การชำระเงินอาจไม่สำเร็จเนื่องจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ข้อมูลบัตรไม่ถูกต้องไปจนถึงถูกสงสัยว่าจะเป็นการฉ้อโกง ความจริงแล้ว มีรหัสการปฏิเสธหลายสิบรายการ โดยแต่ละรหัสจะแสดงถึงเหตุผลที่การชำระเงินอาจถูกปฏิเสธที่แตกต่างกันไป แม้ว่าการปฏิเสธการชำระเงินจะช่วยคุณคัดกรองธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงได้ แต่ก็อาจทำให้สูญเสียการชำระเงินที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลกำไรของคุณและประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า
ธุรกิจออนไลน์หลายแห่งได้เผชิญกับความท้าทายในการจัดการกับการปฏิเสธการชำระเงินผ่านบัตรที่แตกต่างกันไป อัตราการอนุมัติธุรกรรม (ร้อยละของธุรกรรมที่คุณส่งและธนาคารเจ้าของบัตรยอมรับ) สำหรับธุรกรรมออนไลน์อาจลดลง 10% เมื่อเทียบกับการชำระเงินที่จุดขาย ธนาคารที่ออกบัตรใช้ตรรกะที่เน้นการป้องกันมากขึ้นในการอนุมัติหรือปฏิเสธธุรกรรมออนไลน์ เนื่องมาจากความเสี่ยงที่ธุรกรรมจะเป็นการฉ้อโกงเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่ารายการดังกล่าวจะเป็นการขายที่ดำเนินการอย่างถูกต้องก็ตาม ซึ่งส่งผลให้คุณไม่เพียงเสียยอดขายรายการนั้นไป แต่ยังอาจนำไปสู่การสูญเสียยอดขายในอนาคตทั้งหมดจากลูกค้ารายนั้นด้วย จากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมา Stripe พบว่าเมื่อลูกค้าที่มีมูลค่าสูงประสบกับการปฏิเสธการชำระเงิน ลูกค้าเหล่านั้นจะทำธุรกรรมน้อยลงในอนาคตหรืออาจถึงขั้นเปลี่ยนไปใช้บริการของคู่แข่ง
แม้ว่าจะไม่มีวิธีขจัดการปฏิเสธการชำระเงินโดยสิ้นเชิง แต่คู่มือนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีลดจำนวนการชำระเงินที่ถูกต้องแต่ดำเนินการไม่สำเร็จมากขึ้น โดยคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิเสธการชำระเงินประเภทต่างๆ วิธีปรับปรุงอัตราการอนุมัติธุรกรรม และวิธีที่ Stripe จะช่วยคุณได้
นอกจากนี้เรายังจัดทำรายการคำศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธการชำระเงินและการอนุมัติวงเงิน ดังนั้นหากคุณไม่คุ้นเคยกับคำศัพท์ใดก็ตามในคู่มือนี้ โปรดดูที่อภิธานศัพท์ของเรา
ทำความเข้าใจการปฏิเสธการชำระเงินในเครือข่าย
เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ของคุณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินจะรวบรวมรายละเอียดการเรียกเก็บเงินและส่งผ่านเครือข่ายของบัตร เช่น Visa, Mastercard หรือ China UnionPay ไปให้ธนาคารผู้ออกบัตร (ธนาคารของลูกค้า) เป็นคำขอการชำระเงิน
คำขอนี้ประกอบด้วยรายละเอียดต่างๆ เช่น ที่อยู่เจ้าของบัตร หมวดหมู่ธุรกิจของคุณ และจำนวนเงินของธุรกรรม ซึ่งฝังไว้ในข้อความที่อ้างถึงโดยใช้รหัส ISO 8583 ธนาคารที่ออกบัตรจะใช้ตรรกะอันซับซ้อนเพื่อตัดสินว่าควรปฏิเสธการเรียกเก็บเงินรายการใด ข้อความรหัส ISO 8583 จะมีช่องข้อมูลทั้งหมด 128 รายการ และธนาคารที่ออกบัตรแต่ละแห่งสามารถเลือกวิธีที่จะตีความและรวมข้อมูลต่างๆ ได้
