ร้านกาแฟเป็นธุรกิจที่น่าเปิดเพราะเป็นการผสานรวมความคิดสร้างสรรค์และชุมชนเข้ากับกิจวัตรประจําวันของผู้คนมากมาย ร้านกาแฟอาจเป็นธุรกิจที่เติบโตได้อีกด้วย เนื่องจากตลาดกาแฟทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 223.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และคาดว่าจะเติบโตถึงปี 2030 แต่ก็มีหลายสิ่งที่ต้องตัดสินใจก่อนที่คุณจะชงคาปูชิโนแก้วแรกของคุณออกมาได้ โดยคุณสร้างแนวคิด หาทำเลที่เหมาะสม ออกแบบพื้นที่ และหาวิธีให้ร้านมีกำไร
ต่อไปนี้เป็นคู่มือการเปิดร้านกาแฟ รวมถึงวิธีเลือกทำเลที่ตั้งและรายละเอียดเกี่ยวกับระบบการชําระเงิน
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ทําไมต้องเปิดร้านกาแฟ
- จะเลือกทำเลที่เหมาะสมสำหรับร้านกาแฟอย่างไร
- การเปิดร้านกาแฟต้องใช้ใบอนุญาตอะไรบ้าง
- คุณจะออกแบบและจัดเตรียมร้านกาแฟอย่างไร
- Stripe จะช่วยร้านกาแฟของคุณได้อย่างไร
ทําไมต้องเปิดร้านกาแฟ
การเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองทําให้คุณมีอิสระแบบผู้ประกอบการ คุณสามารถออกแบบพื้นที่ พัฒนาแบรนด์และจัดทำประสบการณ์ลูกค้าให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของคุณ ไม่ว่าคุณจะเปิดร้านกาแฟหรือไม่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความสนใจของคุณ ต่อไปนี้คือแรงจูงใจที่พบบ่อยในการเปิดร้าน
คุณหลงใหลในกาแฟและการบริการ: หากคุณหลงใหลเกี่ยวกับกาแฟ การเตรียมการ และวัฒนธรรมกาแฟ การได้เป็นเจ้าของร้านจะเปิดโอกาสให้คุณแบ่งปันความหลงใหลกับผู้อื่นได้ คุณจะมีโอกาสได้ทดลองการคั่ว วิธีการชง และทำตัวเลือกเมนูที่สร้างสรรค์
คุณชอบลักษณะการทํางาน: มีหลายคนที่ชอบจังหวะประจำวันของการทำร้านกาแฟ เพราะได้ลงมือ ใส่ใจในผู้คน และมักมีสภาพแวดล้อมที่ตื่นตัว
คุณต้องการสร้างชุมชน: ร้านกาแฟมักเป็นศูนย์กลางที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อทํางาน สังสรรค์ หรือผ่อนคลาย หากคุณเพลิดเพลินกับการสร้างพื้นที่ที่เป็นมิตรสําหรับคนอื่นๆ การทำร้านกาแฟก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าพอใจ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสร้างการเชื่อมต่อกับชุมชนได้อีกด้วย
คุณอยากทํางานในอุตสาหกรรมที่กําลังเติบโต: อุตสาหกรรมกาแฟยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีความต้องการกาแฟแบบพิเศษและแบบคลื่นลูกที่ 3 อย่างต่อเนื่อง แม้อุตสาหกรรมจะมีการแข่งขันสูงแต่ยังคงมีพื้นที่สำหรับแนวคิดที่ไม่เหมือนใครอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นธีมเฉพาะกลุ่ม การเน้นความยั่งยืน หรือเน้นผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น
คุณต้องการช่องทางแสดงความสร้างสรรค์: ร้านกาแฟจะช่วยให้คุณแสดงความคิดสร้างสรรค์ในหลายด้าน รวมถึงการออกแบบพื้นที่ เมนู และการสร้างแบรนด์ นอกจากนี้ยังอาจสะท้อนถึงสไตล์หรือความสนใจของคุณ ซึ่งทําให้ธุรกิจมีความเฉพาะตัวสูง
