เมื่อใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ลูกค้าจะชําระเงินตามปริมาณการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการ แทนที่จะชำระค่าธรรมเนียมคงที่ กล่าวคือหากใช้งานมาก คุณก็ต้องชำระเงินมากตามไปด้วย การเรียกเก็บเงินประเภทนี้พบได้ทั่วไปในการประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ บริการอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) และเครื่องมือซอฟต์แวร์ทั้งหลายที่ลดต้นทุนจะเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมการใช้งาน เช่น จํานวนการเรียกใช้ API พื้นที่เก็บข้อมูลที่ใช้ หรือธุรกรรมที่ประมวลผล ในบรรดาธุรกิจที่ให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) 18% มีโมเดลค่าบริการตามปริมาณการใช้งานเป็นหลัก ในปี 2023 ในขณะที่ 23% กำหนดระดับการสมัครใช้บริการตามการใช้งาน
ในบทความนี้ เราจะอธิบายวิธีการทํางานของค่าบริการตามการใช้งาน ประโยชน์และข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงวิธีลดความเสี่ยงของโมเดลค่าบริการตามการใช้งาน
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ค่าบริการตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร
- ประโยชน์ของบริการตามการใช้งานสําหรับธุรกิจมีอะไรบ้าง
- ข้อเสียของค่าบริการตามการใช้งานมีอะไรบ้าง
- ธุรกิจจะลดความเสี่ยงของโมเดลค่าบริการตามการใช้งานได้อย่างไร
- Stripe รองรับค่าบริการตามการใช้งานอย่างไร
จากการสํารวจล่าสุดของเราเกี่ยวกับผู้นําธุรกิจทั่วโลก 2,000+ ราย 38% บอกเราว่าพวกเขาสูญเสียการทำข้อตกลงทางธุรกิจเนื่องจากระบบการเรียกเก็บเงินที่ไม่ยืดหยุ่น และ 52% รู้สึกผิดหวังกับความรวดเร็วของกระบวนการสมัครสมาชิก
รายงานฉบับใหม่ของเราแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอุปสรรคอันดับต้นๆ ด้านการเรียกเก็บเงินที่บริษัทต้องเผชิญ และกลยุทธ์การเอาชนะอุปสรรคที่นําไปใช้ได้จริง ดูข้อมูลเพิ่มเติม
ค่าบริการตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร
ค่าบริการตามการใช้งานจะทํางานโดยเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการ แทนที่จะเป็นค่าธรรมเนียมการชําระเงินตามรอบบิลแบบคงที่ ธุรกิจต่างๆ จะตั้งค่าเมตริก เช่น การเรียกใช้ API การใช้ข้อมูล ธุรกรรม หรือเวลาในการคํานวณ จากนั้นระบบจะเรียกเก็บเงินลูกค้าตามปริมาณการใช้งาน หลักการทํางานโดยทั่วไปมีดังนี้
ธุรกิจจะกำหนดว่าแง่มุมใดบ้างของบริการที่สามารถวัดและเรียกเก็บเงินได้ (เช่น พื้นที่จัดเก็บที่มีขนาดเป็นหน่วยกิกะไบต์ จํานวนคําขอ API ระยะเวลาในการสตรีมวิดีโอเป็นหน่วยนาที)
ธุรกิจบางแห่งจะเรียกเก็บค่าบริการคงที่ต่อหน่วย (เช่น $0.01 ต่อการเรียกใช้ API แต่ละครั้ง) ในขณะที่ธุรกิจบางแห่งใช้ค่าบริการตามระดับ (เช่น การโทร 1,000 ครั้งแรกฟรี หลังจากนั้นคิดค่าบริการ $0.005 ต่อครั้ง)
ระบบจะติดตามตรวจสอบและบันทึกปริมาณการใช้งานของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
โดยปกติระบบจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้ารายเดือนตามการใช้งานทั้งหมด บริการบางอย่างเสนอโมเดลแบบเติมเงิน ซึ่งลูกค้าจะต้องซื้อเครดิตการใช้งานล่วงหน้า
หากการใช้งานของลูกค้าเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นตามนั้น ลูกค้าจะไม่ต้องจ่ายในส่วนที่ไม่ได้ใช้
ประโยชน์ของบริการตามการใช้งานสําหรับธุรกิจมีอะไรบ้าง
ค่าบริการตามการใช้งานอาจเป็นวิธีที่ฉลาดสําหรับธุรกิจ โดยเฉพาะกับธุรกิจ SaaS บริการคลาวด์ และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย API ประโยชน์ของค่าบริการตามการใช้งานมีดังนี้
