ทุกเรื่องราวของสตาร์ทอัพเริ่มขึ้นก่อนจะมีแสงส่องถึง ในช่วงที่ผลิตภัณฑ์ยังไม่เกิด รายได้จะยังไม่มี และไอเดียเป็นสิ่งเดียวที่ผู้ก่อตั้งสามารถพึ่งพาได้ เงินทุนช่วง Pre-Seed คือเชื้อเพลิงสำหรับช่วงเวลานั้น เป็นเงินที่ช่วยให้ผู้ก่อตั้งเปลี่ยนภาพร่างให้เป็นต้นแบบ เปลี่ยนการสนทนาเป็นการค้นพบลูกค้า และเปลี่ยนทีมให้เป็นบริษัท ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายว่าเงินทุนช่วง Pre-Seed มีหลักการทำงานอย่างไร ใครเป็นผู้จัดหา และจะใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์
เนื้อหาหลักในบทความ
- เงินทุนช่วง Pre-Seed คืออะไร
- เงินทุนช่วง Pre-Seed แตกต่างจากการระดมทุน Seed และ Series A อย่างไร
- ใครเป็นผู้จัดหาเงินทุน Pre-Seed ให้สตาร์ทอัพ
- ธุรกิจประเภทใดมักระดมทุนในช่วง Pre-Seed
- ผู้ก่อตั้งมีวิธีใช้เงินทุน Pre-Seed อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
- สตาร์ทอัพต้องเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้างในการระดมทุน Pre-Seed
- นักลงทุนประเมินสตาร์ทอัพในช่วง Pre-Seed อย่างไร
- Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
เงินทุนช่วง Pre-Seed คืออะไร
เงินทุนช่วง Pre-Seed คือเงินที่สตาร์ทอัพระดมมาได้ในช่วงแรกสุด โดยมักจะเป็น "เงินก้อนแรก" ก่อนที่จะมีรอบการลงทุนแบบ Seed อย่างเป็นทางการ ในช่วงนี้บริษัทมักจะยังเป็นแค่แนวคิด ต้นแบบ หรือโปรเจ็กต์เสริม และส่วนใหญ่ยังไม่มีรายได้เกิดขึ้น
เงินทุนในช่วงนี้มักมาจากเงินออมของผู้ก่อตั้ง เพื่อนและครอบครัว หรือนักลงทุนอิสระ (Angel Investor) ในช่วงเริ่มแรก โดยทั่วไปแล้วข้อตกลงจะอยู่ในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงินแปลงสภาพหรือสัญญา SAFE (Simple Agreements for Future Equity) เนื่องจากการกำหนดมูลค่าบริษัทในระยะนี้ทำได้ยาก
เนื่องจากเงินทุนช่วง Pre-Seed เป็นการระดมทุนในระยะเริ่มแรก ขนาดของรอบทุนจึงมักจะมีขนาดเล็ก ตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหนึ่งล้านดอลลาร์ โดยการระดมทุนผ่าน SAFE ในช่วง Pre-Seed โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 700,000 ดอลลาร์ในปี 2025
เงินทุนช่วง Pre-Seed แตกต่างจากการระดมทุน Seed และ Series A อย่างไร
การระดมทุนของสตาร์ทอัพแบ่งออกเป็นช่วง ได้แก่ Pre-Seed, seed และ Series A ซึ่งแสดงถึงความพร้อม ความเสี่ยง และความคาดหวังในระดับต่างๆ
แต่ละช่วงมีรายละเอียดดังนี้
Pre-Seed: เป็นเงินทุนจากภายนอกก้อนแรกของสตาร์ทอัพ มักอยู่ในหลักหมื่นถึงหลักแสนดอลลาร์ และมักจะมาจากเพื่อน ครอบครัว หรือนักลงทุนอิสระ (Angel Investor) การทำข้อตกลงในช่วงนี้มักใช้รูปแบบ SAFE หรือตั๋วสัญญาใช้เงินแปลงสภาพ บริษัทในระยะนี้มักอยู่ในช่วงก่อนมีรายรับ และมีเป้าหมายคือการสร้างต้นแบบ ทดสอบไอเดีย และพิสูจน์ว่าผู้ก่อตั้งลงมือทำได้จริง