คุณต้องการทํากําไร: ทำเล ราคา และประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เหมาะสมจะทำให้ร้านกาแฟสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อร้านค้าจัดหาสินค้าอย่างฉลาด เช่น กาแฟและขนมอบ ก็มักจะทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง
จะเลือกทำเลที่เหมาะสมสำหรับร้านกาแฟอย่างไร
ทำเลของร้านกาแฟเป็นปัจจัยกำหนดได้ว่าร้านจะรุ่งหรือล้ม ดังนั้นจึงควรใช้เวลาพิจารณาเลือกทำเลที่เหมาะสม โดยต้องพิจารณาหาสถานที่ตั้งตรงกับแนวคิด ลูกค้า และเป้าหมายระยะยาวของคุณและพิจารณาว่าที่ไหนจะมีคนผ่านไปมามากที่สุด วิธีการมีดังนี้
รู้จักลูกค้าของคุณ: คุณจะให้บริการใคร ทำเลที่ "ถูกต้อง" ขึ้นอยู่กับลูกค้าเป้าหมายของคุณเท่านั้น หากต้องการรองรับผู้สัญจรไปมา คุณก็ต้องตั้งร้านอยู่ใกล้ประจําทาง คุณต้องอยู่ใกล้ศูนย์กลางการขนส่งหรืออยู่ในเส้นทางที่คนเหล่านั้นเดินทางในแต่ละวัน หากเป้าหมายของคุณเป็นผู้ทํางานอิสระหรือนักศึกษา การตั้งอยู่ใกล้วิทยาเขต ห้องสมุด หรือพื้นที่ทํางานร่วมคือกุญแจสําคัญ ครอบครัว พิจารณาย่านที่มีสวนสาธารณะและโรงเรียน กลิ่นอายและเมนูของร้านจะต้องเหมาะกับคนในพื้นที่ ดังนั้น ให้กําหนดกลุ่มเป้าหมายก่อนจะเริ่มมองหาที่ตั้ง
ไปเยี่ยมชมทำเลที่น่าจะเป็นไปได้: สํารวจบริเวณที่คุณกำลังพิจารณาอยู่ ใช้เวลาในย่านที่คิดไว้ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของวันและสัปดาห์ ดูว่าผู้คนมีการเคลื่อนที่อย่างไร ใช้เวลาอย่างไร และธุรกิจในบริเวณใกล้เคียงคึกคักแค่ไหน ให้รับรู้ถึงพลังงานในพื้นที่นั้น บางครั้งคุณอาจสังเกตเห็นหลายอย่าง เช่น สวนสาธารณะบริเวณใกล้เคียงที่ไม่มีร้านกาแฟ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีในรายงานเกี่ยวกับตลาดแต่อาจเป็นโอกาสทองได้
นึกถึงภาพที่เห็นและความประทับใจแรก: ผู้คนจะต้องเห็นร้านของคุณทั้งด้วยตาและในความคิด ทำเลหัวมุม พื้นที่ที่มีบานหน้าต่างขนาดใหญ่ หรือที่ตั้งใกล้แลนด์มาร์กสําคัญมีแนวโน้มที่จะดึงดูดความสนใจได้ดี ลองนึกถึงความประทับใจแรกทันทีที่คนเดินเข้ามา ทำเลนี้ช่วยให้คุณสร้างชั้นบรรยากาศที่ต้องการได้อย่างง่ายดายหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ คุณอาจต้องใช้ทรัพยากรอย่างมากเพื่อแก้ไขในภายหลัง
พิจารณาการแข่งขัน: ศึกษาร้านกาแฟอื่นๆ ในพื้นที่ ฐานลูกค้าของพวกเขาคือใคร ร้านเหล่านี้ขายดีหรือไม่ หรือว่าทำเลนั้นค่อนข้างเงียบ หากคุณต้องสู้กับร้านค้าหลายแห่งที่ตั้งมานานและมีผู้ติดตามอย่างเหนียวแน่น คุณจะต้องมีจุดแข่งขันที่แข็งแกร่ง ในทางกลับกัน หากไม่มีคู่แข่งคุณต้องถามตัวเองว่าทำไม บางครั้งอาจเป็นเพราะมีช่องว่างในตลาด แต่บางครั้งก็แปลว่าไม่มีความต้องการ คุณต้องแน่ใจว่าเป็นแบบไหน