การปฏิเสธโดยเครือข่าย หรือการเรียกเก็บเงินที่ถูกปฏิเสธโดยผู้ออกบัตรหมายความว่าธนาคารของลูกค้าได้ปฏิเสธคำขอธุรกรรมรายการนั้น โดยปกติแล้วธุรกรรมมักจะถูกปฏิเสธเนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้: มีจำนวนเงินเหลือในบัตรไม่เพียงพอ ข้อมูลของบัตรไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย หรือมีพฤติกรรมที่สงสัยว่าเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ถูกต้อง (ตัวอย่างเช่น หากธนาคารที่ออกบัตรคิดว่ามีการใช้บัตรที่สูญหายหรือถูกขโมย) ความขัดข้องในการให้บริการของผู้ออกบัตรหรือการไม่ได้ตรวจสอบสิทธิ์บัตรก็อาจเป็นสาเหตุให้ชำระเงินไม่สำเร็จได้เช่นกัน
ธุรกรรมหลายรายการจัดอยู่ในหมวดหมู่การปฏิเสธการชำระเงินทั่วไป ซึ่งแสดงรหัสการปฏิเสธ "05: ไม่ยอมรับ" ซึ่ง "ไม่ยอมรับ" อาจหมายถึงอะไรก็ได้ ตั้งแต่เงินทุนไม่เพียงพอไปจนถึงการชำระเงินถูกปฏิเสธหลายครั้งติดๆ กัน
ธนาคารผู้ออกบัตรจะใช้สถานะ "ไม่ยอมรับ" ด้วยเหตุผลหลายประการ โดยอาจไม่ได้ตั้งค่าระบบให้ส่งรหัสการปฏิเสธการชำระเงินที่มีข้อมูลชัดเจน ตัวอย่างเช่น บางธนาคารจัดให้การปฏิเสธการชำระเงินแทบจะทุกรายการเป็น "ไม่ยอมรับ" หรืออาจเจตนาซ่อนเหตุผลการปฏิเสธการชำระเงินบางประการ เช่น หากกำลังสืบสวนรูปแบบของการฉ้อโกงและตัดสินใจที่จะไม่ระบุต่อสาธารณะว่าเป็นธุรกรรมที่น่าสงสัย
วิธีจัดการการปฏิเสธการชำระเงินในเครือข่าย
การจัดการการปฏิเสธการชำระเงินเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณไม่ทราบถึงเหตุผลที่เจาะจงของการชำระเงินที่ไม่สำเร็จ ดังนั้นธุรกิจหลายๆ แห่งจึงไม่ลองทำธุรกรรมที่ถูกปฏิเสธอีกครั้ง ธุรกิจบางรายอาจลองซ้ำบ่อยครั้งเกินไป ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
แนวทางที่ดีกว่าคือการปรับแต่งกลยุทธ์ของคุณตามประเภทรหัสการปฏิเสธการชำระเงินและธนาคารผู้ออกบัตรแต่ละราย ตัวอย่างเช่น คุณเพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือธุรกรรมที่ไม่สำเร็จได้โดยการกำหนดเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการปฏิเสธการชำระเงินนั้น แทนการใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับการปฏิเสธการชำระเงินทั้งหมด บางธุรกิจอาจเพิ่มขั้นตอนการแบ่งกลุ่มลูกค้าโดยเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนตามรหัสการปฏิเสธการชำระเงินและมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของเจ้าของบัตรด้วย
มีปัจจัยมากมายที่นำไปสู่ธุรกรรมที่ถูกปฏิเสธ เช่น ตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจ โมเดลธุรกิจ ส่วนผสมด้านลูกค้า และอีกมากมาย ต่อไปนี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้เพื่อจัดการการปฏิเสธการชำระเงินได้ โดยจัดตาม 3 หมวดหมู่ที่พบมากที่สุดสำหรับธุรกรรมที่ถูกปฏิเสธ
นอกจากนี้ Stripe ยังช่วยคุณจัดการการปฏิเสธการชำระเงินโดยอัตโนมัติได้ด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมในส่วน "วิธีเพิ่มอัตราการอนุมัติวงเงิน"
เงินทุนไม่เพียงพอ: แจ้งให้ลูกค้าของคุณทราบถึงวิธีการชำระเงินอื่นหรือรับการอนุมัติวงเงินเพื่อลองทำธุรกรรมอีกครั้งในภายหลัง เมื่อวิธีการชำระเงินเดิมมีแนวโน้มที่จะมีเงินทุนเพียงพอ หากลูกค้าอยู่ในสหรัฐอเมริกา คุณอาจขอเรียกเก็บเงินอีกครั้งในวันที่ 1 หรือ 15 ของเดือน (เป็นเวลาที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ได้รับค่าจ้าง) หากคุณดำเนินธุรกิจการสมัครใช้บริการ Smart Retries ของ Stripe จะช่วยคุณกู้คืนรายรับมากขึ้นโดยการลองเรียกเก็บเงินอีกครั้งเมื่อมีโอกาสสำเร็จสูงสุด ซึ่งอิงตามสัญญาณจากเครือข่าย Stripe
