การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อาจดูเหมือนจะตรงไปตรงมา คือ คุณกรอกแบบฟอร์ม รับหมายเลขทะเบียนของคุณ แล้วเริ่มเรียกเก็บภาษี แต่ที่จริงแล้วมีความซับซ้อนอีกหลายชั้น เช่น กฎเฉพาะประเทศ เกณฑ์ทางการเงิน ภาระหน้าที่ด้านการเก็บบันทึก และตัวเลือกแผนต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้านล่างนี้เราจะพูดคุยว่าการจดทะเบียนมีข้อกำหนดอะไรบ้าง การตัดสินใจที่คุณต้องทำในฐานะเจ้าของธุรกิจ และอะไรบ้างที่จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อคุณจดทะเบียนแล้ว
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร?
- ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อใด
- เอกสารและรายละเอียดธุรกิจใดบ้างที่จำเป็นในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ธุรกิจจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างไรและมีแผนใดบ้างที่สามารถเลือกได้
- จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคือขั้นตอนการแจ้งหน่วยงานภาษีอย่างเป็นทางการว่าธุรกิจของคุณมีหน้าที่เรียกเก็บและจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายของคุณ
เมื่อลงทะเบียนแล้ว คุณจะได้รับหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป คุณจะต้อง
- บวกภาษีมูลค่าเพิ่มในราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ที่คุณขาย
- ออกใบกำกับภาษี ให้กับลูกค้า
- ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
- เก็บบันทึกการขาย การซื้อ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บอย่างละเอียด
ในหลายกรณี คุณต้องจดทะเบียนเมื่อรายรับของคุณเกินเกณฑ์ที่กำหนด แต่บางธุรกิจก็จดทะเบียนโดยสมัครใจก่อนที่จะถึงเกณฑ์ โดยเฉพาะหากธุรกิจเหล่านั้นทำธุรกิจกับลูกค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรืออยากขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ ทั้งนี้การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีผลต่อวิธีการตั้งราคา การรายงาน และการดำเนินงาน และยังส่งสัญญาณให้กับพันธมิตรและลูกค้าว่าคุณกำลังดำเนินธุรกิจที่มีความมั่นคงดีแล้ว
ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อใด
เขตอำนาจศาลส่วนใหญ่ใช้เกณฑ์ที่อิงจากรายรับเพื่อกำหนดว่าเมื่อใดคุณต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อยอดขายที่ต้องเสียภาษีประจำปีของคุณเกินเกณฑ์นั้นคุณก็จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตาม บางประเทศก็กำหนดให้จดทะเบียนโดยไม่คำนึงถึงรายได้ ตัวอย่างเช่น
- ในสหราชอาณาจักร ธุรกิจต้องจดทะเบียนเมื่อยอดขายที่ต้องเสียภาษีเกิน 90,000 ปอนด์ในระยะเวลา 12 เดือนต่อเนื่องกัน
- ในแอฟริกาใต้ ธุรกิจต้องจดทะเบียนเมื่อยอดขายที่ต้องเสียภาษีเกิน 1 ล้านแรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR)ในระยะเวลา 12 เดือนต่อเนื่องกัน
- ในบราซิล ไม่มีเกณฑ์ยอดขาย ธุรกิจใดที่ทำการขายที่ต้องเสียภาษีจะต้องจดทะเบียน
ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปแต่ละประเทศมีเกณฑ์ของตนเองสำหรับธุรกิจในประเทศ นอกจากนี้ยังมี เกณฑ์ทั่วทั้งภูมิภาคที่ 10,000 ยูโร ซึ่งหากต่ำกว่านั้น ธุรกิจในสหภาพยุโรปจะจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะในประเทศที่ตนตั้งอยู่ หากเกินเกณฑ์นั้น ธุรกิจจะต้องเริ่มจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในทุกประเทศที่ตนจำหน่ายสินค้าหรือบริการ
ทั้งนี้โดยปกติจะไม่มีการกำหนดเกณฑ์ยอดขายสำหรับธุรกิจที่ไม่ใช่ผู้พำนัก ซึ่งหมายความว่าธุรกิจนั้นนต้องจดทะเบียนตั้งแต่การขายครั้งแรก ธุรกิจจากต่างประเทศมักจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก่อนที่จะมียอดขายเกินเกณฑ์หาก
- ทำธุรกิจแบบไม่ใข่ผู้พำนักและขายไปยังประเทศที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม
- นำเข้าสินค้าไปยังประเทศอื่น
- เปิดคลังสินค้าในท้องถิ่นหรือถือสินค้าคงคลังในเขตอำนาจศาลต่างประเทศ
- ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัลให้กับลูกค้าในประเทศอื่น