วิเคราะห์ประเภทของคนที่ผ่านไปมา: คนที่ผ่านไปมาละแวกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่คนที่ถูกกลุ่มสำคัญกว่า การทำธุรกิจในย่านร้านค้าหรูก็ไม่ช่วยอะไรถ้าคุณขายกาแฟดริปในราคา 3 ดอลลาร์สหรัฐให้นักศึกษา มองหาสถานที่ที่มีธุรกิจและสถานที่เด่นๆ ที่ส่งเสริมแนวคิดของคุณ เช่น ยิม หากจะขายเครื่องเดื่มแบบซื้อกลับ หรือแกลเลอรี่ศิลปะสําหรับกลุ่มคนสร้างสรรค์ ที่ตั้งใกล้สำนักงาน โรงเรียน หรือย่านที่พักอาศัยอาจเป็นสิ่งสำคัญ ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
พิจารณาเรื่องที่จอดรถและการเข้าถึง: ในย่านเมืองคนอาจเดินหรือใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ส่วนในเขตชานเมือง ที่จอดรถมักเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ที่ตั้งของคุณควรจะต้องเข้าถึงได้ง่าย จัดให้มีพื้นที่สําหรับจักรยานและรถเข็นเด็กหรือแม้แต่พื้นที่เดินเข้าอย่างสะดวกเพื่อรับของแบบซื้อกลับ
ประเมินความคุ้มค่าในการเช่า: ค่าเช่าที่สูงไม่ได้แย่เสมอไป แต่ก็ต้องสมเหตุสมผล มุมที่คุกคักย่านใจกลางเมืองอาจคุ้มค่ากับราคาที่สูงขึ้นเพราะแน่นอนว่าน่าจะขายได้ปริมาณมาก แต่ถ้าคุณจ่ายเงินจํานวนมากกับทำเลที่คนหาไม่ค่อยเจอหรือไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย กำไรของคุณก็จะลดลง คำนึงถึงค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค ค่าบํารุงรักษา และรายรับที่คุณต้องทำให้ได้อย่างเป็นจริงเพื่อให้ทุกอย่างคุ้มค่า
คำนึงถึงอนาคตของย่านนั้น: มองไปข้างหน้า ย่านที่กำลังเกิดใหม่อาจเป็นโอกาสที่ดี ถ้าย่านนั้นมีแนวโน้มขาขึ้นจริงๆ พูดคุยกับเจ้าของธุรกิจคนอื่นๆ ตรวจสอบแผนการพัฒนาเมือง และมองหาสัญญาณของการเติบโต เช่น อพาร์ทเมนต์ใหม่และธุรกิจที่ย้ายเข้ามาในย่าน ระมัดระวังอย่าพึ่งพาศักยภาพในอนาคตมากเกินไป เพราะคุณยังต้องมีทำเลที่เหมาะกับคุณในขณะนี้
เมื่อพบทำเลแล้ว ให้ใช้เวลาพิจารณาสัญญาเช่าให้ดี การเช่าระยะยาวอาจดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่ดี แต่ก็อาจผูกมัดคุณให้ติดอยู่กับสถานการณ์ที่เลวร้ายได้หากสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผน เจรจาต่อรองให้มีความยืดหยุ่น เช่น ตัวเลือกในการต่ออายุ การขึ้นค่าเช่าตามรายรับ หรือข้อสัญญาที่จะช่วยได้หากเจ้าของที่ขายหรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ โดยควรจะจ้างนักกฎหมายมาช่วยดูสัญญาเช่า
การเปิดร้านกาแฟต้องใช้ใบอนุญาตอะไรบ้าง
ใบอนุญาตต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเปิดร้านกาแฟขึ้นอยู่กับที่ตั้งของคุณ แต่โปรดทราบไว้ว่าโดยทั่วไปจะมีข้อกำหนดด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และการแบ่งเขต ต่อไปนี้คือเอกสารที่คุณควรศึกษาเพื่อทำธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ใบอนุญาตประกอบกิจการ: ร้านกาแฟมักจะต้องใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการขั้นพื้นฐาน ซึ่งออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นและจดทะเบียนธุรกิจเพื่อดําเนินงานในพื้นที่ ขั้นตอนและค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไปตามสถานที่ ดังนั้น ให้ตรวจสอบกับสํานักงานธุรกิจในพื้นที่ของคุณ