ข้อมูลบัตรที่ไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย: หากการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าที่ใช้บริการครั้งแรกถูกปฏิเสธเนื่องจากรายละเอียดบัตรไม่ถูกต้อง อาจเป็นไปได้ว่าลูกค้าป้อนข้อมูลบัตรผิด ดังนั้นควรติดต่อเพื่อขอให้ลูกค้าป้อนข้อมูลอีกครั้ง หากธุรกรรมถูกปฏิเสธโดยใช้บัตรที่คุณมีข้อมูลในระบบ แสดงว่าข้อมูลบัตรอาจล้าสมัยก็เป็นได้ ในกรณีนี้ให้ขอให้ลูกค้าอัปเดตข้อมูลประจำตัวและตรวจสอบให้มั่นใจว่าผู้ให้บริการหรือผู้ประมวลผลด้านการชำระเงินของคุณมีระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ การแปลงข้อมูลบัตรเป็นโทเค็นเครือข่าย หรือบริการที่คล้ายคลึงกันเพื่ออัปเดตหมายเลขบัตรที่หมดอายุหรือต่ออายุใหม่ของลูกค้าโดยอัตโนมัติ
การสงสัยว่าเป็นการฉ้อโกง: แทนที่จะเสี่ยงลองทำธุรกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกงอีกครั้ง ควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าคุณได้ติดตั้งเครื่องมือป้องกันและจัดการการฉ้อโกงเพื่อช่วยตรวจจับและบล็อกการเรียกเก็บเงินที่ไม่ถูกต้อง เครื่องมือเหล่านี้จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลูกค้าและธุรกรรมที่พิสูจน์ได้ว่าถูกต้อง ช่วยทำให้คุณมั่นใจมากขึ้นว่าจะลองเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าหรือไม่
โปรดทราบว่าเครือข่ายบัตรกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่คุณลองทำธุรกรรมซ้ำได้ ตัวอย่างเช่น เครือข่ายบัตรหลายรายอนุญาตให้ลองเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าได้ 4-6 ครั้งภายในระยะเวลา 15 วันเท่านั้น
วิธีเพิ่มอัตราการอนุมัติธุรกรรม
การมีอัตราการอนุมัติธุรกรรม 100% หรือก็คือไม่มีการปฏิเสธการชำระเงินเลยนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณประมวลผลการชำระเงินเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หากคุณตรวจสอบอัตราการอนุมัติธุรกรรมของคุณอย่างใกล้ชิด คุณจะสังเกตได้เมื่ออัตราการปฏิเสธของเครือข่ายพุ่งสูงขึ้นผิดปกติ แล้วจึงดำเนินการตามความเหมาะสม แม้การปรับปรุงเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ กล่าวคือ ธุรกิจขนาดใหญ่บางส่วนได้เพิ่มอัตราการอนุมัติธุรกรรมของตนเพียงแค่ 0.5% และมีรายได้เพิ่มขึ้นหลายล้านดอลลาร์ในแต่ละปี
คุณสามารถเพิ่มอัตราการอนุมัติธุรกรรมได้หลายวิธี ซึ่งรวมถึงวิธีดังต่อไปนี้
จัดเก็บและส่งข้อมูลการเรียกเก็บเงินเพิ่มเติม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ระบุข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในคำขอเรียกเก็บเงิน ซึ่งหมายความว่าธนาคารจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับใช้ยืนยันธุรกรรมที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง กล่าวโดยเจาะจงคือ การส่งรหัสไปรษณีย์และ CVC สามารถช่วยปรับปรุงอัตราการอนุมัติธุรกรรมสำหรับธุรกิจในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรได้