ในทางปฏิบัติ หมายความว่าธุรกิจที่มีการเข้าถึงระดับนานาชาติ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS) และผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส มักจะต้องจัดการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในหลายประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศมีกฎและข้อผูกพันของตนเอง
เอกสารและรายละเอียดธุรกิจใดบ้างที่จำเป็นในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องใช้ใบสมัครที่สมบูรณ์และถูกต้อง หน่วยงานภาษีส่วนใหญ่จะขอข้อมูลชุดหลักคล้ายกันเพื่อตรวจสอบตัวตนของธุรกิจคุณ ประเมินความรับผิดชอบของคุณ และกำหนดวิธีติดตามการปฏิบัติตามข้อผูกพันด้านภาษีของคุณ รายละเอียดที่ชัดเจนแตกต่างไปในแต่ละเขตอำนาจศาล แต่โดยทั่วไปหน่วยงานด้านภาษีต้องการจะยืนยันว่าคุณเป็นนิติบุคคลทางธุรกิจที่ถูกต้องและกิจกรรมของคุณอยู่ภายในขอบเขตของการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ใบสมัครมักประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
ข้อมูลธุรกิจพื้นฐาน
- ชื่อของธุรกิจ ซึ่งเป็นชื่อทางกฎหมาย
- โครงสร้างธุรกิจ (เช่น ผู้ประกอบการคนเดียว ห้างหุ้นส่วน บริษัท)
- หมายเลขจดทะเบียนบริษัทหรือรายละเอียดการจัดตั้ง
- ที่อยู่จดทะเบียนของธุรกิจ
- ชื่อทางการค้า หากแตกต่างจากชื่อทางกฎหมาย
- รายละเอียดติดต่อขอธุรกิจ ตัวแทนหลัก หรือทั้งสองอย่าง
รายละเอียดเกี่ยวกับภาษีและธนาคาร
- หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีแห่งชาติ (ถ้ามี)
- ข้อมูลบัญชีธนาคารธุรกิจ (สำหรับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือการชำระเงิน)
- รายละเอียดการจดทะเบียนภาษีใดๆ ที่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะหากคุณกำลังย้ายจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแบบอื่น
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม
- คำอธิบายเกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจของคุณและภาคธุรกิจที่คุณอยู่
- วันที่เริ่มต้นของกิจกรรมที่ต้องเสียภาษี
เอกสารสนับสนุน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเทศ คุณอาจต้องส่งเอกสารดังต่อไปนี้ด้วย
- หลักฐานการจดทะเบียนธุรกิจ, การจัดตั้งบริษัท หรือใบอนุญาตการค้า
- สำเนาสัญญา ใบแจ้งหนี้ หรือใบสั่งซื้อ
- เอกสารประจำตัวของกรรมการบริษัท เจ้าของ หรือผู้แทนทางกฎหมาย
ธุรกิจจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างไรและมีแผนใดบ้างที่สามารถเลือกได้
ก่อนที่คุณจะเริ่มขั้นตอนการสมัคร คุณควรเลือกแผนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณต้องการ เขตอำนาจศาลส่วนใหญ่มีตัวเลือกให้หลายตัวเลือก ซึ่งแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ต่อไปนี้คือตัวอย่างแผนบางส่วน:
- ภาษีมูลค่าเพิ่มแบบมาตรฐานหรือแบบเกณฑ์คงค้าง: คุณรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มตามวันที่ใบแจ้งหนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศใช้อยู่เป็นหลัก
- การทำบัญชีแบบเกณฑ์เงินสด: คุณรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อลูกค้าชำระเงินให้คุณแล้ว วิธีนี้มีประโยชน์ในการจัดการกระแสเงินสด โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่มีกำหนดการชำระเงินที่ยาวนาน
- อัตราคงที่หรือแผนแบบง่าย: แทนที่จะคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มกับทุกธุรกรรม วิธีนี้จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่จากยอดขายรวมของคุณ แผนเหล่านี้มักจะใช้กับธุรกิจขนาดเล็กที่มีรายรับต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
- แผนเก็บจากกำไร (ในบางอุตสาหกรรม): หากคุณทำธุรกิจสินค้ามือสอง บริการการเดินทาง หรืออยู่ในภาคธุรกิจที่คล้ายกัน คุณอาจถูกกำหนดให้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มจากกำไรของคุณแทนที่จะเป็นราคาขายเต็ม
