ในด้านฟินเทค (เทคโนโลยีทางการเงิน) API (อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน) จะเชื่อมต่อเทคโนโลยีและบริการที่แตกต่างกัน และอยู่เบื้องหลังบริการที่แพร่หลายมากมายในปัจจุบัน เช่น แอปธนาคารและแอปซื้อขายหุ้นแบบทันที
บริการฟินเทคซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดย API ทางการเงิน เป็นตลาดขนาดใหญ่และกำลังเติบโต การลงทุนด้านฟินเทคทั่วโลกมีมูลค่ารวม 113.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 โดย API ทางการเงินเป็นช่องทางที่แพลตฟอร์มทางการเงินต่างๆ สื่อสารและแบ่งปันความสามารถ ด้วยการกำหนดกฎสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่ง API เหล่านี้ช่วยให้ระบบที่แตกต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้ และสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ สำหรับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการส่งมอบบริการ
API ทางการเงินช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินและเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงข้อเสนอต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น โดย API เหล่านี้ช่วยส่งเสริมนวัตกรรมและช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างประสบการณ์ที่ปรับแต่งตามความต้องการ ซึ่งตอบสนองและเหนือกว่าความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคได้
ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายว่า API ทางการเงินทำงานอย่างไรและส่งผลต่อฟินเทคย่างไร
เนื้อหาหลักในบทความ
- วิธีการทำงานของ API ทางการเงิน
- ฟีเจอร์หลักของ API ทางการเงิน
- ธุรกิจที่ใช้ API ทางการเงิน
- API ส่งผลต่อฟินเทคอย่างไร
- ประโยชน์ของการใช้ API ทางการเงิน
- ความปลอดภัยใน API ทางการเงิน
API ทางการเงินทำงานอย่างไร
API ทางการเงินหรืออินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชันเป็นตัวกลางซอฟต์แวร์ที่อนุญาตให้แอปพลิเคชันและระบบทางการเงินต่างๆ สื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยจะมีการเชื่อมโยงกับสถาบันการเงิน (เช่น ธนาคาร) และบริการของบริษัทอื่น (เช่น แอปจัดทำงบประมาณ แพลตฟอร์มการลงทุน)
นี่คือวิธีการทำงานของ API ทางการเงิน
คำขอ: ผู้ใช้เริ่มต้นคำขอผ่านแอปพลิเคชันของบริษัทอื่น (เช่น ตรวจสอบยอดเงินในธนาคารในแอปจัดทำงบประมาณ)
การตรวจสอบสิทธิ์: API จะตรวจสอบสิทธิ์ของคำขอเพื่อยืนยันว่าผู้ใช้ได้อนุญาตให้แอปพลิเคชันของบริษัทอื่นเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของตน
การดึงข้อมูล: API จะดึงข้อมูลที่ร้องขอจากสถาบันการเงิน
การจัดรูปแบบข้อมูล: API จะแปลข้อมูลเป็นรูปแบบมาตรฐานที่แอปพลิเคชันของบริษัทอื่นสามารถเข้าใจและใช้งานได้
การตอบกลับ: API จะส่งข้อมูลที่จัดรูปแบบกลับไปยังแอปพลิเคชันของบริษัทอื่นซึ่งจะแสดงไปที่ผู้ใช้
ฟีเจอร์หลักของ API ทางการเงิน
API ทางการเงินจะให้ข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดระดับสูงที่อุตสาหกรรมการเงินกำหนด โดย API ทางการเงินถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันทางการเงินที่ซับซ้อนและปลอดภัย ฟีเจอร์หลักของ API ทางการเงินประกอบด้วย
__ การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์:__ API ทางการเงินจะช่วยให้บุคคลและธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากข้อมูลทางการเงินจำนวนมาก เช่น ราคาหุ้น อัตราสกุลเงิน และยอดคงเหลือบัญชีเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA): API ทางการเงินจะผสานการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย เพื่อให้เฉพาะผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนได้ กระบวนการตรวจสอบสิทธิ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับรหัสผ่าน ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ และรหัสแบบใช้ครั้งเดียวที่ส่งทาง SMS หรืออีเมล
การสื่อสารที่ปลอดภัย: โดยทั่วไปแล้ว API ทางการเงินจะใช้การเข้ารหัสแบบ SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลทั้งหมดเพื่อปกป้องความสมบูรณ์และการรักษาความลับของข้อมูล สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลทั้งหมดที่ส่งระหว่างไคลเอ็นต์ แอปพลิเคชัน และเซิร์ฟเวอร์ API นั้นปลอดภัย
เอกสารประกอบและชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK): โดยทั่วไปแล้ว API ทางการเงินจะมาพร้อมกับเอกสารประกอบที่ครอบคลุม รวมถึงคำแนะนำโดยละเอียด แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ตัวอย่างโค้ด และคู่มือการแก้ไขปัญหา รวมถึง SDK สำหรับภาษาโปรแกรมที่หลากหลาย
ความสามารถในการปรับขนาด: API ทางการเงินสามารถจัดการกับคำขอได้ในปริมาณที่หลากหลาย และสามารถปรับขนาดเพื่อตอบสนองทั้งความต้องการของแอปพลิเคชันขนาดเล็กและระบบองค์กรขยายธุรกิจขนาดใหญ่
การประมวลผลธุรกรรมและการชำระเงิน: API ทางการเงินอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมประเภทต่างๆ รวมถึงการชำระเงิน การโอน และการคืนเงิน โดยสามารถเชื่อมต่อได้โดยตรงกับเกตเวย์การชำระเงิน ธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นๆ เพื่อขั้นตอนธุรกรรมเหล่านี้
การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: API ทางการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS) สำหรับข้อมูลการชำระเงินและข้อบังคับทั่วไปด้านการคุ้มครองข้อมูล (GDPR) สำหรับการคุ้มครองข้อมูลในยุโรป การปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและรักษาความไว้วางใจกับผู้บริโภคได้
การจัดการข้อผิดพลาด: API ทางการเงินมีกลไกการจัดการข้อผิดพลาดที่สื่อสารข้อผิดพลาดใดๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเรียกใช้ API ไปยังนักพัฒนาหรือแอปพลิเคชัน ซึ่งรวมถึงข้อความแสดงข้อผิดพลาดและรหัสโดยละเอียดที่ช่วยวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ชุดรวม API: API ทางการเงินสามารถทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อเดียวในการเข้าถึงสำหรับบริการทางการเงินและสถาบันต่างๆ ทำให้การผสานการทำงานง่ายยิ่งขึ้นและช่วยให้นักพัฒนาสามารถเพิ่มฟีเจอร์จากสถาบันการเงินต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเป็นพาร์เนอร์กับแต่ละสถาบันโดยตรง
การวิเคราะห์และการรายงาน: API ทางการเงินมักมีฟีเจอร์การวิเคราะห์และการรายงานที่ช่วยให้ธุรกิจติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรม ตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้ และสร้างรายงานสำหรับการวางแผนทางการเงินและการตรวจสอบ
ธุรกิจที่ใช้ API ทางการเงิน
ธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธนาคารใช้ API ทางการเงินเพื่อให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าของตน ต่อไปนี้คือสรุปข้อมูลของประเภทธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีนี้
บริษัทฟินเทค
แอปการเงินส่วนบุคคล: แอปเหล่านี้ใช้ API เพื่อรวบรวมข้อมูลทางการเงินจากบัญชี ติดตามการใช้จ่าย สร้างงบประมาณ และให้ข้อมูลเชิงลึกทางการเงินแก่ผู้ใช้
ผู้ประมวลผลการชำระเงิน: บริษัท อย่างเช่น Stripe ใช้ API เพื่อให้ธุรกิจสามารถรับการชำระเงินออนไลน์ได้
ธนาคารยุคใหม่และธนาคารรูปแบบใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยี: ธนาคารยุคใหม่ และธนาคารรูปแบบใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเป็นธนาคารดิจิทัลที่ให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น โดยการใช้ API เพื่อเชื่อมต่อกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมและให้บริการธนาคารผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
ที่ปรึกษาหุ่นยนต์: แพลตฟอร์มการลงทุนอัตโนมัติเหล่านี้ใช้ API เพื่อเข้าถึงข้อมูลตลาด จัดการพอร์ตการลงทุน และดำเนินการซื้อขายในนามของลูกค้า
แพลตฟอร์มการให้กู้ยืม: ผู้ให้บริการสินเชื่อแบบระหว่างบุคคลและสินเชื่อออนไลน์จะใช้ API เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของผู้กู้ ประมวลผลการสมัครสินเชื่อ เบิกจ่ายเงิน และทำให้กระบวนการสินเชื่อเป็นไปโดยอัตโนมัติ รวมถึงการดำเนินการ การประเมินและควบคุมความเสี่ยง และการเบิกจ่าย โดย API ยังช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถจัดหาผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมตามข้อมูลทางการเงินของผู้กู้
สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม
ธนาคาร: ธนาคารนำ API มาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้บริการการธนาคารแบบเปิด ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถแชร์ข้อมูลทางการเงินของตนกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามที่ได้รับอนุญาตได้
สหภาพแรงงานเครดิต: เช่นเดียวกับธนาคาร สหภาพเครดิตใช้ API เพื่อปรับปรุงข้อเสนอดิจิทัลและให้สมาชิกเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่ดีขึ้น
บริษัทประกันภัย: ผู้ให้บริการประกันภัยใช้ API เพื่อลดความซับซ้อนในการประมวลผลการเคลม รวบรวมข้อมูลลูกค้า และสร้างผลิตภัณฑ์ประกันภัยเฉพาะบุคคลและอิงตามการใช้งาน
บริษัทจัดการความมั่งคั่ง: บริษัทจัดการความมั่งคั่งใช้ API เพื่อให้คำแนะนำการลงทุนเฉพาะบุคคล การจัดการพอร์ตการลงทุน และการปรับสมดุลอัตโนมัติตามโปรไฟล์ความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงินของแต่ละบุคคล
บริษัทประเภทอื่นๆ
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: ผู้ค้าปลีกออนไลน์ใช้ API เพื่อผสานการทำงานเกตเวย์การชำระเงินกับตัวเลือกการผ่อนชำระ และเพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งเฉพาะบุคคลตามรูปแบบการใช้จ่ายของลูกค้า
ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์การทำบัญชี: บริษัทซอฟต์แวร์การทำบัญชีใช้ API เพื่อเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคาร การกระทบยอดกับธนาคารโดยอัตโนมัติ และการสร้างรายงานทางการเงิน
แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์: เว็บไซต์และแอปอสังหาริมทรัพย์ใช้ API เพื่อยืนยันข้อมูลรายได้และการจ้างงาน ประเมินความสามารถในการจ่าย และอำนวยความสะดวกในการยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย
หน่วยงานราชการ: หน่วยงานราชการใช้ API เพื่อเก็บข้อมูลทางการเงินเพื่อวัตถุประสงค์ด้านภาษี การแจกจ่ายสวัสดิการ และติดตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
API ส่งผลต่อฟินเทคอย่างไร
API ขับเคลื่อนนวัตกรรมในฟินเทคโดยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน ความร่วมมือระหว่างบริษัท และโอกาสทางธุรกิจสำหรับแพลตฟอร์มนอกภาคการเงิน นี่คือภาพรวมทั้งหมด
การทำให้ข้อมูลทางการเงินเข้าถึงได้
- การธนาคารแบบเปิด: API ได้ช่วยเปิดทางให้การธนาคารแบบเปิดเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งลูกค้าสามารถให้สิทธิแก่ผู้ให้บริการบุคคลที่สามในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของตนที่ธนาคารถือครองไว้ได้ สิ่งนี้เปิดโอกาสให้บริษัทฟินเทคสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของบุคคลทั่วไปได้
เข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น
ลดเวลาในการพัฒนา: API มีฟังก์ชันที่สร้างไว้ล่วงหน้าสำหรับงานทางการเงินทั่วไป เช่น การประมวลผลการชำระเงิน การรวบรวมบัญชี และการวิเคราะห์ข้อมูล สิ่งนี้ช่วยลดเวลาและทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับบริษัทฟินเทคในการพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ได้
รูปแบบที่ปรับเปลี่ยนได้และการนำกลับมาใช้ใหม่ได้: บริษัทฟินเทคสามารถผสานการทำงานและรวม API เพื่อสร้างโซลูชันทางการเงินใหม่ ซึ่งช่วยให้พวกเขามุ่งเน้นไปที่คุณค่าที่นำเสนอหลักแทนที่จะสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น
ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น
การปรับแต่งให้เหมาะกับตัวบุคคล: API ช่วยให้บริษัทฟินเทคสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์และคำแนะนำทางการเงินที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล ส่งผลให้ประสบการณ์ผู้ใช้มีความเฉพาะตัวและน่าสนใจยิ่งขึ้น
การผสานการทำงาน: API ช่วยให้แอปฟินเทคผสานการทำงานกับแพลตฟอร์มและบริการอื่นๆ ได้ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวและสะดวกสบายในจุดสัมผัสทางการเงินที่แตกต่างกัน
การอัปเดตแบบเรียลไทม์: API สามารถให้การเข้าถึงข้อมูลทางการเงินแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้โดยมีข้อมูลที่ครบถ้วน
