การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามคืออะไร วิธีการใช้งานและทางเลือกแบบอัตโนมัติอื่นๆ

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การเรียกเก็บเงินของบริษัทอื่นทํางานอย่างไร
  3. สิทธิประโยชน์จากการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม
  4. ความท้าทายในการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม
  5. การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม เทียบกับการเรียกเก็บเงินภายในองค์กร เทียบกับระบบอัตโนมัติทางการเงิน
    1. การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม
    2. การเรียกเก็บเงินภายในองค์กร
    3. ระบบอัตโนมัติด้านการเงิน
  6. แนวโน้มของระบบการเรียกเก็บเงินและทางเลือกอื่นๆ
  7. วิธีเปลี่ยนจากการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามมาเป็นโซลูชันอัตโนมัติ

การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามเป็นแนวทางปฏิบัติในการจ้างบริษัทภายนอกที่เชี่ยวชาญในการจัดการใบแจ้งหนี้ การประมวลผลการชำระเงิน และการจัดการการสอบถามเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินของลูกค้ามาจัดการกระบวนการเรียกเก็บเงิน บริษัทภายนอกนี้ มักจะเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่เรียกเก็บเงินหรือประมวลผลการชำระเงิน โดยจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า ประมวลผลการชำระเงิน และโอนเงินให้กับผู้ขายหรือผู้ให้บริการ ในปี 2022 ตลาดการชำระเงินโดยบุคคลที่สามทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทต่างๆ ต่างแสวงหาโซลูชันการชำระเงินที่สะดวกมากขึ้น

ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายความแตกต่างระหว่างการทำงานกับผู้ให้บริการเรียกเก็บเงินบุคคลที่สาม การดำเนินการชำระเงินภายในองค์กร หรือการเลือกใช้ระบบอัตโนมัติทางการเงิน ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรรู้

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามทำงานอย่างไร
  • สิทธิประโยชน์จากการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม
  • ความท้าทายในการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม
  • การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม เทียบกับการเรียกเก็บเงินภายในองค์กร เทียบกับระบบอัตโนมัติทางการเงิน
  • แนวโน้มของระบบการเรียกเก็บเงินและทางเลือกอื่นๆ
  • วิธีเปลี่ยนจากการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามมาเป็นโซลูชันอัตโนมัติ

Forrester ยกให้ Stripe เป็นผู้นําในด้านการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า Stripe ได้รับคะแนนสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเกณฑ์การประเมิน 10 ข้อ และสูงกว่าความคิดเห็นโดยเฉลี่ยจากลูกค้า อ่านรายงานเพื่อดูเหตุผลที่เราเชื่อว่า Stripe Billing สามารถช่วยให้คุณปลดล็อกกระแสรายรับใหม่ๆ ปรับตัวตามแนวโน้มของตลาด และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

การเรียกเก็บเงินของบริษัทอื่นทํางานอย่างไร

การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามเป็นกระบวนการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการหรือผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ลูกค้า และบริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สาม ปกติแล้วกระบวนการนี้จะทํางานดังนี้

  • การเริ่มต้นธุรกรรม: ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการจากบริษัท เช่น บริการทางการแพทย์จากผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ บริการโทรศัพท์จากบริษัทโทรคมนาคม หรือผลิตภัณฑ์เฉพาะจากผู้ค้าปลีกออนไลน์หรือในร้านค้า

  • การโอนข้อมูลการเรียกเก็บเงิน: หลังจากที่ธุรกิจให้บริการหรือจัดส่งผลิตภัณฑ์แล้ว ธุรกิจจะส่งรายละเอียดการเรียกเก็บเงิน (รวมถึงข้อมูลลูกค้า ประเภทการซื้อ และยอดเงินที่ซื้อ) ไปยังบริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สาม

  • การสร้างใบแจ้งหนี้: บริษัทที่เรียกเก็บเงินบุคคลที่สามจะประมวลผลข้อมูลนี้และสร้างใบแจ้งหนี้ที่ส่งให้ลูกค้า ทางไปรษณีย์หรือทางอิเล็กทรอนิกส์