ใบอนุญาตผู้ขาย (หรือใบอนุญาตเก็บภาษีขาย): หากคุณขายสินค้าที่ต้องเสียภาษี เช่น กาแฟ ขนมอบ และสินค้า คุณจะต้องมีใบอนุญาตผู้ขาย ซึ่งอนุญาตให้คุณเรียกเก็บภาษีขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีสินค้าและบริการ (GST) ซึ่งคุณจะต้องรายงานการเก็บภาษีดังกล่าวและนําส่งภาษีไปยังหน่วยงานภาษีในเขตอํานาจศาลของคุณ
ใบอนุญาตหน่วยงานสาธารณสุข: หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่นจะตรวจสอบร้านกาแฟของคุณว่าเป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัย โดยร้านของคุณจะต้องมีพื้นที่ที่ถูกสุขลักษณะ พื้นที่จัดเก็บและเตรียมอาหารที่เหมาะสมก่อนจึงจะเปิดร้านได้ ให้เตรียมพร้อมรับการตรวจสอบเป็นประจําหลังจากที่เปิดร้านแล้ว
ใบอนุญาตประกอบอาหารหรือใบรับรองผู้จัดการร้านอาหาร: คุณและพนักงานของคุณอาจต้องมีใบรับรองการประกอบอาหาร โดยขึ้นอยู่กับระเบียบข้อบังคับของท้องถิ่น โดยต้องเข้าอบรมหลักสูตรสั้นๆ ด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยเกี่ยวกับอาหารและมักมีการทดสอบ นอกจากนี้ บางพื้นที่อาจกําหนดให้คุณต้องมีผู้จัดการในสถานที่อย่างน้อย 1 คนที่ได้ผ่านการรับรองด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับอาหารในระดับสูงขึ้น
ใบอนุญาตก่อสร้างหรือการแบ่งเขต: หากคุณเช่าหรือซื้อพื้นที่ ดูให้แน่ใจว่าพื้นที่นั้นอยู่ในเขตที่เปิดร้านกาแฟได้ หากคุณวางแผนที่จะปรับพื้นที่ เพิ่มป้าย หรือติดตั้งอุปกรณ์ คุณจะต้องมีใบอนุญาตก่อสร้างและขออนุมัติจากสํานักการวางผังเมือง ให้ทํางานร่วมกับเจ้าของที่และผู้รับเหมาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามข้อกำหนด
ใบอนุญาตจากสำนักงานดับเพลิง: ร้านกาแฟต้องปฏิบัติตามข้อบังคับด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัย โดยเฉพาะในกรณีที่ร้านมีที่นั่งหรือใช้อุปกรณ์บางอย่าง เช่น เตาอบและเครื่องเอสเพรสโซ หน่วยงานดับเพลิงจะทําการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนดในพื้นที่ของคุณ ซึ่งอาจต้องมีระบบสปริงเกลอร์ ถังดับเพลิง และทางออกที่ถูกต้อง
ใบอนุญาตแสดงดนตรี: หากคุณวางแผนที่จะเล่นดนตรีในร้าน (แม้จะมาจาก Spotify หรือ Pandora) คุณอาจต้องใช้ใบอนุญาตการแสดงในที่สาธารณะจากองค์กรต่างๆ เช่น สมาคมนักประพันธ์ นักเขียนและผู้เผยแพร่อเมริกัน (ASCAP) สมาคมผู้เขียนและผู้ประพันธ์เพลงสำหรับการแสดงบนเวทียุโรป (SESAC) และ Broadcast Music, Inc. (BMI) ใบอนุญาตนี้ครอบคลุมค่าสิทธิของศิลปินและจำเป็นต้องมีไม่ว่าจะเล่นดนตรีสดหรือจากบันทึกเสียง
หมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษี: หากคุณทำธุรกิจแบบบริษัทหรือมีการจ้างพนักงาน คุณจะต้องมีหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษี เช่น หมายเลขประจําตัวนายจ้าง (EIN) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลจะใช้หมายเลขนี้เพื่อจุดประสงค์ทางภาษี แม้ว่าคุณจะเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว แต่ก็ควรจะมีหมายเลขเอาไว้ในกรณีที่คุณจะขยายธุรกิจ