การทำงานร่วมกัน
การเป็นพาร์ทเนอร์: API ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทฟินเทค สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม และผู้ให้บริการเทคโนโลยีอื่นๆ สิ่งนี้นำไปสู่การพัฒนาโมเดลธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ
มาร์เก็ตเพลสสำหรับ API: มาร์เก็ตเพลสสำหรับ API ช่วยให้บริษัทฟินเทคสามารถค้นหาและผสานการทำงาน API จากผู้ให้บริการต่างๆ เพื่อเร่งนวัตกรรมให้เร็วยิ่งขึ้น
โอกาสใหม่ๆ สำหรับธุรกิจ
การให้บริการธนาคาร (BaaS): API ทำให้เกิด BaaS ซึ่งเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่ไม่ใช่ธนาคารสามารถให้บริการด้านการธนาคารได้โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานและใบอนุญาตของธนาคารที่มีอยู่แล้ว สิ่งนี้ช่วยเปิดช่องทางรายรับใหม่ให้กับธนาคารและช่วยให้บริษัทฟินเทคเข้าสู่ตลาดได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตธนาคาร
การเงินแบบผสานรวมในตัว: API ช่วยให้สามารถผสานการทำงานด้านบริการทางการเงินเป็นผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่ทางการเงินที่สามารถสร้างโอกาสในการสร้างรายรับใหม่ๆ ให้กับบริษัทฟินเทคและเสริมคุณค่าที่นำเสนอของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่
บริการทางการเงินที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน
การเข้าถึง: API สามารถช่วยลดช่องว่างระหว่างบริการทางการเงินแบบดั้งเดิมและประชากรที่ด้อยโอกาสโดยมอบการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ราคาไม่แพงและสะดวกสบายผ่านช่องทางดิจิทัล
แหล่งข้อมูลทางเลือก: API สามารถใช้แหล่งข้อมูลทางเลือก เช่น การใช้งานโทรศัพท์มือถือและกิจกรรมโซเชียลมีเดียเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือด้านเครดิต ซึ่งสร้างความครอบคลุมทางการเงินมากขึ้นสำหรับบุคคลที่มีประวัติเครดิตจำกัด
ประโยชน์ของการใช้ API ทางการเงิน
API ทางการเงินมอบประโยชน์มากมายสำหรับธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่ง่ายขึ้นไปจนถึงแหล่งรายรับใหม่ โดยประโยชน์เหล่านี้รวมถึง
บริการทางการเงินเฉพาะบุคคล: ธุรกิจสามารถใช้ API เพื่อเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของลูกค้าและเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และคำแนะนำต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการและความชอบเฉพาะบุคคลได้
กระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่ง่ายขึ้น: API ทางการเงินช่วยทำให้กระบวนการเริ่มต้นใช้งานของลูกค้าง่ายยิ่งขึ้น โดยทำการยืนยันตัวตน การเปิดบัญชี และการประเมินความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ
อินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่ดียิ่งขึ้น: ด้วยการผสานรวม API เข้ากับแพลตฟอร์ม ธุรกิจต่างๆ สามารถมอบประสบการณ์ที่ใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การอัปเดตบัญชีแบบเรียลไทม์ การจัดหมวดหมู่ธุรกรรม และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้จ่าย
ลดแรงงานคน: API ทางการเงินทำให้งานที่ต้องทำด้วยตนเองเป็นอัตโนมัติ เช่น การป้อนข้อมูล การกระทบยอด และการรายงาน ทำให้เกิดเวลาและทรัพยากรอันมีค่ามากขึ้นที่ธุรกิจสามารถใช้เพื่อมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมหลัก เช่น การลดต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ
การพัฒนาที่เร็วขึ้น: API ช่วยให้ธุรกิจสามารถผสานการทำงานฟีเจอร์และบริการทางการเงินใหม่ๆ ลงในแพลตฟอร์มที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดเวลาในการพัฒนาและเร่งเวลาในการเข้าสู่ตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม
แหล่งรายรับใหม่: ธุรกิจสามารถใช้ API ทางการเงินเพื่อพัฒนาบริการเสริมใหม่ๆ เช่น คำแนะนำทางการเงินเฉพาะบุคคล การจัดการการลงทุน และผลิตภัณฑ์ประกันภัย ที่เป็นการสร้างแหล่งรายรับใหม่เพิ่มเติม
การเป็นพาร์ทเนอร์และการทำงานร่วมกัน: API อำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างธุรกิจและสถาบันการเงิน ช่วยส่งเสริมความร่วมมือเชิงนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการร่วมกัน