  • การเรียกเก็บเงิน: ลูกค้าชําระเงินให้กับบริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สาม

  • การประมวลผลการชําระเงิน: บริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สามประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการยืนยันการชําระเงิน กระทบยอดกับลูกค้าและบริการที่ถูกต้อง และแก้ไขข้อมูลที่ไม่ตรงกัน

  • การโอนเงิน: บริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สามจะโอนเงินให้กับผู้ให้บริการหรือผู้ขาย โดยหักค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชันที่ตกลงกันไว้สำหรับบริการเรียกเก็บเงิน

  • การรายงานและการกระทบยอด: บริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สามอาจจัดทำรายงานเกี่ยวกับสถานะการเรียกเก็บเงินและการชำระเงินให้แก่ผู้ให้บริการ

สิทธิประโยชน์จากการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม

  • มีเวลามุ่งเน้นไปที่กิจกรรมหลัก: การจ้างบุคคลภายนอกให้ดำเนินการด้านการเรียกเก็บเงินช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมและการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการหลักของตนได้มากขึ้น

  • การลดค่าใช้จ่าย: การนำระบบเรียกเก็บเงินภายในองค์กรมาใช้และดูแลรักษาอาจมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องมีการลงทุนอย่างหนักในด้านเทคโนโลยี การฝึกอบรมพนักงาน และการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง บริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สามสามารถให้บริการเหล่านี้ได้อย่างคุ้มต้นทุนมากกว่าที่ธุรกิจต่างๆ จะดำเนินการด้วยตนเอง

  • ความเชี่ยวชาญและการปฏิบัติตามข้อกําหนด: บริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สามคอยติดตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานอุตสาหกรรมอยู่เสมอ ซึ่งช่วยลดภาระด้านการบริหารของธุรกิจในการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ

  • การจัดการเงินสด: การเรียกเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพและการประมวลผลการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้นโดยบุคคลที่สามที่เชี่ยวชาญสามารถปรับปรุงกระแสเงินสดสำหรับธุรกิจได้ การเรียกเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพและการลดความล่าช้าในการชำระเงินสามารถช่วยให้ธุรกิจบริหารการเงินได้ดีขึ้น และวางแผนการดำเนินงานและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้: บริการเรียกเก็บเงินช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การชําระเงินที่สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น โดยอาจประกอบด้วยตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย ใบแจ้งหนี้ที่มีรายละเอียด และการบริการลูกค้าเพื่อตอบสนองต่อข้อซักถามเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงิน ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้ามีความพึงพอใจมากขึ้น

  • ความสามารถในการปรับขนาด: เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น กระบวนการเรียกเก็บเงินอาจมีความซับซ้อนและมีจำนวนมากขึ้น บริการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามสามารถปรับขนาดได้อย่างง่ายดายเพื่อรองรับปริมาณที่เพิ่มขึ้นหรือประเภทการเรียกเก็บเงินที่แตกต่างกัน ช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายกิจการได้โดยไม่ต้องถูกจำกัดด้วยความสามารถในการเรียกเก็บเงิน

  • ข้อผิดพลาดที่ลดลง: บริษัทเรียกเก็บเงินเฉพาะทางมีเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในการลดข้อผิดพลาดในการเรียกเก็บเงิน ซึ่งช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและอำนวยความสะดวกในการชำระเงินตรงเวลา

  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล: การเรียกเก็บเงินต้องอาศัยการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้า รวมถึงรายละเอียดทางการเงิน โดยทั่วไปบริษัทเรียกเก็บเงินบุคคลที่สามจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอันรัดกุมเพื่อปกป้องข้อมูลนี้

  • ข้อมูลเชิงลึกด้านการวิเคราะห์: ผู้ให้บริการเรียกเก็บเงินบุคคลที่สามหลายรายนำเสนอบริการวิเคราะห์โดยมอบรายงานแบบละเอียดและข้อมูลเชิงลึกแก่ธุรกิจเกี่ยวกับกระบวนการเรียกเก็บเงิน พฤติกรรมการชำระเงินของลูกค้า และด้านที่อาจต้องปรับปรุง

