คำอธิบายเรื่องข้อกำหนดเกี่ยวกับการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: ใครที่ต้องจดทะเบียนและต้องทำอะไรบ้าง

Tax
Tax

Stripe Tax จะทำให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลกเป็นไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อให้คุณไปมุ่งเน้นกับการขยายธุรกิจ โดยจะระบุภาระหน้าที่ทางภาษีของคุณ จัดการการจดทะเบียน คำนวณและเรียกเก็บภาษีด้วยจำนวนที่ถูกต้องทั่วโลก และช่วยในการยื่นภาษี ทั้งหมดนี้ทำได้ในที่เดียว

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร
  3. ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อใด
  4. เอกสารและรายละเอียดธุรกิจใดบ้างที่จำเป็นในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
    1. ข้อมูลธุรกิจพื้นฐาน
    2. รายละเอียดเกี่ยวกับภาษีและธนาคาร
    3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม
    4. เอกสารสนับสนุน
  5. ธุรกิจจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างไรและมีแผนใดบ้างที่สามารถเลือกได้
  6. จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
    1. เริ่มเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
    2. ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
    3. เก็บบันทึกอย่างละเอียด
    4. ปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการจดทะเบียนเพิ่มเติมต่างๆ

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อาจดูเหมือนจะตรงไปตรงมา คือ คุณกรอกแบบฟอร์ม รับหมายเลขทะเบียนของคุณ แล้วเริ่มเรียกเก็บภาษี แต่ที่จริงแล้วมีความซับซ้อนอีกหลายชั้น เช่น กฎเฉพาะประเทศ เกณฑ์ทางการเงิน ภาระหน้าที่ด้านการเก็บบันทึก และตัวเลือกแผนต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้านล่างนี้เราจะพูดคุยว่าการจดทะเบียนมีข้อกำหนดอะไรบ้าง การตัดสินใจที่คุณต้องทำในฐานะเจ้าของธุรกิจ และอะไรบ้างที่จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อคุณจดทะเบียนแล้ว

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร?
  • ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อใด
  • เอกสารและรายละเอียดธุรกิจใดบ้างที่จำเป็นในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ธุรกิจจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างไรและมีแผนใดบ้างที่สามารถเลือกได้
  • จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคือขั้นตอนการแจ้งหน่วยงานภาษีอย่างเป็นทางการว่าธุรกิจของคุณมีหน้าที่เรียกเก็บและจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายของคุณ

เมื่อลงทะเบียนแล้ว คุณจะได้รับหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป คุณจะต้อง

  • บวกภาษีมูลค่าเพิ่มในราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ที่คุณขาย
  • ออกใบกำกับภาษี ให้กับลูกค้า
  • ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • เก็บบันทึกการขาย การซื้อ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บอย่างละเอียด

ในหลายกรณี คุณต้องจดทะเบียนเมื่อรายรับของคุณเกินเกณฑ์ที่กำหนด แต่บางธุรกิจก็จดทะเบียนโดยสมัครใจก่อนที่จะถึงเกณฑ์ โดยเฉพาะหากธุรกิจเหล่านั้นทำธุรกิจกับลูกค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรืออยากขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ ทั้งนี้การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีผลต่อวิธีการตั้งราคา การรายงาน และการดำเนินงาน และยังส่งสัญญาณให้กับพันธมิตรและลูกค้าว่าคุณกำลังดำเนินธุรกิจที่มีความมั่นคงดีแล้ว

ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อใด

เขตอำนาจศาลส่วนใหญ่ใช้เกณฑ์ที่อิงจากรายรับเพื่อกำหนดว่าเมื่อใดคุณต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อยอดขายที่ต้องเสียภาษีประจำปีของคุณเกินเกณฑ์นั้นคุณก็จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตาม บางประเทศก็กำหนดให้จดทะเบียนโดยไม่คำนึงถึงรายได้ ตัวอย่างเช่น