มูลค่าต้นทุนชัดเจน: ลูกค้าจะจ่ายมากขึ้นเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น วิธีนี้ทําให้ค่าบริการสอดคล้องกับมูลค่า และหลีกเลี่ยงการจำกัดตัวเลือกให้ลูกค้าใช้แพ็กเกจแบบค่าบริการคงที่ที่ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ลดอุปสรรคในการเริ่มต้นใช้งานผลิตภัณฑ์: คนเรามีแนวโน้มที่จะลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อสามารถเริ่มต้นใช้งานในปริมาณเล็กน้อยและชําระเงินเฉพาะสิ่งที่จำเป็น
รักษาลูกค้าได้ดีกว่าเดิม: เมื่อลูกค้าจ่ายเงินตามความต้องการใช้งาน ก็มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะใช้บริการนั้นต่อไป
ลดภาระในการขายต่อยอด: คุณให้ลูกค้าเพิ่มรายรับโดยการเพิ่มปริมาณการใช้งาน แทนการผลักดันให้ลูกค้าซื้อแพ็กเกจที่ใหญ่ขึ้น เมื่อผู้คนได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ของคุณ โดยทั่วไปแล้วผู้คนจะใช้ผลิตภัณฑ์นั้นมากขึ้น และนั่นหมายความว่าพวกเขาจะมีแนวโน้มว่าจะชําระเงินมากขึ้นด้วย
จัดการต้นทุนได้ง่ายขึ้น: หากต้นทุนของคุณขึ้นอยู่กับการใช้งานของลูกค้า เช่น ในการประมวลผลระบบคลาวด์หรือการจัดเก็บข้อมูล โมเดลนี้จะช่วยให้รายจ่ายสอดคล้องกับรายรับอยู่เสมอ การใช้งานที่มากขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็มีรายได้สูงขึ้นด้วย
ข้อเสียของค่าบริการตามการใช้งานมีอะไรบ้าง
การคิดค่าบริการตามการใช้งานอาจเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อเสียที่มองเห็นไม่ชัดเจนในตอนแรก สิ่งที่ควรระวังมีดังนี้
รายรับที่คาดการณ์ได้น้อยลง: เมื่อลูกค้าชําระเงินตามการใช้งาน รายรับก็จะมีความผันผวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการใช้งานผูกกับปัจจัยภายนอก เช่น ฤดูกาลหรือการเปลี่ยนแปลงของตลาดด้วยแล้ว หากคุณคุ้นเคยกับรายรับจากการชําระเงินตามรอบบิลที่คาดการณ์ได้ คุณอาจต้องปรับตัวครั้งใหญ่
การต่อต้านจากลูกค้า: หากลูกค้ารู้สึกว่าไม่สามารถกําหนดงบประมาณสําหรับผลิตภัณฑ์ของคุณได้อย่างน่าเชื่อถือ ลูกค้าอาจมองหาทางเลือกอื่น และการเรียกเก็บเงินที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะจากการใช้งานที่พุ่งสูงอย่างกะทันหัน ก็อาจทําให้ลูกค้ารู้สึกว่าค่าบริการของคุณไม่โปร่งใสเท่าที่พวกเขาคิด หากโมเดลค่าบริการของคุณเข้าใจยาก คุณก็จะได้รับตั๋วขอรับการสนับสนุนจํานวนมาก
การเลิกใช้บริการสังเกตได้ยาก: สำหรับโมเดลการชําระเงินตามรอบบิลทั่วไป คุณจะทราบเมื่อลูกค้าเลิกใช้บริการเนื่องจากลูกค้ายกเลิก แต่สำหรับโมเดลค่าบริการตามการใช้งานแล้ว การเลิกใช้บริการมักจะค่อยเป็นค่อยไป ลูกค้าอาจไม่ได้ยกเลิกในทางเทคนิค แต่การใช้งานอาจลดลง นั่นหมายความว่าเมตริกการรักษาลูกค้าต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่น เนื่องจากคุณต้องติดตามรูปแบบการมีส่วนร่วมแทนจำนวนบัญชีที่ใช้งาน
ลูกค้าลดการใช้งานลง: ค่าบริการตามการใช้งานหมายความว่าบางครั้งการใช้งานสูงอาจเป็นปัญหาได้ หากลูกค้ารู้สึกว่ามีการเรียกเก็บเงินมากเกินไปเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ลูกค้าก็อาจจะเริ่มลดปริมาณการใช้งาน ซึ่งจะเป็นการลดความพึ่งพาผลิตภัณฑ์ของคุณเมื่อเวลาผ่านไป
ความท้าทายในการนำไปใช้: การเรียกเก็บเงินต่อหน่วยฟังดูง่าย จนกระทั่งคุณต้องกําหนดว่า "หน่วย" คืออะไร คุณต้องใช้ระบบวัดและระบบการเรียกเก็บเงินที่รัดกุมเพื่อป้องกันการโต้แย้งการชําระเงิน ลูกค้าบางรายอาจพยายามเล่นเกมกับระบบ ในขณะที่ลูกค้ารายอื่นอาจอ้างว่ามีการเรียกเก็บเงินมากเกินไป คุณจะต้องแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนว่าเพราะเหตุใดคุณจึงเรียกเก็บเงินในจำนวนนั้นๆ