ใบอนุญาตติดตั้งป้าย: คุณต้องการติดตั้งป้ายภายนอกร้านหรือไม่ หลายเมืองกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตดำเนินการดังกล่าว ตรวจสอบระเบียบข้อบังคับในท้องถิ่นเพื่อให้มั่นใจว่าป้ายของคุณมีขนาด การจัดวาง และแนวทางด้านความสวยงามตามที่กำหนด
ใบอนุญาตกําจัดของเสีย: บางเมืองกําหนดให้ธุรกิจต้องมีแผนกําจัดของเสียอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะถ้าเป็นธุรกิจที่มีเศษอาหารหรือไขมัน หรือใช้น้ำมาก คุณอาจต้องมีใบอนุญาตติดตั้งถังดักไขมันหรือมีการทำสัญญากับผู้ให้บริการจัดการของเสีย
ใบอนุญาตเฉพาะทางสําหรับที่นั่งกลางแจ้ง: หากคุณมีการตัั้งโต๊ะนั่งบริเวณลานหรือโต๊ะนอกอาคาร คุณอาจต้องมีใบอนุญาตอีกใบ เนื่องจากบางเมืองมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสําหรับการใช้ทางเท้าหรือพื้นที่สาธารณะกลางแจ้ง
คุณจะออกแบบและจัดเตรียมร้านกาแฟอย่างไร
การออกแบบและจัดเตรียมร้านกาแฟของคุณเป็นเรื่องของการสร้างสมดุลระหว่างรูปแบบและการทํางาน คุณย่อมจะอยากสร้างพื้นที่ที่น่าใช้บริการและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่คุณเลือกทั้งหมดส่งผลต่อประสบการณ์ของลูกค้า ขั้นตอนการทํางานของพนักงาน และผลกําไรของคุณ ต่อไปนี้คือวิธีคิดกระบวนการแบบทีละขั้นตอน
เริ่มต้นด้วยแนวคิดและลูกค้าของคุณ
ขั้นแรกให้ตัดสินใจสรุปแนวคิดเรื่องร้านกาแฟและประเภทลูกค้าที่คุณต้องการดึงดูด ร้านค้าของคุณเป็นพื้นที่สบายๆ เน้นชุมชน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เข้าชุดกันและมีบรรยากาศแบบท้องถิ่น หรือเป็นคาเฟ่ทันสมัยที่เจาะกลุ่มคนทำงานวิชาชีพที่มาซื้อกาแฟออกไป ทุกทางเลือกในการออกแบบ (เช่น การวางผัง เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์) ควรจะสะท้อนถึงภาพนั้น
ให้ความสำคัญกับผังร้าน
การวางผังร้านอย่างมีประสิทธิภาพสร้างความแตกต่างได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน คุณย่อมอยากจะลดขั้นตอนการทำงานของบาริสตาในการให้บริการลูกค้า วิธีการมีดังนี้
งานหลังบ้าน (ขั้นตอนการทํางานของบาริสตา): วางตำแหน่งเครื่องเอสเพรสโซ เครื่องบด อ่างล้างจาน ตู้เย็นและเครื่องมืออื่น ๆ ตามลำดับอย่างสมเหตุสมผล ลองนึกถึงจุดที่อาจเกิดการหกหรือเกิดคอขวดในการทำงาน แล้ววางแผนให้ดี
งานหน้าบ้าน (ประสบการณ์ลูกค้า): ทำให้ลูกค้าเดินไปมาได้ง่าย ทำเส้นที่ชัดเจนสําหรับการสั่งซื้อและรับสินค้า มีพื้นที่เพียงพอในการพักรอโดยไม่รู้สึกอึดอัด และมีเส้นทางจากทางเข้าจนถึงเคาน์เตอร์ที่สมเหตุสมผล
เลือกวัสดุที่คงทนและบํารุงรักษาง่าย
ร้านกาแฟมักมีการสึกหรอมาก จึงควรเลือกวัสดุที่สามารถรับมือกับการเข้าใช้บริการที่หนาแน่น เครื่องดื่มหก และการทําความสะอาดอย่างต่อเนื่อง
พื้น: เลือกวัสดุที่คงทน เช่น คอนกรีตขัดเงา กระเบื้องไม้เทียม หรือไวนิล หลีกเลี่ยงวัสดุที่ลื่นเกินไป
