เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกัน: วิธีการทำงานและช่วงเวลาที่ควรใช้

Capital
Capital

Stripe Capital ให้คุณเข้าถึงการจัดหาเงินทุนที่ยืดหยุ่นและรวดเร็วเพื่อการจัดการกระแสเงินสดและลงทุนกับการเติบโต

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันคืออะไร
  3. เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันแตกต่างจากเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันอย่างไร
    1. ความเสี่ยงและการชดเชย
    2. เกณฑ์การอนุมัติ
    3. จำนวนเงินที่กู้ยืม
    4. อัตราและระยะเวลา
    5. ความเร็วและขั้นตอน
  4. ธุรกิจสามารถใช้หลักประกันประเภทใดในการค้ำประกันเงินกู้ได้บ้าง
    1. อสังหาริมทรัพย์
    2. อุปกรณ์และเครื่องจักร
    3. สินค้าคงคลัง
    4. ลูกหนี้การค้า
    5. เงินสดและการลงทุน
    6. ยานพาหนะ
    7. สินทรัพย์ส่วนบุคคล
  5. หลักประกันช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้ให้กู้ได้อย่างไร
  6. เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันมีข้อดีต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง
    1. ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงิน
    2. เข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น
    3. อนุมัติได้ง่ายขึ้น
    4. กรอบเวลาการคืนเงินที่นานขึ้น
    5. นำสินทรัพย์ที่มีอยู่ไปใช้
  7. การกู้ยืมที่มีหลักประกันมีความเสี่ยงและข้อจำกัดอะไรบ้าง
  8. Stripe Capital ช่วยอะไรได้บ้าง

การเข้าถึงแหล่งเงินทุนถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโต แต่รูปแบบของเงินทุนและข้อแลกเปลี่ยนที่มาพร้อมกันนั้นมีความสำคัญไม่แพ้วงเงิน เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันเป็นวิธีทั่วไปที่บริษัทต่างๆ ใช้ระดมทุนเพื่อการขยายกิจการ การจัดหาเครื่องมือ และการดำเนินงานประจำวัน โดยตลาดการให้กู้ยืมที่มีหลักประกันทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง $12.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 แนวคิดของเงินกู้ประเภทนี้เข้าใจง่าย กล่าวคือ ธุรกิจเสนอสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพื่อเป็นหลักประกันในการขอรับเงินทุน แต่รายละเอียดเบื้องลึกยังเป็นสิ่งที่ยากต่อการตีความ เช่น สิ่งใดที่ถือเป็นหลักประกันได้บ้าง รูปแบบของหลักประกันมีผลต่อข้อกำหนดของเงินกู้อย่างไร และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง

ด้านล่างนี้ เราจะพูดถึงเงินกู้ที่มีหลักประกัน ตั้งแต่วิธีการทำงาน ความแตกต่างจากสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน สิ่งที่ธุรกิจสามารถใช้เป็นหลักประกันได้ รวมถึงข้อดีและข้อจำกัดที่ธุรกิจควรนำมาพิจารณา

เนื้อหาหลักในบทความ

  • เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันคืออะไร
  • เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันแตกต่างจากเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันอย่างไร
  • ธุรกิจสามารถใช้หลักประกันประเภทใดในการค้ำประกันเงินกู้ได้บ้าง
  • หลักประกันช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้ให้กู้ได้อย่างไร
  • เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันมีข้อดีต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง
  • การกู้ยืมที่มีหลักประกันมีความเสี่ยงและข้อจำกัดอะไรบ้าง
  • Stripe Capital ช่วยอะไรได้บ้าง

เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันคืออะไร

เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันเป็นแหล่งเงินทุนที่ใช้หลักทรัพย์เป็นประกัน (กล่าวคือ ทรัพย์สินที่มีมูลค่าที่คุณนำมาค้ำประกันเพื่อแลกกับการได้มาซึ่งเงินทุนธุรกิจ) หากคุณผิดนัดชำระหนี้ ผู้ให้กู้จะมีสิทธิ์ตามกฎหมายในการยึดและขายสินทรัพย์ดังกล่าวเพื่อชดเชยยอดหนี้คงค้าง

หลักประกันอาจเป็นอสังหาริมทรัพย์ อุปกรณ์ ยานพาหนะ สินค้าคงคลัง ลูกหนี้การค้า ฯลฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ให้กู้มีทรัพย์สินสำรองที่จับต้องได้ ในกรณีที่คุณไม่ได้ชำระคืนเงิน