ความท้าทายในการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม

ในขณะที่การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามมีประโยชน์หลายประการ แต่ก็มาพร้อมกับอุปสรรคและข้อจํากัดเฉพาะตัว

  • การสูญเสียการควบคุม: สำหรับธุรกิจ การจ้างบุคคลภายนอกให้ทำหน้าที่เรียกเก็บเงินหมายถึงการยอมสละการควบคุมบางส่วนเหนือกระบวนการให้บริการลูกค้า ธุรกิจต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการบุคคลที่สามนั้นตรงตามมาตรฐานและความคาดหวังของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสารและบริการลูกค้า

  • การพึ่งพาการปฏิบัติงาน: หากผู้ให้บริการประสบปัญหาด้านเทคนิค บริการหยุดชะงัก หรือเลิกกิจการ อาจส่งผลโดยตรงต่อการดำเนินการเรียกเก็บเงิน และชื่อเสียงของธุรกิจ

  • การผสานการทํางาน: การผสานระบบเรียกเก็บเงินของบุคคลที่สามกับระบบที่มีอยู่ของธุรกิจ เช่น การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) หรือการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) อาจมีความซับซ้อนและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากระบบเหล่านั้นไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์

  • การปรับแต่งที่จํากัด: อาจมีข้อจำกัดในการปรับแต่งกระบวนการเรียกเก็บเงินและการสื่อสารเพื่อให้เหมาะกับแบรนด์และความต้องการเฉพาะของธุรกิจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้าและความสอดคล้องกันในแง่ของการสื่อสารความเป็นแบรนด์

  • อาจมีค่าใช้จ่ายแอบแฝง: แม้ว่าการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามอาจมีประสิทธิภาพด้านต้นทุน แต่ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องตระหนักถึงค่าธรรมเนียมและค่าบริการที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมด บางครั้งค่าใช้จ่ายแอบแฝงหรือค่าธรรมเนียมผันแปรอาจสะสม ทำให้บริการมีราคาแพงกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก

  • ช่องว่างในการสื่อสาร: การสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างธุรกิจ ผู้ให้บริการเรียกเก็บเงิน และลูกค้า อาจนำไปสู่ข้อผิดพลาด ความไม่พอใจของลูกค้า และอาจสูญเสียรายได้

  • การต่อต้านจากลูกค้า: ลูกค้าบางรายอาจต้องการติดต่อโดยตรงกับธุรกิจแทนที่จะติดต่อบุคคลภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลหรือรู้สึกว่าการมีส่วนเกี่ยวข้องของบุคคลที่สามทำให้ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินมีความซับซ้อน

  • การติดตามตรวจสอบ: ธุรกิจต้องตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพของบริการการเรียกเก็บเงินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องอาศัยทั้งเวลาและทรัพยากร

การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม เทียบกับการเรียกเก็บเงินภายในองค์กร เทียบกับระบบอัตโนมัติทางการเงิน

การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สาม

การเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามคือเมื่อหน่วยงานภายนอกเข้ามาจัดการกระบวนการออกใบแจ้งหนี้และการชำระเงินระหว่างผู้จ่ายและผู้รับเงิน

  • ข้อดี: ธุรกิจต่างๆ สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานและมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมทางธุรกิจหลักได้ โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของบริษัทเรียกเก็บเงิน กระบวนการนี้ยังมอบความสามารถในการปรับขนาดให้กับธุรกิจและช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ในระดับที่สูงขึ้น

  • ข้อเสีย: อาจส่งผลให้ควบคุมกระบวนการเรียกเก็บเงินได้น้อยลง มีปัญหาในการผสานการทำงานมากขึ้น พึ่งพาผู้ให้บริการมากขึ้น และลูกค้ามีข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

การเรียกเก็บเงินภายในองค์กร

การเรียกเก็บเงินภายในองค์กรคือแนวทางในการจัดการกระบวนการเรียกเก็บเงินเป็นการภายใน โดยใช้ทรัพยากร เจ้าหน้าที่ และระบบของธุรกิจเองเพื่อส่งใบแจ้งหนี้ เรียกเก็บเงิน และจัดการคําขอการเรียกเก็บเงินของลูกค้า