Seed: ในรอบมักจะรวบรวมเงินได้ตั้งแต่ 500,000 ถึง 5.0 ล้านดอลลาร์ โดยในปี 2024 จำนวนเงินที่ระดมทุนได้ในรอบ Seed โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5 ล้านดอลลาร์ ในช่วงนี้มักจะมีผลิตภัณฑ์ที่ทำงานได้ขั้นต่ำ (MVP) และเริ่มมีผู้ใช้ในช่วงแรกแล้ว บางครั้งการลงทุนอาจอยู่ในรูปแบบการเพิ่มทุน โดยเงินทุนอาจมาจากกลุ่มนักลงทุนอิสระ บริษัทร่วมลงทุน Seed หรือบริษัทเร่งการเติบโต เงินทุน Seed ช่วยให้ทีมสร้างผลิตภัณฑ์จนแล้วเสร็จ ดึงดูดลูกค้า และพิสูจน์โมเดลธุรกิจ นักลงทุนจึงคาดหวังว่าจะเห็นสัญญาณของการเติบโตช่วงต้น
Series A: มักจะเป็นรอบ "สถาบัน" รอบแรก ซึ่งโดยทั่วไปจะระดมทุนได้ระหว่าง 5 ถึง 30 ล้านดอลลาร์ (บางครั้งก็มากกว่านั้น) สตาร์ทอัพในช่วงนี้เริ่มมีรายรับสูงขึ้น มีผู้ใช้เพิ่มขึ้น หรือมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักอื่นๆ การทำข้อตกลงมักอยู่ในรูปแบบการเพิ่มทุนโดยมีบริษัทร่วมทุนรายใหญ่เป็นผู้นำรอบ การระดมทุน Series A เป็นเรื่องของการขยายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มบุคลากร การขยายตลาด และการผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน
ใครเป็นผู้จัดหาเงินทุน Pre-Seed ให้สตาร์ทอัพ
การระดมทุนช่วง Pre-Seed มักมีขนาดเล็ก มีความเสี่ยงสูง และอิงกับความสัมพันธ์ส่วนตัว ผู้ก่อตั้งมักเริ่มจากการใช้เงินเก็บของตนเอง จากนั้นระดมทุนจากเพื่อนหรือครอบครัว ซึ่งแนวทางนี้ใช้ได้กับบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีเครือข่ายที่มีศักยภาพทางการเงิน
หากเพื่อนหรือครอบครัวไม่ใช่ทางเลือก และต้องใช้เงินออมส่วนตัว เงินทุนช่วง Pre-Seed อาจมาจากแหล่งต่อไปนี้
นักลงทุนอิสระ: ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารที่มีประสบการณ์อาจลงทุนด้วยเงินของตนเอง นักลงทุนอิสระอาจเขียนเช็คเป็นเงินหลักพันไปจนถึงสองสามแสนดอลลาร์ นอกเหนือจากเงินทุนแล้ว คนกลุ่มนี้มักให้คำปรึกษาและคอนเน็กชันในอุตสาหกรรม
กลุ่มและเครือข่ายนักลงทุน: บางครั้งนักลงทุนอิสระก็ลงขันเพื่อออกเช็คใบใหญ่ แพลตฟอร์มอย่าง AngelList หรือกลุ่มนักลงทุนอิสระระดับภูมิภาคช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถเสนอขายเพียงครั้งเดียวแต่เข้าถึงนักลงทุนหลายรายได้ง่ายขึ้น
ศูนย์บ่มเพาะและบริษัทเร่งการเติบโต: โปรแกรมเช่น Y Combinator และ Techstars ให้เงินทุนจำนวนหนึ่งพร้อมกับให้คำปรึกษา โปรแกรมที่มีโครงสร้าง และการเข้าถึงเครือข่ายนักลงทุน การได้รับเลือกให้เข้าร่วมบริษัทเร่งการเติบโตที่มีชื่อเสียงจึงให้ทั้งเงินทุนและความน่าเชื่อถือ
กองทุนร่วมทุน Pre-Seed: กองทุนขนาดเล็กที่มีผู้บริหารมืออาชีพ เชี่ยวชาญการลงทุนในช่วงแรกสุดและช่วยเตรียมสตาร์ทอัพให้พร้อมสำหรับการระดมทุนรอบ Seed
การระดมทุนและเงินช่วยเหลือ: สตาร์ตอัพบางรายระดมทุนผ่านแพลตฟอร์ระดมทุนแบบถือหุ้นหรือแคมเปญผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นการทำการตลาดตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปพร้อมกันด้วย ขณะที่บางรายได้รับทุนสนับสนุนแบบไม่ต้องแบ่งหุ้นจากการประกวดหรือได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยเฉพาะในสาขาอย่างเทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีขั้นสูง
