วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ถือเป็นบริษัทส่วนใหญ่ในเยอรมนีถึง 99% เมื่อมองไปข้างหน้าสู่อนาคต SME ควรให้ความสำคัญกับการแปลงกระบวนการและบริการให้เป็นดิจิทัลการเปลี่ยนเป็นดิจิทัล มอบโอกาสมากมายแก่บริษัทต่างๆ ในการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการธุรกิจ และเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
ในที่นี้ เราจะอธิบายถึงประโยชน์ของการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลสําหรับ SME, เหตุผลและวิธีที่บริษัทควรพัฒนากลยุทธ์การเปลี่ยนเป็นดิจิทัล และกระบวนการทางธุรกิจใดที่เหมาะกับการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลมากที่สุด
เนื้อหาหลักในบทความ
- SME คืออะไร
- เหตุผลที่การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลมีความสำคัญต่อ SME
- กระบวนการธุรกิจใดที่เหมาะกับการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลมากเป็นพิเศษ
- เหตุผลและวิธีที่ SME ควรพัฒนากลยุทธ์การเปลี่ยนเป็นดิจิทัล
- มีโปรแกรมสนับสนุนเงินทุนอะไรบ้างสำหรับ SME ในการเปลี่ยนเป็นดิจิทัล
SME คืออะไร
SME ย่อมาจาก “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” (Small and Medium Enterprises) โดยในประเทศเยอรมนี การนิยามธุรกิจ SME จะพิจารณาจากเกณฑ์ด้านผลประกอบการและจำนวนพนักงาน ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของคณะกรรมาธิการยุโรป2003/361 ธุรกิจจัดเป็น SME หากมีพนักงานน้อยกว่า 250 คนและมีผลประกอบการต่อปีไม่เกิน 50 ล้านยูโร และ/หรืองบดุลประจําปีรวมไม่เกิน 43 ล้านยูโร มีเกณฑ์ที่แตกต่างกันสำหรับวิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดย่อม และขนาดกลาง
เกณฑ์ SME ของยุโรป
หมวดหมู่ขนาด
|
จำนวนพนักงาน
|
ผลประกอบการรายปี
|
ยอดรวมงบดุลรายปี
|
---|---|---|---|
องค์กรขนาดย่อม
|
ไม่เกิน 9 คน | ไม่เกิน 2 ล้านยูโร | ไม่เกิน 2 ล้านยูโร |
องค์กรขนาดเล็ก
|
ไม่เกิน 49 คน | ไม่เกิน 10 ล้านยูโร | ไม่เกิน 10 ล้านยูโร |
องค์กรขนาดกลาง
|
ไม่เกิน 249 คน | ไม่เกิน 50 ล้านยูโร | ไม่เกิน 43 ล้านยูโร |
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี
เกณฑ์ที่กำหนดนี้จะนำไปใช้กับธุรกิจแต่ละแห่ง สำหรับธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ จะต้องคำนวณผลประกอบการ สินทรัพย์รวม และจำนวนพนักงานตามสัดส่วนของการถือหุ้น
ในปี 2021 สำนักงานสถิติแห่งสหพันธรัฐนับจำนวน SME ได้ประมาณ 3.1 ล้านรายในประเทศเยอรมนี ซึ่งคิดเป็น 29% ของผลประกอบการรวมทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยพนักงานบริษัทประมาณ 55% ทํางานใน SME
SME และสตาร์ทอัพต่างกันอย่างไร
SME เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจเยอรมนีและมักทำงานในภาคส่วนดั้งเดิม ในขณะที่ สตาร์ทอัพ มักจะทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ๆ SME อาจเป็นได้ทั้งบริษัทที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่และบริษัทที่ก่อตั้งมาหลายปีหรือหลายทศวรรษ ในทางกลับกัน สตาร์ทอัพมักเป็นองค์กรที่มีอายุน้อย โดยปกติจะมีอายุไม่เกินห้าปี การจำแนกประเภทของ SME ตามเกณฑ์ที่ระบุไว้ในตารางด้านบนจะควบคุมจำนวนพนักงานและผลประกอบการประจําปีอย่างชัดเจน แต่ในส่วนของสตาร์ทอัพจะไม่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดเฉพาะใดๆ ในแง่นี้
เหตุผลที่การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลจึงสำคัญต่อ SME
กระทรวงกิจการเศรษฐกิจและการคุ้มครองสภาพภูมิอากาศแห่งสหพันธรัฐ ให้นิยามของการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลไว้ว่า “การใช้ข้อมูลและระบบอัลกอริทึมเพื่อพัฒนาสิ่งใหม่หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิม ทั้งในด้านกระบวนการ ผลิตภัณฑ์ และโมเดลธุรกิจ” โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล กระบวนการ เครือข่าย และโมเดลธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลคือบริการอาศัยข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งสามารถใช้งานได้โดยลำพังหรือนำไปผสานรวมกับสินค้าที่จับต้องได้ เช่น ซอฟต์แวร์และเว็บแอปพลิเคชัน