เพิ่มประสิทธิภาพให้กับขั้นตอนการชำระเงิน หากธุรกิจของคุณกำหนดเวลาการบริการสำหรับวันที่ยังไม่มาถึง ให้พิจารณาว่าคุณจะเรียกเก็บเงินลูกค้าเมื่อใดและเรียกเก็บจำนวนเท่าใด สมมติว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัทให้เช่ารถยนต์ และลูกค้าได้นัดหมายที่จะเช่ารถ 1 เดือนล่วงหน้า คำถามก็คือคุณจะเรียกเก็บเงินเมื่อลูกค้าจอง หรือเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเช่า คุณจะกันวงเงินจากวิธีการชำระเงินของลูกค้าไว้ 10 หรือ 100 ดอลลาร์สหรัฐ การกันวงเงินไว้ 10 ดอลลาร์สหรัฐจะมีโอกาสทำรายการสำเร็จมากกว่า แต่หากค่าเช่าราคาสูงกว่า 10 ดอลลาร์สหรัฐ คุณก็มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับการชำระเงินเต็มจำนวนในภายหลัง โดยขั้นตอนการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมนั้นคือสมดุลระหว่างประสบการณ์ลูกค้า อัตราคอนเวอร์ชัน และค่าใช้จ่าย ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ
รักษาอัตราการฉ้อโกงของคุณให้ต่ำ ธุรกิจที่มีอัตราการดึงเงินคืนสูง (ซึ่งหมายถึงจำนวนลูกค้าที่โต้แย้งการชำระเงินกับธนาคารของตน) นั้นมีแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธการชำระเงินมากกว่า เราขอแนะนำให้คุณใช้โซลูชันป้องกันการฉ้อโกงด้วยแมชชีนเลิร์นนิง อย่างเช่น Radar for Fraud Teams ซึ่งช่วยให้คุณเลือกระดับความเข้มงวดในการบล็อคการชำระเงินที่มีพิรุธโดยอิงตามความเสี่ยงที่คุณรับได้ เขียนกฎที่กำหนดเอง ตลอดจนรับสัญญาณการฉ้อโกงขั้นสูง
รับกระเป๋าเงินดิจิทัล Apple Pay และ Google Pay ช่วยให้อัตราการยอมรับสูงขึ้นเนื่องจากการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย ซึ่งลูกค้าจะป้อนรหัสผ่านหรือข้อมูลระบุตัวตนแบบไบโอเมตริก
เปิดใช้งานระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการชำระเงินหรือผู้ประมวลผลของคุณให้บริการระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ ซึ่งจะอัปเดตหมายเลขบัตรที่หมดอายุหรือบัตรที่ต่ออายุใหม่ของลูกค้าโดยอัตโนมัติ รวมทั้งช่วยลดการปฏิเสธการชำระเงิน Postmates พบว่ามีอัตราการอนุมัติเพิ่มขึ้น 1.72% เมื่อใช้ระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ ทำให้เกิดรายรับถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เปิดใช้งานโทเค็นเครือข่าย โทเค็นเครือข่ายคือข้อมูลประจำตัวสำหรับการชำระเงินเฉพาะสำหรับคู่ของบัตรและผู้ค้า ซึ่งสามารถใช้แทนที่ PAN สำหรับการซื้อทางออนไลน์ได้ โดยโทเค็นเครือข่ายช่วยให้มีอัตราการอนุมัติธุรกรรมที่สูงขึ้น โดยจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบจะใช้ข้อมูลประจำตัวล่าสุดกับการชำระเงินของคุณ หาก PAN สำคัญที่เกี่ยวโยงกับโทเค็นเครือข่ายเปลี่ยนแปลงไปหรือหมดอายุ โทเค็นดังกล่าวจะยังคงเป็นปัจจุบันและสามารถใช้ได้ เพราะฉะนั้นจึงช่วยลดจำนวนการเรียกเก็บเงินที่ถูกปฏิเสธอันเกิดจากข้อมูลประจำตัวที่หมดอายุ และช่วยเพิ่มอัตราการอนุมัติธุรกรรมนั่นเอง นอกจากนี้ โทเค็นเครือข่ายยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเครือข่ายของคุณสำหรับผู้ใช้ที่ใช้ค่าบริการธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารแบบกำหนดเองได้ โดยใช้ประโยชน์จากสิ่งจูงใจที่เปลี่ยนเป็นโทเค็นจากเครือข่ายบัตร ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำงานของโทเค็นเครือข่าย
