ในภาคธุรกิจแบบธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) การหักบัญชีอัตโนมัติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสมัครใช้บริการสตรีมมิ่ง บิลค่าโทรศัพท์มือถือ หรือแผนการออม ETF อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บเงินอัตโนมัติระหว่างธุรกิจก็มีประโยชน์เช่นกัน ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่าการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B คืออะไร ทำงานอย่างไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร และแตกต่างจากการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA Core อย่างไร
เนื้อหาหลักในบทความ
- การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B คืออะไร
- การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B ทำงานอย่างไร
- การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B แตกต่างจากการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA Core อย่างไร
- การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B มีข้อดีอย่างไรบ้าง
- การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B มีข้อเสียอย่างไรบ้าง
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B คืออะไร
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B (การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับธุรกรรมแบบธุรกิจต่อธุรกิจ หรือ B2B) คือการหักบัญชีอัตโนมัติประเภทหนึ่งภายในขอบเขตของ SEPA ในทางกลับกัน การชำระเงินระหว่างบุคคลธรรมดากับธุรกิจคือการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA Core ซึ่งเป็นการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA ที่พบมากที่สุดเป็นอันดับ 2
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B มอบทางเลือกที่ง่ายดายและมีประสิทธิภาพให้กับธุรกิจในการรับเงินทั้งแบบครั้งเดียวและแบบเป็นประจำ (เช่น ค่าสมัครใช้บริการ ค่าสมาชิก หรือค่าบริการแบบตามแบบแผนล่วงหน้า) ข้อกำหนดมีเพียงอย่างเดียวคือลูกค้าธุรกิจต้องให้การอนุมัติ วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเรียกเก็บเงินจากบัญชีธนาคารในประเทศกลุ่ม SEPA ได้โดยไม่ต้องทำข้อตกลงแยกต่างหากกับธนาคารที่เกี่ยวข้อง
SEPA คืออะไร
SEPA คือเขตพื้นที่เพื่อการชำระเงินในยุโรป (Single Euro Payments Area) ซึ่งได้นำขั้นตอนมาตรฐานมาใช้สำหรับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์และการหักบัญชีอัตโนมัติตั้งแต่ปี 2014
ระบบ SEPA เข้ามาแทนที่ระบบการชำระเงินระดับชาติที่แตกต่างกัน เช่น ระบบการหักบัญชีอัตโนมัติทางอิเล็กทรอนิกส์ในเยอรมนี วัตถุประสงค์คือการสร้างมาตรฐานและขั้นตอนที่เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้การทำธุรกรรมข้ามพรมแดนเป็นสิ่งที่ง่ายและประหยัดเงินเช่นเดียวกับการชำระเงินภายในประเทศ
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B ทำงานอย่างไร
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ กล่าวคือ ลูกค้าธุรกิจที่ชำระเงินจะต้องให้สิทธิ์ธุรกิจในการรับชำระเงินจากบัญชีธนาคารของตน หนังสือมอบอำนาจในการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA ประกอบด้วยชื่อและที่อยู่ของลูกค้า หมายเลขบัญชีธนาคารระหว่างประเทศ (IBAN) และรหัสประจำตัวธนาคาร (BIC) รวมถึงจำนวนเงินและวันที่ในการหักบัญชี โดยสามารถใช้เอกสารนี้กับการชำระเงินเพียงครั้งเดียวหรือกับการชำระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า อีกทั้งควรเขียนเป็นภาษาแม่ของผู้ชำระเงิน อย่างไรก็ตาม อาจเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ ทั้งนี้ ผู้ชำระเงินจะต้องลงนามในเอกสารนี้ทั้งในรูปแบบเอกสารจริงและแบบดิจิทัลเนื่องจากเป็นเอกสารที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
ผู้ใช้สามารถเพิกถอนการอนุมัติได้ทุกเมื่อ และสามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินที่ต้องชำระได้ทุกเมื่อ เพียงแก้ไขหนังสือมอบอำนาจปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องสร้างหนังสือมอบอำนาจใหม่ เมื่อออกหนังสือมอบอำนาจแล้ว เอกสารดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับตลอดไป อย่างไรก็ตาม หนังสือมอบอำนาจจะหมดอายุหากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 36 เดือน ในกรณีนี้ จะต้องขยายเวลาหรือต่ออายุหนังสือมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษร
ก่อนการหักบัญชีอัตโนมัติครั้งแรก ธุรกิจต่างๆ จะต้องส่งหนังสือแจ้งล่วงหน้าให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับการหักบัญชีอัตโนมัติที่จะเกิดขึ้น โดยต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันเก็บเงิน หรืออย่างช้าที่สุด 1 วันก่อนวันเก็บเงิน ธนาคารสามารถส่งหนังสือแจ้งล่วงหน้าหรือการแจ้งเตือนล่วงหน้าไปทางไปรษณีย์ อีเมล ข้อความ หรือโทรศัพท์ได้ โดยต้องระบุจำนวนเงินที่แน่นอน วันที่เรียกเก็บเงิน ข้อมูลอ้างอิงของหนังสือมอบอำนาจ และ ID ผู้ให้เครดิต ทั้งนี้ ID ผู้ให้เครดิตคือหมายเลขประจำตัวเฉพาะที่กำหนดให้กับทุกธุรกิจที่รับเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติ โดย ID ผู้ให้เครดิตนี้จะช่วยให้ผู้ชำระเงินหรือธนาคารของผู้ชำระเงินมีโอกาสตรวจสอบว่าการหักบัญชีอัตโนมัติถูกต้องหรือไม่ และหากจำเป็น ก็สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนหรือขอคืนเงินได้ สำหรับการหักบัญชีอัตโนมัติตามแบบแผนล่วงหน้าที่จำนวนเงินเท่ากันทุกครั้ง การส่งหนังสือแจ้งล่วงหน้าเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ควรระบุวันครบกำหนดชำระในอนาคต
เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจและส่งหนังสือแจ้งล่วงหน้าแล้ว ธุรกิจสามารถดำเนินการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ B2B ได้ โดยธนาคารของธุรกิจจะออกคำสั่งที่เกี่ยวข้องให้ จากนั้นธนาคารของอีกฝ่ายจะตรวจสอบและดำเนินธุรกรรม จากนั้นก็จะชำระเงินขั้นสุดท้าย จำนวนเงินที่ต้องชำระจะถูกหักออกจากบัญชีของลูกค้า แล้วโอนเข้าบัญชีของธุรกิจ ขั้นตอนสุดท้ายคือธุรกิจต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าได้ดำเนินการหักบัญชีอัตโนมัติเรียบร้อยแล้ว และส่งใบแจ้งหนี้หรือเอกสารยืนยันทางอีเมล
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B แตกต่างจากการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA Core อย่างไร
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B และการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA Core แตกต่างกันตรงที่แบบแรกมีไว้สำหรับธุรกรรมแบบ B2B และแบบที่สองมีไว้สำหรับธุรกรรมแบบ B2C ข้อแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือวิธีการตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจที่เกี่ยวข้อง หากเป็นการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA Core ธนาคารของธุรกิจจะตรวจสอบเพียงแค่ว่ามีหนังสือมอบอำนาจสำหรับการหักบัญชีอัตโนมัติหรือไม่ แต่หากเป็นการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ B2B จะมีการตรวจสอบความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจด้วย ดังนั้นจึงต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวไปยังธนาคารเพื่อวัตถุประสงค์นี้
การตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจสำหรับการหักบัญชีอัตโนมัติอย่างละเอียดยิ่งขึ้นนี้ส่งผลให้เกิดความแตกต่างอีกประการหนึ่ง เนื่องจากธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงินของธุรกิจที่ชำระเงินต้องตรวจสอบรายละเอียดของหนังสือมอบอำนาจ จึงไม่มีตัวเลือกในการคัดค้านการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ B2B เมื่อเกิดการเรียกเก็บเงินไปแล้ว เงินจำนวนนั้นจะออกจากบัญชีไป ซึ่งแตกต่างจากการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ Core ซึ่งสามารถโต้แย้งได้ภายใน 8 สัปดาห์หลังจากที่ได้รับการเรียกเก็บเงิน ซึ่งหมายความว่าหากเงินถูกหักออกไปอย่างไม่ถูกต้อง อาจสามารถโอนเงินกลับเข้าบัญชีอีกครั้งได้ นอกจากนี้ หากทำการหักบัญชีอัตโนมัติโดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจ SEPA ที่ถูกต้อง ผู้ชำระเงินยังคงสามารถขอคืนเงินได้หลังจาก 13 เดือนหลังจากเกิดการหักบัญชีอัตโนมัติดังกล่าว เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกำหนดเวลาที่แตกต่างกันสำหรับการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ B2B และแบบ Core
Stripe Payments ช่วยให้คุณรับชำระเงินได้ทั่วโลกเพื่อเพิ่มยอดขาย โดย Payments มีวิธีการชำระเงินทั่วโลกมากกว่า 100 วิธี รวมถึงการหักบัญชีธนาคารตามที่อธิบายไว้ที่นี่ ซึ่งสามารถลดต้นทุนการทำธุรกรรมได้
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B มีข้อดีอย่างไรบ้าง
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B เป็นวิธีการรับชำระเงินแบบเป็นประจำจากลูกค้าที่มีประสิทธิภาพและคุ้มต้นทุน และยังมอบข้อดีให้กับธุรกิจดังต่อไปนี้
- การรักษาความปลอดภัย: เนื่องจากลูกค้าต้องยินยอมให้หักบัญชีอัตโนมัติ และธนาคารจะต้องตรวจสอบรายละเอียดหนังสือมอบอำนาจ การดำเนินการนี้จึงมีความปลอดภัยสูง โดยในทางทฤษฎีแล้ว โอกาสเกิดธุรกรรมผิดพลาดมีน้อยมาก
- ประสิทธิภาพ: ธุรกิจสามารถใช้ระบบการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B เพื่อดำเนินการชำระเงินบางส่วนโดยอัตโนมัติ ลูกค้าที่ชำระเงินไม่จำเป็นต้องโอนเงินด้วยตนเองอีกต่อไป จึงช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรของทั้งสองฝ่าย