โต๊ะและเคาน์เตอร์: มองหาพื้นผิวที่ทนต่อรอยขีดข่วน โดยเฉพาะบริเวณบาร์กาแฟของคุณ ควอทซ์และสแตนเลสเป็นตัวเลือกที่ดีสําหรับเคาน์เตอร์
ที่นั่ง: เลือกเก้าอี้และโต๊ะที่แข็งแรง ทำความสะอาดง่าย พิจารณาของที่มีน้ำหนักเบาและจัดเรียงใหม่ได้
การออกแบบเพื่อความรู้สึกสบายและได้บรรยากาศ
การออกแบบร้านของคุณควรทําให้คนรู้สึกอยากอยู่ต่อ (หรืออย่างน้อยก็อยากกลับมาใหม่) แสงสว่าง ที่นั่ง หรือแม้แต่วัสดุกันเสียงก็มีบทบาทสำคัญ ต่อไปนี้คือวิธีการจัดการกับแต่ละอย่าง
แสง: ใช้แสงธรรมชาติผสมกับแสงเทียมที่อบอุ่น ไฟจ้าที่เหนือศีรษะอาจทำให้รู้สึกว่าแรงเกินไป ควรใช้โคมห้อยเหนือเคาน์เตอร์และแสงที่นุ่มนวลในบริเวณที่นั่ง
ที่นั่ง: จัดให้มีที่นั่งหลากหลายรูปแบบ เช่น ที่นั่งบริเวณบาร์สำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว โต๊ะส่วนกลางสําหรับหมู่คณะ และมุมนั่งสบายๆ สําหรับผู้ที่ต้องการทํางานหรือพักผ่อน
ระดับเสียงรบกวน: พิจารณาใช้แผงอะคูสติกหรือวัสดุป้องกันเสียงอื่นๆ เพื่อลดเสียงดังในช่วงเวลาเร่งด่วน
ใช้อุปกรณ์คุณภาพสูง
อุปกรณ์ที่คุณเลือกส่งผลต่อขั้นตอนการทํางาน คุณภาพเครื่องดื่ม และค่าสาธารณูปโภค ลงทุนกับเครื่องมือคุณภาพสูงที่เหมาะกับปริมาณการใช้งานที่คุณคาดการณ์ไว้
เครื่องเอสเพรสโซ: นี่คืออุปกรณ์หลักของคุณ เลือกเครื่องที่รองรับความต้องการในช่วงที่มีปริมาณการใช้สูงสุดโดยที่ประสิทธิภาพไม่ลดลง แบรนด์อย่าง La Marzocco และ Slayer เป็นมักตัวเลือกที่ถูกใช้งานด้วยเหตุนี้
เครื่องบด: คุณควรใช้เครื่องบดแยกกันสำหรับเอสเพรสโซและกาแฟชง ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำและความรวดเร็ว เพื่อให้ทำงานได้อย่างลื่นไหล
การทำกาแฟดริป: เครื่องชงกาแฟเป็นชุด เช่น Fetco หรือ Bunn เหมาะอย่างยิ่งกับการชงปริมาณมาก แต่ถ้าคุณเน้นการทำกาแฟแบบเทน้ำร้อนชงทีละแก้ว ให้จัดเตรียมเครื่องมือและจัดให้มีการฝึกอบรมที่เหมาะสม
เครื่องแช่เย็น: คุณต้องมีตู้เย็นและตู้โชว์ที่เชื่อถือได้เพื่อให้ของในสต็อกสดใหม่และพร้อมใช้งาน ซึ่งรวมถึงนมและขนมหวาน
เครื่องกรองน้ำ: น้ําสะอาดเป็นสิ่งที่ต้องมี ระบบกรองคุณภาพสูงจะช่วยให้กาแฟมีรสชาติดีและปกป้องอุปกรณ์ของคุณ
ใช้เทคโนโลยี
การจัดเตรียมเทคโนโลยีช่วยให้งานของพนักงานง่ายขึ้นและยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้อีกด้วย เลือกอย่างรอบคอบเมื่อจะนําองค์ประกอบเหล่านี้ไปใช้:
ระบบบันทึกการขาย (POS): เลือกระบบที่พนักงานใช้งานง่ายและผสานการทำงานกับผู้ประมวลผลการชําระเงินของคุณได้ เครื่องอ่านบัตรอัจฉริยะที่จับคู่กับอุปกรณ์ POS เช่น Stripe Terminal จะทําให้ขั้นตอนการชําระเงินง่ายขึ้น
Wi-Fi: ลูกค้ามักชอบ Wi-Fi ที่วางใจได้ โดยเฉพาะถ้าคุณให้บริการกับพนักงานที่ทํางานจากทางไกลหรือนักศึกษา จัดให้มีอินเทอร์เน็ตที่เร็วและฟรี
ระบบการสั่งซื้อออนไลน์: หากคุณให้บริการแบบซื้อกลับหรือมารับของ ให้ลงทุนกับระบบที่ซิงก์กับระบบการทำงานในร้าน
ลงทุนกับการสร้างแบรนด์และการออกแบบเชิงทัศนศิลป์
