โปรแกรมสะสมคะแนน: วิธีการทำงาน สิทธิประโยชน์ และความท้าทาย

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. โปรแกรมสะสมคะแนนในบริบททางธุรกิจคืออะไร
  3. โปรแกรมสะสมคะแนนทํางานอย่างไร
  4. ข้อดีของโปรแกรมสะสมคะแนนคืออะไร
  5. อะไรคือความท้าทายหรือข้อเสียของโปรแกรมสะสมคะแนน?
  6. โปรแกรมสะสมคะแนนประเภทใดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสําหรับธุรกิจที่แตกต่างกัน
  7. ธุรกิจวัดความสําเร็จของโปรแกรมสะสมคะแนนอย่างไร
  8. Stripe Billing ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร

โปรแกรมสะสมคะแนนได้เปลี่ยนจากบัตรสะสมคะแนนแบบเจาะรูกระดาษที่ร้านกาแฟตามหัวมุมถนน ไปเป็นระบบสะสมคะแนนอัตโนมัติที่ซับซ้อน โปรแกรมเหล่านี้สามารถช่วยให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ และช่วยให้คุณเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของผู้ซื้อ หากต้องการทำความเข้าใจว่าทำไมโปรแกรมเหล่านี้จึงได้ผล (และทำไมบางครั้งถึงไม่ได้ผล) ธุรกิจต่างๆ จะต้องเข้าใจจากมุมมองของลูกค้า เราจะอธิบายสิ่งที่ทำให้โปรแกรมสะสมคะแนนประสบความสำเร็จ และวิธีการวัดผลที่มีต่อธุรกิจ

เนื้อหาหลักในบทความ

  • โปรแกรมสะสมคะแนนในบริบททางธุรกิจคืออะไร
  • โปรแกรมสะสมคะแนนทํางานอย่างไร
  • ข้อดีของโปรแกรมสะสมคะแนนคืออะไร
  • อะไรคือความท้าทายหรือข้อเสียของโปรแกรมสะสมคะแนน?
  • โปรแกรมสะสมคะแนนประเภทใดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสําหรับธุรกิจที่แตกต่างกัน
  • ธุรกิจวัดความสําเร็จของโปรแกรมสะสมคะแนนอย่างไร
  • Stripe Billing จะช่วยคุณได้อย่างไรบ้าง

โปรแกรมสะสมคะแนนในบริบททางธุรกิจคืออะไร

โปรแกรมสะสมคะแนนคือวิธีที่ธุรกิจต่างๆ ใช้กระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกครั้ง โดยการมอบคะแนนสะสม ส่วนลด หรือสิทธิพิเศษต่างๆ ให้แก่สมาชิกเมื่อกลับมาใช้บริการอีกครั้ง โปรแกรมนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ เพิ่มการซื้อซ้ำ และเรียนรู้เกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า

โปรแกรมสะสมคะแนนสามารถเริ่มได้ในหลายรูปแบบ เช่น ระบบสะสมคะแนน การเป็นสมาชิกแบบชำระเงิน บริการแบบสมัครสมาชิก และการร่วมมือกับหลากหลายแบรนด์ ทั้งหมดนี้ล้วนให้คำมั่นสัญญาว่าจะมอบคุณค่าเพื่อแลกกับการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง คุณค่าเหล่านี้อาจเป็นเพียงด้านธุรกรรม (เช่น ส่วนลด เงินคืน) หรือด้านความสัมพันธ์ (เช่น การเข้าถึงแบบเอกสิทธิ์เฉพาะบุคคล ข้อเสนอเฉพาะบุคคล การสอดคล้องกับค่านิยมร่วม) โดยธุรกิจต่างๆ จะออกแบบโปรแกรมให้ตรงกับความต้องการและเป้าหมายของลูกค้า

โปรแกรมสะสมคะแนนมีอยู่ทุกที่ โดยในสหรัฐอเมริกา ผู้ใหญ่ที่ใช้อินเทอร์เน็ต 85% เข้าร่วมโปรแกรมสะสมคะแนนสำหรับการค้าปลีกอย่างน้อยหนึ่งโปรแกรม และคาดการณ์ว่าตลาดของโปรแกรมสะสมคะแนนจะเติบโตจาก 23.57 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 44.73 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029

โปรแกรมสะสมคะแนนทํางานอย่างไร

โปรแกรมสะสมคะแนนส่วนใหญ่เป็นไปตามจังหวะที่คล้ายคลึงกัน ถึงแม้รางวัลจะต่างกันก็ตาม

