สภาพแวดล้อมข้อมูลของเจ้าของบัตร (CDE) หมายถึงกลไกที่ประมวลผล ส่ง หรือจัดเก็บข้อมูลเจ้าของบัตรภายในธุรกิจ โดยรวมถึงองค์ประกอบของระบบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการจัดการข้อมูลของเจ้าของบัตร ซึ่งอาจประกอบด้วยซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และขั้นตอนหรือนโยบายอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของธุรกรรมบัตรเครดิตและข้อมูล
ต่อไปนี้เราจะอธิบายสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับ CDE รวมถึงบทบาทของ CDE ในการชําระเงิน วิธีการทํางาน และวิธีในการสร้างสภาพแวดล้อมการชำระเงินที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และน่าเชื่อถือสำหรับธุรกิจ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- CDE มีบทบาทอย่างไรในอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน
- องค์ประกอบ ข้อกําหนด และประเภทข้อมูลภายใน CDE
- ข้อกําหนดของ PCI DSS สําหรับ CDE
- วิธีการสร้างและดูแล CDE ให้ปลอดภัย
- วิธีจัดการกับการละเมิด CDE
CDE มีบทบาทอย่างไรในอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน
CDE คือโครงสร้างพื้นฐานสําหรับประมวลผล เก็บ หรือส่งรายละเอียดบัตรชําระเงินภายในธุรกิจ สภาพแวดล้อมนี้ครอบคลุมถึงระบบทางเทคนิคและการดําเนินงานทั้งหมดที่จัดการข้อมูลบัตรชําระเงิน ต่อไปนี้คือภาพรวมของการทำงานข้อสําคัญๆ ของ CDE ภายในระบบนิเวศการชําระเงินในวงกว้าง
การคุ้มครองข้อมูลเจ้าของบัตร: ธุรกิจต่างๆ ใช้ CDE เพื่อปกป้องข้อมูลการชําระเงินของลูกค้าจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตและการละเมิดข้อมูล ในปี 2021 มีการละเมิดดังกล่าวมากกว่า 4,100เหตุการณ์ จากรายงานของ Flashpoint และ Risk Based Security การใช้สภาพแวดล้อมการทํางานที่จัดสรรโดยเฉพาะจะช่วยให้ธุรกิจใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยโดยมุ่งเน้นจุดที่จำเป็นมากที่สุดได้
การปฏิบัติตามมาตรฐาน: องค์กรที่จัดการข้อมูลเจ้าของบัตรจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) โดย CDE เป็นที่ที่องค์กรเหล่านี้ทุ่มเทการดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามตามมาตรฐาน
การลดความเสี่ยง: CDE ช่วยให้ธุรกิจระบุและลดความเสี่ยงต่อข้อมูลบัตรชําระเงินได้ เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดข้อมูล การปกป้องข้อมูลนี้จึงเป็นสิ่งสําคัญ ตัวอย่างเช่น ในปี 2013 เหตุการณ์ละเมิดข้อมูลบัตรเครดิตที่ห้าง Target ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 290 ล้านดอลลาร์สหรัฐและราคาหุ้นของบริษัทที่ลดลง
ความเชื่อมั่นของลูกค้า: CDE ที่ปลอดภัยช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าโดยแสดงให้เห็นว่าข้อมูลการชําระเงินปลอดภัย
การรักษาความถูกต้องสมบูรณ์ของธุรกรรม: CDE ช่วยให้มั่นใจว่าธุรกรรมจะดําเนินการอย่างปลอดภัยและถูกต้องแม่นยํา ซึ่งทำให้ขั้นตอนการชําระเงินถูกต้องสมบูรณ์
หลีกเลี่ยงผลกระทบทางกฎหมายและการเงิน การละเมิดข้อมูลอาจนําไปสู่การดําเนินการทางกฎหมายและความสูญเสียทางการเงินอย่างมีนัยสําคัญ ธุรกิจต่างๆ จึงใช้ CDE เพื่อป้องกันตัวเองจากผลกระทบดังกล่าว
ธุรกิจที่จัดการข้อมูลบัตรชําระเงินโดยไม่มีกลยุทธ์ CDE ที่มีประสิทธิภาพจะทำให้สถานะทางการเงินและชื่อเสียงอยู่ในความเสี่ยง ต่อไปนี้เราจะอธิบายวิธีการทำแผนอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงและได้ประโยชน์สูงสุด
องค์ประกอบ ข้อกําหนด และประเภทข้อมูลภายใน CDE
ใน CDE มีองค์ประกอบหลายอย่างที่โต้ตอบกันเพื่อจัดการข้อมูลบัตรชําระเงินที่ละเอียดอ่อน ต่อไปนี้คือภาพรวมขององค์ประกอบเหล่านี้ ข้อกำหนดในการดูแลป้องกัน และประเภทของข้อมูลที่องค์ประกอบเหล่านี้จัดการ:
องค์ประกอบ
- ฮาร์ดแวร์การคํานวณ: ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชันที่ใช้ปฏิบัติงานซอฟต์แวร์การประมวลผลการชําระเงิน และยังครอบคลุมถึงองค์ประกอบเครือข่าย เช่น เราเตอร์ สวิตช์ และไฟร์วอลล์ ซึ่งกำกับและปกป้องข้อมูลขณะที่เคลื่อนย้ายไปทั่วเครือข่าย
- เทอร์มินัลการชําระเงิน: อุปกรณ์เหล่านี้เป็นอุปกรณ์จริงซึ่งอยู่ที่จุดขาย ซึ่งใช้รูด เสียบ หรือแตะบัตรชําระเงินของลูกค้า
- ระบบจัดเก็บ: หมายถึงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบัตรชําระเงิน ไม่ว่าจะในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล ฐานข้อมูลหรือการสํารองข้อมูล ระบบประเภทนี้รวมถึงสื่อแบบนำออกได้ เช่น ไดรฟ์ USB หรือเทปสํารองข้อมูล
- แอปพลิเคชัน: คือซอฟต์แวร์ที่ประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งรวมถึง ระบบบันทึกการขายและเกตเวย์การชําระเงิน
- การควบคุมการเข้าถึง: ระบบเหล่านี้คือระบบที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้ที่เข้าถึง CDE ทางกายภาพไปยังพื้นที่รักษาความปลอดภัยและการเข้าถึงทางดิจิทัลไปยังระบบข้อมูล
ข้อกําหนด
- การเข้ารหัสข้อมูล: ข้อมูลบัตรชําระเงินต้องเข้ารหัสโดยใช้มาตรฐานการเข้ารหัสที่รัดกุม โดยเฉพาะเมื่อส่งผ่านเครือข่ายเปิดหรือสาธารณะ
- การจัดการการเข้าถึง: ควรกำหนดให้เข้าถึง CDE ได้เฉพาะบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และควรมีการบันทึกและติดตามกิจกรรมของบุคคลดังกล่าว
- ความปลอดภัยทางกายภาพ: สิทธิ์เข้าถึง CDE ทางกายภาพต้องผ่านการควบคุมและตรวจสอบ โดยมีการคุ้มครองจุดเข้าใช้งานจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต
- การทดสอบเป็นประจํา: ควรต้องสแกนและทำการทดสอบเจาะระบบเป็นประจําเพื่อระบุหาและแก้ไขช่องโหว่
- นโยบายการเก็บรักษาและการทำลายข้อมูล: ธุรกิจจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อกำกับดูแลระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลของเจ้าของบัตรและระเบียบขั้นตอนในการทำลายข้อมูลของเจ้าของบัตรอย่างปลอดภัยเมื่อไม่ต้องใช้แล้ว
- การจัดการผู้ให้บริการ: หากบุคคลที่สามมีสิทธิ์เข้าถึง CDE บุคคลดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านความปลอดภัยเหล่านี้ด้วย
ประเภทข้อมูล
- ข้อมูลเจ้าของบัตร: ประกอบด้วยชื่อเจ้าของบัตร หมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัสบริการ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มักปรากฎอยู่ด้านหน้าบัตรชําระเงิน
- ข้อมูลการตรวจสอบสิทธิ์ที่ละเอียดอ่อน: ซึ่งนับรวมองค์ประกอบต่างๆ เช่น รหัสความปลอดภัยของบัตร (ค่าการยืนยันบัตร [CVV] or CVV2) หมายเลขประจําตัวส่วนบุคคล (PIN) และแถบแม่เหล็กหรือข้อมูลชิป ซึ่งใช้ตรวจสอบสิทธิ์เจ้าของบัตรและอนุมัติธุรกรรม
CDE ควรเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ สำหรับธุรกิจที่่ต้องจัดการกับการชำระเงินของลูกค้า ปริมาณการชําระเงิน หรือปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม ธุรกิจที่เข้าใจองค์ประกอบของ CDE และปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านความปลอดภัยจะสามารถปกป้องข้อมูลของเจ้าของบัตรจากการละเมิดและการใช้งานในทางที่ผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อกําหนดด้าน CDE ของ PCI DSS
PCI DSS ได้ให้แนวทางสําหรับการรักษาข้อมูลบัตรชําระเงินให้ปลอดภัยภายใน CDE เอาไว้ โดยมาตรฐานที่ละเอียดและครอบคลุมเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลเจ้าของบัตรนับตั้งแต่มีการใช้บัตรไปจนถึงสิ้นสุดขั้นตอนธุรกรรม และนอกเหนือจากนั้น ต่อไปนี้คือรายละเอียดแจกแจงข้อกําหนดที่สําคัญ
ติดตั้งและใช้การกําหนดค่าไฟร์วอลล์: ไฟร์วอลล์ทําหน้าที่เป็นตัวป้องกันด่านหน้าของ CDE โดยต้องมีการตั้งค่าและจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมการรับส่งข้อมูลขาเข้าและขาออกบนเครือข่ายตามชุดของกฎที่กำหนดใช้ เพื่อรับประกันว่าการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตจะถูกบล็อก
เปลี่ยนค่ารหัสผ่านและพารามิเตอร์ความปลอดภัยเริ่มต้นที่ผู้ให้บริการตั้งไว้: ระบบมักจะมาพร้อมกับรหัสผ่านและการตั้งค่าเริ่มต้นซึ่งเสี่ยงต่อการแสวงหาประโยชน์ได้ง่าย ธุรกิจจะต้องเปลี่ยนการตั้งค่าเริ่มต้นเหล่านี้ให้เป็นรหัสผ่านและการกําหนดค่าที่ไม่ซ้ําและซับซ้อนก่อนที่จะเชื่อมโยงระบบต่างๆ
ปกป้องข้อมูลเจ้าของบัตรที่จัดเก็บไว้: หากธุรกิจจัดเก็บข้อมูลเจ้าของบัตร ข้อมูลต้องได้รับการเข้ารหัสข้อมูลด้วยวิธีการที่เป้นที่ยอมรับ การเข้าถึงข้อมูลนี้จะต้องเป็นไปตามความจำเป็น โดยมีนโยบายการเก็บรักษาข้อมูลที่เข้มงวดเป็นตัวกําหนดระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลและมีขั้นตอนการลบข้อมูลที่ชัดเจน
เข้ารหัสเพื่อส่งข้อมูลของเจ้าของบัตรผ่านเครือข่ายสาธารณะ: เนื่องจากข้อมูลอาจถูกดักจับได้ระหว่างการส่งข้อมูล จึงต้องมีการเข้ารหัสด้วยวิธีการที่รัดกุมทุกครั้งที่มีการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น อินเทอร์เน็ต
ใช้และอัปเดตซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสเป็นประจํา: ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสช่วยปกป้องระบบจากโปรแกรมที่เป็นอันตราย จึงต้องใช้ซอฟแวร์นี้กับทุกระบบที่มักตกเป็นเป้าของมัลแวร์ โดยการอัปเดตเป็นประจําเป็นสิ่งสําคัญ
พัฒนาและดูแลรักษาระบบและแอปพลิเคชันให้ปลอดภัย: ธุรกิจจะต้องปกป้ององค์ประกอบของระบบทั้งหมดจากช่องโหว่ด้วยการติดตั้งแพตช์ความปลอดภัย เมื่อธุรกิจพัฒนาแอปพลิเคชัน การรักษาความปลอดภัยควรเป็นข้อพิจารณาหลัก
ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของเจ้าของบัตรตามหลักการให้เข้าถึงเฉพาะที่จำเป็นอย่างเคร่งครัด: ธุรกิจควรบังคับใช้หลักการให้สิทธิ์น้อยที่สุด ซึ่งบุคคลจะได้รับสิทธิ์เข้าถึงเฉพาะข้อมูล ทรัพยากร และฟังก์ชันที่จําเป็นในการดําเนินงานเท่านั้น
กําหนด ID ที่ไม่ซ้ำกันให้กับแต่ละคนที่มีสิทธิ์เข้าถึงคอมพิวเตอร์: ซึ่งทำให้ตรวจสอบการกระทำกับข้อมูลและระบบที่สำคัญกลับไปยังตัวบุคคลได้ ซึ่งช่วยรับรองความรับผิดชอบได้
จํากัดการเข้าถึงข้อมูลเจ้าของบัตรในทางกายภาพ: การป้องกันทางกายภาพต้องป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงระบบและอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ซึ่งรวมถึงการล็อก การควบคุมการเข้าถึง และกลไกการเฝ้าติดตาม
ติดตามและตรวจสอบการเข้าถึงทรัพยากรเครือข่ายและข้อมูลเจ้าของบัตรทั้งหมด: กลไกการบันทึกและความสามารถในการติดตามกิจกรรมของผู้ใช้มีความสําคัญในการตรวจจับ ป้องกัน และรับมือกับการละเมิด
ทดสอบระบบและขั้นตอนรักษาความปลอดภัยอยู่เป็นประจํา: ระบบและขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยต้องผ่านการทดสอบความแข็งแกร่งเป็นประจํา เพื่อให้แน่ใจว่ามีการกําหนดค่าอย่างเหมาะสมและปกป้องข้อมูลเจ้าของบัตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้นโยบายที่ครอบคลุมการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ธุรกิจต่างๆ ต้องจัดทําและใช้นโยบายอย่างเป็นทางการที่ครอบคลุมด้านเทคโนโลยี โปรแกรมสร้างความตระหนัก และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลซึ่งมีโครงสร้างการจัดการที่ชัดเจน แล้วสื่อสารนโยบายนี้ไปยังพนักงานและผู้รับจ้างทุกคน
การปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการจัดการข้อมูลเจ้าของบัตร ซึ่งจะช่วยปกป้องธุรกิจและลูกค้าจากการละเมิดข้อมูลไปพร้อมๆ กับรักษาความน่าเชื่อถือและความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูล การปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS อยู่เสมอเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของธุรกิจในการรักษาความปลอดภัยและทำตามเป้าหมายในการสร้างสภาพแวดล้อมการชําระเงินที่ปลอดภัยในวงกว้าง
วิธีการสร้างและดูแล CDE ให้ปลอดภัย
การสร้างและการดูแล CDE ให้เข้มแข็งเป็นอย่างไร ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนโดยสรุป
กําหนดขอบเขต CDE: กำหนดระบบ บุคคล และขั้นตอนทั้งหมดในการจัดเก็บ ประมวลผล หรือส่งข้อมูลเจ้าของบัตร ทำแผนผังขั้นตอนการเคลื่อนที่ของข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนใดในสภาพแวดล้อมที่ถูกมองข้าม
แบ่งส่วนเครือข่าย: แยก CDE จากทรัพยากรเครือข่ายอื่นๆ เพื่อจํากัดการเข้าถึง ซึ่งจะช่วยลดจํานวนระบบต่างๆ ที่สามารถโต้ตอบกับ CDE ได้ ซึ่งจะช่วยลดรูปแบบการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ปกป้องข้อมูลด้วยการเข้ารหัส: ใช้การเข้ารหัสที่รัดกุมเพื่อจัดเก็บและส่งข้อมูลเจ้าของบัตร การเข้ารหัสทําหน้าที่เหมือนแม่กุญแจที่ทำให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตอ่านข้อมูลไม่ได้หากไม่มีลูกกุญแจที่ถูกต้อง
ควบคุมการเข้าถึง: ตรวจสอบให้มั่นใจว่ามีเพียงบุคลากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง CDE ได้ ซึ่งทำได้ด้วยการยืนยันตัวตนที่เหมาะสมโดยใช้ ID ที่ไม่ซ้ำและวิธีการตรวจสอบสิทธิ์ที่รัดกุม
ความปลอดภัยทางกายภาพ: รักษาความปลอดภัยให้ที่ตั้งทางกายภาพของ CDE เช่น ล็อกห้อง ใช้กล้องวงจรปิด และระบบควบคุมการเข้าถึง เพื่อป้องกันการเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต
ดูแลระบบรักษาความปลอดภัย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชันความปลอดภัย เช่น ไฟร์วอลล์ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และระบบตรวจจับการบุกรุกได้รับการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันเพื่อป้องกันภัยคุกคามใหม่ๆ
พัฒนาและบังคับใช้นโยบายความปลอดภัย เขียนนโยบายที่ชัดเจนซึ่งกําหนดความคาดหวังด้านความปลอดภัยและฝึกอบรมพนักงานตามนโยบาย จัดให้มีขั้นตอนการปฏิบัติงานประจําวัน ซึ่งมีคําแนะนําโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยและวิธีการตรวจสอบตามรอบปกติ
ตรวจสอบและบันทึกกิจกรรมทั้งหมด: ใช้กลไกการบันทึกข้อมูลเพื่อบันทึกว่าใครเข้าถึง CDE เพื่อทำอะไร และเมื่อใด ตรวจสอบบันทึกเป็นประจำเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัย
ทดสอบมาตรการรักษาความปลอดภัย: ทําการทดสอบเป็นประจํา เช่น การสแกนหาช่องโหว่และการทดสอบการเจาะข้อมูลเพื่อค้นหาและแก้ไขจุดอ่อนด้านความปลอดภัย
รับมือต่อการละเมิด: จัดทำแผนรับมือกับเหตุการณ์ซึ่งระบุวิธีการรับมือกับการละเมิดความปลอดภัย โดยควรมีกลยุทธ์การควบคุมเหตุการณ์ แผนการสื่อสาร และขั้นตอนป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเพิ่มเติม
การตรวจสอบและปรับปรุงเป็นประจํา: การรักษาความปลอดภัยเป็นขั้นตอนที่ต้องทำต่อเนื่อง ให้ตรวจสอบและปรับปรุงมาตรการควบคุม นโยบาย และระเบียบขั้นตอนด้านความปลอดภัยอย่างสม่ําเสมอเพื่อปรับตัวให้เท่าทันภัยคุกคามใหม่ๆ
การตรวจข้อมูลผู้ให้บริการ: หากบุคคลที่สามมีสิทธิ์เข้าถึง CDE ให้ตรวจสอบอย่างละเอียดให้แน่ใจว่าบุคคลดังกล่าวปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านความปลอดภัย
CDE ที่ปลอดภัยต้องมีการกํากับดูแลอย่างต่อเนื่อง อัปเดตเพื่อป้องกันอย่างสม่ำเสมอ และมีวัฒนธรรมการตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยทั่วทั้งธุรกิจ
วิธีจัดการกับการละเมิด CDE
แม้จะมีการวางแผนและการบํารุงรักษาอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ก็แทบจะไม่อาจหลีกเลี่ยงการละเมิดได้ ลักษณะของการฉ้อโกงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และแม้แต่แนวทางจัดการ CDE ที่ดีที่สุดก็มีช่องโหว่ได้ ไม่มีกลยุทธ์ CDE ใดที่สมบูรณ์หากไม่มีแผนที่ดีในการรับมือกับการละเมิดที่เกิดขึ้น
การตอบสนองทันทีและการควบคุมเหตุการณ์: ตรวจจับการละเมิดข้อมูลและควบคุมเหตุการณ์ทันที ซึ่งหมายถึงการแยกระบบที่ได้รับผลกระทบออกเพื่อป้องกันความสูญเสียด้านข้อมูลเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น หากการละเมิดอยู่ในเซิร์ฟเวอร์หนึ่ง ก็ควรตัดการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์นั้นออกจากเครือข่าย
ประเมินและวิเคราะห์การละเมิด: ทําการสืบสวนอย่างละเอียดเพื่อประเมินขอบเขตของการละเมิด โดยหาว่ามีการเข้าถึงข้อมูลใดบ้าง การละเมิดเกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดการละเมิดนานเท่าใด ซึ่งเครื่องมือและเทคนิคในการหาหลักฐานช่วยในการวิเคราะห์นี้ได้
แจ้งบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ทราบ: ความโปร่งใสคือกุญแจสําคัญในการจัดการการละเมิด CDE ธุรกิจจะต้องแจ้งให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดทราบถึงลักษณะของการละเมิด ข้อมูลที่ถูกละเมิด และขั้นตอนที่ธุรกิจกําลังดําเนินการเพื่อแก้ไข นอกจากนี้ข้อกําหนดทางกฎหมายอาจกําหนดให้ธุรกิจแจ้งหน่วยงานกำกับดูแลทราบเกี่ยวกับการละเมิดด้วย
ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกําหนด: ที่ปรึกษาทางกฎหมายควรประเมินผลกระทบจากการละเมิดและดําเนินการตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมด การทํางานกับผู้เชี่ยวชาญมีความสําคัญอย่างยิ่งเนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลของแต่ละภูมิภาคและอุตสาหกรรมแตกต่างกัน
ยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย: ธุรกิจควรนำมาตรการด้านความปลอดภัยที่ดีขึ้นเพื่อป้องกันการละเมิดโดยอ้างอิงผลจากการสอบสวน ซึ่งอาจรวมถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์ การเพิ่มประสิทธิภาพไฟร์วอลล์ และการยกระดับวิธีการเข้ารหัส
การฝึกอบรมและสร้างความตระหนักในกลุ่มพนักงาน: บ่อยครั้งที่การละเมิดเกิดขึ้นจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ การให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความสําคัญของการปกป้องข้อมูลลูกค้าเป็นเรื่องสําคัญ
การจัดการด้านการประชาสัมพันธ์: ธุรกิจควรสื่อสารอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดการการละเมิดและป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติม
การติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง: หลังจากจัดการกับผลกระทบของการละเมิดที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าแล้ว ธุรกิจจะต้องตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติทันที
ทบทวนและอัปเดตแผนรับมือเหตุภัยคุกคาม: หลังจากเหตุการณ์ละเมิด ธุรกิจจะต้องทบทวนแผนรับมือเหตุภัยคุกคามและอัปเดตแผนโดยอ้างอิงจากบทเรียนที่ได้ วิธีนี้ช่วยเพิ่มความพร้อมในกรณีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก
การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือลูกค้า: ธุรกิจต้องให้การสนับสนุนแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจรวมถึงการให้บริการตรวจสอบเครดิตหรือเปิดสายด่วนให้สอบถามข้อมูล
ตลอดขั้นตอนนี้ ธุรกิจควรให้ความสําคัญกับความแม่นยําและความรับผิดชอบด้วยการใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อเรียกความเชื่อมั่นและทำให้เกิดความปลอดภัยต่อข้อมูลของลูกค้า
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