  • ในสหราชอาณาจักร ธุรกิจต้องจดทะเบียนเมื่อยอดขายที่ต้องเสียภาษีเกิน 90,000 ปอนด์ในระยะเวลา 12 เดือนต่อเนื่องกัน
  • ในแอฟริกาใต้ ธุรกิจต้องจดทะเบียนเมื่อยอดขายที่ต้องเสียภาษีเกิน 1 ล้านแรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR)ในระยะเวลา 12 เดือนต่อเนื่องกัน
  • ในบราซิล ไม่มีเกณฑ์ยอดขาย ธุรกิจใดที่ทำการขายที่ต้องเสียภาษีจะต้องจดทะเบียน

ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปแต่ละประเทศมีเกณฑ์ของตนเองสำหรับธุรกิจในประเทศ นอกจากนี้ยังมี เกณฑ์ทั่วทั้งภูมิภาคที่ 10,000 ยูโร ซึ่งหากต่ำกว่านั้น ธุรกิจในสหภาพยุโรปจะจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะในประเทศที่ตนตั้งอยู่ หากเกินเกณฑ์นั้น ธุรกิจจะต้องเริ่มจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในทุกประเทศที่ตนจำหน่ายสินค้าหรือบริการ

ทั้งนี้โดยปกติจะไม่มีการกำหนดเกณฑ์ยอดขายสำหรับธุรกิจที่ไม่ใช่ผู้พำนัก ซึ่งหมายความว่าธุรกิจนั้นนต้องจดทะเบียนตั้งแต่การขายครั้งแรก ธุรกิจจากต่างประเทศมักจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก่อนที่จะมียอดขายเกินเกณฑ์หาก

  • ทำธุรกิจแบบไม่ใข่ผู้พำนักและขายไปยังประเทศที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • นำเข้าสินค้าไปยังประเทศอื่น
  • เปิดคลังสินค้าในท้องถิ่นหรือถือสินค้าคงคลังในเขตอำนาจศาลต่างประเทศ
  • ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัลให้กับลูกค้าในประเทศอื่น

ในทางปฏิบัติ หมายความว่าธุรกิจที่มีการเข้าถึงระดับนานาชาติ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS) และผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส มักจะต้องจัดการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในหลายประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศมีกฎและข้อผูกพันของตนเอง

เอกสารและรายละเอียดธุรกิจใดบ้างที่จำเป็นในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องใช้ใบสมัครที่สมบูรณ์และถูกต้อง หน่วยงานภาษีส่วนใหญ่จะขอข้อมูลชุดหลักคล้ายกันเพื่อตรวจสอบตัวตนของธุรกิจคุณ ประเมินความรับผิดชอบของคุณ และกำหนดวิธีติดตามการปฏิบัติตามข้อผูกพันด้านภาษีของคุณ รายละเอียดที่ชัดเจนแตกต่างไปในแต่ละเขตอำนาจศาล แต่โดยทั่วไปหน่วยงานด้านภาษีต้องการจะยืนยันว่าคุณเป็นนิติบุคคลทางธุรกิจที่ถูกต้องและกิจกรรมของคุณอยู่ภายในขอบเขตของการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ใบสมัครมักประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้

ข้อมูลธุรกิจพื้นฐาน

  • ชื่อของธุรกิจ ซึ่งเป็นชื่อทางกฎหมาย
  • โครงสร้างธุรกิจ (เช่น ผู้ประกอบการคนเดียว ห้างหุ้นส่วน บริษัท)
  • หมายเลขจดทะเบียนบริษัทหรือรายละเอียดการจัดตั้ง
  • ที่อยู่จดทะเบียนของธุรกิจ
  • ชื่อทางการค้า หากแตกต่างจากชื่อทางกฎหมาย
  • รายละเอียดติดต่อขอธุรกิจ ตัวแทนหลัก หรือทั้งสองอย่าง

รายละเอียดเกี่ยวกับภาษีและธนาคาร

  • หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีแห่งชาติ (ถ้ามี)
  • ข้อมูลบัญชีธนาคารธุรกิจ (สำหรับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือการชำระเงิน)
  • รายละเอียดการจดทะเบียนภาษีใดๆ ที่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะหากคุณกำลังย้ายจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแบบอื่น

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม

  • คำอธิบายเกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจของคุณและภาคธุรกิจที่คุณอยู่
  • วันที่เริ่มต้นของกิจกรรมที่ต้องเสียภาษี

เอกสารสนับสนุน

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเทศ คุณอาจต้องส่งเอกสารดังต่อไปนี้ด้วย

  • หลักฐานการจดทะเบียนธุรกิจ, การจัดตั้งบริษัท หรือใบอนุญาตการค้า
  • สำเนาสัญญา ใบแจ้งหนี้ หรือใบสั่งซื้อ
  • เอกสารประจำตัวของกรรมการบริษัท เจ้าของ หรือผู้แทนทางกฎหมาย

ธุรกิจจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างไรและมีแผนใดบ้างที่สามารถเลือกได้

ก่อนที่คุณจะเริ่มขั้นตอนการสมัคร คุณควรเลือกแผนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณต้องการ เขตอำนาจศาลส่วนใหญ่มีตัวเลือกให้หลายตัวเลือก ซึ่งแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ต่อไปนี้คือตัวอย่างแผนบางส่วน:

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มแบบมาตรฐานหรือแบบเกณฑ์คงค้าง: คุณรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มตามวันที่ใบแจ้งหนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศใช้อยู่เป็นหลัก
  • การทำบัญชีแบบเกณฑ์เงินสด: คุณรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อลูกค้าชำระเงินให้คุณแล้ว วิธีนี้มีประโยชน์ในการจัดการกระแสเงินสด โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่มีกำหนดการชำระเงินที่ยาวนาน
  • อัตราคงที่หรือแผนแบบง่าย: แทนที่จะคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มกับทุกธุรกรรม วิธีนี้จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่จากยอดขายรวมของคุณ แผนเหล่านี้มักจะใช้กับธุรกิจขนาดเล็กที่มีรายรับต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
  • แผนเก็บจากกำไร (ในบางอุตสาหกรรม): หากคุณทำธุรกิจสินค้ามือสอง บริการการเดินทาง หรืออยู่ในภาคธุรกิจที่คล้ายกัน คุณอาจถูกกำหนดให้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มจากกำไรของคุณแทนที่จะเป็นราคาขายเต็ม

แผนที่คุณเลือกจะกำหนดวิธีการติดตามรายรับ จัดการใบแจ้งหนี้ และจัดการการรายงาน ทุกประเทศมีแผนไม่เหมือนกัน และบางประเทศมีเกณฑ์คุณสมบัติที่เข้มงวด การเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับยอดขาย อุตสาหกรรม ความชอบด้านบัญชี และความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

เมื่อเลือกแผนได้แล้ว คุณก็สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ได้ทางพอร์ทัลของหน่วยงานภาษีที่เกี่ยวข้อง โดยปกติคุณจะต้อง

  • กรอกแบบฟอร์มใบสมัคร
  • อัปโหลดเอกสารสนับสนุน
  • เลือกแผนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ระบุวันที่เริ่มต้นสำหรับกิจกรรมที่ต้องเสียภาษี

เมื่อคุณส่งใบสมัครแล้ว เวลาดำเนินการจะแตกต่างกันไป บางหน่วยงานอนุมัติใบสมัครภายในไม่กี่วัน ในขณะที่หน่วยงานบางแห่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะหากคุณทำธุรกิจแบบไม่ใช่ผู้พำนักหรือทำธุรกิจในภาคธุรกิจที่ซับซ้อน