ลักษณะที่พบได้จะมีดังนี้

  • การเข้าร่วม: ลูกค้าลงทะเบียนทางออนไลน์ ที่ร้านค้า หรือผ่านแอปพลิเคชัน ธุรกิจมักเสนอโบนัสจากการสมัครสมาชิก เช่น คะแนนพิเศษหรือส่วนลดทันที เพื่อกระตุ้นให้สมัคร

  • สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ: สมาชิกจะได้รับคะแนนสะสม เครดิต หรือรางวัลอื่นๆ เมื่อซื้อสินค้าหรือทำตามที่กำหนด เช่น เขียนรีวิวและแนะนำเพื่อน ยกตัวอย่างเช่น แอป Loyalty and Rewards บน Stripe App Marketplace จะให้คะแนนสะสมโดยอัตโนมัติเมื่อลูกค้าใช้จ่าย ส่วนโปรแกรมแบบชำระเงินจะข้ามขั้นตอนการใช้คะแนนสะสมและมอบสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องโดยแลกกับค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิก

  • ติดตามความคืบหน้า: ระบบของโปรแกรมจะบันทึกคะแนนและรางวัลโดยอัตโนมัติ สมาชิกสามารถตรวจสอบสถานะของตนเองผ่านแอปหรือเว็บไซต์ และดูว่าใกล้ได้รางวัลครั้งต่อไปแล้วหรือยัง

  • การแลกรางวัล: เมื่อสมาชิกสะสมถึงเกณฑ์ที่กำหนดก็จะสามารถแลกคะแนนเป็นส่วนลด สินค้า หรืออัปเกรดได้ บางโปรแกรมใช้ระดับหรือระดับ VIP เพื่อมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเมื่อลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้น

  • การทำให้สมาชิกมีส่วนร่วมอยู่เสมอ: ลูกค้ามักจะเข้าร่วมโปรแกรมหลายโปรแกรม ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ จึงจำเป็นต้องทำให้โปรแกรมของตนเข้าไปอยู่ในชีวิตลูกค้าอยู่เสมอ การแจ้งเตือนส่วนตัว ส่วนลดพิเศษ และความท้าทายแบบเล่นเกมจะช่วยรักษาความกระตือรือร้นของลูกค้า

  • การปรับปรุงโปรแกรม: โดยเบื้องหลังแล้ว บริษัทต่างๆ จะวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อเพื่อทำความเข้าใจว่ารางวัลใดมีผลต่อพฤติกรรม จากนั้นจึงปรับสิ่งจูงใจและกลยุทธ์การสื่อสารตามนั้น

ข้อดีของโปรแกรมสะสมคะแนนคืออะไร

การสร้างโปรแกรมสะสมคะแนนอย่างรอบคอบช่วยให้ผลตอบแทนได้หลายรูปแบบ

ประโยชน์หลักๆ มีดังนี้

  • การรักษาลูกค้าเดิมที่ดีขึ้นและมูลค่าตลอดอายุการใช้งานที่มากขึ้น: โดยทั่วไปแล้ว การรักษาลูกค้าเดิมไว้มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าการหาลูกค้าใหม่ และแม้การรักษาลูกค้าไว้เพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมาก ลูกค้าที่ยังใช้บริการต่อเพื่อซื้อสินค้าเพิ่มและแลกคะแนนสะสมสามารถทำให้เกิดมูลค่าตลอดอายุการใช้งาน (LTV) ของลูกค้าที่สูงขึ้นได้

  • ความภักดีต่อแบรนด์และการสนับสนุนที่เพิ่มมากขึ้น: โปรแกรมยอดนิยมจะปลูกฝังความภักดีต่อแบรนด์ ทำให้สมาชิกอาจไม่มองแบรนด์อื่นเลย ผู้ซื้อจำนวนมากเลือกซื้อสินค้าจากสิทธิประโยชน์ของโปรแกรม และสมาชิกผู้มีใจรักจะกลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์โดยแนะนำเพื่อนและครอบครัว เมื่อลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น โอกาสที่จะพาผู้อื่นมาด้วยก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

  • มูลค่าการสั่งซื้อที่สูงขึ้นและการซื้อที่บ่อยขึ้น: รางวัลแบบแบ่งระดับ การขายแบบต่อยอดที่ตรงเป้าหมาย และความท้าทายแบบการเล่นเกม กระตุ้นให้เกิดตะกร้าสินค้าที่ใหญ่ขึ้น ข้อเสนอที่มีกำหนดเวลาช่วยกระตุ้นให้สมาชิกกลับมาซื้อบ่อยขึ้น

  • ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์จากลูกค้า: เมื่อลูกค้าลงทะเบียน พวกเขาจะให้ข้อมูลติดต่อและช่วยให้บริษัทติดตามสิ่งที่พวกเขาซื้อและความถี่ในการซื้อ ลูกค้าหลายรายยินดีที่จะให้ข้อมูลหากทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น และข้อมูลเชิงลึกนี้สามารถขับเคลื่อนทุกอย่าง ตั้งแต่การตลาดที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นไปจนถึงช่องทางรายได้จากการโฆษณาใหม่ๆ

  • วินัยด้านราคาและการแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ: โปรแกรมสะสมคะแนนช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับลูกค้าที่สำคัญที่สุดแทนการให้ส่วนลดแบบเหมารวม โดยรางวัลที่ตรงกลุ่มเป้าหมายสามารถรักษาความสนใจของลูกค้าประจำไว้ได้โดยไม่ทำให้กำไรลดลง

  • การดึงดูดลูกค้าใหม่: โบนัสจากการลงทะเบียน สิทธิพิเศษสำหรับการแนะนำ และข้อเสนอพิเศษต่างๆ ก็สามารถดึงดูดผู้ซื้อครั้งแรกได้เช่นกัน ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โปรแกรมที่โดดเด่นจะช่วยให้แบรนด์โดดเด่นด้วย

อะไรคือความท้าทายหรือข้อเสียของโปรแกรมสะสมคะแนน?

แม้แต่โปรแกรมสะสมคะแนนที่ดีที่สุดก็อาจต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง

ความท้าทายที่อาจต้องเจอมีดังนี้

  • การรู้ว่าใครสนใจจริง ๆ: ไม่ใช่ว่าลูกค้าประจำทุกคนจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ ลูกค้าบางคนจะเลือกโปรแกรมที่ให้ส่วนลดมากที่สุดแล้วเลิกซื้อทันทีที่มีข้อเสนอที่ดีกว่า การติดตามพฤติกรรมการโปรโมต เช่น การแนะนำและรีวิว จะช่วยให้พบความภักดีที่แท้จริง แต่บางครั้งธุรกิจอาจให้รางวัลแก่ผู้ที่มองหาข้อเสนอมากกว่าแฟนพันธุ์แท้

  • การสร้างสมดุลระหว่างต้นทุนและกำไร: การสร้างและดำเนินโครงการต้องอาศัยเทคโนโลยี การตลาด และการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง การประเมินระดับแรงจูงใจที่ผิดพลาดอาจทำให้กำไรลดลงได้อย่างรวดเร็ว และแบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องระมัดระวังไม่แจกส่วนลดให้กับผู้ที่คิดจะซื้ออยู่แล้ว หรือสัญญาสิทธิพิเศษที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ เมื่อลูกค้าคุ้นเคยกับสิทธิประโยชน์แล้ว การยกเลิกการเสนอสิทธิประโยชน์อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ได้

  • โดดเด่นท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด: ลูกค้าต่างก็ได้รับการเสนอโปรแกรมสะสมคะแนนอย่างมากมาย หากไม่มีข้อเสนอคุณค่าหรือการปรับให้เหมาะกับความต้องการ โปรแกรมใหม่ก็เสี่ยงต่อการถูกมองข้ามได้ การรักษาการมีส่วนร่วมของสมาชิกต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่องในด้านข้อมูลและประสบการณ์ที่สร้างสรรค์

  • __ มองไม่เห็นภาพรวม: __ ข้อมูลความภักดีจะบันทึกกิจกรรมภายในธุรกิจของคุณเอง แต่จะไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในธุรกิจอื่นๆ เลย หากไม่มีบริบท ยอดคะแนนคงเหลือจำนวนมากอาจแสดงให้เห็นแค่การซื้อครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว แทนที่จะเป็นการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง และจะไม่แสดงให้เห็นจำนวนเงินที่ลูกค้าใช้จ่ายกับคู่แข่ง

โปรแกรมสะสมคะแนนประเภทใดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสําหรับธุรกิจที่แตกต่างกัน

โครงสร้างโปรแกรมสะสมคะแนนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดจะขึ้นอยู่กับความถี่ที่ลูกค้าซื้อ รวมถึงสิ่งที่ซื้อ และสิ่งที่จูงใจลูกค้า