กระบวนการดิจิทัลคือการแสดงภาพความเป็นจริงโดยอาศัยข้อมูลเป็นพื้นฐาน ซึ่งนำมาใช้เพื่อจัดระเบียบและควบคุมกระบวนการต่างๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อบริษัททำการจำลองกระบวนการทั้งหมดให้อยู่ในรูปแบบของโมเดลข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน บริษัทก็จะเปิดร้านค้าออนไลน์หรือเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นอัตโนมัติได้ เครือข่ายดิจิทัลจะอธิบายถึงวิธีการเชื่อมโยงกระบวนการย่อยต่างๆ เข้าด้วยกันภายในระบบดิจิทัลในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงภายในบริษัทเองหรือกับบุคคลภายนอก เช่น ลูกค้า โมเดลธุรกิจดิจิทัลจะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัลโดยมีค่าบริการ
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลหมายถึงดำเนินการแปลงข้อมูลแอนะล็อกให้เป็นรูปแบบดิจิทัล และผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจและสังคม SME และองค์กรขนาดใหญ่ควรใช้ประโยชน์จากโอกาสมากมายที่การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลมอบให้ บริษัทที่ตระหนักถึงโอกาสของการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลจะมีความพร้อมมากกว่าในการรับมือกับความท้าทายในอนาคตและบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืน ในทางกลับกัน การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลไม่ใช่กระแสชั่วครู่ แต่เป็นความจำเป็นสำหรับ SME ต่อการประสบความสำเร็จในระยะยาว
ประโยชน์บางประการของการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลสำหรับ SME ได้แก่:
- เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ช่วยให้ SME เปลี่ยนกระบวนการภายในให้เป็นอัตโนมัติและคล่องตัวยิ่งขึ้น ส่งผลให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดต้นทุนการดำเนินงานลงได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น การแปลงข้อมูลให้เป็นดิจิทัลและลดความจำเป็นในการจัดเก็บเอกสารในตู้ขนาดใหญ่ ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ประหยัดเงินกับค่ากระดาษและค่าเช่าได้ นอกจากนี้ กระบวนการอัตโนมัติยังช่วยประหยัดเวลาได้มาก
- ความได้เปรียบในการแข่งขัน: บริษัทที่ลงทุนในการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลตั้งแต่เนิ่นๆ จะสร้างความได้เปรียบอย่างมากเหนือคู่แข่งที่ไม่ได้ทําเช่นเดียวกัน กระบวนการธุรกิจที่เป็นดิจิทัล ผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรม หรือการมีตัวตนทางออนไลน์ที่แข็งแกร่ง ช่วยสร้างสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งได้
- การเปิดตลาดใหม่: การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลช่วยให้ SME เข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ ตัวอย่างเช่น สามารถใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการไปทั่วโลก ซึ่งจะเป็นโอกาสสําคัญในการเติบโตจากที่เคยสงวนไว้เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นดิจิทัล
- การส่งเสริมนวัตกรรม: เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI, Big Data, ความเป็นจริงเสริม, หุ่นยนต์ และอินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่ง ช่วยให้ SME สามารถคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ได้ โดยที่นวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ SME ได้สํารวจและเข้าสู่พื้นที่ธุรกิจใหม่ๆ
- ความยืดหยุ่นและความคล่องตัว: การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลช่วยให้ SME ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โซลูชันบนระบบคลาวด์และเทคโนโลยีอุปกรณ์เคลื่อนที่ ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เกิดรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น และช่วยให้พนักงานทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพจากทุกที่ทุกเวลา