ในบางกรณี การจดทะเบียนจะมีผลย้อนหลัง หากคุณเกินเกณฑ์ก่อนที่จะสมัคร คุณอาจต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายในอดีต

จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว

เมื่อคุณได้รับหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว คุณจะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ทางภาษีและข้อกำหนดด้านการรายงานเป็นประจำ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ต้องทำหลังจากที่จดทะเบียนแล้ว

เริ่มเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม

คุณจะต้องคิดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้าหรือบริการส่วนใหญ่ที่คุณขาย โดยคิดให้ถูกต้องและระบุไว้ในใบแจ้งหนี้ของคุณ ใบแจ้งหนี้เหล่านี้ต้องมีรูปแบบตามมาตรฐานที่กำหนดโดยเฉพาะ เช่น ต้องแสดงหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีและแยกรายการภาษีที่จัดเก็บ

ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม

การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มอาจต้องยื่นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ขึ้นอยู่กับประเทศและยอดขายของคุณ แบบแสดงรายการเหล่านี้จะสรุปข้อมูลต่อไปนี้

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณจัดเก็บจากการขาย (ภาษีขาย)
  • ภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ (ภาษีซื้อ)
  • ส่วนต่างของสองรายการดังกล่าว ซึ่งจะกำหนดว่าคุณต้องชำระภาษีหรือได้รับเงินคืน

แบบแสดงรายการต้องส่งตรงเวลา แม้ในช่วงที่ไม่มีการขายหรือการซื้อ การยื่นล่าช้าอาจทำให้เกิดบทลงโทษได้

เก็บบันทึกอย่างละเอียด

หน่วยงานด้านภาษีส่วนใหญ่กำหนดให้ธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำบันทึกข้อมูลต่อไปนี้อย่างเป็นระเบียบ

  • ใบแจ้งหนี้ ทั้งฝั่งการขายและการซื้อ
  • แบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่ยื่นแล้ว
  • บันทึกการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานด้านภาษี
  • เอกสารสนับสนุนสำหรับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (เช่น ใบเสร็จ สัญญา เอกสารการจัดส่ง)

ระยะเวลาการเก็บรักษาบันทึกจะแตกต่างกันไป แต่มักอยู่ในช่วง 5–10 ปี

ปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการจดทะเบียนเพิ่มเติมต่างๆ

หากคุณจดทะเบียนในมากกว่าหนึ่งประเทศ หรือหากคุณขายบริการดิจิทัลข้ามพรมแดน คุณอาจต้อง

  • ส่งรายงานเพิ่มเติม (เช่น รายการขายทางอีคอมเมิร์ซ in the EU)
  • ใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกต้องตามสถานที่ของผู้ซื้อ
  • ติดตามเกณฑ์การขายทางไกลหรือธุรกรรมดิจิทัลในหลายเขตอำนาจศาล

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประตูสู่ความรับผิดชอบด้านภาษีที่กว้างขึ้น การปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อกำหนดอยู่เสมอต้องอาศัยระบบที่มีประสิทธิภาพ การเก็บบันทึกที่ถูกต้อง และการปฏิบัติตามกฎการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมว่า Stripe Tax จะช่วยให้คุณจัดการการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้ง่ายขึ้นในที่เดียวได้อย่างไรได้ที่นี่

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Tax

Tax

ช่วยให้คุณทราบพื้นที่ที่ต้องจดทะเบียน เรียกเก็บภาษีในจำนวนที่ถูกต้องได้โดยอัตโนมัติ ตลอดจนเข้าถึงรายงานที่ใช้สำหรับยื่นเงินคืนภาษี

Stripe Docs เกี่ยวกับ Tax

เรียกเก็บภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ GST รวมทั้งสร้างรายงานธุรกรรมทั้งหมดของคุณแบบอัตโนมัติ พร้อมเชื่อมต่อระบบโดยเขียนโค้ดเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องเขียนโค้ดเลย