ตัวอย่างรูปแบบทั่วไปมีดังนี้

  • _คะแนนสะสม: _ สมาชิกจะได้รับคะแนนทุกครั้งที่ซื้อสินค้า และนำไปแลกเป็นสินค้า ส่วนลด หรือประสบการณ์ต่างๆ ได้ เนื่องจากสามารถมองเห็นความคืบหน้าได้อย่างชัดเจนและทันที วิธีนี้จึงเหมาะกับธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมบ่อยครั้ง เช่น ร้านกาแฟ ร้านขายของชำ และร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง โดยตัวอย่างที่รู้จักกันดีก็คือการสะสมดาวของ Starbucks และคะแนน Beauty Insider ของ Sephora

  • แบบแบ่งระดับ: ลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีขึ้นเมื่อใช้จ่ายมากขึ้นหรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์บ่อยขึ้น สายการบินและแบรนด์เครื่องสำอางใช้แบบแบ่งระดับ (เช่น ทอง เงิน ทองแดง) เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและสร้างความรู้สึกมีฐานะ โดยจะได้ผลดีที่สุดเมื่อมีระดับการซื้อที่หลากหลายและมีช่องทางที่ชัดเจนในการเลื่อนระดับ

  • เงินคืน: ลูกค้าจะได้รับเงินคืนเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดใช้จ่ายเป็นเงินสด เครดิต หรือสกุลเงินของร้านค้า ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและร้านค้าปลีกบางรายนิยมใช้รูปแบบนี้เพราะคุ้มค่าและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง รูปแบบนี้จะมีประสิทธิภาพเมื่อกำไรสามารถสนับสนุนการคืนเงินได้ และเมื่อลูกค้าชื่นชอบความเรียบง่าย

  • การสมัครสมาชิกแบบชำระเงินและระดับการสมัครสมาชิก: ลูกค้าจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่อเนื่อง เช่น การจัดส่งฟรี เนื้อหาพิเศษ และสิทธิ์เข้าถึงก่อนใคร Amazon Prime เป็นตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดของโปรแกรมประเภทนี้ แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถใช้รูปแบบนี้ได้เช่นกัน โปรแกรมแบบชำระเงินต้องการสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าค่าธรรมเนียมอย่างเห็นได้ชัด โปรแกรมเหล่านี้จะได้ผลดีที่สุดเมื่อมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และรายรับจากการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าจากการเป็นสมาชิกสามารถนำไปสนับสนุนสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่าได้

  • บัตรหรือคูปองสะสมแต้ม: รูปแบบคลาสสิกอย่าง “ซื้อกาแฟ 9 แก้ว แถมฟรีแก้วที่ 10” ยังคงคุ้มค่าอยู่ รูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจในท้องถิ่น เช่น ร้านกาแฟ ร้านเสริมสวย และฟิตเนส ซึ่งความภักดีของลูกค้าจะวัดจากจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการมากกว่าการใช้จ่าย

  • โปรแกรมพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์: สายการบิน โรงแรม และเครือข่ายร้านค้าปลีกบางครั้งจะรวบรวมคะแนนสะสมและให้ลูกค้าสะสมและแลกคะแนนจากแบรนด์ต่างๆ โปรแกรมเหล่านี้ช่วยเพิ่มความน่าสนใจด้วยการเพิ่มตัวเลือกในการสะสมและแลกคะแนน แต่ก็ต้องอาศัยการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์แต่ละราย

  • _เน้นที่คุณค่า: _ บางแบรนด์ให้ลูกค้านำเงินส่วนหนึ่งไปบริจาคเพื่อการกุศล โปรแกรมเหล่านี้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสังคมและเสริมสร้างคุณค่าของแบรนด์ ถึงแม้จะไม่ดึงดูดผู้ที่มองหาข้อเสนอดีๆ ก็ตาม

  • รวมทุกอย่างในหนึ่งเดียวหรือผสมผสาน: องค์กรขนาดใหญ่มักรวมคะแนน เงินคืน ระดับชั้น และสมาชิกแบบชำระเงินเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

เมื่อคุณเลือกโมเดลธุรกิจ ให้พิจารณาพฤติกรรมของลูกค้าอย่างใกล้ชิด ร้านกาแฟได้รับประโยชน์จากโปรแกรมที่ใช้งานง่ายตามจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการ ในขณะที่แบรนด์เครื่องสำอางสามารถใช้แบบระดับชั้นเพื่อตอบแทนลูกค้าที่ใช้จ่ายมากขึ้น โปรแกรมที่ดีที่สุดจะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจนและรางวัลที่คุ้มค่าโดยไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกหนักใจ

ธุรกิจวัดความสําเร็จของโปรแกรมสะสมคะแนนอย่างไร

การนับจำนวนการลงทะเบียนหรือคะแนนสะสมทั้งหมดเพียงอย่างเดียวไม่ได้บอกคุณว่าโปรแกรมสะสมคะแนนได้ผลหรือไม่ จำนวนผู้สมัครสูงสุดอาจแสดงให้เห็นเพียงโบนัสการสมัครสมาชิกที่คุ้มค่า และยอดคะแนนคงเหลือจำนวนมากอาจหมายความว่าสมาชิกไม่ได้ใช้แลกคะแนน โดยหากต้องการเข้าใจผลกระทบอย่างแท้จริง ควรวัดทั้งผลลัพธ์ทางการเงินและความเชื่อมั่นของลูกค้า

นี่คือสิ่งที่คุณควรติดตาม

  • LTV: ประเมินรายได้รวมที่ลูกค้าจะได้รับจากความสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณ โดย LTV ที่มองไปข้างหน้าจะช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าที่มีคุณค่าสูง แม้ว่าการคำนวณอย่างแม่นยำจะต้องใช้ข้อมูลที่ดีมากก็ตาม

  • _ส่วนแบ่งรายได้: _ ประเมินสัดส่วนของยอดขายรวมที่มาจากสมาชิก เปรียบเทียบกับต้นทุนของโปรแกรมเพื่อประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน

  • อัตราการซื้อซ้ำ: วัดจำนวนลูกค้าที่ซื้อซ้ำหลายครั้งภายในระยะเวลาที่กำหนด อัตราการกลับมาซื้อซ้ำที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณว่าโปรแกรมของคุณกำลังขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง

  • _การรักษาลูกค้าและการเลิกใช้บริการ: _ การรักษาลูกค้าที่สูงและการเลิกใช้บริการที่ต่ำบ่งชี้ว่าโปรแกรมของคุณกำลังป้องกันไม่ให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้บริการของคู่แข่ง การที่ลูกค้าลดลงอย่างกะทันหันบ่งชี้ว่ารางวัลของคุณไม่โดนใจหรือประสบการณ์การใช้งานมีความยุ่งยากเกินไป

  • อัตราการเข้าร่วม: มีสมาชิกกี่คนที่กำลังสะสมและแลกรับรางวัลอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมที่ต่ำบ่งชี้ว่าลูกค้าไม่เข้าใจหรือไม่เห็นคุณค่าของโปรแกรมนี้

  • ความคิดเห็นจากลูกค้า: สมาชิกตื่นเต้นกับรางวัลของคุณไหม? พวกเขาเล่าประสบการณ์กับเพื่อน ๆ บ้างไหม? ผสมผสานตัวชี้วัดเชิงปริมาณเข้ากับข้อมูลเชิงลึกเชิงคุณภาพ เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าโปรแกรมของคุณมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน

Stripe Billing ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ตามที่คุณต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าง่ายๆ ไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน หรือสัญญาที่ตกลงกันทางการขาย เริ่มรับชำระเงินแบบตามแผนล่วงหน้าจากทั่วโลกได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ด หรือสามารถสร้างการผสานการทำงานแบบกำหนดเองโดยใช้อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ได้

Stripe Billing สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้

  • กำหนดค่าบริการแบบยืดหยุ่น: ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้เร็วขึ้นด้วยโมเดลการกำหนดค่าบริการที่ยืดหยุ่น ซึ่งมีทั้งแบบตามการใช้งาน แบบแบ่งระดับ ค่าธรรมเนียมคงที่บวกค่าธรรมเนียมส่วนเกิน และอีกมากมาย ทั้งยังรองรับคูปอง การทดลองใช้งานฟรี การแบ่งชำระตามสัดส่วน และส่วนเสริมในตัวอีกด้วย

  • ขยายไปทั่วโลก:เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินด้วยการเสนอวิธีการชำระเงินที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้ Stripe ยังรองรับวิธีการชำระเงินในแต่ละประเทศมากกว่า 100 วิธีและสกุลเงินกว่า 130 สกุล

  • เพิ่มรายได้และลดอัตราการเลิกใช้บริการ: ให้คุณเก็บรายรับได้มากขึ้นและลดการเลิกใช้บริการโดยไม่สมัครใจด้วย Smart Retries และระบบอัตโนมัติสำหรับกระบวนการกู้คืน เครื่องมือการกู้คืนของ Stripe ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนรายรับกว่า 6.50 พันล้านดอลลาร์ได้ในปี 2024

  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ใช้เครื่องมือภาษีแบบโมดูลาร์ รายงานรายได้ และเครื่องมือข้อมูลของ Stripe เพื่อรวมระบบรายรับหลายระบบให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์ของบริษัทอื่นได้อย่างง่ายดาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Billing หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้