ธุรกิจจะลดความเสี่ยงของโมเดลค่าบริการตามการใช้งานได้อย่างไร
ลูกค้าหลายรายชอบความยืดหยุ่นของค่าบริการตามการใช้งาน แต่ไม่มีใครชอบใบเรียกเก็บเงินมูลค่าสูงหรือค่าใช้จ่ายที่คาดเดาได้ยาก และสำหรับธุรกิจเอง รายรับก็อาจมีความผันผวนอย่างมากจนยากต่อการวางแผน แต่ความเสี่ยงเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากคุณสร้างโมเดลได้อย่างเหมาะสม ต่อไปนี้คือวิธีที่ธุรกิจสามารถวางแผนสําหรับความเสี่ยงของโมเดลตามการใช้งาน
เพิ่มค่าธรรมเนียมคงที่เข้าไปด้วย: ธุรกิจหลายแห่งจะเพิ่มค่าธรรมเนียมพื้นฐานแบบคงที่เข้าไปในโมเดลด้วย แทนที่จะเรียกเก็บค่าบริการตามการใช้งานอย่างเดียว ซึ่งหมายความว่าธุรกิจจะมีรายรับจำนวนหนึ่งที่คาดการณ์ได้เสมอ ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นกับความสามารถในการคาดการณ์ทางการเงิน
ปรับค่าบริการให้ยุติธรรมอยู่เสมอ: อัตราต่อหน่วยแบบคงที่ฟังดูเรียบง่าย แต่ก็อาจส่งผลเสียได้เมื่อมีการเรียกเก็บเงินสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจหลายแห่งจึงใช้ค่าบริการตามระดับ ซึ่งเมื่อใช้งานในปริมาณมาก ค่าธรรมเนียมก็จะถูกลง หรือมอบอัตราส่วนลดสําหรับปริมาณการใช้งานบางระดับ หรือกําหนดค่าบริการถูกลงเมื่อใช้งานในปริมาณน้อย การปรับแต่งเหล่านี้อาจทําให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าเมื่อใช้งานมากขึ้น แทนที่จะรู้สึกว่าถูกลงโทษจากการใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น
แจ้งค่าใช้จ่ายต่อลูกค้าเสมอ: การติดตามการใช้งานแบบเรียลไทม์ การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และวงเงินการใช้จ่ายจะป้องกันไม่ให้ลูกค้าตกใจเมื่อได้รับบิล Stripe จะช่วยคุณกําหนดเกณฑ์การใช้งานและเตือนลูกค้าได้เมื่อใกล้ถึงเกณฑ์ดังกล่าว ยิ่งลูกค้ามองเห็นข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็จะดีต่อธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น
จับสัญญาณ "ก่อนการเลิกใช้บริการ": เมื่อใช้การชําระเงินตามรอบบิล เวลาที่เลิกใช้บริการจะเห็นได้ชัดเจน เพราะลูกค้าจะยกเลิกและออกจากบริการ แต่สำหรับโมเดลค่าบริการตามการใช้งาน การเลิกใช้บริการจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในทางเทคนิคลูกค้าอาจยังใช้งานอยู่ แต่หากการใช้งานของลูกค้าลดลงอย่างเงียบๆ ก็หมายความว่าการใช้จ่ายของลูกค้าก็จะหยุดลงด้วยเช่นกัน ธุรกิจสามารถติดตามปริมาณการใช้งานที่ลดลงและติดต่อลูกค้าแต่เนิ่นๆ ผ่านการแจ้งเตือนแบบส่วนตัว มอบการสนับสนุนเชิงรุก หรือให้ส่วนลดตามเป้าหมายเพื่อรักษาลูกค้าไว้ก่อนที่รายรับจะหลุดลอยหายไป
จัดทำมาตรการป้องกันให้แก่ลูกค้าองค์กร: ธุรกิจหลายแห่งมีสัญญาแบบผสมผสาน โดยผสมผสานค่าบริการแบบคงที่และแบบแปรผันเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ลูกค้าอาจทำสัญญาค่าใช้จ่ายพื้นฐาน แต่การใช้งานนอกเหนือจากนั้นจะคิดค่าบริการตามการใช้งาน วิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าคาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มปริมาณการใช้งานได้เมื่อต้องการ