- ต้นทุนต่ำกว่า: หลังจากตั้งค่าเริ่มต้นแล้ว ก็แทบไม่ต้องทำงานธุรการใดๆ เกี่ยวกับการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ B2B เลย ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
- ลดอัตราเกิดข้อผิดพลาด: เนื่องจากการหักบัญชีอัตโนมัติใช้แรงงานพนักงานน้อยกว่าการโอนเงินรายบุคคล โอกาสเกิดข้อผิดพลาดจึงลดลง นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดทรัพยากรที่อาจต้องใช้ในการแก้ไข
- _ความเสี่ยงจากการไม่ชำระเงินต่ำ: _ เนื่องจากระบบจะหักการชำระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าจากบัญชีลูกค้าโดยอัตโนมัติ จึงมีความเสี่ยงในการไม่ชำระเงินลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับวิธีการชำระเงินอื่นๆ เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร นอกจากนี้ การหักบัญชีอัตโนมัติที่ดำเนินการไปแล้วจะไม่สามารถขอคืนเงินได้ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบสำหรับผู้รับเงิน
- การวางแผนกระแสเงินสดที่ดีขึ้น: การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ B2B ช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพรวมของการชำระเงินขาเข้าได้ดีขึ้น รายรับแบบเป็นประจำยังช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนกระแสเงินสดได้อีกด้วย
- ความพึงพอใจของลูกค้า: การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ B2B เป็นวิธีการชำระเงินที่สะดวกสบายสำหรับธุรกิจที่ต้องการชำระเงิน โดยการชำระเงินจะดำเนินการอย่างอัตโนมัติและไม่จำเป็นต้องโอนเงินด้วยตนเอง ขั้นตอนที่ราบรื่นจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B มีข้อเสียอย่างไรบ้าง
นอกเหนือจากข้อดีอันมากมายแล้ว ส่วนต่อไปนี้จะอธิบายถึงข้อเสียของการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B ที่อาจเกิดขึ้นบางประการ
- ความพร้อมให้บริการ: ธนาคารบางแห่งอาจไม่มีบริการนี้ หรืออาจมีข้อกำหนด ขั้นตอน หรือค่าธรรมเนียมเฉพาะ ธุรกิจที่ชำระเงินควรตรวจสอบว่าธนาคารของตนสามารถหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B ได้หรือไม่ และหากทำได้ จะสามารถดำเนินการได้อย่างไร
- ไม่มีตัวเลือกการยกเลิก: ไม่สามารถยกเลิกการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B ได้ เว้นแต่จะไม่อนุมัติการชำระเงิน สิ่งดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจที่ถูกหักเงินจากบัญชีเนื่องจากออกหนังสือมอบอำนาจไม่ถูกต้องไม่มีสิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย เนื่องจากไม่จำเป็นต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าว
- การปฏิเสธการชำระเงินที่อาจเกิดขึ้น: หากธุรกิจที่ชำระเงินมีเงินในบัญชีไม่เพียงพอ ธนาคารอาจปฏิเสธหรือระงับการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ B2B ได้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวอาจขัดขวางการชำระเงิน และนำไปสู่ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ด้านล่างนี้ คุณจะพบภาพรวมข้อดีและข้อเสียของการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA B2B ข้างต้น
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
---|---|
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA สำหรับ B2B มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีการตรวจสอบการมอบอำนาจโดยธนาคาร | ธนาคารบางแห่งอาจไม่นำเสนอบริการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA สำหรับ B2B |
วิธีการชำระเงินนี้มีประสิทธิภาพเนื่องจากช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรสำหรับธุรกิจทั้งสองแห่ง | การหักบัญชีอัตโนมัติที่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถยกเลิกได้ ซึ่งหมายความว่าธุรกิจที่ทำการชำระเงินจะไม่สามารถยกเลิกการมอบอำนาจที่ออกอย่างไม่ถูกต้องได้ |
การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA สำหรับ B2B เป็นวิธีการชำระเงินที่ค่าใช้จ่ายไม่สูง เนื่องจากไม่ต้องดูแลระบบเพิ่มเติมหลังจากตั้งค่าเสร็จเรียบร้อย | หากบัญชีของธุรกิจที่ทำการชำระเงินมีเงินไม่เพียงพอ ธนาคารอาจปฏิเสธการหักบัญชีอัตโนมัติได้ |
เนื่องจากมีการใช้กระบวนการอัตโนมัติ โอกาสเกิดข้อผิดพลาดจึงลดลง | |
เนื่องจากกระบวนการหักบัญชีจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ความเสี่ยงที่จะขาดชำระเงินจึงมีน้อยมาก | |
ธุรกิจจะมีข้อมูลที่แน่นอนเพื่อวางแผนการชำระเงินขาเข้า ตลอดจนกระแสเงินสด | |
กระบวนการนี้สามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้ เนื่องจากลูกค้าไม่ต้องโอนเงินเอง |
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