ต่อไปนี้คือแนวทางการปฏิบัติ

  • ธุรกิจค้าปลีกกู้ยืมเงินโดยใช้สินค้าคงคลัง หากธุรกิจไม่สามารถชำระเงินคืนได้ ผู้ให้กู้สามารถริบและนำสินค้าคงคลังนั้นไปจำหน่ายต่อได้

  • บริษัทเดินรถขนส่งจัดหาเงินทุนสำหรับรถบรรทุกใหม่ โดยใช้รถบรรทุกเหล่านั้นมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

  • ธุรกิจที่ออกใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอใช้บัญชีลูกหนี้เหล่านั้นเป็นหลักประกัน โดยให้สิทธิ์ผู้ให้กู้เข้าถึงเงินสดขาเข้าโดยตรง หากธุรกิจไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้

ธนาคารและผู้ให้กู้ที่ยึดวิธีดั้งเดิมมักต้องการหลักประกันในการปล่อยเงินกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงของผู้ให้กู้ และช่วยให้ธุรกิจสามารถผ่านเกณฑ์ได้ง่ายขึ้น แม้ว่าประวัติสินเชื่อจะยังไม่น่าพึงพอใจก็ตาม เนื่องจากความเสี่ยงต่อผู้ให้กู้ลดลง เงินกู้ที่มีหลักประกันจึงมักมาพร้อมกับข้อกำหนดที่ดีกว่า เช่น วงเงินให้กู้ยืมที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง หรือระยะเวลาการคืนเงินที่ยาวนานขึ้น

เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันแตกต่างจากเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันอย่างไร

ข้อแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดระหว่างเงินกู้ที่มีหลักประกันกับเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันคือหลักทรัพย์ค้ำประกัน เงินกู้ที่มีหลักประกันจะมีสินทรัพย์เป็นตัวรับประกัน ส่วนสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันจะไม่มีสินทรัพย์เป็นตัวรับประกัน ข้อแตกต่างนี้ส่งผลต่อคุณสมบัติของผู้กู้ จำนวนเงินที่สามารถกู้ยืมได้ และต้นทุนทางการเงิน

ต่อไปนี้คือรายละเอียดเพิ่มเติมว่าเงินกู้ทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร

ความเสี่ยงและการชดเชย

สำหรับเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกัน สิ่งเดียวที่ผู้ให้กู้จะใช้เป็นหลักประกันสำรองคือภาระผูกพันทางกฎหมายในการชำระหนี้ของคุณ ผู้ให้กู้บางรายกำหนดให้มีหนังสือค้ำประกันส่วนบุคคล ซึ่งส่งผลให้เจ้าของธุรกิจต้องรับผิดชอบหนี้สินนั้นด้วยตนเอง

ในกรณีของเงินกู้ที่มีหลักประกัน หากคุณไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผู้ให้กู้จะสามารถริบและนำหลักทรัพย์ประกันของคุณไปจำหน่ายได้ เนื่องจากเงินกู้ที่มีหลักประกันช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ให้กู้ จึงถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า

เกณฑ์การอนุมัติ

เงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันต้องอาศัยประวัติสินเชื่อและสถานะทางการเงินที่มั่นคงกว่ามาก เนื่องจากผู้ให้กู้ไม่มีสินทรัพย์มาเป็นหลักประกันในการยึดถือ

เงินกู้ที่มีหลักประกันมักได้รับการอนุมัติง่ายกว่า แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีประวัติสินเชื่อที่ดีเยี่ยม เนื่องจากหลักประกันจะช่วยลดภาระความเสี่ยงให้แก่ผู้ให้กู้

จำนวนเงินที่กู้ยืม

เงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันมักให้วงเงินกู้ยืมสูงสุดน้อยกว่า เนื่องจากผู้ให้กู้ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงที่ไม่มีหลักประกันอย่างไม่จำกัด

แต่สำหรับเงินกู้ที่มีหลักประกัน จำนวนเงินที่คุณสามารถกู้ยืมได้จะขึ้นอยู่กับมูลค่าของหลักประกัน หากคุณนำสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงกว่ามาค้ำประกัน คุณก็มีสิทธิ์ได้รับวงเงินกู้ยืมสูงขึ้น

อัตราและระยะเวลา

เงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันมักมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าและมีระยะเวลาการคืนเงินที่สั้นกว่า

ส่วนเงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันมักมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า และมีระยะเวลาการคืนเงินที่นานกว่า เนื่องจากหลักประกันช่วยลดความเสี่ยงของผู้ให้กู้

ความเร็วและขั้นตอน

เงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันมีขั้นตอนการดำเนินการที่เร็วกว่าเนื่องจากไม่ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารหลักประกัน

ส่วนเงินกู้ที่มีหลักประกันจะใช้เวลาในการอนุมัตินานกว่า เนื่องจากผู้ให้กู้อาจต้องประเมินมูลค่าหลักประกัน

เงินกู้ที่มีหลักประกันจะใช้สินทรัพย์เพื่อแลกกับข้อกำหนดที่ดีกว่า ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า วงเงินกู้ยืมที่สูงกว่า และระยะเวลาการคืนเงินที่นานกว่า ส่วนเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันจะใช้ความรวดเร็วและความยืดหยุ่นเพื่อแลกกับต้นทุนที่สูงขึ้นและข้อกำหนดด้านสินเชื่อที่เข้มงวดกว่า การตัดสินใจเลือกที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลักประกันที่คุณมีเพื่อใช้ค้ำประกัน และความเร่งด่วนที่ธุรกิจต้องการเงินทุน

ธุรกิจสามารถใช้หลักประกันประเภทใดในการค้ำประกันเงินกู้ได้บ้าง

หลักประกันคือสินทรัพย์ใดๆ ที่มีมูลค่าชัดเจน ซึ่งผู้ให้กู้มีสิทธิ์เรียกร้องหากคุณไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งหลักประกันมีมูลค่าและสภาพคล่องสูงเท่าใด คุณก็จะยิ่งกู้เงินได้มากขึ้นเท่านั้น

หมวดหมู่ที่พบบ่อยที่สุดมีดังนี้

อสังหาริมทรัพย์

ทรัพย์สินเพื่อการพาณิชย์ถือเป็นหลักประกันที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากมีมูลค่า มีความมั่นคง และมีกลไกการขายทอดตลาดที่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว

อุปกรณ์และเครื่องจักร

หากคุณต้องการเงินทุนสำหรับอุปกรณ์การผลิตหรือเครื่องมือพิเศษ ผู้ให้กู้อาจพิจารณาที่จะนำอุปกรณ์เหล่านั้นมาเป็นหลักประกัน มูลค่าจะขึ้นอยู่กับอายุ สภาพ และอุปสงค์ในการขายต่อ เนื่องจากอุปกรณ์มีการเสื่อมราคา ผู้ให้กู้จึงมักจะลดทอนมูลค่าประเมินลงเมื่อคำนวณวงเงินให้กู้ยืม

สินค้าคงคลัง

สินค้าในสต็อกสามารถใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ค้าส่งหรือผู้ค้าปลีก ข้อเสียคือสินค้าคงคลังอาจเสื่อมสภาพ ล้าสมัย หรือขายไม่ออก ผู้ให้กู้มักจะปล่อยเงินกู้โดยคิดเป็นเพียงเปอร์เซ็นต์ของมูลค่า และอาจต้องให้ผู้กู้ทำประกันภัย หรือรายงานข้อมูลเป็นประจำ

ลูกหนี้การค้า

ใบแจ้งหนี้ที่ลูกค้ายังไม่ได้ชำระถือเป็นสินทรัพย์ และผู้ให้กู้จะรับเป็นหลักประกัน หากคุณไม่สามารถชำระเงินคืนได้ ผู้ให้กู้มีสิทธิ์เรียกเก็บเงินตามใบแจ้งหนี้เหล่านั้นโดยตรง ผู้ให้กู้จะสนใจลูกหนี้การค้ามากขึ้น หากใบแจ้งหนี้เหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานและมาจากลูกค้าที่น่าเชื่อถือ

เงินสดและการลงทุน

เงินสดในบัญชีออมทรัพย์สำหรับธุรกิจ หรือหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้ (เช่น หุ้น พันธบัตร) ถือเป็นรูปแบบหลักประกันที่มั่นคง แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่นับรวมบัญชีเงินออมเพื่อการเกษียณ

ยานพาหนะ

รถยนต์ของบริษัท รถตู้สำหรับส่งของ หรือรถบรรทุก สามารถใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ได้ เช่นเดียวกับอุปกรณ์ มูลค่าและสภาพของยานพาหนะเหล่านี้จะกำหนดวงเงินกู้ที่คุณจะได้รับ

สินทรัพย์ส่วนบุคคล

สินทรัพย์ส่วนบุคคลสามารถใช้เป็นหลักประกันได้เช่นกัน ซึ่งหมายความว่า หากธุรกิจไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ ผู้ให้กู้จะสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ความมั่งคั่งส่วนบุคคล เช่น บ้านหรือเงินออม ของเจ้าของธุรกิจได้

