าชมกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ ทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย โหลดเร็ว และทำงานได้ในทุกอุปกรณ์ การมีเลย์เอาต์ที่ไม่เป็นระเบียบหรือเว็บไซต์โหลดนานจะทำให้อัตราการออกจากเว็บไซต์สูงขึ้น พูดอีกอย่างก็คือ อย่าให้ผู้ใช้มีเหตุผลที่จะออกจากเว็บไซต์ก่อนที่จะได้สำรวจ

CTA ที่มีประสิทธิภาพ

CTA ของคุณควรชัดเจน เน้นที่การดำเนินการ และวางในตำแหน่งที่เหมาะสมทั่วทั้งไซต์ของคุณ วลีต่างๆ เช่น "เริ่มใช้งานเลย" "สมัครสมาชิกตอนนี้" และ "ช้อปสินค้าลดราคา" จะดึงดูดความสนใจและนำพาให้ผู้ใช้เข้ามาดำเนินการขั้นตอนถัดไปได้

การทดสอบ A/B และการเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน (CRO)

CRO มาจากการทดสอบว่าสิ่งใดบ้างที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณที่สุด ให้ดำเนินการทดสอบ A/B กับองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์ เช่น CTA, พาดหัว เลย์เอาต์หน้า หรือชุดสี เพื่อดูว่าอะไรสามารถช่วยเพิ่มการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินได้บ้าง การปรับแต่งเล็กๆ น้อยๆ อาจทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตามมาได้

บทวิจารณ์และคำรับรองจากลูกค้า

บทวิจารณ์และคำรับรองเชิงบวกจะสร้างความไว้วางใจให้แก่ผู้ที่อาจเป็นลูกค้าได้ ให้ดึงสิ่งเหล่านี้ออกมาแสดงอย่างโดดเด่นบนเว็บไซต์ของคุณ ผู้มักอยากเห็นว่าผู้อื่นมีประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ปรากฏการณ์หลักฐานทางสังคมซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผู้คนได้รับอิทธิพลจากการกระทำของผู้อื่น อาจเป็นแรงผลักดันที่จะช่วยกระตุ้นเปลี่ยนให้ลูกค้าที่กำลังเรียกดูสินค้ากลายเป็นผู้ที่ซื้อได้

ความท้าทายที่พบบ่อยเมื่อเริ่มทำธุรกิจออนไลน์และวิธีเอาความท้าทายเหล่านั้น

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างความท้าทายที่คุณอาจต้องเผชิญขณะดำเนินธุรกิจออนไลน์

เว็บไซต์หยุดทำงานและข้อผิดพลาด

ปัญหาทางเทคนิคอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเว็บไซต์ของคุณทำงานขัดข้องในช่วงที่มีงานขายครั้งสำคัญ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการหยุดชะงักของเว็บไซต์ของคุณ ให้ลงทุนกับเว็บโฮสติ้งที่เชื่อถือได้และทดสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์เป็นประจำ ใช้เทคโนโลยี เช่น UptimeRobot เพื่อตรวจสอบปัญหาขัดข้องของเว็บไซต์และแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว หากคุณไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ให้พิจารณาจ้างนักพัฒนาเว็บหรือใช้บริการโฮสติ้งภายใต้การจัดการ เพื่อจัดการการบำรุงรักษาและรักษาความปลอดภัยของแบ็กเอนด์

การแข่งขันในตลาด

หากต้องการให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ให้มุ่งเน้นที่คุณค่าที่นำเสนอ คุณสามารถเสนออะไรที่คนอื่นเสนอไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าของลูกค้า ผลิตภัณฑ์สุดพิเศษ หรือโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหา ลองลงทุนในสิ่งที่ทำให้แบรนด์ของคุณแตกต่างจากคนอื่น นอกจากนี้ ให้พิจารณาใช้การตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม (ซึ่งก็คือการมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มด้วยข้อความที่ปรับแต่งให้เหมาะสม) เพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าให้สูงขึ้น

ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต

การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์อาจดูเหมือนต้องใช้เวลาทำทุกอย่าง คุณสามารถป้องกันการหมดไฟได้โดยกำหนดขอบเขตตั้งแต่เริ่มต้น คือ กำหนดชั่วโมงทำงาน มีเวลาพักเป็นประจำ และกำหนดเวลาสำหรับกิจกรรมส่วนบุคคล แพลตฟอร์มการจัดการเวลาอย่าง Trello หรือ Asana สามารถช่วยคุณจัดการงานให้เป็นระเบียบได้ และช่วยป้องกันการทำงานหนักจนเกินควรได้ หากทำได้ ให้จ้างบุคคลภายนอกมาทำภารกิจที่ไม่ใช่จุดแข็งของคุณ เพื่อให้คุณมีเวลาว่างมากขึ้น

วิธีปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับธุรกิจออนไลน์

มีกฎหมายและข้อบังคับหลายฉบับที่ควบคุมธุรกิจออนไลน์อยู่หลายข้อ ตัวอย่างเช่น

กฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

หากคุณรวบรวมข้อมูลลูกค้า คุณจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ เช่น ข้อบังคับทั่วไปเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล (GDPR) สำหรับลูกค้าในสหภาพยุโรป และกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งแคลิฟอร์เนีย (CCPA) สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งหมายรวมถึงการขอความยินยอมอย่างชัดเจนก่อนที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล การแจกแจงนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน และอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหรือลบข้อมูลของตัวเองออกได้เมื่อมีคำขอ ใช้เครื่องมือเพื่อการปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น Termly หรือ OneTrust เพื่อให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎระเบียบทั้งหมด และตรวจสอบและอัปเดตแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นประจำเมื่อกฎหมายมีการเปลี่ยนแปลง

กฎหมายอีคอมเมิร์ซและการคุ้มครองผู้บริโภค

กฎหมายอีคอมเมิร์ซจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่ตั้ง และครอบคลุมตั้งแต่กฎหมายการเรียกเก็บภาษีการขาย ไปจนถึงกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งกำหนดให้มีความโปร่งใสเกี่ยวกับการคืนสินค้า ค่าจัดส่ง และการรับประกัน ให้แสดงข้อกำหนดการให้บริการ นโยบายการคืนเงิน และค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอย่างชัดเจน หากคุณจำหน่ายสินค้าหรือบริการระหว่างประเทศ ให้ทำความคุ้นเคยกับกฎหมายอีคอมเมิร์ซในประเทศที่คุณวางแผนว่าจะทำธุรกิจ หรือใช้แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Avalara เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีอัตโนมัติในเขตอำนาจศาลต่างๆ

การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (IP)

IP ได้แก่โลโก้ เนื้อหาเว็บไซต์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ชื่อธุรกิจ และทรัพย์สินอื่นๆ ของคุณ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้อง จะช่วยปกป้องสินทรัพย์ของคุณไม่ให้ถูกคัดลอกหรือถูกใช้ในทางที่ผิด เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ให้พิจารณาใช้บริการอย่าง LegalZoom ในการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตร และติดตามคู่แข่งว่ามีแนวโน้มที่จะทำการละเมิดหรือไม่ รวมข้อกำหนดการใช้งานไว้ในเว็บไซต์ของคุณเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้เนื้อหาของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต

การปฏิบัติตามข้อกำหนดของธุรกิจออนไลน์หมายถึงการปกป้องข้อมูลลูกค้า การปฏิบัติตามกฎหมายอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาค และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของคุณ คอยอัปเดตข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งในประเทศและทั่วโลก

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas