วิธีที่คนจ่ายเงินเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ลูกค้ากําลังละทิ้งบัตรแบบใช้รูดมาใช้ตัวเลือกการชําระเงินแบบแตะบัตรและการสแกนเพื่อชําระเงินมากขึ้น ซึ่งธุรกิจต่างๆ ต้องเลือกว่าจะหันมาใช้ระบบการสื่อสารในระยะใกล้ (NFC) หรือรหัส QR หรือไม่ ตัวเลือกหนึ่งผสานเข้ากับบัตรแบบไร้สัมผัสและกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ทันที ส่วนอีกตัวเลือกก็ยืดหยุ่น ราคาไม่แพง และใช้งานได้ทุกที่ที่คุณแสดงรหัสได้ ทั้งสองอย่างมีจุดแข็งของตนเอง ซึ่งธุรกิจที่ชาญฉลาดต่างกำลังหาทางใช้ทั้งสองอย่างในจุดที่เหมาะสม
ด้านล่างเราจะอธิบายว่าการชําระเงินด้วย NFC และรหัส QR คืออะไร แต่ละวิธีแตกต่างกันอย่างไร และวิธีการพิจารณาว่าแบบใดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสําหรับธุรกิจของคุณ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การชําระเงินด้วย NFC คืออะไรและทํางานอย่างไร
- การชําระเงินด้วยรหัส QR คืออะไรและทํางานอย่างไร
- ข้อดีและข้อเสียของการชําระเงินด้วย NFC
- ข้อดีและข้อเสียของการชําระเงินด้วยรหัส QR
- วิธีการชําระเงินแบบใดเหมาะกับธุรกิจแต่ละประเภท
- Stripe ช่วยให้ธุรกิจผสานการชําระเงินด้วย NFC และรหัส QR ได้อย่างไร
การชําระเงินด้วย NFC คืออะไรและทํางานอย่างไร
NFC เป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังธุรกรรมแบบแตะเพื่อชําระเงิน ช่วยให้โทรศัพท์ สมาร์ทวอตช์ หรือบัตรแบบไร้สัมผัสสื่อสารกับเทอร์มินัลชําระเงินในที่อยู่ใกล้ได้ เมื่อลูกค้าแตะโทรศัพท์หรือบัตรของตน ความถี่วิทยุจะส่งรายละเอียดการชําระเงินไปยังเทอร์มินัลซึ่งจะสื่อสารกับผู้ประมวลผลการชําระเงินเพื่อขออนุมัติรายการ ธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วินาที หากคุณใช้ Apple Pay, Google Pay หรือบัตรเครดิตแบบไร้สัมผัส แปลว่าคุณได้ใช้ NFC แล้ว
การชําระเงินด้วย NFC กลายเป็นบรรทัดฐานในแล้วในหลายที่ ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร 93% ของบัตรที่หมุนเวียนอยู่ในเดือนมีนาคม 2024 เป็นบัตรแบบไร้สัมผัส การรับชําระเงินด้วย NFC เคยต้องใช้เทอร์มินัลชําระเงินแบบไร้สัมผัส แต่โซลูชันใหม่ๆ เช่น Tap to Pay ของ Apple ช่วยให้ iPhone รับชําระเงินด้วย NFC ได้โดยตรง ทำให้ไม่จําเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม
การชําระเงินด้วยรหัส QR คืออะไรและทํางานอย่างไร
การชําระเงินด้วยรหัส QR ช่วยให้ลูกค้าชําระเงินได้ด้วยการสแกนบาร์โค้ดสี่เหลี่ยมสีขาวดําบนสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งคุณสามารถพิมพ์ แสดงบาร์โค้ดบนหน้าจอ หรือแม้แต่ติดไว้บนผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไปแล้ว รหัสจะนําลูกค้าไปยังหน้าชําระเงิน ซึ่งลูกค้าจะอนุมัติธุรกรรมผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือแอปธนาคาร
รหัส QR มีอยู่ 2 ประเภทดังนี้
รหัส QR แบบคงที่: รหัสจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเหมาะสําหรับการชําระเงินทั่วไป ตัวอย่างเช่น รถบรรทุกขายอาหารอาจแสดงรหัสเดียวสําหรับธุรกรรมทั้งหมด
รหัส QR แบบไดนามิก: ระบบจะเข้ารหัสจํานวนเงินและรายละเอียดคําสั่งซื้อตรงตามจำนวน และสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตามธุรกรรมแต่ละรายการ เนื่องจากรหัส QR แบบไดนามิกทํางานแบบเรียลไทม์ จึงต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตซึ่งแตกต่างจากรหัส QR แบบคงที่
การรับชําระเงินด้วยรหัส QR ใช้เพียงตัวรหัส QR เองเท่านั้น โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ใดเป็นพิเศษ ธุรกิจสามารถสร้างรหัส QR ผ่านผู้ให้บริการชําระเงิน แสดงรหัสดังกล่าว และให้ลูกค้าสแกนเพื่อชําระเงินได้ วิธีนี้เป็นวิธีการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดที่ง่าย ซึ่งสะดวกสําหรับร้านค้าแบบป็อปอัป ร้านค้าปลีก หรือบริษัทที่ต้องการเพิ่มตัวเลือกการชําระเงินโดยไม่ต้องอัปเกรดฮาร์ดแวร์
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วยเร่งการใช้การชําระเงินด้วยรหัส QR ทั่วโลกเนื่องจากธุรกิจต้องการโซลูชันแบบไร้สัมผัส ในปี 2024 ตลาดการชําระเงินด้วยรหัส QR ทั่วโลกมีมูลค่า 14.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและคาดว่าอเมริกาเหนือจะเป็นตลาดที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ข้อดีและข้อเสียของการชําระเงินด้วย NFC
การชําระเงินด้วย NFC นั้นรวดเร็ว ปลอดภัย และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่มีข้อเสียอยู่บ้าง ต่อไปนี้คือประโยชน์และข้อเสียบางประการของการชําระเงินด้วย NFC
ข้อดีของการชําระเงินด้วย NFC มีดังนี้
ความเร็วสูง: NFC เป็นวิธีการชําระเงินที่เร็วที่สุดด้วยการแตะเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งทำให้คิวเคลื่อนที่ได้เร็วและทำให้ประสบการณ์การชำระเงินดีขึ้น
ความปลอดภัยที่เข้มแข็ง: ธุรกรรม NFC ใช้การเข้ารหัสและการแปลงเป็นโทเค็นทำให้ไม่มีการส่งข้อมูลบัตรที่ละเอียดอ่อน กระเป๋าเงินดิจิทัลอย่าง Apple Pay และ Google Pay ช่วยเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งด้วยการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก ซึ่งสามารถป้องกันการฉ้อโกงได้ดีกว่าบัตรรูดแบบแถบแม่เหล็ก
สะดวกแก่ลูกค้า: ลูกค้าสามารถชําระเงินด้วยโทรศัพท์, นาฬิกาข้อมือ, กุญแจรีโมท, แหวน NFC, บัตร NFC, สมาร์ทโฟน และสมาร์ทวอตช์
ตัวเลือกแบบไร้สัมผัส: ธุรกรรม NFC ถูกสุขอนามัยมากกว่าวิธีการชําระเงินอื่นๆ เนื่องจากลูกค้าไม่จําเป็นต้องยื่นบัตรให้ร้านค้าหรือแตะที่เทอร์มินัลการชําระเงิน NFC ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดและยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสําหรับผู้ซื้อจำนวนมาก
ธุรกิจควรทราบข้อจํากัดของการชําระเงินด้วย NFC ดังนี้
จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์: ธุรกิจต้องใช้เทอร์มินัลชําระเงินแบบไร้สัมผัส ระบบบันทึกการขาย (POS)เก่าบางระบบอาจต้องอัปเกรด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
การใช้งานที่จํากัด: แม้ว่าลูกค้าหลายรายจะมีบัตรหรือโทรศัพท์ที่ใช้ NFC ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้งานสิ่งเหล่านี้ ลูกค้าบางรายอาจชอบทำธุรกรรมแบบใช้ชิปและ PIN อย่างเดิม และอีกหลายรายก็อาจไม่ได้ตั้งค่าใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลในโทรศัพท์ NFC จะมีประโยชน์ที่สุดถ้าเสนอเป็นตัวเลือกควบคู่กับการชําระเงินแบบอื่นๆ
วงเงินธุรกรรมที่จำกัด: บางภูมิภาคกําหนดวงเงินในการชําระเงินด้วยการแตะบัตร โดยการชําระเงินที่เกินวงเงินที่กำหนดไว้จะต้องใช้ PIN แม้ว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลมักจะข้ามข้อกำหนดเหล่านี้ได้ แต่ใช่ว่าลูกค้าทุกคนจะใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล
ข้อข้ดข้องทางเทคนิค: NFC ต้องใช้ใกล้กับเทอร์มินัล หากเครื่องอ่านทํางานไม่ถูกต้อง ลูกค้าอาจจําเป็นต้องปรับตําแหน่งโทรศัพท์หรือบัตรของตน ซึ่งอาจทําให้ทำธุรกรรมช้าลง ในบางกรณี สัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นหรือพื้นผิวโลหะอาจทําให้การใช้งานเกิดปัญหาได้
ข้อดีและข้อเสียของการชําระเงินด้วยรหัส QR
รหัส QR เป็นตัวเลือกการชําระเงินที่ประหยัด ยืดหยุ่น และจัดเตรียมได้ง่าย ซึ่งทําให้เป็นตัวเลือกการชําระเงินที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจจำนวนมาก แต่เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นๆ วิธีนี้ก็มีข้อดีข้อเสียที่ธุรกิจควรคำนึงถึง
ประโยชน์ของการชําระเงินด้วยรหัส QR มีดังนี้
ต้นทุนต่ำ: การใช้รหัส QR แทบไม่ต้องลงทุนฮาร์ดแวร์เลย ธุรกิจไม่จําเป็นต้องใช้เทอร์มินัลแบบพิเศษ แต่ใช้แค่รหัสดิจิทัลหรือรหัสที่พิมพ์ออกมาให้ลูกค้าสแกน ซึ่งทำให้การชําระเงินด้วยรหัส QR เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ร้านขายสินค้าแบบป็อปอัป และผู้ขายอิสระ
เข้าถึงได้ง่าย: การชําระเงินด้วยรหัส QR ไม่ต้องใช้ชิป บัตร หรือมีข้อกําหนดด้านธนาคารเพิ่มเติมนอกจากแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ วิธีนี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสําหรับภูมิภาคที่มีการใช้บัตรเครดิตต่ำ และมักใช้การชำระเงินด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่
ความยืดหยุ่น: รหัส QR ใช้งานได้ในหลายสภาพแวดล้อม รวมถึงการชําระเงินที่จุดขาย (เช่น การสแกนรหัส QR ที่ร้านค้าหรือแผงในตลาด) การทําธุรกรรมแบบเชื่อมออนไลน์กับออฟไลน์ (เช่น การสแกนโค้ดบนหน้าจอเพื่อชําระเงินจากโทรศัพท์) ตลอดจนการชําระเงินและใบแจ้งหนี้ด้วยตัวเอง (เช่น ลูกค้าที่สแกนโค้ดในใบเรียกเก็บเงินในร้านอาหารเพื่อชําระเงินโดยตรง)
ความสะดวกในการผสานการทํางาน: รหัส QR สามารถสร้างแบบไดนามิกและเชื่อมกับระบบ POS การติดตามคําสั่งซื้อ และการจัดการสินค้าคงคลังได้ ตัวอย่างเช่น คาเฟ่สามารถกําหนดรหัส QR เฉพาะสำหรับบิลแต่ละโต๊ะ เมื่อมีการสแกนรหัสและชําระเงินแล้ว ระบบจะกำหนดสถานะว่ามีการชำระบิลแล้วโดยอัตโนมัติ
การเข้าถึงแบบไร้สัมผัส: รหัส QR ช่วยให้ลูกค้าชําระเงินได้โดยไม่ต้องแตะเทอร์มินัลหรือยื่นบัตรให้ร้านค้า ทำให้เป็นวิธีที่ถูกสุขอนามัยและเป็นส่วนตัวเนื่องจากลูกค้าโต้ตอบกับอุปกรณ์ของตัวเองเท่านั้น
รหัส QR ใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์ ในการทําธุรกรรมด้วยรหัส QR ให้สำเร็จ ลูกค้าต้องมีสมาร์ทโฟนที่ใช้งานได้ แอปชำระเงินหรือแอปธนาคาร และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หากไม่มีสมาร์ทโฟน แบตเตอรี่หมด หรือการรับสัญญาณไม่ดี ลูกค้าก็อาจชำระเงินไม่ได้
ต่อไปนี้คือข้อควรพิจารณาอื่นๆ ที่ควรทราบเกี่ยวกับการชําระเงินด้วยรหัส QR
การชําระเงินที่ช้ากว่า: การสแกนรหัส QR มีขั้นตอนมากกว่าการแตะชำระเงิน ความไม่สะดวกนี้อาจทำให้แถวการชำระเงินเคลื่อนที่ช้ากว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการชำระเงินด้วย NFC ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับธุรกิจที่มีธุรกรรมจำนวนมาก เช่น ร้านขายของอุปโภคบริโภค
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: ตัวรหัส QR เองไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยแอปหรือแพลตฟอร์มที่ประมวลผลธุรกรรมทำหน้าที่จัดการด้านความปลอดภัย ทำให้สแกมเมอร์อาจฉวยโอกาสสลับรหัส QR จริงกับรหัสที่ใช้ฉ้อโกงได้ ตัวอย่างเช่น สติกเกอร์รหัส QR ปลอมที่แปะทับรหัสจริงในร้านอาหารที่ทำให้เงินที่ชำระถูกโอนไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ ธุรกิจที่ใช้รหัส QR แบบคงที่ควรตรวจสอบเป็นประจําว่าไม่มีการปลอมแปลงรหัสของตน รหัส QR แบบไดนามิกซึ่งใช้เฉพาะธุรกรรมแต่ละรายการจะปลอดภัยมากกว่า แต่ต้องใช้ระบบ POS แบบดิจิทัล
การยอมรับของลูกค้า: ไม่ใช่ทุกคนที่สะดวกหรือคุ้นเคยกับการชําระเงินด้วยรหัส QR ตัวอย่างเช่น ในร้านอาหาร ร้านอาหารบางแห่งอาจรอชำระโดยดูบิลแบบกระดาษแทนที่จะสแกนรหัส QR ของโต๊ะเพื่อชำระเงิน ป้ายแสดงที่ชัดเจนและคําแนะนําของพนักงานอาจช่วยได้ แต่ธุรกิจอาจต้องให้ความรู้กับลูกค้าจนกว่าลูกค้าจะสะดวกใจใช้รหัส QR
วิธีการชําระเงินแบบใดเหมาะกับธุรกิจแต่ละประเภท
ธุรกิจประเภทต่างๆ มีความต้องการประสบการณ์การชำระเงินที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขนาดใหญ่ (เช่น ร้านสาขา ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่) มีแนวโน้มที่จะใช้ NFC เนื่องจากสามารถผสานการทํางานกับระบบ POS ขั้นสูง โปรแกรมสะสมคะแนน และเครือข่ายบัตรเครดิตทั่วโลกได้ ธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจสตาร์ทอัพมักจะใช้รหัส QR ก่อน เพราะแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำมาใช้งาน
มาดูกันว่าธุรกิจแต่ละประเภทจะเหมาะกับการชําระเงินด้วย NFC, การชําระเงินด้วยรหัส QR หรือผสมผสานกันทั้งสองประเภท
ร้านค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ต
NFC เป็นวิธีที่เหมาะที่สุดหากเคาน์เตอร์ชําระเงินของคุณมีลูกค้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง แต่สามารถใช้รหัส QR เสริมได้ในบางกรณี ระบบ POS สมัยใหม่เกือบทั้งหมดรองรับ NFC อยู่แล้ว ทําให้ธุรกิจที่รับบัตรเครดิตอยู่แล้วสามารถอัปเกรดการชำระเงินได้ง่าย ธุรกิจที่มีรายการชําระเงินจํานวนมากต้องการความรวดเร็ว ซึ่งการแตะชำระเงินรวดเร็วกว่าการสแกนรหัส QR
ร้านอาหารและคาเฟ่
การชําระเงินด้วย NFC ช่วยให้คิวในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดและร้านกาแฟเคลื่อนที่ได้อย่างต่อเนื่อง แต่รหัส QR อาจจะเหมาะกับร้านอาหารแบบนั่งรับประทานและบาร์ เนื่องจากลูกค้าสามารถชําระเงินที่โต๊ะได้อย่างสะดวก ลูกค้าสามารถแยกบิล ให้ทิป และชำระเงินโดยไม่ต้องรอพนักงานมาทำรายการผ่านบัตรให้ การนําเสนอทั้งสองตัวเลือกน่าจะเป็นความคิดที่ดี เนื่องจากลูกค้าบางรายอาจชอบที่จะชําระเงินด้วยบัตรมากกว่า
อีคอมเมิร์ซและธุรกิจออนไลน์
ร้านค้าออนไลน์ไม่สามารถรับชําระเงินด้วย NFC ได้ เนื่องจากต้องใช้งานในระยะใกล้ ในขณะที่รหัส QR สามารถใช้งานเชื่อมโยงออนไลน์กับออฟไลน์ได้ โดยลูกค้าสามารถสแกนรหัส QR บนเว็บไซต์เพื่อไปชําระเงินได้โดยตรง ผู้ค้าปลีกบางรายติดรหัส QR ไว้ในใบแจ้งหนี้หรือใบเสร็จเพื่อให้ง่ายต่อการชำระเงินหลังจากทำรายการซื้อ หากคุณขายสินค้าออนไลน์ แนะนำให้ใช้รหัส QR เพื่อเชื่อมโยงผู้ซื้อออฟไลน์กับการชําระเงินออนไลน์
ธุรกิจบริการและผู้ทํางานอิสระ
การชําระเงินผ่าน NFC จะใช้ได้ดีหากคุณมีเครื่องอ่านบัตร POS แบบเคลื่อนที่หรือสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC (เช่น iPhone ที่มี Tap to Pay) แต่การใช้รหัส QR เป็นวิธีที่เหมาะสมหากคุณต้องการโซลูชันที่เบาและเรียบง่าย ด้วยการใช้รหัส QR คุณสามารถส่งใบแจ้งหนี้ ลิงก์ไปที่หน้าการชําระเงิน หรือรับชําระเงินได้ทุกที่ทุกเวลา
อีเวนต์ เทศกาล และร้านค้าป๊อปอัป
รหัส QR ใช้ง่ายและไม่แพง โดยแค่พิมพ์ป้าย ตลาดนัดเกษตรกร รถขายอาหาร และบูธขายสินค้ามักใช้รหัส QR ที่เชื่อมระบบกับผู้ให้บริการชําระเงิน เช่น Stripe การใช้ NFC จะเป็นประโยชน์ในอีเวนต์ที่มีคนเข้าออกจำนวนมาก เนื่องจากการแตะชำระเงินทำได้เร็วกว่าการสแกนเพื่อโหลดหน้าการชําระเงิน หากเป็นไปได้ ธุรกิจเหล่านี้ควรนําเสนอทั้ง 2 ตัวเลือก: รหัส QR สําหรับลูกค้าที่ต้องการชำระเงินผ่านแอปและ NFC เพื่อแตะบัตรชำระอย่างรวดเร็วเพื่อให้คิวเคลื่อนที่ต่อเนื่อง
Stripe ช่วยให้ธุรกิจผสานการชําระเงินด้วย NFC และรหัส QR ได้อย่างไร
การเพิ่มตัวเลือกการชําระเงินใหม่ๆ อาจดูเหมือนจะยุ่งยาก แต่ Stripe ช่วยให้ธุรกิจรองรับการชําระเงินด้วย NFC และรหัส QR ในระบบเดียวได้ง่าย ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้แอป Stripe เพื่อรับชําระเงินทั้งสองวิธีได้จากสมาร์ทโฟน Stripe จะเก็บรวบรวมธุรกรรมทั้งหมดในบัญชี Stripe เดียว เพื่อให้กระทบยอดได้ง่าย รวมทั้งจัดการการปฏิบัติตามข้อกําหนด ของ PCI การเข้ารหัส และการตรวจจับการฉ้อโกงโดยอัตโนมัติ (โดยอย่างหลังสุดทำผ่าน Stripe Radar)
การชําระเงินทั้งสองประเภททำงานกับ Stripe ดังนี้
การชําระเงินด้วย NFC กับ Stripe Terminal
Stripe มีเครื่องอ่านบัตรแบบไร้สัมผัส เช่น Stripe Reader M2 ซึ่งรองรับการแตะชําระเงินจากบัตรและกระเป๋าเงินดิจิทัล หากไม่ต้องการเครื่องอ่านบัตรแยกต่างหาก คุณสามารถเปิดใช้ Tap to Pay on iPhone ผ่าน Stripe Terminal SDK ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ รับชําระเงินด้วย NFC ได้โดยตรงผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ธุรกรรม NFC ทั้งหมดดําเนินการผ่านระบบประมวลผลของ Stripe ซึ่งมีการเข้ารหัส การแปลงเป็นโทเค็น และการปฏิบัติตามข้อกําหนดในตัว
ตัวเลือกการรับชําระเงินเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าปลีก ธุรกิจที่มีหน้าร้าน และธุรกิจเคลื่อนที่ที่ต้องการรับชำระเงินแบบแตะบัตรเพื่อชําระเงินที่รวดเร็ว
การชําระเงินด้วยรหัส QR กับ Stripe Payment Links
Stripe ให้ธุรกิจเปลี่ยนลิงก์ชําระเงินเป็นรหัส QR ได้ในคลิกเดียว ธุรกิจสามารถสร้างรหัส QR สําหรับสินค้าราคาคงที่ สร้างใบแจ้งหนี้ หรือรหัสสำหรับบริจาคเงินและแสดงรหัสได้ทุกที่ ทั้งบนหน้าจอ บนสิ่งพิมพ์ หรือใบเสร็จ ลูกค้าที่สแกนรหัสสามารถชําระเงินโดยใช้บัตร กระเป๋าเงินดิจิทัล หรือวิธีการชําระเงินอื่นๆ ที่ Stripe รองรับ รหัส QR ที่เชื่อมโยงกับลิงก์ชําระเงินจะไม่มีวันหมดอายุ เว้นแต่ธุรกิจจะปิดใช้รหัสดังกล่าว
วิธีนี้เป็นตัวเลือกการชําระเงินที่เหมาะกับร้านอาหาร (สําหรับลูกค้าที่ต้องการชําระเงินที่โต๊ะ) ผู้ขายในงานอีเวนต์ ผู้ให้บริการ และธุรกิจที่ต้องการรับการชําระเงินอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