ธุรกิจประเภทใดมักระดมทุนในช่วง Pre-Seed
เงินทุนช่วง Pre-Seed มักเกิดขึ้นกับธุรกิจที่ต้องการเงินล่วงหน้าเพื่อพิสูจน์ไอเดียใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจประเภทต่อไปนี้
ซอฟต์แวร์และการให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS): ต้นทุนในการก่อตั้งบริษัทเหล่านี้ค่อนข้างต่ำ ผู้ก่อตั้งมักระดมทุนก้อนเล็กเพื่อจ้นักพัฒนา สร้าง MVP และทดสอบการตอบรับของตลาดในช่วงแรก
มาร์เก็ตเพลสและแอปสำหรับลูกค้า: แพลตฟอร์มแบบสองฝั่งและแอปไลฟ์สไตล์มักต้องใช้เงินทุนเพื่อสร้างเวอร์ชันแรกและดึงดูดผู้ใช้กลุ่มแรก
ฮาร์ดแวร์และอินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่ง (IoT): ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ต้องใช้เงินทุนตั้งต้นสำหรับการสร้างต้นแบบและการผลิต
เทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีขั้นสูง: มีต้นทุนล่วงหน้าสำหรับการวิจัยและพัฒนาสูง บริษัทกลุ่มนี้จึงมักระดมทุนช่วง Pre-Seed ควบคู่กับเงินสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้
สินค้าอุปโภคบริโภคและอีคอมเมิร์ซ: ผู้ก่อตั้งใช้เงินทุนช่วง Pre-Seed เพื่อเปลี่ยนไอเดียเป็นการผลิตล็อตแรก หรือใช้เพื่อทำการตลาดระยะเริ่มต้น
ผู้ก่อตั้งมีวิธีใช้เงินทุน Pre-Seed อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
เงินทุนในช่วง Pre-Seed มักมีจำนวนจำกัด ดังนั้นวิธีใช้จ่ายจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของบริษัท คุณจะต้องบรรลุหมุดหมายสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนในช่วง seed ให้ความสำคัญกับคุณอย่างจริงจัง
ผู้ก่อตั้งควรให้ความสำคัญกับสิ่งต่อไปนี้
การจัดตั้งบริษัทและเรื่องพื้นฐาน: ได้แก่ การจัดตั้งบริษัท การปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และการกำหนดโครงสร้างพื้นฐาน
การวิจัยตลาดและการพิสูจน์: พูดคุยกับลูกค้า ทดสอบหน้า Landing Page และทำการสำรวจ นิยามปัญหาให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยมุ่งเน้นการแก้ปัญหา
การพัฒนาผลิตภัณฑ์: เขียนโค้ด MVP, ทดสอบต้นแบบฮาร์ดแวร์ หรือจ่ายค่าจ้างนักออกแบบ ให้สร้างเวอร์ชันที่ใช้งานได้ให้ผู้ใช้ได้ทดสอบและนักลงทุนเห็น
การจ้างงานเบื้องต้น: เพิ่มสมาชิกทีมบางส่วน (วิศวกร นักออกแบบ หรือนักการตลาด) ที่สามารถเร่งความคืบหน้าได้ เงินทุนช่วง Pre-Seed มักรองรับการจ่ายค่าตอบแทนหรือเงินเดือนเล็กน้อยสำหรับบุคลากรที่จำเป็นเพียงหนึ่งหรือสองคน
การทดลองหาลูกค้า: ทำแคมเปญเล็กๆ เนื้อหาในช่วงต้น หรือการเข้าร่วมอีเว้นต์เพื่อสร้างรายชื่อผู้รอใช้งานหรือทดสอบความต้องการเบื้องต้น แม้จะมีหลักฐานการมีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในช่วง seed ได้
สายป่านและความยืดหยุ่น: จะต้องพอจ่ายค่าครองชีพของผู้ก่อตั้ง ค่าธรรมเนียมการโฮสต์ หรือเครื่องมือพื้นฐานพร้อมพื้นที่สำหรับปรับเปลี่ยนเส้นทาง หากข้อเสนอแนะบ่งชี้ว่าควรมุ่งไปยังทิศทางใหม่