ตรวจสอบสิทธิ์การชำระเงินเมื่อจำเป็น หากธนาคารของลูกค้ารองรับ 3D Secure คุณอาจต้องตรวจสอบสิทธิ์การชำระเงินบางรายการ (เช่น การกำหนดให้ลูกค้าใช้ลายนิ้วมือหรือป้อนรหัสผ่าน) เมื่อใช้ Payment Intents API ของ Stripe เราจะอ้างสิทธิ์การยกเว้น SCA โดยอัตโนมัติเมื่อเป็นไปได้ และเพิ่มอัตราคอนเวอร์ชันให้สูงที่สุดโดยการขอตรวจสอบสิทธิ์เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
ตั้งค่าบัญชี Stripe ในแต่ละประเทศ สร้างบัญชี Stripe ในแต่ละประเทศขึ้นใหม่ในขณะที่คุณขยับขยายธุรกิจไปทั่วโลก ประเทศใหม่ๆ จะใช้ประโยชน์จากระบบ API เดียวกันของ Stripe และสามารถเปิดใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องดำเนินงานด้านวิศวกรรมใดๆ เพิ่มเติม การใช้บริการรับบัตรที่ปรับให้เหมาะสมกับในแต่ละประเทศจะช่วยให้คุณเพิ่มอัตราการยอมรับได้สูงสุด (เนื่องจากธนาคารมีแนวโน้มที่จะอนุมัติการชำระเงินภายในประเทศมากกว่า) ทั้งยังช่วยกำจัดค่าธรรมเนียมต่างประเทศและค่าธรรมเนียมข้ามพรมแดนแก่ลูกค้า
คุณยังปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้ได้ หากมีธุรกิจที่สร้างรายรับจากการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า ซึ่งหมายถึงการที่คุณเรียกเก็บเงินจากลูกค้าเป็นประจำหรือใช้ข้อมูลการชำระเงินที่บันทึกไว้ อย่างไรก็ตาม คุณยังมีวิธีอื่นๆ ในการปรับปรุงอัตราการอนุมัติธุรกรรมที่เจาะจงสำหรับธุรกิจซึ่งเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าหรือตามรอบบิลดังต่อไปนี้
ปรับการติดต่อลูกค้าให้เป็นอัตโนมัติ เมื่อมีการชำระเงินที่ไม่สำเร็จเพียงไม่กี่รายการต่อเดือน คุณก็สามารถโทรหรือส่งอีเมลถึงลูกค้าแต่ละรายและขอให้พวกเขาแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย (ไม่ว่าจะเป็นการใช้วิธีการชำระเงินใหม่หรือการอัปเดตข้อมูลการชำระเงิน) แต่เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นและคุณต้องจัดการลูกค้าหลายร้อยรายที่ถูกปฏิเสธการชำระเงิน วิธีนี้ก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลง การส่งอีเมลแจ้งการชำระเงินไม่สำเร็จโดยอัตโนมัติเมื่อมีการปฏิเสธการชำระเงินเป็นวิธีการสื่อสารกับลูกค้าที่ปรับสเกลได้มากกว่า
ทดลองกำหนดช่วงระยะเวลาการลองซ้ำ ธุรกิจหลายรายลองเรียกเก็บเงินจากธุรกรรมที่ล้มเหลวซ้ำตามเวลาที่กำหนด เช่น ทุก 7 วัน (ขั้นตอนนี้เรียกว่าการติดตามหนี้) เราแนะนำให้ทดลองกำหนดช่วงระยะเวลาแบบต่างๆ เพื่อดูว่าแบบใดมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ หรือหาผู้ให้บริการชำระเงินที่ดำเนินขั้นตอนการติดตามหนี้โดยอัตโนมัติและเปิดให้คุณนำไปปรับใช้ตามความต้องการของลูกค้าได้
สร้างแผนการชำระเงินแบบต่างๆ หากธุรกิจของคุณถูกปฏิเสธการชำระเงินเป็นจำนวนมากเพราะเงินลูกค้าไม่พอ ให้ลองสร้างวิธีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณมีบริการแผนรายปีเพียงอย่างเดียว ก็ให้ลองสร้างแผนรายเดือนหรือแผนรายไตรมาสเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการกระแสเงินสดของตนได้ดียิ่งขึ้น
ความช่วยเหลือที่ Stripe มอบให้คุณได้