- เสริมการเป็นที่รู้จัก: นอกเหนือจากรูปแบบการโฆษณาแบบดั้งเดิม เช่น โฆษณาสิ่งพิมพ์ การเป็นผู้สนับสนุน หรือสปอตวิทยุแล้ว ธุรกิจต่างๆ ยังมีวิธีใหม่ๆ มากมายในการดึงดูดความสนใจ ซึ่งรวมถึงการโฆษณาทางออนไลน์และอุปกรณ์เคลื่อนที่ การตลาดผ่านอีเมล แคมเปญโซเชียลมีเดีย และการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ นอกจากนี้ SME ก็โปรโมตตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าบนเว็บไซต์ของตนเอง
- เพิ่มความภักดีและการเข้าถึงลูกค้า: ร้านค้าออนไลน์ที่น่าสนใจหรือเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายสามารถปรับปรุงการบริการลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้ ข้อสำคัญคือต้องไม่มองข้ามว่าระบบดิจิทัลได้เข้ามาเปลี่ยนความคาดหวังของลูกค้าแล้ว ตอนนี้ลูกค้าคาดหวังการตอบคำถามอย่างรวดเร็ว โซลูชันที่เข้ากับตัวบุคคล บริการที่มีประสิทธิภาพและตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลายเป็นมาตรฐาน
- ความยั่งยืน: การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลใน SME สามารถนําไปสู่แนวทางการปฏิบัติธุรกิจที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้นได้เช่นกัน การเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน การนําเทคโนโลยีประหยัดพลังงานมาใช้ และลดการใช้กระดาษ จะช่วยให้ SME ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้
กระบวนการธุรกิจใดที่เหมาะกับการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลเป็นพิเศษ
ศักยภาพของการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลสำหรับ SME นั้นแทบจะไร้ขีดจํากัด เนื่องจากเกือบทุกพื้นที่และทุกการดำเนินการของธุรกิจสามารถปรับให้ดีขึ้นได้โดยใช้แนวคิดดิจิทัล นี่คือตัวอย่างบางส่วน:
- การประมวลผลการชําระเงิน: ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการรับชำระเงินให้เป็นแบบอัตโนมัติและดิจิทัลได้ด้วยความช่วยเหลือจากระบบที่เหมาะสม ซึ่ง Stripe Payments จะทำให้กลายเป็นเรื่องง่าย Payments ช่วยให้คุณรับและจัดการกับการชำระเงินได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย คุณยังเสนอช่องทางการชำระเงินให้แก่ลูกค้ามากกว่า 100 วิธี หากต้องการใช้ระบบการชำระเงินแบบไร้เงินสดกับระบบบันทึกการขายโดยใช้เครื่องอ่านบัตรหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ และผสานเข้ากับระบบบัญชีของคุณโดยตรง คุณควรลองพิจารณาใช้ Stripe Terminal ดู
- แพลตฟอร์มการขายออนไลน์: การสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับร้านค้าออนไลน์จะช่วยให้ธุรกิจขยายการเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขาย
- การตลาดและการขาย: การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาและการตลาดจะช่วยเพิ่มการมองเห็นทางออนไลน์และช่วยให้ธุรกิจกำหนดเป้าหมายผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นเดียวกับการตลาดทางอีเมลและโซเชียลมีเดีย และระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) จะช่วยอำนวยความสะดวกในแคมเปญการตลาดเฉพาะบุคคลและปรับปรุงการบริหารปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
- การบัญชีและการออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ: การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลสําหรับ SME ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการที่ต้องเผชิญกับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการภายในด้วย ซอฟต์แวร์บัญชีดิจิทัลจะช่วยงานที่ต้องดำเนินการเอง จึงช่วยประหยัดเวลาได้มาก และลดข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุด ยกตัวอย่าง Stripe Invoicing จะช่วยให้คุณสร้างและส่งใบแจ้งหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ซึ่งยังรวมถึงใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะบังคับใช้ในธุรกรรม B2B ในเยอรมนีตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป Stripe Billing จะช่วยคุณในการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า และช่วยคุณจัดการบัญชีของคุณและเข้าถึงรายละเอียดทางการเงินและรายงานรายรับได้โดยตรงจากแดชบอร์ด การใช้เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้บริษัทต่างๆ ประหยัดทรัพยากรเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มองเห็นสถานะทางการเงินของตนได้ชัดเจนขึ้น ช่วยให้ตัดสินใจโดยมีข้อมูลมากขึ้น