  • ข้อดี: วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมกระบวนการเรียกเก็บเงินได้มากขึ้น เช่น การควบคุมดูแลในทันที การโต้ตอบกับลูกค้าโดยตรง และมอบความยืดหยุ่นในการปรับแต่งประสบการณ์การเรียกเก็บเงินมากขึ้น

  • ข้อเสีย: ต้องมีการลงทุนไม่น้อยในด้านเทคโนโลยี เจ้าหน้าที่ และการฝึกอบรม หากธุรกิจไม่มีความเชี่ยวชาญด้านการเรียกเก็บเงินเฉพาะทางก็อาจไร้ประสิทธิผล

ระบบอัตโนมัติด้านการเงิน

ระบบการเงินอัตโนมัติคือแนวทางปฏิบัติในการใช้ซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีเพื่อทำให้กระบวนการทางการเงินที่สำคัญเป็นอัตโนมัติ รวมถึงการเรียกเก็บเงิน การออกใบแจ้งหนี้ การชำระเงิน และการรายงานทางการเงิน โดยสามารถใช้ร่วมกับวิธีการเรียกเก็บเงินภายในองค์กรหรืออาจเป็นส่วนหนึ่งของบริการบุคคลที่สามก็ได้

  • ข้อดี: ระบบอัตโนมัติสามารถลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานด้วยมือได้อย่างมาก เร่งความเร็วธุรกรรมทางการเงิน และให้ข้อมูลเชิงลึกทางการเงินแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังสามารถปรับขนาดได้ตามการเติบโตของธุรกิจ และปรับให้เข้ากับรูปแบบการเรียกเก็บเงินและข้อกำหนดที่แตกต่างกันได้

  • ข้อเสีย: การตั้งค่าเริ่มต้นและการผสานรวมกระบวนการอัตโนมัติอาจใช้ทรัพยากรและมีค่าใช้จ่ายสูง ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องมีการบํารุงรักษาและการอัปเดตอย่างต่อเนื่องด้วย นอกจากนี้ ปฏิสัมพันธ์ส่วนตัวกับลูกค้าอาจลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การบริการลูกค้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับของระบบอัตโนมัติ

แนวโน้มของระบบการเรียกเก็บเงินและทางเลือกอื่นๆ

แนวโน้มและทางเลือกใหม่ๆ ในระบบการเรียกเก็บเงินจะพลิกโฉมวิธีที่ธุรกิจจัดการธุรกรรมและการดําเนินงานด้านการเงิน

  • โซลูชันการเรียกเก็บเงินที่เน้นระบบดิจิทัล: แพลตฟอร์มการเรียกเก็บเงินบนระบบคลาวด์ที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้นั้นเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โซลูชันเหล่านี้ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคด้วยการรองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย ตั้งแต่บัตรเครดิตแบบดั้งเดิมไปจนถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล และสกุลเงินดิจิทัล

  • โมเดลการชําระเงินตามรอบบิล: ธุรกิจต่างๆ หันมาใช้ระบบเรียกเก็บเงินแบบชำระเงินตามรอบบิลมากขึ้น ซึ่งต้องใช้ระบบขั้นสูงเพื่อจัดการการชำระเงินแบบต่อเนื่อง รอบการเรียกเก็บเงินที่กำหนดเอง และการสมัครใช้บริการของผู้ใช้ โมเดลนี้เน้นการรักษาลูกค้าและกระแสรายรับที่คาดการณ์ได้

  • ระบบอัตโนมัติและ AI: ระบบอัตโนมัติสําหรับการเรียกเก็ยเงินช่วยลดการเข้าไปแทรกแซงโดยเจ้าหน้าที่ ลดข้อผิดพลาด และประหยัดเวลา อัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการชำระเงินเพื่อตรวจจับความผิดปกติ คาดการณ์กระแสเงินสด และนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้กับกลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมที่สุด