โซลูชันของ Stripe สร้างรายรับเพิ่มเติมนับพันล้านแก่ธุรกิจต่างๆ ด้วยการช่วยป้องกันการเรียกเก็บเงินที่ถูกต้องไม่ให้ถูกปฏิเสธ ระบบการรับชำระเงินของ Stripe พร้อมใช้งานอยู่เสมอ จึงป้องกันการปฏิเสธการชำระเงินเนื่องจากบริการของผู้ประมวลผลหยุดทำงานได้ หากบริการของผู้ประมวลผลหยุดทำงาน Stripe จะกำหนดเส้นทางการชำระเงินไปยังการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น Stripe จะเปลี่ยนปริมาณการประมวลผลโดยอัตโนมัติเมื่อศูนย์ข้อมูลของ Visa ปิดปรับปรุง นอกจากนี้ Stripe ยังผสานการทำงานโดยตรงกับเครือข่ายบัตรรายใหญ่ 6 รายทั่วโลก ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดในระบบที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งงานระหว่างระบบ และช่วยให้เรารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของธุรกรรมที่กำหนดได้ดียิ่งขึ้น
Stripe มีฟีเจอร์ 5 ประเภทที่คุณสามารถใช้เพื่อเพิ่มอัตราการอนุมัติ ได้แก่ Enhanced Issuer Network, Adaptive Acceptance, Smart Retries, ระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ และโทเค็นเครือข่าย
Enhanced Issuer Network
Enhanced Issuer Network ของ Stripe คือกลุ่มความร่วมมือกับบริษัทผู้ออกบัตรและเครือข่ายรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา Stripe แชร์คะแนนการฉ้อโกงจากโซลูชันป้องกันการฉ้อโกงที่เรียกว่า Radar โดยใช้เส้นทางที่มีการเข้ารหัสร่วมกับ Capital One และ Discover เพื่อช่วยขจัดการฉ้อโกง ซึ่งจะช่วยลดความไม่พึงพอใจในขั้นตอนการชำระเงินของลูกค้า ทั้งยังช่วยปรับปรุงโมเดลการอนุมัติธุรกรรม
บริษัทผู้ออกบัตรรายต่างๆ นั้นใช้โมเดลการตรวจจับการฉ้อโกงของตนเองอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งทำให้ความแม่นยำในการพิจารณาอนุมัติหรือปฏิเสธธุรกรรมดังกล่าวลดลง การใช้คะแนนการฉ้อโกงของ Radar สำหรับธุรกรรมต่างๆ ร่วมกับข้อมูลที่บริษัทผู้ออกบัตรมีอยู่แล้วจะทำให้การพิจารณาการฉ้อโกงแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ผู้ใช้ Stripe จะได้รับประโยชน์จาก Enhanced Issuer Network โดยอัตโนมัติ โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่อาจเห็นการฉ้อโกงลดลงเฉลี่ย 8% และมีอัตราการอนุมัติเพิ่มขึ้น 1-2% ในปริมาณการประมวลผลที่ตรงตามเกณฑ์
Adaptive Acceptance
Adaptive Acceptance ของ Stripe ใช้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อเลือกเรียกเก็บเงินสำหรับการชำระเงินที่ถูกปฏิเสธโดยบริษัทผู้ออกบัตรในแบบเรียลไทม์ซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะส่งการตอบกลับไปยังลูกค้า Stripe จะปรับแก้ไขปัจจัยต่างๆ ในคำขอการชำระเงินโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มโอกาสในการยอมรับการชำระเงิน โดยจะดำเนินการทดลองหลายสิบแบบกับธนาคารผู้ออกบัตรหลายรายในเวลาเดียวกันเพื่อทำความเข้าใจว่าการแก้ไขใดมีแนวโน้มที่จะทำให้การชำระเงินสำเร็จมากที่สุด ซึ่งจะใช้เวลาเพียงไม่กี่มิลลิวินาที เช่น สมมุติว่ามีลูกค้าบางรายในสหราชอาณาจักรพิมพ์รหัสไปรษณีย์ของตนอย่างรวดเร็วลงในแบบฟอร์มการเรียกเก็บเงินด้วยตัวพิมพ์เล็กโดยไม่เว้นช่องว่าง Stripe จะสังเกตเห็นรูปแบบการป้อนข้อมูลลักษณะนี้และทดสอบรูปแบบต่างๆ เพื่อค้นหาว่ารูปแบบรหัสไปรษณีย์รูปแบบใดที่มีอัตราการอนุมัติธุรกรรมสูงกว่าแบบอื่น การเรียกใช้การทดสอบเหล่านี้กับบริษัทผู้ออกบัตรหลายๆ รายในเวลาเดียวกันจะทำให้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงเรียนรู้การแก้ไขที่มีประสิทธิภาพสำหรับธนาคารแต่ละแห่งมากที่สุด