ผู้ก่อตั้งที่ฉลาดถือว่าเงินทุกบาททุกสตางค์คือเชื้อเพลิงในการไปให้ถึงหมุดหมายที่มองเห็นได้และน่าเชื่อถือ MVP, ผู้ใช้ที่มีส่วนร่วม หรือลูกค้านำร่องเพียงหยิบมือสามารถเปลี่ยนเงินในช่วง Pre-Seed ให้เป็นหลักฐานที่จำเป็นในการก้าวสู่ขั้นต่อไปได้
สตาร์ทอัพต้องเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้างในการระดมทุน Pre-Seed
การระดมทุนช่วง Pre-Seed ต้องอาศัยความทรหด ผู้ก่อตั้งที่ประสบความสำเร็จโดยทั่วไปคือผู้ที่ปรับปรุงการเสนอขายอย่างต่อเนื่อง สะสมความสำเร็จเล็กๆ ไปทีละขั้น และหานักลงทุนที่พร้อมสนับสนุนตั้งแต่เนิ่นๆ อุปสรรคที่ผู้ก่อตั้งมักเผชิญมีดังนี้
การพิสูจน์แนวคิด: เมื่อยังไม่มีผลิตภัณฑ์หรือรายรับ การโน้มน้าวใครสักคนยอมลงทุนจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ นักลงทุนต้องการหลักฐาน แต่คุณเองก็ต้องใช้เงินทุนเพื่อสร้างหลักฐานนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการหาหลักฐานมาพิสูจน์ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น แบบจำลอง โครงการนำร่อง หรือแม้แต่การวิจัยตลาดอย่างจริงจัง
การเข้าถึงและเครือข่าย: ผู้ก่อตั้งหลายคนไม่มีเพื่อนที่ร่ำรวยหรือรู้จักนักลงทุนอิสระโดยตรง การสร้างคอนเนกชันต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง โดยอาจจะต้องเริ่มจากการติดต่อหานักลงทุนโดยตรง การใช้บริษัทเร่งการเติบโต หรือขอให้ผู้ก่อตั้งรายอื่นช่วยแนะนำต่อให้
ภูมิศาสตร์: ศูนย์กลางสตาร์ทอัพ เช่น ซานฟรานซิสโกและนิวยอร์กมีนักลงทุนอิสระและเงินทุน Pre-Seed จำนวนมาก แต่ถ้าอยู่นอกพื้นที่เหล่านี้ เงินทุนจะหายากกว่า ปัจจุบันการเสนอขายระยะไกลเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยขึ้น แต่ความลำเอียงต่อผู้ก่อตั้งในท้องถิ่นก็ยังคงมีอยู่
การแข่งขัน: ในหลายภูมิภาค ผู้ก่อตั้งจำนวนมากแย่งกันหาเงินทุน นักลงทุนจึงต้องคัดเลือกมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้ก่อตั้งต้องเสนอขายหลายครั้งและถูกปฏิเสธหลายรอบก่อนที่จะหาเงินทุนได้สำเร็จ
ความคาดหวังที่สูงขึ้น: ไอเดียและวิธีนำเสนอที่นักลงทุนช่วง Pre-Seed เคยพึงพอใจเมื่อสิบปีก่อน มักไม่เพียงพอแล้วในปัจจุบัน นักลงทุนหลายรายต้องการเห็นต้นแบบ ผลลัพธ์เริ่มต้น หรือจำนวนผู้ใช้ที่ลงทะเบียนก่อน จึงจะยอมลงทุน
การลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของและเงื่อนไขการลงทุน: เงินในระยะเริ่มต้นมักมีต้นทุนสูง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ก่อตั้งจะต้องยอมสละสัดส่วนความเป็นเจ้าของบริษัทประมาณ 10%-20% ในช่วง Pre-Seed ข้อตกลงแบบ SAFE และตั๋วสัญญาใช้เงินแปลงสภาพจะช่วยลดการถกเถียงเรื่องมูลค่าบริษัท แต่ผู้ก่อตั้งก็ยังคงต้องชั่งใจว่าจะยอมสละหุ้นมากน้อยเพียงใด
นักลงทุนประเมินสตาร์ทอัพในช่วง Pre-Seed อย่างไร
เนื่องจากสตาร์ทอัพมีผลิตภัณฑ์หรือรายรับ ให้วิเคราะห์น้อยมาก นักลงทุนในช่วง Pre-Seed จะให้ความสำคัญกับสัญญาณด้านศักยภาพมากกว่า สิ่งที่นักลงทุนพิจารณามีดังนี้