ควรทำแบรนด์ให้มีความสอดคล้องสม่ำเสมอ คำนึงถึงสี พื้นผิว และองค์ประกอบการออกแบบที่สะท้อนตัวตนของร้านค้าคุณ
ป้าย: ป้ายภายนอกควรชัดเจน มองเห็นได้ และสอดคล้องกับแบรนด์ ส่วนภายนในร้าน ป้ายเมนู และศิลปะบนผนังควรส่งเสริมบรรยากาศร้าน
สีและการตกแต่ง: ใช้สีและวัสดุที่สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณ ไม้ประดับ งานศิลปะ และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ถ้วยกาแฟและกระดาษเช็ดปากช่วยเสริมสร้างบรรยากาศได้ทั้งหมด
การจัดวางโลโก้: การจัดวางโลโก้อย่างละเอียดอ่อนบนผนัง ถ้วย หรือแม้แต่กระดาษเช็ดปากสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ได้โดยไม่รู้สึกว่ามากเกินไป
คำนึงถึงงบประมาณของคุณในระยะยาว
การทำงานออกแบบหรือเลือกอุปกรณ์อย่างลวกๆ เพื่อประหยัดต้นทุนในตอนแรกอาจเป็นสิ่งที่น่าทำ แต่ควรคิดถึงผลกระทบในระยะยาวด้วย อุปกรณ์ที่คงทน เฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพ และการวางแผนผังอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้ในระยะยาว
Stripe จะช่วยร้านกาแฟของคุณได้อย่างไร
หากคุณกําลังจะเปิดร้านกาแฟ Stripe สามารถจัดการงานด้านการชําระเงินและงานหลังบ้านให้คุณได้เป็นอย่างมาก สิ่งที่ Stripe ช่วยคุณได้มีดังนี้
การชําระเงินที่ง่ายขึ้น: ด้วยบริการของ Stripe คุณจะสามารถรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต การชําระเงินแบบไร้สัมผัส และกระเป๋าเงินดิจิทัล เช่น Apple Pay ได้ที่เคาน์เตอร์ นอกจากนี้คุณยังผสานการประมวลผลการชําระเงินเข้ากับเว็บไซต์หรือแอปของคุณเพื่อรองรับคําสั่งซื้อออนไลน์หรือการซื้อแบบมารับที่ร้านได้ด้วย
บริการแบบสมัครสมาชิกและโปรแกรมสะสมคะแนน: Stripe จัดการการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าสําหรับบริการแบบสมัครสมาชิกที่คุณอาจพิจารณาให้บริการได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังรองรับการทำบัตรของขวัญหรือโปรแกรมสะสมคะแนนเมื่อธุรกิจของคุณขยายได้ด้วย
การทำงานร่วมกันของระบบ: ระบบส่วนใหญ่ที่คุณใช้งานสามารถผสานการทํางานกับ Stripe ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบ POS การติดตามสินค้าคงคลัง หรือซอฟต์แวร์บัญชี โดยข้อมูลการชำระเงินและการขายของคุณจะซิงก์โดยอัตโนมัติ
อีคอมเมิร์ซ: หากคุณต้องการขายของติดแบรนด์ของตัวเอง (เช่น ถ้วย เสื้อยืด เมล็ดกาแฟ) Stripe จะจัดการธุรกรรมออนไลน์เหล่านั้นได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับการขายกาแฟของคุณ
การป้องกันการฉ้อโกง: Stripe มีเครื่องมือตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยในตัวซึ่งช่วยลดการดึงเงินคืนให้เหลือน้อยที่สุด
ความสามารถในการขยาย: Stripe ขยายไปพร้อมกับธุรกิจของคุณได้โดยไม่ทํางานช้าลงหรือต้องทำอะไรเพิ่มเติม ไม่ว่าคุณจะเปิดสาขาที่ 2 เพิ่มบริการจัดเลี้ยง หรือขยายร้านค้าออนไลน์
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