Smart Retries
สำหรับธุรกิจที่มีรายรับจากการเรียกเก็บเงินตามรอบ หากถูกปฏิเสธการชำระเงินในตอนต้นของรอบการเรียกเก็บเงิน คุณจะยังมีเวลากู้คืนการชำระเงินนั้นได้ หลายธุรกิจจะพยายามทำธุรกรรมที่ดำเนินการไม่สำเร็จอีกครั้งในภายหลัง ซึ่งเรียกว่าการติดตามหนี้ โดยแนวทางการติดตามหนี้ส่วนใหญ่จะใช้ตรรกะแบบอิงตามเวลาที่เรียบง่ายมากๆ เช่น รอ 7 วันแล้วลองอีกครั้ง จากนั้นรออีก 7 วัน แล้วลองอีกครั้ง แบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ที่ Stripe เราได้สร้างแนวทางที่ซับซ้อนมากขึ้นซึ่งเรียกว่า Smart Retries โดยใช้แมชชีนเลิร์นนิงและข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เรามองเห็นทั่วทั้งเครือข่าย Stripe ตัวอย่างเช่น เราจะตรวจสอบพฤติกรรมของบริษัทผู้ออกบัตร (เช่น เมื่อธนาคารที่ออกบัตรเปลี่ยนเกณฑ์การตรวจสอบ) ตรวจสอบการอัปเดตข้อมูลบัตร และวิเคราะห์กิจกรรมที่ทำใน Stripe เพื่อดูว่าวิธีการชำระเงินใช้งานได้สำเร็จหรือไม่ จากนั้น Stripe จะใช้ข้อมูลนี้เลือกเวลาที่เหมาะสมในการลองพยายามชำระเงินรายการที่ดำเนินการไม่สำเร็จอีกครั้ง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความสำเร็จในการชำระเงินตามใบแจ้งหนี้
ระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ
ระบบจะประมวลผลธุรกรรมต่อไปได้โดยใช้รายละเอียดการชำระเงินที่บันทึกไว้ แม้ว่าธนาคารที่ออกบัตรจะเปลี่ยนทดแทนบัตรใบนั้นแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การชำระเงินถูกปฏิเสธ Stripe ร่วมมือกับเครือข่ายบัตรและจะพยายามอัปเดตรายละเอียดบัตรที่บันทึกไว้โดยอัตโนมัติเมื่อลูกค้าได้รับบัตรใบใหม่หรืออัปเดตในทันทีที่มีการใช้บัตรใบใหม่ทำธุรกรรม (เช่น เมื่อเปลี่ยนทดแทนบัตรที่หมดอายุ หรือบัตรที่รายงานว่าสูญหายหรือถูกขโมย) ซึ่งฟีเจอร์นี้ที่เราให้บริการจะทำให้ลูกค้ายังคงใช้บริการของคุณต่อไปได้โดยไม่เกิดการหยุดชะงัก ลดภาระของคุณในการรวบรวมรายละเอียดของบัตรใบใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนบัตร และลดโอกาสที่การชำระเงินจะถูกปฏิเสธ
ในสหรัฐอเมริกามีการรองรับการอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติอย่างแพร่หลาย Stripe จึงอัปเดตข้อมูลบัตร American Express, Visa, Mastercard และ Discover โดยอัตโนมัติได้เกือบทั้งหมด ส่วนการรองรับในประเทศอื่นๆ นั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
การใช้เทคนิคเหล่านี้ ทำให้ Stripe สร้างรายรับเพิ่มให้กับธุรกิจได้หลายพันล้านดอลลาร์ ด้วยการป้องกันการปฏิเสธการเรียกเก็บเงินที่ถูกต้องได้โดยอัตโนมัติ
โทเค็นเครือข่าย