ติดตามเมตริกที่ถูกต้อง: โมเดลค่าบริการตามการใช้งานจะเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ธุรกิจจะวัดผลสําเร็จ หากคุณยังคงติดตามรายรับตามแบบแผนล่วงหน้ารายเดือน (MRR) และการเลิกใช้บริการแบบเดียวกับธุรกิจที่ใช้โมเดลการชำระเงินตามรอบบิล คุณอาจมองไม่เห็นภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น คุณควรเน้นติดตามปัจจัยต่างๆ เช่น การรักษารายรับสุทธิ รายรับส่วนที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มการมีส่วนร่วมของลูกค้าโดยรวม
Stripe รองรับค่าบริการตามการใช้งานอย่างไร
Stripe ช่วยธุรกิจนำโมเดลค่าบริการตามการใช้งานไปใช้โดยการติดตามการใช้งาน เรียกเก็บเงินอัตโนมัติ และทำให้ลูกค้ามองเห็นข้อมูลค่าใช้จ่ายแบบเรียลไทม์ Stripe สนับสนุนโมเดลนี้ดังนี้
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานที่ปรับขยายได้
Stripe ช่วยให้ธุรกิจเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นตามการเรียกใช้ API จำนวนธุรกรรม พื้นที่เก็บข้อมูล หรือเมตริกอื่นๆ ก็ตาม คุณสามารถติดตามการใช้งานได้แบบเรียลไทม์ โดยระบบจะเรียกเก็บเงินลูกค้าตามรอบเวลาที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
โครงสร้างค่าบริการแบบยืดหยุ่น
ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่ต้องการโมเดล "จ่ายตามการใช้งาน" ที่เรียบง่าย Stripe รองรับการเรียกเก็บเงินในหลายวิธี ได้แก่
ค่าบริการคงที่ต่อหน่วย (เช่น $0.01 ต่อการเรียกใช้ API)
ค่าบริการตามระดับ (เช่น $0.02 ต่อการเรียกใช้ API ไม่เกิน 1,000 ครั้ง จากนั้น $0.01 ต่อการเรียกใช้ API แต่ละครั้ง)
ค่าบริการแบบเครดิต (เช่น ลูกค้าซื้อเครดิตล่วงหน้า 1,000 เครดิต ซึ่งจะหักตามการใช้งาน)
ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบค่าบริการที่ส่งเสริมการเติบโต แทนที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าถูกลงโทษจากการใช้งานมากเกินไป
การออกใบแจ้งหนี้และการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ
Stripe จัดการการออกใบแจ้งหนี้ทั้งหมด ดังนั้นธุรกิจจึงไม่ต้องคํานวณการเรียกเก็บเงินด้วยตนเอง Stripe รวบรวมข้อมูลการใช้งานที่คุณรายงาน ใช้กฎค่าบริการที่เหมาะสม และสร้างใบแจ้งหนี้เมื่อสิ้นสุดรอบการเรียกเก็บเงินแต่ละรอบโดยอัตโนมัติ
การติดตามการใช้งานและการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของค่าบริการตามการใช้งานก็คือ ลูกค้าอาจตกใจกับยอดในใบเรียกเก็บเงิน Stripe ช่วยป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นด้วยการรายงานแบบเรียลไทม์ แดชบอร์ดการใช้งาน และการแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อให้ลูกค้าทราบสถานะการใช้งานของตัวเองได้เสมอ
โมเดลแบบไฮบริดเพื่อสร้างรายรับที่เสถียร
ธุรกิจที่ไม่ต้องการให้รายรับผันผวนมากนักสามารถใช้ Stripe เพื่อผสมผสานค่าบริการตามการใช้งานเข้ากับค่าธรรมเนียมคงที่ โดยกรณีนี้อาจหมายถึงการเรียกเก็บเงินแบบการชําระเงินตามรอบบิลพื้นฐาน บวกกับการชําระเงินเกินจํานวนหรือการเสนอเครดิตแบบเติมเงินที่ลูกค้าถอนมาใช้เรื่อยๆ
การปรับแต่งระดับองค์กร
Stripe รองรับสัญญาแบบเจรจาต่อรอง ซึ่งกำหนดการใช้จ่ายขั้นต่ำ ส่วนลด และข้อกําหนดการเรียกเก็บเงินที่ออกแบบเองสําหรับธุรกิจที่จําหน่ายให้กับลูกค้ารายใหญ่ วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจมีรายรับที่คาดการณ์ได้ และยังคงช่วยให้ลูกค้าสามารถเพิ่มการใช้งานได้ตามต้องการ
การวิเคราะห์รายรับ
Stripe มอบเครื่องมือการรายงานเพื่อติดตามผลกระทบของการใช้งานต่อรายรับในช่วงเวลาต่างๆ โดยธุรกิจสามารถตรวจสอบแนวโน้มการใช้จ่ายของลูกค้า ระบุว่าการใช้งานลดลงเมื่อใด และปรับแต่งค่าบริการตามข้อมูลจริงได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