ทีมงาน: ผู้ก่อตั้งคือจุดสนใจหลัก นักลงทุนจะมองหาความเชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ ความสามารถทางเทคนิค และหลักฐานของความมุ่งมั่น ทีมที่มีความสมดุล (เช่น ผู้บริหารธุรกิจและวิศวกรที่แข็งแกร่ง) จะส่งสัญญาณถึงความสามารถในการปรับตัวและลงมือทำ
ปัญหาและความต้องการของตลาด: ปัญหานั้นมีอยู่จริงหรือไม่และวิธีแก้ปัญหาน่าสนใจหรือไม่ ผู้ก่อตั้งที่แสดงให้เห็นว่าได้ทำการวิจัยผ่านการสัมภาษณ์ลูกค้า การสำรวจตลาด และรายชื่อรอใช้บริการ จะโดดเด่นออกมา
การพิสูจน์ในช่วงเริ่มต้น: แม้แต่สัญญาณเล็กน้อยก็มีความสำคัญ ตัวอย่างที่ใช้งานได้ ลูกค้านำร่อง และการลงทะเบียนจากหน้า Landing Page ช่วยลดความไม่แน่นอนได้
แผนงานผลิตภัณฑ์: นักลงทุนต้องการเห็นแผนงาน พวกเขาคาดหวังความชัดเจนเกี่ยวกับ MVP หมุดหมายสำคัญลำดับถัดไป และคำอธิบายว่าเงินทุนจะทำให้เกิดความก้าวหน้าได้อย่างไร
ศักยภาพของตลาดและโมเดลธุรกิจ: ควรมีวิสัยทัศน์ที่น่าเชื่อถือว่าใครจะจ่ายเงิน จ่ายอย่างไร และโอกาสนี้สามารถเติบโตได้มากแค่ไหน ศักยภาพที่จะเติบโตในระดับสูงคือหัวใจสำคัญ
การเล่าเรื่อง: ความสามารถของผู้ก่อตั้งในการสื่อสารวิสัยทัศน์อย่างชัดเจนและโน้มน้าวใจเป็นตัวสร้างความแตกต่าง นักลงทุนจะถามตัวเองว่า ผู้ก่อตั้งคนนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกค้า พนักงาน และผู้สนับสนุนในอนาคตได้หรือไม่
ความเหมาะสมและจังหวะเวลา: นักลงทุนจำนวนมากเชี่ยวชาญในคนละภาคส่วน การจับคู่ที่เหมาะสมบวกกับความรู้สึกว่าตลาดพร้อมแล้ว จะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปในทิศทางบวก
สุดท้ายแล้ว การลงทุนในช่วง Pre-Seed นั้นขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่น นักลงทุนชอบทีมงานและไอเดียที่ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่น่าจะประสบความสำเร็จ และพวกเขามองหาผู้ก่อตั้งที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นน่าเชื่อถือ
Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst
การสมัครใช้งาน Atlas
การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน
การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นขอหมายเลขประจำตัวนายจ้าง (EIN) ของคุณ โดยผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคม ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือของสหรัฐอเมริกาจะมีสิทธิ์ได้รับการดำเนินการแบบเร่งด่วนจาก IRS ในขณะที่ผู้ก่อตั้งบางรายจะได้รับการดำเนินการแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังรองรับการชำระเงินล่วงหน้าผ่าน EIN และการทำธุรกรรมทางธนาคาร คุณจึงสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมต่างๆ ได้ก่อนที่จะได้รับ EIN
การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ
การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe
เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์
Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการดำเนินงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย หรือเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