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนดและการรักษาความปลอดภัย: เนื่องจากภัยคุกคามทางไซเบอร์มีมากขึ้นและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น ระบบการเรียกเก็บเงินจึงมีคุณลักษณะด้านความปลอดภัยและโปรโตคอลการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ได้รับการปรับปรุงมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการเข้ารหัส การตรวจจับการฉ้อโกง และการปฏิบัติตามมาตรฐานระดับสากล เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS)

  • ฟังก์ชันการผสานการทํางาน: ระบบการเรียกเก็บเงินที่ทันสมัยออกแบบมาเพื่อผสานการทํางานกับเครื่องมือธุรกิจอื่นๆ เช่น CRM และระบบ ERP ได้อย่างง่ายดาย ทําให้เข้าถึงข้อมูลลูกค้าและเมตริกทางการเงินได้ในมุมมองเดียว

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้: วิธีนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงินสำหรับลูกค้าด้วยกระบวนการชำระเงินที่เรียบง่าย การเรียกเก็บเงินแบบส่วนบุคคล และการรองรับธุรกรรมบนมือถือที่ดีขึ้น

Stripe มีผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์มากมายที่ปรับกระบวนการเรียกเก็บเงินให้เป็นอัตโนมัติและทําให้กระบวนการเรียกเก็บเงินง่ายขึ้น

  • การเรียกเก็บเงิน: Stripe Billing เป็นโซลูชันที่ครอบคลุมสําหรับการจัดการการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า การออกใบแจ้งหนี้ และการชําระเงินตามรอบบิลแบบอัตโนมัติ โดยรองรับโมเดลค่าบริการหลากหลายแบบ รวมถึงการเรียกเก็บเงินแบบครั้งเดียว การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และค่าบริการแบบแบ่งระดับ

  • การออกใบแจ้งหนี้อัจฉริยะ: Stripe มีฟีเจอร์การออกใบแจ้งหนี้ขั้นสูงที่ประกอบด้วยการแจ้งเตือนการชําระเงินอัตโนมัติ การคํานวณภาษี และความสามารถในการรับชําระเงินจากใบแจ้งหนี้โดยตรง

  • อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API): API ของ Stripe ช่วยให้ธุรกิจปรับแต่งขั้นตอนการเรียกเก็บเงินของตัวเองและผสานการทํางานฟังก์ชันของ Stripe เข้ากับแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย

  • ข้อมูลและการวิเคราะห์: Stripe ตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการชําระเงินเพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เข้าใจรูปแบบรายรับของตนและตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล

วิธีเปลี่ยนจากการเรียกเก็บเงินโดยบุคคลที่สามมาเป็นโซลูชันอัตโนมัติ

ธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนจากผู้ให้บริการเรียกเก็บเงินจากบุคคลที่สามไปเป็นโซลูชันอัตโนมัติ เช่น Stripe จะต้องระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่รบกวนการดำเนินธุรกิจหรือประสบการณ์ของลูกค้า โซลูชันอัตโนมัติที่แตกต่างกันจะมีกระบวนการเปลี่ยนผ่านที่แตกต่างกันไป ต่อไปนี้คือแนวทางทั่วไปของสิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเปลี่ยนจากผู้ให้บริการเรียกเก็บเงินบุคคลที่สามมาเป็นโซลูชันอัตโนมัติ เช่น Stripe

  • ประเมินความต้องการทางธุรกิจ: ก่อนจะทำการเปลี่ยนแปลง โปรดประเมินความต้องการทางธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงของคุณ รวมไปถึงปริมาณธุรกรรม สกุลเงินที่คุณต้องรองรับ และรูปแบบการเรียกเก็บเงินที่ไม่ซ้ำกัน (เช่น การชำระเงินตามรอบบิล หรือบริการตามความต้องการ) ยืนยันว่า Stripe (หรือโซลูชันอัตโนมัติอื่น) รองรับฟีเจอร์และวิธีการชําระเงินที่จําเป็นทั้งหมดที่คุณใช้อยู่ในปัจจุบันหรือวางแผนที่จะใช้