มูลค่าของหลักประกันจะไม่เท่ากันทั้งหมด ผู้ให้กู้มักจะต้องการสินทรัพย์ที่คงมูลค่าและสามารถขายได้ทันที เช่น ทรัพย์สินหรือเงินสด ส่วนอุปกรณ์เฉพาะทางหรือสินค้าคงคลังที่หมุนเวียนช้าอาจได้รับการเสนอเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าไรนัก โปรดเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงเอกสารการเป็นเจ้าของ มูลค่า และการประกันภัยสำหรับหลักประกันที่คุณจะนำมาค้ำ

หลักประกันช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้ให้กู้ได้อย่างไร

หากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ ผู้ให้กู้มีสิทธิ์ยืดหลักประกันและนำไปขายเพื่อชดเชยยอดเงินที่กู้ยืมไปได้ หลักประกันนี้มอบช่องทางในการคืนเงินที่ง่ายกว่าการดำเนินคดีหรือการใช้บริการทวงหนี้สำหรับเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกัน

หลักประกันสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กู้ได้เช่นกัน เมื่อผู้กู้นำทรัพย์สินที่มีมูลค่ามาค้ำประกัน ผู้กู้ก็จะมีสิ่งที่ต้องสูญเสียมากขึ้นหากเกิดปัญหา การที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนได้ส่วนเสีย จะช่วยให้ผู้ให้กู้มีความมั่นใจว่าผู้กู้จะชำระเงินคืน

ผู้ให้กู้จะป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยการให้กู้ในวงเงินที่ต่ำกว่ามูลค่าเต็มของสินทรัพย์ เพื่อให้มีส่วนสำรองในกรณีที่หลักประกันมีมูลค่าลดลง โดยปกติแล้ว เงินกู้ที่ใช้ทรัพย์สินเพื่อการพาณิชย์เป็นหลักประกันจะมีวงเงินประมาณ75% ขึ้นไปของมูลค่าทรัพย์สิน ขณะที่สินค้าคงคลังมักจะได้รับวงเงินไม่เกิน 50%

หลักประกันช่วยลดความเสี่ยงโดยทำหน้าที่เป็นหลักประกันความเสียหายเมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้ และเป็นแรงจูงใจที่ส่งเสริมให้ผู้กู้ดำเนินตามภาระผูกพันจนสำเร็จ

เงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันมีข้อดีต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง

เงินกู้ที่มีหลักประกันนั้นปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ให้กู้ ทั้งยังมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจด้วย โดยมีข้อดีด้านต้นทุนที่คุ้มค่า มีความยืดหยุ่น และเข้าถึงได้ง่ายกว่าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน

ต่อไปนี้คือประโยชน์ทางธุรกิจที่จับต้องได้บางประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินกู้ที่มีหลักประกัน

ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงิน

หลักประกันช่วยลดความเสี่ยงของผู้ให้กู้ ซึ่งมักส่งผลให้ผู้กู้ได้รับข้อเสนอที่ดีกว่า โดยทั่วไปแล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับธุรกิจที่มีหลักประกันจะต่ำกว่าตัวเลือกที่ไม่มีหลักประกัน

เข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น

เนื่องจากวงเงินกู้ยืมขึ้นอยู่กับมูลค่าของหลักประกัน ธุรกิจจึงสามารถเข้าถึงเงินจำนวนมากขึ้นได้โดยการนำสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงมาค้ำประกัน วิธีนี้ทำให้เงินกู้ที่มีหลักประกันเหมาะกับการนำมาใช้ในการดำเนินการขนาดใหญ่ เช่น การซื้อทรัพย์สิน การระดมทุนเพื่อขยายกิจการ หรือการจัดซื้ออุปกรณ์

อนุมัติได้ง่ายขึ้น

สำหรับบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่หรือบริษัทที่มีประวัติสินเชื่อไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ หลักประกันอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาอนุมัติหรือปฏิเสธเงินกู้ ผู้ให้กู้จะพิจารณามูลค่าของสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันควบคู่ไปกับประวัติสินเชื่อ ซึ่งทำให้ธุรกิจต่างๆ มีช่องทางในการระดมทุนมากขึ้น

กรอบเวลาการคืนเงินที่นานขึ้น

การมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ให้กู้ยินดีที่จะยืดระยะเวลาการคืนเงินจากเดือนเป็นปี การกระจายยอดชำระเงินจะช่วยจัดระเบียบกระแสเงินสดให้หมุนเวียนได้อย่างไม่สะดุดและลดภาระต่องบประมาณการดำเนินงาน