เข้าถึงตลาดใหม่ๆ: API ทางการเงินสามารถช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยการสร้างโซลูชันทางการเงินที่ปรับให้เหมาะสมผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งช่วยขยายการเข้าถึงตลาดและฐานลูกค้า
ความปลอดภัยใน API ทางการเงิน
API ทางการเงินจะจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอย่างสูงและการรักษาความปลอดภัยเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดเพียงอย่างเดียวในการสร้างและใช้งาน API ทำให้เกิดพื้นที่โจมตีมากขึ้น เผยให้เห็นปลายทางมากขึ้นและอาจเพิ่มช่องโหว่ การผสานรวม API หลายตัวและการจัดการความปลอดภัยอาจมีความซับซ้อนเป็นพิเศษ
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการปกป้อง API ได้แก่ การปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น แนวทางการใช้งาน API ระดับการเงิน (FAPI) การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะสิทธิ์ที่จำเป็น โดยใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัยและรหัสผ่านที่รัดกุม ติดตามรูปแบบการใช้งาน และการตรวจจับความผิดปกติ และให้ความรู้แก่ผู้ใช้เกี่ยวกับวิธีปกป้องข้อมูลของตนและรู้จักภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
ฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัย
ต่อไปนี้คือฟีเจอร์และกระบวนการด้านความปลอดภัยหลักที่เกี่ยวข้องกับ API ทางการเงิน
การตรวจสอบสิทธิ์และการอนุมัติ
การตรวจสอบสิทธิ์ลูกค้าแบบรัดกุม (SCA): การตรวจสอบสิทธิ์ลูกค้าแบบรัดกุม (SCA) ต้องใช้ปัจจัยหลายประการในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นสิ่งที่พวกเขารู้ (รหัสผ่าน) สิ่งที่พวกเขามี (โทรศัพท์) และสิ่งที่พวกเขาเป็น (ไบโอเมตริกซ์)
OAuth 2.0: โปรโตคอลนี้ช่วยให้การอนุมัติที่ปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามในการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลการเข้าสู่ระบบ
OpenID Connect: การเสริมขั้นตอนนี้บน OAuth จะช่วยทำหน้าที่ตรวจสอบยืนยันตัวตนสำหรับผู้ใช้
การเข้ารหัส
Transport layer security (TLS): โปรโตคอลนี้จะเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งระหว่าง API และแอปพลิเคชันหรือผู้ใช้เพื่อป้องกันการสกัดกั้น
การเข้ารหัสข้อมูลขณะพัก: ขั้นตอนนี้จะปกป้องที่จัดเก็บไว้ข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
เกตเวย์ API
สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง API และผู้บริโภค การจัดการการใช้งาน การบังคับใช้ขีดจำกัดอัตรา และการคัดกรองคำขอเพื่อป้องกันการโจมตี
การตรวจสอบและการกรองข้อมูลนำเข้า
ขั้นตอนนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าเฉพาะข้อมูลที่จัดรูปแบบอย่างถูกต้องและปลอดภัยเท่านั้นที่จะเข้าสู่ API เพื่อป้องกันการโจมตีแบบแทรก
การตรวจจับและการป้องกันภัยคุกคาม
ระบบตรวจจับการบุกรุก (IDS): ระบบเหล่านี้จะติดตามตรวจสอบการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัย
ไฟร์วอลล์สำหรับแอปพลิเคชันบนเว็บ (WAF): ระบบเหล่านี้จะป้องกันการโจมตีเว็บทั่วไป เช่น การแทรก SQL และการเขียนสคริปต์ข้ามไซต์
กระบวนการรักษาความปลอดภัย
การตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจำ: การทดสอบอย่างต่อเนื่องและการประเมินช่องโหว่จะช่วยระบุและแก้ไขจุดอ่อน
การย่อขนาดข้อมูล: การรวบรวมและจัดเก็บเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้นจะช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิด
แผนการรับมือเหตุการณ์: การมีแผนที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงการตอบสนองที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย
การปฏิบัติตามข้อกำหนด: ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ดำเนินการ โดย API ทางการเงินต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ เช่น GDPR, กฎหมายความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งแคลิฟอร์เนีย (CCPA) และคำสั่งว่าด้วยบริการชำระเงิน (PSD2) ฉบับปรับปรุง
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