  • การตั้งค่าบัญชี Stripe: สร้างบัญชีใหม่กับ Stripe ด้วยการแจ้งรายละเอียดของธุรกิจ ยืนยันตัวตน และตั้งค่าข้อมูลบัญชีธนาคารของคุณเพื่อโอนเงิน

  • บริการเชื่อมต่อระบบ: Stripe มี API ที่ครอบคลุมและตัวเลือกการผสานการทํางานหลากหลายรูปแบบสําหรับแพลตฟอร์มและภาษาการเขียนโปรแกรมต่างๆ ทําความคุ้นเคยกับเอกสารประกอบและชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK) ของ Stripe เพื่อทําความเข้าใจวิธีผสานการทํางานบริการกับเว็บไซต์หรือแอปของคุณ

  • การทดสอบ: ทําการทดสอบอย่างละเอียด ไม่ว่าคุณจะใช้ปลั๊กอินที่เรียบง่ายสําหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหรือสร้างการผสานการทํางานที่ออกแบบเองโดยใช้ API ของ Stripe ใช้สภาพแวดล้อมการทดสอบของ Stripe เพื่อจําลองธุรกรรม ทดสอบขั้นตอนการชําระเงิน และตรวจสอบกระบวนการจัดการข้อผิดพลาดของคุณ

  • การย้ายข้อมูล: หากคุณกำลังย้ายข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่ เช่น วิธีการชำระเงินหรือข้อมูลการชำระเงินตามรอบบิล โปรดวางแผนการย้ายข้อมูลที่ปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนด การดําเนินการนี้อาจเกี่ยวข้องกับการส่งออกข้อมูลจากผู้ประมวลผลรายปัจจุบันของคุณและนําเข้าไปยัง Stripe คุณอาจต้องชักชวนให้ลูกค้าป้อนข้อมูลโดยตรงหรือใช้บริการย้ายข้อมูลของ Stripe เพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานของ PCI เกี่ยวกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลการชําระเงิน

  • การปรับขั้นตอนการเรียกเก็บเงินและการชําระเงิน: ปรับขั้นตอนการเรียกเก็บเงินและการชําระเงิน (เช่น วิธีที่คุณจัดการการชําระเงินตามรอบบิล ประมวลผลการคืนเงิน หรือจัดการการชําระเงินที่ไม่สําเร็จ) เพื่อให้สอดคล้องกับระบบของ Stripe

  • การสื่อสารกับลูกค้า: แจ้งลูกค้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้ประมวลผลการชําระเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกค้าต้องดําเนินการใดๆ เช่น การอัปเดตข้อมูลการชําระเงิน ความโปร่งใสจะช่วยรักษาความเชื่อมั่นไว้และสามารถป้องกันความสับสนระหว่างการเปลี่ยนผ่าน

  • การใช้งานจริง: หลังจากทดสอบการผสานการทํางาน Stripe อย่างละเอียดและมั่นใจในขั้นตอนการย้ายข้อมูล คุณก็จะเปลี่ยนไปใช้โหมดใช้งานจริงได้ ตรวจสอบธุรกรรมอย่างใกล้ชิดในช่วง 2-3 วันแรกเพื่อยืนยันว่าระบบทํางานได้ตามปกติ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที

  • การสนับสนุนหลังการเปลี่ยนผ่าน: เตรียมพร้อมที่จะเสนอการสนับสนุนให้กับลูกค้าที่อาจมีคำถามหรือเผชิญปัญหาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง การมีทีมสนับสนุนหรือแหล่งข้อมูลเฉพาะสามารถช่วยลดปัญหาหลังการเปลี่ยนผ่านได้

  • การตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง: หลังจากเปลี่ยนผ่านแล้ว โปรดตรวจสอบประสิทธิภาพของการตั้งค่าใหม่อย่างต่อเนื่อง Stripe มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบการชําระเงิน อัตราความสําเร็จ และส่วนต่างๆ ที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนไปใช้ Stripe หรือระบบการชำระเงินใหม่ๆ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด และเพื่อวางตำแหน่งธุรกิจของคุณให้สามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์และฟังก์ชันของระบบการชำระเงินใหม่ของคุณได้อย่างเต็มที่

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้