นำสินทรัพย์ที่มีอยู่ไปใช้

สินทรัพย์ที่คุณเป็นเจ้าของอยู่แล้ว เช่น อสังหาริมทรัพย์, อุปกรณ์, หรือยานพาหนะ สามารถนำมาใช้เป็นทุนในการขยายธุรกิจได้ แทนที่จะปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ สินทรัพย์เหล่านี้สามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงเงินทุน โดยไม่ต้องดึงดูดนักลงทุนหรือสละสัดส่วนด้วยการมอบหุ้น

การกู้ยืมที่มีหลักประกันมีความเสี่ยงและข้อจำกัดอะไรบ้าง

เงินกู้ที่มีหลักประกันจะช่วยให้คุณเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง

  • หลักประกันตกอยู่ในความเสี่ยง: หากคุณผิดนัดชำระหนี้ คุณอาจสูญเสียสินทรัพย์ ยานพาหนะ หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของคุณ

  • ความยืดหยุ่นลดลง: สินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันจะถูกยึดโยงตามข้อผูกพันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้ ซึ่งจำกัดความสามารถในการขายหรือนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น

  • ภาระงานด้านการดูแลจัดการ: ข้อกำหนดด้านการประเมินราคาและประกันภัยหมายถึงเอกสารที่มากขึ้นและการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

  • วงเงินกู้ยืมสูงสุด: ขนาดเงินกู้ถูกจำกัดด้วยมูลค่าของสินทรัพย์ที่คุณนำมาค้ำประกัน ธุรกิจที่มีสินทรัพย์น้อยมากอาจมีทางเลือกที่จำกัด

  • ความรับผิดส่วนบุคคล: ผู้ให้กู้บางรายอาจกำหนดให้มีการค้ำประกันส่วนบุคคล ซึ่งทำให้คุณต้องรับผิดชอบด้วยการนำสินทรัพย์มั่งคั่งส่วนตัวมาเป็นหลักประกัน หากสินทรัพย์ของธุรกิจไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้

การกู้ยืมที่มีหลักประกันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจ ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูง ก่อนที่จะนำสินทรัพย์มาค้ำประกัน คุณควรเปรียบเทียบข้อดีของเงินทุนที่เข้าถึงได้ง่ายกับความเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียหลักประกันของคุณ

Stripe Capital ช่วยอะไรได้บ้าง

Stripe Capital มอบโซลูชันด้านการจัดหาเงินทุนตามรายรับเพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงเงินทุนที่จำเป็นต่อการเติบโต

Stripe Capital สามารถช่วยให้คุณทำสิ่งต่อไปนี้ได้

  • เข้าถึงเงินทุนเพื่อการเติบโตได้เร็วขึ้น: รับการอนุมัติเงินกู้หรือการจ่ายเงินสดล่วงหน้าให้กับผู้ค้าในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการสมัครที่ยาวนานและข้อกำหนดหลักประกันของเงินกู้ธนาคารแบบดั้งเดิม
  • ปรับการจัดหาเงินทุนให้สอดคล้องกับรายรับของคุณ: โครงสร้างแบบอิงตามรายรับของ Stripe Capital ให้คุณจ่ายเงินเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่จากยอดขายรายวัน การชำระเงินจึงปรับตามผลการดำเนินงานของธุรกิจของคุณ หากยอดเงินที่คุณชำระผ่านการขายไม่ถึงจำนวนขั้นต่ำที่ต้องชำระในแต่ละรอบ Capital จะหักเงินส่วนที่เหลือจากบัญชีธนาคารของคุณโดยอัตโนมัติเมื่อสิ้นสุดรอบบิล
  • ขยายธุรกิจด้วยความมั่นใจ: มอบเงินทุนสำหรับโครงการริเริ่มเพื่อการเติบโต เช่น แคมเปญการตลาด การจ้างงานใหม่ การขยายสินค้าคงคลัง และอื่นๆ โดยไม่ทำให้มูลค่าหุ้นหรือสินทรัพย์ส่วนตัวของคุณลดลง
  • ใช้ความเชี่ยวชาญของ Stripe: Stripe Capital ให้บริการโซลูชันทางการเงินที่ปรับแต่งได้ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญและข้อมูลการชำระเงินแบบเจาะลึกของ Stripe

ดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า Stripe Capital จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจได้อย่างไร หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

บทความอื่นๆ

  • เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง โปรดลองอีกครั้งหรือติดต่อฝ่ายสนับสนุน

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Capital

Capital

Stripe Capital ให้คุณเข้าถึงการจัดหาเงินทุนที่ยืดหยุ่นและรวดเร็วเพื่อการจัดการกระแสเงินสดและลงทุนกับการเติบโต

Stripe Docs เกี่ยวกับ Capital

ดูว่า Stripe Capital จะช่วยคุณพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างไร