โทเค็นเครือข่ายคือโซลูชันของเครือข่ายบัตรที่สามารถใช้แทนที่หมายเลขบัญชีหลัก (Primary Account Number: PAN) สำหรับการซื้อทางออนไลน์ได้ โดยโทเค็นเครือข่ายของผู้ใช้แต่ละรายจะไม่ซ้ำกัน Stripe ร่วมงานกับเครือข่ายการชำระเงินต่างๆ เพื่อแปลงข้อมูลที่เก็บ PAN ของผู้ใช้ให้กลายเป็นโทเค็นเครือข่ายและคอยดูแลเพื่อให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ แม้ว่าข้อมูลสำคัญของบัตรจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ลูกค้าทำบัตรหาย ทางเครือข่ายจะแจ้งเตือนให้ Stripe ทราบและอัปเดตโทเค็นดังกล่าวโดยตรง เพื่อให้สามารถใช้งานต่อได้โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องอัปเดตข้อมูลการชำระเงินของตน โซลูชันโทเค็นเครือข่ายของ Stripe พร้อมให้ธุรกิจใช้งานได้ทันทีผ่านการใช้ Stripe Payments ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถรับประโยชน์จากการที่มีอัตราการอนุมัติธุรกรรมเพิ่มขึ้นได้โดยไม่ต้องลงมือผสานการทำงานใดๆ เลย ทั้งนี้ โทเค็นเครือข่ายสามารถใช้งานร่วมกับการเพิ่มประสิทธิภาพอื่นๆ ของ Stripe เพื่อยกระดับอัตราการอนุมัติธุรกรรมให้มากขึ้นไปอีก
อภิธานศัพท์เกี่ยวกับการชำระเงิน
อัตราการอนุมัติธุรกรรม
เปอร์เซ็นต์ของธุรกรรมที่คุณส่งและเครือข่ายบัตรยอมรับ
ระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ
ทำงานร่วมกับเครือข่ายบัตรขนาดใหญ่ทั้งหมดเพื่ออัปเดตหมายเลขบัตรที่หมดอายุหรือบัตรที่ได้รับการต่ออายุของลูกค้าโดยอัตโนมัติ เพื่อลดจำนวนการชำระเงินที่ดำเนินการไม่สำเร็จ
เครือข่ายบัตร
ประมวลผลธุรกรรมระหว่างผู้ค้ากับบริษัทผู้ออกบัตรและควบคุมจุดชำระเงินที่รับชำระด้วยบัตรเครดิต รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายสำหรับเครือข่าย ตัวอย่างเครือข่ายบัตรได้แก่ Visa, Mastercard และ American Express
รหัสการปฏิเสธการชำระเงิน
ตัวเลข (เช่น "05") หรือวลี (เช่น "expired_card") ที่ใช้แสดงเหตุผลที่ธุรกรรมถูกปฏิเสธ
ไม่ยอมรับ
รหัสการปฏิเสธการชำระเงินที่พบได้บ่อยที่สุด "ไม่ยอมรับ" (Do not honor) หมายถึงการปฏิเสธการชำระเงินโดยทั่วไป ธนาคารที่ออกบัตรจะไม่แจ้งว่าเพราะเหตุใดธุรกรรมจึงถูกปฏิเสธ แต่จะแจ้งให้ลูกค้าติดต่อธนาคารเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมแทน
การติดตามหนี้
กระบวนการกู้คืนการชำระเงินที่ถูกปฏิเสธหรือดำเนินการไม่สำเร็จสำหรับธุรกิจที่มีรายรับจากการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า
การฉ้อโกง
ธุรกรรมปลอมหรือธุรกรรมผิดกฎหมาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเกิดขึ้นเมื่อมีคนขโมยหมายเลขบัตรหรือข้อมูลบัญชีกระแสรายวัน และใช้ข้อมูลนั้นมาทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต
ธนาคารที่ออกบัตร
ธนาคารที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตให้แก่ผู้บริโภคแทนเครือข่ายบัตร
การรับชำระเงินในเครือข่าย
เปอร์เซ็นต์ของธุรกรรมที่ได้รับการยอมรับหรือถูกปฏิเสธจากธนาคารที่ออกบัตร การปฏิเสธการชำระเงินอาจเกิดขึ้นเนื่องจากข้อมูลประจำตัวล้าสมัย สงสัยว่ามีการฉ้อโกง หรือเงินทุนไม่เพียงพอ
การปฏิเสธการชำระเงินในเครือข่าย
เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าบริษัทผู้ออกบัตรปฏิเสธการชำระเงิน และหมายความว่าธนาคารของลูกค้าได้ปฏิเสธคำขอธุรกรรม
โทเค็นเครือข่าย
สิ่งที่ใช้แทนข้อมูลสำหรับรับรองการชำระเงินอย่าง PAN ที่เครือข่ายบัตรกำหนดขึ้นและมี Stripe เป็นผู้จัดหาให้
หมายเลขบัญชีหลัก (Primary account number: PAN)
หมายเลข 15 หรือ 16 หลักของบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแต่ละใบ