แผนที่คุณเลือกจะกำหนดวิธีการติดตามรายรับ จัดการใบแจ้งหนี้ และจัดการการรายงาน ทุกประเทศมีแผนไม่เหมือนกัน และบางประเทศมีเกณฑ์คุณสมบัติที่เข้มงวด การเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับยอดขาย อุตสาหกรรม ความชอบด้านบัญชี และความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
เมื่อเลือกแผนได้แล้ว คุณก็สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ได้ทางพอร์ทัลของหน่วยงานภาษีที่เกี่ยวข้อง โดยปกติคุณจะต้อง
- กรอกแบบฟอร์มใบสมัคร
- อัปโหลดเอกสารสนับสนุน
- เลือกแผนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ระบุวันที่เริ่มต้นสำหรับกิจกรรมที่ต้องเสียภาษี
เมื่อคุณส่งใบสมัครแล้ว เวลาดำเนินการจะแตกต่างกันไป บางหน่วยงานอนุมัติใบสมัครภายในไม่กี่วัน ในขณะที่หน่วยงานบางแห่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะหากคุณทำธุรกิจแบบไม่ใช่ผู้พำนักหรือทำธุรกิจในภาคธุรกิจที่ซับซ้อน
ในบางกรณี การจดทะเบียนจะมีผลย้อนหลัง หากคุณเกินเกณฑ์ก่อนที่จะสมัคร คุณอาจต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายในอดีต
จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
เมื่อคุณได้รับหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว คุณจะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ทางภาษีและข้อกำหนดด้านการรายงานเป็นประจำ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ต้องทำหลังจากที่จดทะเบียนแล้ว
เริ่มเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
คุณจะต้องคิดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้าหรือบริการส่วนใหญ่ที่คุณขาย โดยคิดให้ถูกต้องและระบุไว้ในใบแจ้งหนี้ของคุณ ใบแจ้งหนี้เหล่านี้ต้องมีรูปแบบตามมาตรฐานที่กำหนดโดยเฉพาะ เช่น ต้องแสดงหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีและแยกรายการภาษีที่จัดเก็บ
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มอาจต้องยื่นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ขึ้นอยู่กับประเทศและยอดขายของคุณ แบบแสดงรายการเหล่านี้จะสรุปข้อมูลต่อไปนี้
- ภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณจัดเก็บจากการขาย (ภาษีขาย)
- ภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ (ภาษีซื้อ)
- ส่วนต่างของสองรายการดังกล่าว ซึ่งจะกำหนดว่าคุณต้องชำระภาษีหรือได้รับเงินคืน
แบบแสดงรายการต้องส่งตรงเวลา แม้ในช่วงที่ไม่มีการขายหรือการซื้อ การยื่นล่าช้าอาจทำให้เกิดบทลงโทษได้
เก็บบันทึกอย่างละเอียด
หน่วยงานด้านภาษีส่วนใหญ่กำหนดให้ธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำบันทึกข้อมูลต่อไปนี้อย่างเป็นระเบียบ
- ใบแจ้งหนี้ ทั้งฝั่งการขายและการซื้อ
- แบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่ยื่นแล้ว
- บันทึกการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานด้านภาษี
- เอกสารสนับสนุนสำหรับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (เช่น ใบเสร็จ สัญญา เอกสารการจัดส่ง)
ระยะเวลาการเก็บรักษาบันทึกจะแตกต่างกันไป แต่มักอยู่ในช่วง 5–10 ปี
ปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการจดทะเบียนเพิ่มเติมต่างๆ
หากคุณจดทะเบียนในมากกว่าหนึ่งประเทศ หรือหากคุณขายบริการดิจิทัลข้ามพรมแดน คุณอาจต้อง
- ส่งรายงานเพิ่มเติม (เช่น รายการขายทางอีคอมเมิร์ซ in the EU)
- ใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกต้องตามสถานที่ของผู้ซื้อ
- ติดตามเกณฑ์การขายทางไกลหรือธุรกรรมดิจิทัลในหลายเขตอำนาจศาล
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประตูสู่ความรับผิดชอบด้านภาษีที่กว้างขึ้น การปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อกำหนดอยู่เสมอต้องอาศัยระบบที่มีประสิทธิภาพ การเก็บบันทึกที่ถูกต้อง และการปฏิบัติตามกฎการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมว่า Stripe Tax จะช่วยให้คุณจัดการการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้ง่ายขึ้นในที่เดียวได้อย่างไรได้ที่นี่
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