- การบริหารบุคลากร: ซอฟต์แวร์บริหารทรัพยากรบุคคลจะช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการข้อมูลพนักงาน ดูผลการปฏิบัติงาน และโครงการริเริ่มฝึกอบรม แพลตฟอร์มดิจิทัลยังช่วยให้การสรรหา บริหารผู้สมัคร และกระบวนการเริ่มต้นทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน: การสื่อสารภายในและภายนอกจะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ผ่านการประชุมทางวิดีโอและการประชุมดิจิทัล ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เครื่องมือบนระบบคลาวด์จะส่งเสริมการทํางานร่วมกัน และช่วยให้สามารถจัดการเอกสารได้แบบเรียลไทม์โดยไม่จำกัดสถานที่ นอกจากนี้ธุรกิจยังสามารถให้พนักงานทํางานทางไกลจากบ้านได้ด้วย
- กระบวนการผลิตและการจัดการคุณภาพ: การใช้อินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่งและหุ่นยนต์สามารถเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นอัตโนมัติ ซึ่งช่วยเร่งความเร็วในการผลิตสินค้าได้และลดข้อผิดพลาดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ การควบคุมและการประกันคุณภาพก็สามารถบริหารจัดการได้ด้วยระบบดิจิทัลที่คอยตรวจสอบคุณภาพของสินค้าอย่างต่อเนื่อง
- โลจิสติกส์: โซลูชันดิจิทัลสามารถปรับปรุงความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับของการจัดส่งและอำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับซัพพลายเออร์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพให้การจัดการสินค้าคงคลังและคลังสินค้าด้วย
เหตุผลและวิธีที่ SMEควรพัฒนากลยุทธ์การเปลี่ยนเป็นดิจิทัล
การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลสำหรับ SME อาจดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมุ่งเน้นที่การแก้ปัญหาในจุดที่เลือก อย่างไรก็ตาม ข้อสําคัญคือต้องสร้างแผนการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลขึ้นมาก่อน เพื่อความมั่นใจว่าความพยายามจากทุกส่วนจะประสานงานกันได้ดีและก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน การพัฒนากลยุทธ์การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลที่วางแผนไว้อย่างดีควรมีขั้นตอนดังนี้:
- วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน: ขั้นตอนแรกคือการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน กระบวนการธุรกิจใดบ้างที่เปลี่ยนเป็นดิจิทัลแล้ว จุดใดบ้างที่สามารถปรับปรุงได้ โมเดลธุรกิจและขอบเขตใหม่ๆ อะไรบ้างที่สามารถต่อยอดได้
- กำหนดเป้าหมาย: ขั้นตอนที่สองคือการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับกลยุทธ์การเปลี่ยนเป็นดิจิทัล อันดับแรกนั้นให้ระบุขอบเขตและกระบวนการที่ต้องเปลี่ยนเป็นดิจิทัล จากนั้นจึงกำหนดผลลัพธ์ที่คาดหวัง เช่น การประหยัดต้นทุน การเพิ่มรายรับ หรือเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
- ระบุเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง: เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์แล้ว คุณจะต้องวางข้อกำหนดที่จำเป็น โดยองค์กรควรประเมินว่าเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลใดบ้างที่เหมาะสมกับโครงการเฉพาะที่มี
- จัดระดับความสำคัญและงบประมาณ: ขั้นตอนต่อไปคือการจัดลำดับความสําคัญของการดำเนินการหรือโครงการริเริ่มที่ต้องการ โครงการริเริ่มใดควรดำเนินการก่อน และโครงการใดมีความเร่งด่วนน้อยกว่า ควรตอบคำถามเหล่านี้โดยพิจารณาจากเป้าหมายที่กำหนดไว้และงบประมาณที่มี เพราะการนำเครื่องมือใหม่มาใช้ย่อมมาพร้อมกับต้นทุนที่ต้องคำนวณอย่างแม่นยำ
- การฝึกอบรมพนักงาน: ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับกระบวนการและเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้น SME ควรรับรองความมั่นใจว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องได้รับการฝึกอบรมอย่างเพียงพอ
- ติดตามและปรับเปลี่ยน: ข้อสุดท้าย SME ควรวางกลไกเพื่อติดตามความคืบหน้าและความสำเร็จของกลยุทธ์การเปลี่ยนเป็นดิจิทัล หากจำเป็น ก็สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตามข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ การพัฒนา และความต้องการของตลาด
กราฟิก: แผนงานสำหรับการพัฒนากลยุทธ์เปลี่ยนเป็นดิจิทัลสำหรับ SME

มีโปรแกรมสนับสนุนเงินทุนอะไรบ้างสำหรับ SME ในการเปลี่ยนเป็นดิจิทัล
หลายองค์กรในเยอรมนีเสนอโปรแกรมสนับสนุนเงินทุนในการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลสำหรับ SME ธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการคำแนะนำหรือการสนับสนุนทางการเงินสำหรับโครงการเปลี่ยนเป็นดิจิทัล ควรรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมที่มีอย่างละเอียด รายการต่อไปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น:
- go-digital: กระทรวงกิจการเศรษฐกิจและการคุ้มครองสภาพภูมิอากาศ (BMWK) เสนอโปรแกรม go-digital ซึ่งมอบทุนสนับสนุนสำหรับบริการให้คำปรึกษา เพื่อช่วย SME จัดตั้งหรือขยายระบบ IT ขอบเขตหลักที่ Go-Digital ครอบคลุมประกอบด้วยกลยุทธ์การเปลี่ยนเป็นดิจิทัล, ความปลอดภัยด้าน IT, กระบวนการทางธุรกิจ, ความรู้ความเข้าใจด้านข้อมูล, และการพัฒนาตลาด ซึ่งจะให้เงินอุดหนุนบริการให้คำปรึกษาสูงสุด 50%
- โครงการสนับสนุนเงินทุนระดับมลรัฐ: โครงการริเริ่มและโปรแกรมระดับมลรัฐก็ให้การสนับสนุนเงินทุนแก่ SME ในการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลเช่นกัน ใน Baden-Württemberg บริษัทต่างๆ สามารถสมัครโปรแกรม Digitalisierungsprämie Plusโดยจะได้รับเงินสนับสนุนตั้งแต่ €5,000 ถึง €100,000 สำหรับการนำระบบดิจิทัลใหม่ๆ มาใช้ และการฝึกอบรมพนักงาน SME ใน Hesse สามารถขอรับเงินทุนได้ตั้งแต่ €4,000 ถึง €10,000 ผ่านโปรแกรม DIGI-Zuschuss ในขณะที่บริษัทใน North Rhine-Westphalia สามารถขอรับเงินสนับสนุนสูงสุด €40,000 ในโปรแกรม Digitalisierungsgutscheine เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการเปลี่ยนเป็นดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมสนับสนุนเงินทุนในลักษณะคล้ายกันในอีกหลายมลรัฐ
- ธนาคาร KfW: ผ่าน สินเชื่อ ERP เพื่อการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลและนวัตกรรม ธนาคาร KfW เสนอสินเชื่อส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ 25,000 จนถึง €25 ล้านแก่บริษัทในเยอรมนี โดยจะให้เงินทุนเพื่อการลงทุนเฉพาะและเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงความต้องการทางการเงินทั้งหมดของบริษัทที่มีนวัตกรรมด้วย
- โปรแกรมอื่นๆ: เงินทุนสนับสนุนการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลสำหรับ SME ไม่ได้มีเฉพาะโปรแกรมที่เจาะจงออกแบบมาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางเท่านั้น แต่ยังมีโปรแกรมให้เงินทุนสนับสนุนอีกมากมายที่มีจุดประสงค์แตกต่างกันไป ซึ่งยังคงเหมาะสำหรับ SME หากธุรกิจมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น โปรแกรม Central Innovation สำหรับ SME (ZIM) คือโปรแกรมสนับสนุนเงินทุนเพื่อนวัตกรรมที่เปิดกว้างสำหรับทุกภาคส่วน โดยสนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนา (R&D) เชิงนวัตกรรมที่นำไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บริการทางเทคนิค หรือปรับปรุงกระบวนการด้านการผลิต ด้วยเหตุนี้ โปรแกรมนี้จึงไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ SME แต่รวมถึงสถาบันวิจัยด้วย
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